มาส่งแล้วนะคะ สำหรับตอนนี้คนเขียนมีภาพในหัวสมองน้อยๆมานานแล้ว
แต่เพิ่งจะรวบรวมพลังงานเขียนออกมาให้คนอ่านที่น่ารักมาทดลองอ่านกันดูก็วันสองวันมานี้เอง
ยินดีต้อนรับสู้โลกของโซเล็มค่ะ
.......................
เรื่องเล่าจากความฝัน
Behind the Door: ประตูสีขาว
“ข้าไม่รู้ว่าที่นี่ที่ไหน แล้วข้ามาที่นี่ได้อย่างไร
ทุกอย่างที่มองเห็น....ล้วนแล้วแต่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง
.......................
ตั้งแต่....ข้าตัดสินใจเปิดประตูสีขาวบานนั้น
..........แล้วก้าวผ่านเข้ามา”
...
บันไดสีขาวทอดวนขึ้นไปในความเวิ้งว้างว่างเปล่าสุดสายตาจนมองไม่เห็นปลายทาง
หากเมื่อคิดจะย้อนกลับไปทางเก่า โซเล็มกลับต้องรู้สึกแปลกใจยิ่งขึ้นเมื่อประตูที่แน่ใจว่าเพิ่งก้าวผ่านเข้ามาเมื่อกี้กลับหายไป.....
อันตรธานไปราวกับไม่เคยมีอยู่จริง......ที่มองเห็นในเวลานี้เป็นตัวเองซึ่งแทนที่จะยืนอยู่บนบันไดขั้นแรกเบื้องหลังบานประตูเก่าคร่ำคร่าสีขาว กลับเป็นตัวเองบนบันไดขั้นไหนไม่รู้ แต่ที่แน่ใจได้คือจำนวนขั้นที่ทอดต่ำลงไปเบื้องล่างนั้นมากมาย และดูเป็นหนทางที่ทอดยาวไม่ต่างจากทางที่จะนำสู่เบื้องบนเลยทีเดียว
เหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบกายเผื่อจะพบเจอสิ่งมีชีวิตอื่นพอให้อุ่นใจก็ยิ่งใจเสีย เพราะนอกจากจะไม่พบแม้แต่แมลงสักตัวแล้ว ความเวิ้งว้างรอบข้างกลับยิ่งชัดเจน มันว่างเปล่าจนไม่อาจพบเจอแม้แต่ความมืด
โซเล็มสูดลมหายใจเข้ายาวเหยียด ก่อนจะยกมือประสานที่หว่างอกสวดวิงวอนถึงพระผู้เป็นเจ้า แล้วจึงตัดสินใจก้าวเดินขึ้นสู่เบื้องบนอย่างรวดเร็ว จนเส้นผมสีส้มราวแสงอาทิตย์ยามใกล้จะลับขอบฟ้าที่ยาวเกือบกลางหลังพลิ้วสะบัด โดยไม่มองกลับหลังอีกเลย
น่าแปลก.....ทั้งๆที่เดินมานาน แต่แทนที่จะเหนื่อยหรือเมื่อยล้า หากยิ่งเดินร่างกายกลับยิ่งรู้สึกกระปรี้กระเปร่า โซเล็มจับจ้องแต่ที่ขั้นบันได ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองเดินมาไกลแค่ไหน จนรู้สึกถึงแสงเหลือบรุ้งลอดมากระทบสายตาจึงเงยหน้าขึ้นมอง
จากขั้นบันไดที่ยืนอยู่ในตอนนี้ อีกไม่ถึงสิบขั้นเท่านั้นมีบานประตูสีขาวอีกบานกั้นขวางอยู่ รูปร่างลักษณะเดียวกับประตูบานแรกนั่น หากต่างออกไปตรงที่ไม่มีร่องรอยเก่าคร่ำคร่าจนน่าจะถูกขโมยดอดมาถอดไปขายในตลาดค้าของเก่าท้ายเมือง อย่างที่โซเล็มคิดแวบขึ้นมาเมื่อได้เห็นประตูบานแรก
เจ้าของเรือนร่างสูงโปร่งสูดลมหายใจเข้าอีกเฮือกพร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นประดับใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเร่งสาวเท้าจนแทบเป็นวิ่งเข้าไปหาจุดหมายเบื้องหน้า ส่งให้เสียงกรุ๋งกริ๋งจากกระพรวนที่ข้อเท้ายิ่งดังเป็นจังหวะระรัว มือขวายื่นออกไปข้างหน้า อีกนิดเดียวก็จะแตะเข้ากับด้ามจับทองเหลืองรูปม้ามีปีกอยู่แล้ว
ฉับพลันทุกสิ่งทุกอย่างพลันสลายลงกับตา ราวกับมีมือยักษ์ล่องหนมาบดขยี้กระนั้น ทั้งบานประตูสีขาว และแม้แต่ขั้นบันไดทอดยาวสุดสายตากำลังปริร้าวและเริ่มแตกลงเป็นผุยผง
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!”โซเล็มหลับหูหลับตาปล่อยเสียงอุทานโหยหวนยาวเหยียดตลอดเวลาที่ร่างกายดิ่งลงต่ำอย่างไร้ทิศทาง
“โซล!!! โซเล็ม นูร์!!”แพขนตาสีแสงอาทิตย์ไม่ต่างจากเรือนผมค่อยขยับก่อนจะเบิ่งขึ้นเต็มที่ พร้อมกับมือทั้งสองที่เมื่อกี้ชูขึ้นไขว่คว้าพร้อมการเปล่งเสียงอุทานโหยหวนจับหมับเข้าที่สาบเสื้อตัวในของผู้ที่กำลังเขย่าปลุกอย่างหาที่ยึดเหนี่ยวทันที
“ลูซซซซซซ ลูซช่วยข้าด้วย!!”
