ภาคผนวก๒
เรื่องของฉันท์ชนิดต่างๆที่มีในตอน
ขอขอบพระคุณคุณครู อาจารย์ ที่ให้ความรู้ทุกๆท่านนะคะ
รวมทั้งผู้เผยแผ่ความรู้เกี่ยวกับฉันท์ผ่านทางอินเตอร์เน็ตเท่าที่ค้นเจอทางพี่เกิ้ลด้วย ธุค่ะ /l\
ลืมแปะรูปค่ะ เอาซะหน่อย อิมเมจได้มาจากดาด้า ขอบคุณนะคะ ^o^
ก่อนอื่นมาคุยเรื่องชื่อตอนกันก่อนนะคะ
ชื่อตอนตอนนี้จนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ถูกใจคนเขียนเลยค่ะ แบบว่าอยากได้ชื่อที่บ่งบอกว่าเป็นแนวโรมานติค-คอเมดี้
แต่ก็ไม่ล่อลวงผู้บริโภคว่าเป็นนิยายที่เล่าเรื่องแบบธรรมดาอะค่ะ
ตอนแรกกะตั้งชื่อเลียนแบบพวกนิทานจักรๆวงศ์ๆ แบบที่เอาชื่อพระเอกนายเอกมาตั้ง
ก็จะเป็น “มิลันทราช” (เลียนแบบ พระอภัยมณี อิเหนา ลักษณวงศ์ อะไรแนวนั้น) แต่ก็รู้สึกจะเป็นการให้ความสำคัญกับฝ่ายท่านเจ้าชายมากไป ทั้งที่เนื้อเรื่องจริงๆให้ความสำคัญกับน้องนายเอกมากกว่า
ส่วนจะใช้ชื่อ “ศวัตรา” ก็กลัวจะเป็นการเปิดเผยเนื้อหาให้คนอ่านทั้งหลายเดาได้ตั้งแต่เริ่มเรื่องว่านี่ศวัตราแน่แท้ หงิงๆ
พอจะใช้ชื่อแนวเกาหลีอินเทรนด์ก็เกรงจะถูกดุได้ว่าหลอกลวงผู้บริโภค ..... “ผึ้งน้อยใจบุญ กับ คุณเจ้าชาย”
ชื่อนี้ก็เลยตกไปอีก โฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เพราะงั้น....จนเดี๋ยวนี้ชื่อ เบื้องบรรพกาล (ที่แปลว่า แต่โบราณปู๊นนนนนนนน) นี่ก็ยังไม่ถูกใจเลยค่ะ เพราะมันไม่บ่งบอกถึงความเป็นโรมานติค-คอเมดี้ตรงไหนเลย
........................................................................
มาเข้าเรื่องของฉันท์กันดีกว่านะคะฉันท์เป็นหนึ่งในประเภทของร้อยกรองของไทยค่ะ (โคลง กลอน กาพย์ ร่าย ฉันท์) ทั้งนี้ เรารับมาจากอินเดียซึ่งสมัยโบราณเขียนในภาษาสันสกฤตและบาลีอีกต่อหนึ่ง
จุดเด่นของฉันท์นอกเหนือจากสัมผัสระหว่างวรรคแล้ว (สัมผัส – การที่เสียงของสระและตัวสะกดพ้องกัน)
ก็คือการกำหนด ครุ ลหุ หรือเสียงหนักเบานั่นเอง ซึ่งเวลาอ่าน(แม้จะไม่ออกเสียง) ถ้าหากอ่านให้ถูกหลัก ครุ ลหุ เราจะได้รับรสไพเราะของแต่ละชนิดที่ต่างกัน
- ครุ หมายถึงคำที่มีเสียงหนัก อาจจะประกอบจากสระเสียงยาวหรือคำที่มีตัวสะกด เช่น กา ไก่ กอด กล้วย
- ลหุ หมายถึงคำที่มีเสียงเบา ประกอบขึ้นจากสระเสียงสั้นค่ะ เช่น ก็ กะ จะ ณ ตริ
ยกตัวอย่างคำว่า สวัสดี อ่านออกเสียง สะ-หวัด-ดี ...... ลหุ-ครุ-ครุ
(ต่อไปนี้ในส่วนของผังฉันทลักษณ์ให้สังเกตสัมผัสตามสีตัวอักษรนะคะ)
เริ่มที่ชนิดแรกที่ปรากฏในตอนนะคะ