น้ำเสียงละล่ำละลักของโซเล็มดังขึ้น ก่อนที่จะมีเสียงโห่ฮาอีกห่าใหญ่ดังขึ้นรอบตัว เมื่อเหลียวมองรอบตัวจึงได้รู้ว่าที่ที่นั่งอยู่คือเก้าอี้ไม้เนื้อแข็งในห้องเรียนโถงกระจก เงยหน้าขึ้นก็เจอกับสายตาขุ่นเข้มของท่านอาจารย์ลูซจ้องตอบมาจากหลังกรอบแว่นทรงกลมที่วางแปะอยู่บนดั้งจมูกปลายงองุ้ม ก่อนสายตาขุ่นๆนั้นจะเหลือบลงไปจับที่สองมือของลูกศิษย์ตัวดีที่ยังเกาะหนึบอยู่ตรงสาบเสื้อ
“ข้า....ข้าขอโทษท่านอาจารย์” โซเล็มปล่อยมือออกช้าๆ หลบตาลงมองพื้น แล้วเลยได้รับมะเหงกไม่เบานักเป็นรางวัลไปหนึ่งโป๊กจนต้องครางอูย
“เดี๋ยวตามไปที่ห้องพักอาจารย์ด้วยโซเล็ม” เสียงขึ้นจมูกบอกเบาๆกับนักเรียนที่บังอาจหลับขณะฟังบรรยาย แล้วจึงเปลี่ยนเป็นเสียงประกาศดังก้องไปทั้งโถงกระจก
“เลิกๆ วันนี้พอแค่นี้นักเรียนทั้งหลาย ข้าหมดอารมณ์สอนแล้ว!!”อาจารย์ที่เพิ่งประกาศเสียงดังฟังชัดว่าหมดอารมณ์สอน ก้าวฉับๆจนพื้นสะเทือนออกจากโถงกระจกที่มีนักเรียนอยู่สิบเจ็ดชีวิตไปแล้ว โซเล็มก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งกับแรงมือหนักๆของเหล่าเพื่อนๆที่รักที่เข้ามาตบหลังตบไหล่ ขอบอกขอบใจที่ช่วยเสียสละหลับแล้วละเมอจนได้เลิกเรียนเร็วกว่าปกติเกือบชั่วโมง
จนเมื่อเพื่อนทยอยออกไปจนหมดแล้วนั่นแหละ โซเล็ม นูร์ จึงกวาดข้าวของลงย่ามก่อนจะเดินลากขาซังกะตายไปหาท่านอาจารย์ตามคำสั่ง
“นั่งสิ” เพียงแค่โผล่ไปยืนอยู่หน้าห้อง ยังไม่ทันทำใจเตรียมรับการลงโทษ ประตูไม้หนาหนักก็เปิดออกเอง พร้อมเสียงอนุญาตให้นั่งดังจากปากของท่านอาจารย์ที่ง่วนอยู่กับเอกสารบนโต๊ะทำงาน โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเลยด้วยซ้ำ
“เอ่อ.....คือ ท่านอาจารย์ขอรับ ข้าไม่ได้ตั้งใจ......”
“หึๆๆๆ ข้ารู้ แต่ที่สงสัยจนต้องเรียกมาถามก็เพราะไอ้ไม่ได้ตั้งใจของเจ้า มันสามครั้งแล้วนะโซล สามวันติดต่อกันแล้วที่เจ้าหลับในห้องเรียนจนละเมอเสียงดังแบบนี้......มีอะไรอยากบอกมั้ย?”
“ข้าไม่รู้ตัวว่าทำไมถึงหลับ แต่ข้าฝันซ้ำๆมาทุกคืน .......ที่จริงคือทุกครั้งที่เผลอหลับ ข้าจะฝันเรื่องเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา”
“เล่ามาซิ”
เท่านั้นแหละ เรื่องราวของประตูสีขาวกับบันไดวนที่ทอดยาวจนไม่เห็นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดจึงหลุดจากปากของลูกศิษย์ตัวดี เจ้าของดวงตาสีฟ้าเข้มที่นอกจากจะเป็นลูกศิษย์แล้วยังเป็นน้องชายข้างบ้านที่ท่านอาจารย์ลูซเห็นเป็นของเล่นมาตั้งแต่ท่านอาจารย์อายุได้สิบขวบ
“นั่นแหละลูซ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะหลับในเวลาเรียนจริงๆนะ” เสียงออดอ่อยตบท้ายมาว่าอย่างนั้น ก่อนเจ้าตัวคนเล่ามันจะถือวิสาสะหยิบถ้วยกระเบื้องเนื้อหนาของอาจารย์มากระดกของเหลวใส่ปากซะเฉยๆ
“ตกลงฝันมาตั้งหลายครั้ง เจ้าไม่เคยได้เปิดประตูบานที่สองเลยเรอะ? เพราะว่ามีคนปลุกให้ตื่นก่อนทุกทีสินะ อืม.....”