มาณวกฉันท์ – ฉันท์ที่มีลีลาราวหนุ่มน้อย งืม....จากชื่อนะคะเราก็มาดูว่าหนุ่มน้อยนี่มีลีลายังไง เอร๊ยยยย มิใช่ๆๆๆ
หมายถึงว่า คล่องแคล่ว รวดเร็ว ลั้ลลาบ้าง อะไรแนวนั้นน่ะค่ะ (ไม่ใช่ลีลาแบบ เอ่อ นั่นแหละ งุงิ)
ดังนั้น ฉันท์ชนิดนี้จึงมักใช้เมื่อต้องการบรรยายความทั่วๆไป บรรยายสิ่งที่เกิด บรรยายการเดินทาง
แต่บพกาล นานกปกัลป์ ครุ ลหุ ลหุ
ครุ ครุ ลหุ ลหุ
ครุในวนอัน สุดพิสดาร ครุ ลหุ ลหุ
ครุ ครุ ลหุ ลหุ
ครุมีพระฤษี ฑีฆรฌาณ ครุ ลหุ ลหุ ครุ ครุ ลหุ ลหุ
ครุตั้งตบะญาณ กว่าศตปี ครุ ลหุ ลหุ ครุ ครุ ลหุ ลหุ ครุ
คำอ่านนะคะ
แต่-บะ-พะ-กาล นาน-กะ-ปะ-กัน ใน-วะ-นะ-อัน สุด-พิ-สะ-ดาน มี-พระ-รึ-สี ที-คะ-ระ-ชาน ตั้ง-ตะ-บะ-ยาน กว่า-สะ-ตะ-ปี
(กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าลึกแปลกประหลาด มีพระฤๅษีตนหนึ่งตั้งตบะบำเพ็ญเพียรมากว่าร้อยปี)
ชนิดต่อไปค่ะ
อินทรวิเชียรฉันท์ – ฉันท์ที่มีลีลาประดุจสายฟ้าของพระอินทร์ (เผื่อท่านไหนไม่ทราบ สายฟ้าคืออาวุธของพระอินทร์ค่ะ)
สายฟ้ามีลักษณะอย่างไร ก็คือ สวย สว่าง ปรากฏกลางฟ้าแล้วก็แวบหาย น่ามองไปพร้อมๆกับน่าเกรง
ดังนั้น ฉันท์ชนิดนี้จึงมักใช้ในการชม การคร่ำครวญ การเล่าเรื่อง และต่างๆนานาค่ะ อีกอย่างฉันท์ชนิดนี้เป็นที่นิยม เพราะความไพเราะนั่นเอง ใครไม่รู้จักฉันท์ยังไงส่วนใหญ่ก็ต้องคุ้นเคยกับฉันท์ชนิดนี้มาบ้างแน่ๆ
(ท่านไหนนึกไม่ออก ให้นึกถึงตอนที่พระเอกนางเอกเรื่องมัทนะพาธาเจอกันครั้งแรก เจอปุ๊บปิ๊งปั๊บ ท่านก็รำพึงเป็นอินทรวิเชียรฉันท์นี่แหละค่ะ)
โอ้องค์มุนีเจ้า ดนุเฝ้าบรีบาล ครุ ครุ ลหุ ครุ
ครุ ลหุ ลหุ
ครุ ลหุ ครุ
ครุเอมโอษฐ์ ณ ก่อนกาล ลุ ณ ปัจจุสมัย ครุ ครุ ลหุ ครุ
ครุ ลหุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ
ครุ โปรดฟังนะซึ่งถ้อย ดนุน้อยจะขานไข ครุ ครุ ลหุ ครุ ครุ ลหุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ
ครุด้วยข้าจะลาไป ยมโลก ณ สายาณห์ ครุ ครุ ลหุ ครุ
ครุ ลหุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ครุ
คำอ่านค่ะ โอ้-อง-มุ-นี-เจ้า ดะ-นุ-เฝ้า-บะ-รี-บาน เอม-โอด-นะ-ก่อน-กาล ลุ-นะ-ปัด-จุ-สะ-ไหม โปรด-ฟัง-นะ-ซึ่ง-ถ้อย ดะ-นุ-น้อย-จะ-ขาน-ไข ด้วย-ข้า-จะ-ลา-ไป ยะ-มะ-โลก-นะ-สา-ยาน
(ตรงนี้มีคำว่า บรีบาล ซึ่งแผลงมาจากบริบาลค่ะ เพื่อให้ตรงตามข้อกำหนดฉันทลักษณ์ และคำว่า สายาณห์ มาจากคำว่า สายัณห์ เพื่อให้ไปสัมผัสกับพยางสุดท้ายของบาทต่อไป คำว่า บันดาล นะคะ)
ต่อไป (ชักเหนื่อยแฮะ งุงิ)
ภุชงคประยาตฉันท์ – ฉันท์ที่มีลีลาประดุจงูเลื้อย ก็มานึกว่างูเลื้อยเป็นยังไงกันนะคะ