ท่านอาจารย์โบกมือไปทางกาน้ำชาที่ริมโต๊ะแล้วจิ้มนิ้วส่งๆไปที่ถ้วยกระเบื้องทั้งสีหน้าครุ่นคำนึงถึงเรื่องราวจากความฝันของลูกศิษย์ตัวดี
เล่นเอาโซเล็มต้องอ้าปากค้างกับน้ำชาสีเข้มซึ่งแทนที่จะไหลเป็นสายลงถ้วยกระเบื้อง แต่พอพ้นจากพวยกากลับแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างของม้าหนุ่มที่กำลังสยายปีกทั้งสองทำท่าเหมือนกับกำลังเผ่นโผนอยู่กลางอากาศชั่วแวบ ก่อนจะกระโจนลงถ้วยกระเบื้องในมือเด็กหนุ่มให้ต้องกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก
“เอ่อ.....นี่แหละลูซ ที่จับประตูที่ข้าเห็นในฝัน เหมือนเจ้าม้าตัวเมื่อกี้ไม่ผิดเลย เว้นแต่มันทำมาจากทองเหลือง.....ไม่ใช่ชา”
“ข้ากำลังคิด.......โซล.......”
โซเล็มถึงกับขนลุกซู่เมื่อได้ยินน้ำเสียงเรียกชื่ออันแสนคุ้นเคย มาพร้อมกับสายตาวิบวับเหมือนกับเจอเรื่องสนุกเข้าแล้วของท่านอาจารย์
“เจ้าคิดว่า.....หลังบานประตูสีขาวนั้นจะมีอะไรเหรอ?”
“เอ่อ......ลูซ......พี่คงไม่....”รอยยิ้มหวานฉ่ำส่งมาให้น้องชายข้างบ้าน พร้อมกับมือขาวๆบางๆหากแต่โซเล็มรู้ดีว่าเรี่ยวแรงมหาศาลทั้งจากสมรรถภาพทางกายของเจ้าตัวและมายาแห่งเวทย์ที่บรรจุอยู่ทั่วร่างยื่นมาวางลงบนบ่าซ้าย พร้อมๆกับที่ร่างเล็กที่เมื่อกี้ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งของโต๊ะทำงานตัวใหญ่เคลื่อนไหวจนตาจับไม่ทันมายืนค้ำอยู่ข้างกาย
“คืนนี้ไปนอนบ้านข้า บอกท่านอาซีเรนว่าข้าต้องการให้เจ้ามาช่วยทำงาน......หึๆๆๆ โซลเอ๋ย ข้ารับรองว่าคืนนี้เจ้าจะได้เปิดประตูบานที่สองแน่ อยากรู้มิใช่หรือว่าหลังบานประตูมีอะไร.....ข้อแลกเปลี่ยนก็แค่ เจ้าต้องเล่าทุกสิ่งที่เจ้าเห็นหลังบานประตูนั้นให้ข้าฟังหลังจากตื่น คงรู้สินะว่ากับข้า.....ไม่เคยมีคำว่าความลับ หึๆๆๆๆ”
ลูซ ปาลันธ์จัดการให้น้องชายข้างบ้าน.....ของเล่นชิ้นโปรด นอนบนเตียงสี่เสาหลังเดิมเหมือนทุกครั้งที่โซเล็มมีเหตุให้ต้องมาค้างที่บ้านนี้
ที่ต่างไปโดยที่โซเล็มเองก็รับรู้ก็คือท่านอาจารย์ประจำวิชาเวทย์มนตร์2 จัดการเขียนสัญลักษณ์ล้อมรอบเตียงไว้ทั้งแปดทิศเพื่อกันการรบกวนใดๆที่อาจจะเกิดขึ้นกับการนอนหลับของโซเล็มออกจนหมดสิ้น พร้อมทั้งให้คำมั่นว่าต่อให้ฟ้าถล่มหรือแผ่นดินทลาย จนกระทั่งกองทัพมังกรบุกก็ตาม โซเล็มจะหลับได้อย่างสบายโดยไม่รับรู้เรื่องราวภายนอกเลยสักนิด
โซเล็มมีสีหน้าหวาดๆกับอานุภาพเวทย์มนตร์ของพี่สาวข้างบ้านเล็กน้อย แต่ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ พร้อมทั้งอาการของตัวเองที่รู้สึกเหมือนที่นอนมันดึงดูดเสียเหลือเกิน ก็ทำให้หลังจากอาบน้ำกินอาหารเย็นไปก็คลานขึ้นเตียงแล้วหลับเป็นตายทันที
ลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนเนินหญ้าสีเขียวอ่อนกว้างไกล นอกจากบานประตูเก่าคร่ำคร่าสีขาวกระดำกระด่างกับที่จับทองเหลืองรูปม้าบินที่มีตะกรันเกาะเป็นคราบแล้วมองไปรอบตัวก็ไม่เจอทางอื่นที่น่าสนใจอีก
โซเล็มตัดสินใจดึงเจ้าม้านั่นเข้าหาตัว ก่อนจะก้าวข้ามช่องประตูเข้าไปเหมือนทุกครั้ง เมื่อเริ่มก้าวเท้าพาตัวเองขึ้นสู่เบื้องบนก็ให้นึกแปลกใจตัวเองว่าเหตุใดกัน ไม่ว่าจะเข้ามาที่เส้นทางบันไดเวียนนี่กี่ครั้ง เขาก็ไม่เคยมีความคิดจะทดลองก้าวลงไปสู่เบื้องต่ำเลยสักที
กระพรวนที่ข้อเท้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงความเยาว์วัยของเด็กหนุ่มส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งทุกครั้งที่ย่างก้าว
เมื่อมาอยู่บนเส้นทางนี้โซเล็มนึกขอบใจที่ตัวเองยังอายุไม่ครบสิบห้าปี จึงได้ถูกบังคับให้ใส่กระพรวนติดข้อเท้าไว้ตลอดเวลา.....
ไม่เช่นนั้น....การเดินทางบนบันไดสีขาวนี้คงยิ่งเงียบเหงากว่าที่เป็นอยู่เป็นแน่แสงเหลือบรุ้งลอดผ่านช่องว่างของบานประตูกับพื้นที่ระบุไม่ได้ว่าเกิดขึ้นจากวัสดุชนิดใดบนโลกผ่านเข้าสู่สายตาของเด็กหนุ่มอีกครั้ง โซเล็มไม่รีบร้อนเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ด้วยความมั่นใจว่าจะไม่ต้องตื่นขึ้นกลางคันแน่ๆ จังหวะก้าวจึงสม่ำเสมอ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังทำลักษณาการราวกับลูกแมวจดๆจ้องๆจะตะครุบปลาตัวโตหากก็กลัวจะต้องเปียกน้ำกระนั้น
และแค่เพียงปลายนิ้วมือที่สัมผัสโดนแผงคอของเจ้าม้ามีปีกประตูสีขาวพลันเปิดออกกว้าง ไม่มีความลังเลใดๆ โซเล็มตัดสินใจก้าวผ่านเข้าไปทันที
ทิวทัศน์ของทุ่งหญ้าและทิวไม้ทั้งไม้พุ่มไม้เลื้อยและไม้ยืนต้นหลากหลายพันธุ์ รวมถึงส่ำสัตว์ที่เห็นทำให้โซเล็มได้แต่ยืนอ้าปากค้าง เพราะทุกสิ่งล้วนตรงข้ามกับความเป็นจริงที่เคยสัมผัส ผืนหญ้าใต้ฝ่าเท้าเป็นสีชมพูซ้ำยังให้สัมผัสนุ่มละมุนจนอยากจะทิ้งกายลงเกลือกกลิ้ง นกน้อยที่บินผ่านหน้าไปเมื่อครู่ก็มีขนปีกสีขาวเหลือบรุ้งทอประกายยิ่งกว่าเครื่องเพชรพลอยในกล่องสมบัติของท่านแม่ที่บ้านเสียอีก แล้วยังเจ้ากระต่ายน้อยหูยาวสีฟ้าสดใสดวงตาเหลืองราวกับแท่งอำพันอีกเล่า
ขณะที่กำลังตื่นตากับสิ่งที่เห็นรอบตัว ที่แม้แต่ตำนานปรัมปราในหอสมุดประจำเมืองที่โซเล็มชอบอ่านยังไม่เคยกล่าวถึง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“มาถึงแล้วรึ?” เสียงทุ้มนุ่มทรงอำนาจดังสะท้อนไปทั่วจนเด็กหนุ่มได้แต่หันซ้ายหันขวาล่อกแล่กเพราะไม่อาจหาต้นตอของเสียงได้
“........ท่าน ท่านเป็นใคร?”
“ข้าสิควรถามว่าเจ้าเป็นใคร เจ้ากำลังบุกรุกสถานที่ของข้าอยู่มิรู้ตัวหรือ?”