เป็นจังหวะต่อเนื่อง พลิ้วไหว บางครั้งก็หลอกล่อรวดเร็ว และเนื่องจากมีท่วงทำนองสละสลวยจึงมักใช้บรรยายฉากสวยงาม ฉากต่อสู้ หรือแม้แต่ฉากที่เน้นความรู้สึกสนุกสนาน รวมถึงพวกบทสดุดี บทถวายพระพร และอาจใช้บรรยายความที่ต้องการรวบให้รวดเร็วได้
พระโยคีก็ตั้งจิต มโนฤทธิลือชาญ ลหุ ครุ ครุ ลหุ ครุ
ครุ ลหุ ครุ
ครุ ลหุ ครุ
ครุกุมุทใหญ่ก็แย้มบาน ผลิออกรับภมรพลัน ลหุ ครุ ครุ ลหุ ครุ
ลหุ ครุ ครุ ลหุ ครุ
ครุ มุนีโอมและอ่านเวทย์ สะท้านเขตคิรีขัณฑ์ ลหุ ครุ ครุ ลหุ ครุ ครุ ลหุ ครุ ครุ ลหุ ครุ
ครุสะเทือนพฤกษ์พนาวัน สะท้อนลั่นสวรรค์ครืน ลหุ ครุ ครุ ลหุ ครุ
ครุ ลหุ ครุ ครุ ลหุ ครุ ครุ
คำอ่านค่ะ พระ-โย-คี-ก็-ตั้ง-จิต มะ-โน-ริด-ทิ-ลือ-ชาน กุ-มุด-ใหญ่-ก็-แย้ม-บาน ผลิ-ออก-รับ-พะ-มอน-พลัน มุ-นี-โอม-และ-อ่าน-เวด สะ-ท้าน-เขด-คิ-รี-ขัน สะ-เทือน-พรึก-พะ-นา-วัน สะ-ท้อน-ลั่น-สะ-หวัน-ครืน
(มีอีกนะคะ ขอแปะก่อน กลัวพิมพ์ๆเด้งหายอีก)
ฮึบๆๆ ชนิดต่อไปค่ะ
วิชชุมมาลาฉันท์ – ระเบียบแห่งสายฟ้า หมายถึงฉันท์ที่มีลีลาแบบสายฟ้าแลบนั่นเอง
วิชชุมมาลาฉันท์เป็นฉันท์ที่มีแต่คำครุล้วนค่ะ ด้วยเสียงที่หนักตลอดและคำที่ใช้ก็หนักตามเลยทำให้มักใช้ในการบรรยายความธรรมดาทั่วๆไป
ชนิดนี้พิเศษที่สี่บาท(สี่บรรทัด)เป็นหนึ่งบทค่ะ ชนิดอื่นเขาสองบาทเป็นหนึ่งบทกัน
จากกาลบัดนั้น จวบวันใหม่เยือน ครุ ครุ ครุ
ครุ ครุ
ครุ ครุ
ครุส่ำสัตว์ในเถื่อน ล้วนตื่นลืมตา ครุ ครุ ครุ
ครุ ครุ ครุ ครุ
ครุร่วมเป็นสักขี ฤๅษีสิทธา ครุ ครุ ครุ
ครุ ครุ
ครุ ครุ
ครุรังสรรค์กายา มานพรูปงาม ครุ ครุ ครุ
ครุ ครุ ครุ ครุ
ครุ แสงทองเยือนหล้า ฟากฟ้าสีใส ครุ ครุ ครุ ครุ ครุ ครุ ครุ ครุ
ลมโบกโยกไกว ยอดไม้ไหวตาม ครุ ครุ ครุ ครุ ครุ ครุ ครุ
ครุกลางกลีบโกมุท พลันผุดแสงวาม ครุ ครุ ครุ ครุ ครุ ครุ ครุ
ครุพร้อมหนุ่มน้อยงาม สามโลกต้องชม ครุ ครุ ครุ
ครุ ครุ ครุ ครุ ครุ
สังเกตสัมผัสนะคะ เป็นฉันท์ที่สัมผัสบังคับเยอะอย่างเวอร์เลย สงสัยทดแทนกับที่ไม่มีคำลหุ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
คำอ่านอันนี้ตรงตัวค่ะ ง่ายๆเนอะ ^o^
มาต่อกันค่ะ สู้ๆๆๆๆๆๆๆ
วสันตดิลกฉันท์ – ฉันท์ที่ท่วงทำนองงดงามราวรอยแต้มที่กลีบเมฆยามฤดูฝน
แค่ชื่อก็หรูแล้ว >//////< และก็สวยจริงๆค่ะ แถมจากความสวยงามนี้ ฉันท์ชนิดนี้จึงมักถูกใช้เมื่อต้องการชื่นชมความงาม ความรัก และสดุดีของสูง
มานพก็เยื้องลุ ณ พระที่ ก็มุนีสถิตอยู่ ครุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ ลหุ ลหุ