“ท่านอยู่ที่ไหน เป็นผีหรือเป็นคน บอกไว้ก่อนนะหากเป็นผีล่ะก็ข้าไม่สุงสิงด้วยแน่ ข้าไม่ถูกกับผี”
“หึๆๆๆ เข้ามาสิ มาพักดื่มกินแก้กระหายก่อน เจ้าเดินทางมาไกลมิใช่หรือเด็กน้อย......”คราวนี้น้ำเสียงกลั้วหัวเราะนั้นเหมือนดังมาจากหลังพุ่มไม้ข้างหน้านี่เอง
โซเล็มบอกตัวเองว่านี่คือความฝัน แล้วในเมื่อมันเป็นความฝันของข้า ก็ย่อมไม่มีอันตรายอันใดกับข้าแน่ๆ แล้วจึงตัดสินใจก้าวเข้าไปหาเจ้าของเสียงนั้นตามคำชวน เมื่อเดินผ่านซุ้มกุหลาบที่ออกดอกสีเขียวเข้มส่งกลิ่นหอมอ่อนๆเข้าไป ก็พบกับชุดน้ำชาพร้อมทั้งขนมหวานชิ้นเล็กชิ้นน้อยวางอยู่ในจานเปลขอบทอง หน้าตาเหมือนกับชุดกระเบื้องที่บ้านสุดรักสุดหวงของท่านแม่ไม่มีผิด
“ดื่มชาแล้วก็กินขนมเถิดเด็กน้อย.....” โซเล็มเหลือบมองไปรอบตัวอีกครั้ง ก็คราวนี้เสียงนั้นดังขึ้นใกล้ๆ เหมือนเจ้าของเสียงจะอยู่ห่างไปไม่ถึงช่วงเอื้อมมือถึงด้วยซ้ำ แต่รอบกายกลับว่างเปล่า นอกจากเจ้ากระต่ายน้อยสีฟ้าสดที่แหงนหน้ามองกลับมาก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นอีกแท้ๆ
“อ๋อ.......ข้าเข้าใจล่ะ ที่แท้ ท่านก็คือจิตสำนึกของข้าใช่มั้ยล่ะ นี่ข้าก็เพิ่งจะรู้ตัวนะว่าตัวเองอยากให้หญ้าเป็นสีชมพู”
โซเล็มจัดการนั่งลงกับพื้นหญ้าข้างชุดน้ำชา แขนข้างหนึ่งเท้าพื้น อีกข้างยกมือขึ้นเสยผมลวกๆ ไม่สนใจกับเสียงหัวเราะเบาๆที่ดังขึ้นใกล้เข้ามาจนราวกับเจ้าของเสียงมานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังอีก
เมื่อก้มหน้าลงสนใจกับขนมหวานหลากสีตรงหน้า เส้นผมยาวๆที่ควรจะร่วงลงมาให้ต้องรำคาญกลับถูกมือที่มองไม่เห็นจับขึ้นทัดไว้ที่ข้างหูให้อย่างนุ่มนวล พร้อมทั้งรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาที่ข้างแก้ม....แผ่วเบาราวกับสายลมพัดผ่าน
“ช่างเป็นจิตสำนึกที่ทะลึ่งจริงๆ แต่ก็ขอบใจนะที่ช่วยจับผมให้ข้า ปกติข้าก็รวบแหละ แต่นี่นอนแล้วไงข้าเลยปล่อยผม ไม่งั้นข้าจะรู้สึกตึงๆหนังศีรษะแล้วพาลนอนไม่หลับเอา......เอ....ข้านี่ก็บ้า จะต้องเล่าให้เจ้าฟังทำไม เจ้าควรต้องรู้อยู่แล้วนี่นะ ฮ่าๆๆๆๆ”
“ก็ใครว่าเล่า ว่าข้าเป็นจิตสำนึกของเจ้า เด็กน้อย......”คราวนี้เสียงทุ้มละมุนกระซิบอยู่ที่ริมหูนี่เอง โซเล็มถึงกับสะดุ้ง แต่ก็แสร้งทำใจกล้าถามกลับไป
“อ้าว ก็นี่มันความฝันของข้า.....เจ้าย่อมต้องเป็นส่วนหนึ่งในจิตใจของข้าสิ เอาเถิด ในเมื่อเจ้าบอกว่าไม่ใช่จิตสำนึกของข้า ถ้างั้นเจ้าเป็นใครเล่า?”
“แล้วเวลานี้เจ้าเป็นใครล่ะเด็กน้อย ไหนลองบอกข้ามาซิ”
“ข้าชื่อโซเล็ม โซเล็ม นูร์ เป็นลูกชายของท่านแม่ซีเรนกับท่านพ่อฟาลันท์ บ้านอยู่เยื้องๆหอสมุดประจำเมืองไปไม่ไกล.......เอ๊ะ......เจ้าหลอกข้านี่ ข้าจะถามเจ้านะ ไม่ใช่ให้เจ้ามาถามข้ากลับแบบนี้ แล้วไม่ต้องมาหัวเราะข้าด้วย.....อ๊ะ!!!”
เพราะเสียงหัวเราะร่วนที่ดังขึ้นใกล้ๆแท้ๆ ทำให้โซเล็มปล่อยหมัดไปตามทิศทางของเสียง แล้วที่ต้องตกใจจนตัวแข็ง ก็เพราะแทนที่หมัดจะกระทบกับความว่างเปล่า กลับปะทะเข้ากับแผงอกหนา ที่ให้ความรู้สึกทั้งแข็งทั้งหยุ่น แถมยังอุ่นในคราวเดียวกัน
เมื่อจะดึงมือกลับก็กลับถูกจับยึดไว้ด้วยอุ้งมือที่มองไม่เห็น แถมยังถูกดึงจนรู้สึกว่าแผ่นหลังเข้าไปเบียดอยู่กับแผงอกของเจ้าของเสียงล่องหนนั่นจนแนบแน่น
“เมื่อเจ้าเป็นโซเล็ม ข้าก็คือมัทเตโอ.......จำนามของข้าให้ดีนะโซเล็ม นูร์ นามของข้าสำหรับเจ้าที่เป็นโซเล็มคือมัทเตโอ”
....................................