ครุ ลหุ ลหุ
ครุ ลหุ ครุ
ครุยอกรประณตและศิระลู่ ณ พระบาทพระฤๅษี ครุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ ลหุ ลหุ
ครุ ลหุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ
ครุ โอ้คุณ ธ ล้นดนุจะทด และจะแทนก็เหลือที่ ครุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ ลหุ ลหุ
ครุ ลหุ ลหุ
ครุ ลหุ ครุ
ครุแม้ข้าอุทิศก็ชิวินี้ ก็มิอาจจะแทนได้ ครุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ ลหุ ลหุ
ครุ ลหุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ครุ
ตรงนี้ข้าพเจ้าแอบมีลักไก่ ที่บาทแรกของบทที่สองเห็นมั้ยคะ พยางสุดท้ายของวรรคแรกคำว่า “ทด” ที่ถูกต้องสัมผัสกับ พยางค์ที่สามของวรรคหลัง แต่หาคำตรงใจไม่ได้ เลยเป็นอย่างที่เห็น ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ
คำอ่านค่ะ มา-นบ-ก็-เยื้อง-ลุ-นะ-พระ-ที่ ก็-มุ-นี-สะ-ถิด-อยู่ ยอ-กร-ประ-นด-และ-สิ-ระ-ลู่ -นะ-พระ-บาท-พระ-รือ-สี
อุเปนทรวิเชียรฉันท์ – รองอินทรวิเชียร ฉันท์ชนิดนี้จะมีลักษณะคล้ายกับอินทรวิเชียรฉันท์ค่ะ
สัมผัสบังคับน้อยกว่า ดังนั้น....ก็หาคำมาใส่ง่ายกว่านั่นเอง ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ
พระนางกษัตรีย์ อุระราวจะสุมไฟ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ครุ ลหุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ
ครุผิทราบวะปล่อยไป ก็จะลับมิคืนหวน ลหุ ครุ ลหุ ครุ
ครุ ลหุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ
ครุ พระลูกจะร้างห่าง และหทัยจะแปรปรวน ลหุ ครุ ลหุ ครุ ครุ ลหุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ
ครุผิล่ามสิด้วยตรวน ก็มิอาจจะรั้งไว้ ลหุ ครุ ลหุ ครุ
ครุ ลหุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ครุ
สาลินีฉันท์ - ฉันท์ที่ประกอบไปด้วยครุเป็นส่วนมาก พยายามหาความหมายของคำว่าสาลินี แต่ก็ไม่เจอค่ะ ท่านไหนทราบช่วยข้าพเจ้าทีเน้อ แหะๆ
ตามพจนานุกรมเช่นฉบับท่านอาจารย์เปลื้อง ณ นคร ก็แปลไว้ว่า เป็นชื่อของฉันท์ชนิดหนึ่ง *o*
แต่เท่าที่ผ่านๆตามา บทที่มักใช้ฉันท์ชนิดนี้มักเป็นบทที่อ้างถึงคำสอนนะคะ ไม่ก็เรื่องหนักๆแบบแนวทางดำเนินชีวิตไปเลย
แต่ตามหลักการใช้ท่านก็ระบุว่ามักใช้ในการบรรยายความทั่วๆไปน่ะค่ะ
แรมทางกลางไพรพฤกษ์ พระเฝ้าตรึกคะนึงหา ครุ ครุ ครุ ครุ
ครุ ลหุ ครุ
ครุ ลหุ ครุ
ครุแต่ดอกบัวงามตา ผกาแก้วนะที่ปอง ครุ ครุ ครุ ครุ
ครุ ลหุ ครุ ครุ ลหุ ครุ
ครุ ลึกเข้าในป่าใหญ่ ระเรื่อยไปลุเดือนสอง ครุ ครุ ครุ ครุ ครุ ลหุ ครุ ครุ ลหุ ครุ
ครุจึงขับเหล่านายกอง สิกลับคืนบุรีรมย์ ครุ ครุ ครุ ครุ
ครุ ลหุ ครุ ครุ ลหุ ครุ
(ถึงกับต้องแวะเข้าห้องน้ำก่อนมานั่งเขียนต่อกันเลยทีเดียว เป็นภาคผนวกที่กินแรงงานเยอะเหลือเกินวุ้ย)
อีทิสังฉันท์ – ฉันท์ที่มีลีลางดงามคล้ายๆข้างบนนั้นแล (กร๊ากกกกกกกกก เขาแปลงี้จริงเน้อ)
คือว่าด้วยความที่ถ้าสังเกตจะเห็นว่าฉันท์ชนิดนี้เล่นเสียงหนักเบาสลับกันทุกพยางค์ จึงเป้นฉันท์ที่มีจังหวะกระแทกกระทั้น เหมือนเน้นให้ผู้อ่านรู้สึกตามเสียทุกตัวอักษร
ดังนั้น ฉันท์ชนิดนี้จึงเหมาะจะใช้เมื่อต้องการบรรยายอารมณ์รุนแรง ไม่ว่าจะอารมณ์รัก เศร้าโศก คร่ำครวญ โกรธ วิตกกังวล
(ซึ่ง ถือเป็นฉันท์ที่เวิ่นเว้อ เข้ากับลีลาแบบข้าพเจ้ามาก เลยถือเป็นชนิดที่ปลื้มที่สุด ฮี่ๆๆๆ)
ร่างลออสะอ้านประจักษ์ ณ ชล ประทับ ณ กลางกุมุทและดล
ฤดีรอน
พลันพระเผยพระองค์และยื่นพระกร จะคว้าจะไขว่มิต่างภมร
เสาะน้ำหวาน
นัยเนตรก็ราวจะเคลือบกะตาล และโอษฐ์ก็เอื้อนวจีประสาน
นะสัมพันธ์
ครุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ
ครุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ
ครุลหุ ครุ
ครุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ
ครุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ
ครุลหุ ครุ ครุ
ลงคำอ่านสักนิดด้วยความปลื้มส่วนตัวค่ะ
ร่าง-ละ-ออ-สะ-อ้าน-ประ-จัก-นะ-ชน ประ-ทับ-นะ-กลาง-กุ-มุด-และ-ดล รึ-ดี-รอน พลัน-พระ-เผย-พระ-อง-และ-ยื่น-พระ-กร จะ-คว้า-จะ-ไขว่-มิ-ต่าง-พะ-มอน เสาะ-น้ำ-หวาน ใน-ยะ-เนด-ก็-ราว-จะ-เคลือบ-กะ-ตาน และ-โอด-ก็-เอื้อน-วะ-จี-ประ-สาน-นะ-สำ-พัน (>/////<)
เย้ๆๆๆๆๆ ในที่สุดก็ครบแล้วค่ะ ถ้ามีท่านไหนอ่านแล้วยังไม่เคลียร์ตรงไหนก็ทิ้งคำถามไว้ได้นะคะ
งืมๆตอบคุณบูตะจังก่อนเลย
คำถามที่บอกว่าอ่านแล้วรู้สึกว่าพระฤๅษีต้องการส่งเจ้าแมลงไปสวรรค์
ตรงนี้รึเปล่าคะ? โยคิสดับ รับวจนา
จึ่งตริและว่า นี่นะภมร
เราจะมิตาย วายชิพิก่อน
เจ้าจุติพร สมกะกุศล
........ตรงนี้พระฤๅษีบอกว่าจะส่งให้แมลงตายแล้วไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้น สมกับที่ได้ทำกุศลไว้
แล้วพอแมลงตายท่านก็ชุบให้เกิดในร่างคน(โตเป็นหนุ่มทันที) แล้วก็ยังไม่ทันจะทำอะไร แค่มองระยะใกล้ตบะท่านก็แตกเลยค่ะ
ไม่ได้คิดว่าจะให้เจ้าแมลงไปสวรรค์นะคะ (เอ...หรือมีประโยคไหนทำให้เข้าใจไปอย่างนั้นคะ?)