“อะไรกัน แค่นั้นแล้วเจ้าก็ตื่นขึ้นงั้นรึ?”
“อื้อ.....อะไรลูซ อย่ามามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นนะ” โซเล็มแข็งใจทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ สบตากับพี่สาวข้างบ้านที่พ่วงตำแหน่งแม่มดหน้าใหม่ไฟแรงหนึ่งในสิบคนแรกของภูมิภาคอย่างหน้าซื่อตาใส
“เอาเถิด ข้าจะถือว่าหญ้าสีชมพูกับกระต่ายสีฟ้าเป็นข้อมูลที่ดี น่าสนใจจะลองใช้เป็นแบบจัดสวนหน้าบ้านเสียใหม่”
“เอ่อ....งั้น ข้ากลับบ้านก่อนนะ”
“จะรีบไปไหน ไม่อยู่กินอาหารเช้ากับข้าก่อนรึ?”
“ไม่ล่ะลูซ ข้ายังอิ่มอยู่เลย เออ.....แปลกนะ ทำไมข้าถึงรู้สึกอิ่มได้ล่ะ ในเมื่อมันเป็นแค่ความฝัน.....”
........................................
“มัทเตโอ ข้ามาแล้ว”
“คิดถึงข้ารึเปล่าโซล?”
เสียงตอบรับมาพร้อมกับสัมผัสจากอ้อมแขนที่ตรงเข้ามาโอบกอดเด็กหนุ่มเอาไว้ทั้งตัว โซเล็มส่ายหน้าจนผมยาวๆนั้นกระจายเต็มแผ่นหลัง ใบหน้าเปื้อนยิ้มเจ้าเล่ห์ในขณะที่แววตาพราวระยับ พลิกตัวซุกหน้าลงบนบ่าของร่างกายที่แม้จะมองไม่เห็นแต่เพียงสัมผัสก็พอจะทำให้อบอุ่นใจทุกค่ำคืน
“ไม่ทันได้คิดถึง......ก็เมื่อก่อนสางเราเพิ่งแยกกันเองนี่”
โซเล็มเองก็บอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่กัน ครั้งที่เท่าไหร่ของการพบกันในฝันแบบนี้ ที่ทำให้ความรู้สึกแปลกแยกเลือนหายไป พร้อมกับความรู้สึกสนิทใจจนเกินกว่าที่เคยรู้สึกกับทุกคนในชีวิตเข้ามาแทนที่ ความรู้สึกสนิทใจ ไว้วางใจจนเหมือนกับโซเล็มเองเป็นเหมือนคนคนเดียวกันกับเจ้าของเสียงทุ้มนุ่มหูนี้
“แค่ไม่กี่ชั่วยาม แต่ข้าก็คิดถึงเจ้านี่นา โซลของข้า......”อ้อมกอดนั้นรัดแน่นขึ้นอีกในขณะที่โซเล็มพลิกหน้าเข้ามอบจูบเบาๆที่ข้างแก้มของมัทเตโออีกครั้งและอีกครั้ง แล้วก็หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว
“หัวเราะอะไรรึโซล?”
“ข้าดีใจ......วันนี้วันเกิดอายุครบสิบห้าปีของข้า เดี๋ยวรุ่งเช้าตื่นขึ้นข้าจะถอดกำไลข้อเท้า แล้วก็จะเป็นผู้ใหญ่แล้วนะมัทเตโอ” อ้อมกอดยิ่งกระชับแน่นเข้า แน่นจนคนถูกกอดเริ่มรู้สึกเจ็บ จนต้องประท้วงออกไป
“อื้อ.....”
“โอ๊ะ! ข้าขอโทษ.....โซล เจ้าจะเป็นผู้ใหญ่ งั้นวันนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะที่เจ้าจะมาที่นี่”
“พูดอะไรน่ะ เจ้าหมายความว่ายังไงกัน?” โซเล็มขืนตัวออกจากอ้อมแขนของอีกคนทันที แล้วเลื่อนมือมาเขย่าที่ท่อนแขนในความว่างเปล่านั้นอย่างเด็กเอาแต่ใจ
“ฟังนะโซล พรุ่งนี้เมื่อเจ้าตื่นขึ้น ถึงแม้เจ้าจะพยายามค้นหาทางกลับมาที่นี่เพียงไร แต่เจ้าก็จักไม่อาจหาทางกลับมาได้อีก.....โซล เด็กดี อย่าเพิ่งร้องไห้.......”
“ทำไม ทำไมถึงจะเป็นเช่นนั้น? ข้าไม่เชื่อ เดี๋ยวพรุ่งนี้พอข้าหลับ ข้าก็จะกลับมาหาเจ้าได้อีก ข้ามาหาเจ้าอย่างนี้ทุกคืน กี่สิบกี่ร้อยคืนมาแล้วที่เราได้พบกัน พูดคุย เล่นสนุกด้วยกัน.....กี่คืนมาแล้วที่เจ้ากอดข้าเอาไว้แบบนี้ แล้ว.........แล้วทำไม.......มัท......ฮือ.......มัท......ข้า ข้าไม่ยอม.......”
“โซล......คนดี ฟังข้านะ เจ้าจะไม่ได้กลับมาที่นี่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ได้พบกัน.......ขอแค่เจ้าจำชื่อของข้าไว้เท่านั้น ทวนคำข้าซิโซล....เมื่อเจ้าเป็นโซเล็ม นามของข้าคืออะไร?”
“มัทเตโอ.......เมื่อข้าคือโซเล็ม เจ้าจะเป็นมัทเตโอ” โซเล็มทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นหญ้าสีชมพูที่คุ้นตาคุ้นใจ ข่มน้ำตาให้หยุดไหล กลั้นสะอื้นจนตัวสั่น เหยียดขาไปด้านหน้าโดยมีแผ่นอกอุ่นซ้อนแนบอยู่ด้านหลัง มือข้างหนึ่งวางลงบนหลังมือของคนด้านหลังที่อ้อมมาโอบอยู่ตรงหน้าท้อง อีกข้างไล้เล่นอยู่กับยอดหญ้านุ่มละมุนอย่างอาลัย
“มัท.....แล้วหากข้าไม่หลับลงที่นี่ ข้าก็จะไม่ต้องตื่นขึ้นที่บ้านในวันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่?”
“เจ้าพูดอะไรน่ะ?”
“ก็.......หากข้าไม่หลับลงที่นี่ เมื่อเวลาเช้าพรุ่งนี้มาถึง ข้าก็จะไม่ต้องกลับไปที่บ้าน ตราบใดที่ข้าไม่นอนหลับ ข้าก็จะอยู่ที่นี่ อยู่กับเจ้าแบบนี้ไปเรื่อยๆใช่หรือไม่?”“ไม่ได้หรอกนะโซล แล้วท่านแม่ท่านพ่อของเจ้าเล่า.....โซล คนดี เจ้าอย่าคิดอะไรสั้นๆ เพราะข้ารักเจ้า ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำในสิ่งที่ผิดต่อคนที่รักเจ้าทุกคนเด็ดขาด”
“ถ้างั้นเจ้าช่วยกอดข้าให้แน่น แล้วจูบข้า เหมือนเมื่อคราวแรกที่เราเจอกันได้หรือไม่....”
โซเล็มผินหน้ากลับไปหาร่างที่มองไม่เห็นด้านหลัง หลับตาพริ้มรอรับจุมพิตจากริมฝีปากอุ่นร้อนที่บดเบียดเข้าหา ฝ่ามือของคนด้านหลังสอดเข้าไปในกลุ่มผมตรงท้ายทอย ขมวดพันพร้อมทั้งออกแรงบังคับให้ใบหน้าเนียนที่ยังคงมีคราบน้ำตาแหงนเงยขึ้นอีก
“ข้าจะไม่ได้เห็นใบหน้าของเจ้าจริงๆน่ะหรือ อย่างน้อย.....ให้ข้าเก็บใบหน้าของเจ้าไว้ในความทรงจำมิได้หรือ?”
แทนคำตอบ ฝ่ามือที่มองไม่เห็นจับประคองมือของเด็กหนุ่มในอ้อมแขนให้สัมผัสไล่ระไปทุกส่วนบนใบหน้า ทั้งหน้าผาก คิ้ว สันจมูก เปลือกตา และจบลงตรงริมฝีปากยกขอบหนา
“โซล.....อย่าจดจำข้าด้วยหน้าตา แต่จงจารึกข้าลงในหัวใจของเจ้าด้วยความรู้สึก หลับนะคนดี.....สัญญา ข้าไม่ปล่อยให้เจ้ารอนานแน่นอน”“โซเล็ม นูร์ เจ้าคิดจะประกอบอาชีพเป็นบรรณารักษ์เช่นนั้นหรือ?”เสียงขึ้นจมูกคุ้นเคยที่ดังขึ้นใกล้ๆทำให้เจ้าของผมสีพระอาทิตย์ยามเย็น เงยหน้าขึ้นจากกองหนังสือบนโต๊ะไม้เนื้อแข็งขึ้นมาส่งยิ้มให้ท่านอาจารย์ลูซผู้มาเร็วไปเร็วไปหนึ่งที
“ลูซ พี่จะกลับบ้านแล้วหรือ อีกตั้งสองชั่วโมงกว่าหอสมุดจะปิด พี่กลับก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวข้ากลับคนเดียวเอง”
ว่าอย่างนั้น แล้วโซเล็มก็ก้มหน้าก้มตาลงหมกมุ่นกับกองหนังสือตรงหน้าต่อ ไม่สนใจแม้คนที่อุตส่าห์มาตามถึงที่จะชะโงกหน้ามาดูชื่อหนังสือที่โซเล็มที่ตอนนี้เป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วเอามาตั้งไว้อีกสองสามเล่ม
“อืม......การเดินทางข้ามมิติ มิติแห่งกาลเวลา ทฤษฎีความฝัน........นี่โซลน้อยๆของข้าโตจนสนใจเรื่องทฤษฎีหนักๆพวกนี้แล้วรึ หรือที่เจ้าอ่านหนังสือพวกนี้ เพราะอยากจะกลับไปฝันอีกกันแน่?”
“ลูซ........อย่า พอเถอะนะ พี่จะแกล้งอะไรข้าก็ได้ จับข้าเล่นแต่งตัวตุ๊กตาข้าก็ยอม แต่อย่าแกล้งข้าเรื่องนี้.......”
น้ำเสียงอ้อนวอนนั้นสั่นพร่าราวกับคนขอร้องกำลังจะปล่อยโฮทำให้ลูซ....แม่มดแถวหน้าของทวีปต้องยอมปล่อยไป แต่กลับจุดยิ้มที่มุมปากพร้อมกับประกายตาวิบวับใต้กรอบแว่นขึ้นแทน
“งั้นข้าจะปล่อยเจ้าไปวันนี้ แต่รีบกลับบ้านด้วยล่ะ วันนี้บ้านข้ามีงานเลี้ยงมื้อค่ำ ท่านแม่ของเจ้าก็มาด้วย เจ้าเองในฐานะน้องชายที่รักของข้าเจ้าควรจะไปถึงงานก่อนเวลา.....ข้ากลับก่อนล่ะนะ อ้อ......ถ้าเจ้าเบี้ยวนะโซล คงรู้นะจะเกิดอะไรขึ้น”
โซเล็มกลับถึงบ้านเมื่อสิบนาทีที่ผ่านมา รีบลนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคลุมสำหรับงานเลี้ยงฤดูหนาวที่ประกอบด้วยผ้าหลายชิ้นจนกลัวว่าจะไปถึงงานสาย แทนที่จะเข้างานทางหน้าบ้านท่านแม่มดแถวหน้า ชายหนุ่มที่เพิ่งพ้นวัยสิบเจ็ดปีมาได้สองวันจึงตัดสินใจมุดรั้วไม้ ที่มีช่องลับเฉพาะที่เคยใช้เป็นประจำกับลูซสองคนเวลาไปมาหาสู่กันเข้าไปแทน
หากเมื่อก้าวออกมาจากพุ่มไม้เลื้อยที่ขึ้นบังช่องทางลับอยู่ก็เงยหน้ามาพบกับชายหนุ่มอีกคนที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน โซเล็มส่งยิ้มไปเป็นทัพหน้าตามประสาน้องชายที่รักของเจ้าบ้าน พร้อมทั้งยื่นมือออกไปรอเพื่อรับการจับมือทักทายแสดงความเป็นมิตร
“ข้าชื่อโซเล็ม เป็น....เอ่อ....เพื่อนบ้านของท่านลูซ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ท่าน.....?”
“อืม.......ข้าว่าแล้วว่าต้องเป็นเจ้า ลูซบอกกับข้าว่าคนชื่อโซเล็ม ผู้มีตาสีฟ้า และผมสีแสงอาทิตย์ต้องการพบข้า”
“เอ๊ะ?!”
โซเล็มมองตามสายตาของผู้ชายที่คงจะอายุพอๆกันตรงหน้าที่กำลังกวาดไปทั่วตัวเขาด้วยความรู้สึกหนาวๆร้อนๆ ราวกับจะเป็นไข้ ดวงตาสีอำพันเช่นเดียวกับตาของเจ้ากระต่ายในโลกแห่งความฝัน กับเส้นผมสีดำสนิทที่รวบไปอยู่ด้านหลังให้ความรู้สึกคุ้นเคยประหลาด
และยิ่งต้องหัวใจกระตุกเมื่อสอดสายตาไปพบกับจี้ห้อยคอของชายหนุ่มตรงหน้าที่โผล่ออกมาจากผ้าคลุมสีเข้มเหมือนท้องฟ้าในคืนเดือนมืด
“จี้นั่น?”
“จี้ของเก่าของท่านพ่อน่ะ รูปม้ามีปีกจากเทพนิยายของทวีปอื่น ยินดีที่ได้รู้จักโซล......ข้าเป็นน้องชายต่างบิดาของลูซ”
มือขาวเรียวยาวสวยยิ่งกว่ามือใครๆยื่นมาแตะประสานกับมือที่โซเล็มยื่นไปรอ ฉับพลันนั้นเหมือนกระแสไฟวิ่งผ่านจุดที่ปลายนิ้วแตะกันจนต่างคนต่างต้องกระชากมือออกแล้วสบตากันอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆยื่นออกไปหากันใหม่อย่างกล้าๆกลัวๆ หากคราวนี้สัมผัสจากฝ่ามือที่ได้รับกลับคุ้นเคยอย่างประหลาด
“หึๆๆ เอาใหม่นะ ยินดีที่ได้รู้จัก โซล......ข้าเป็นน้องชายต่างบิดาของลูซ ชื่อมัทเตโอ......”
“ฮะ?!?”
“ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องรอนานนะ โซลของข้า.......”
..............................................
..............จบตอนค่ะ............... ปล.ชอบไม่ชอบอย่างไร อ่านแล้วไม่เข้าใจตรงไหน บอกกันได้ทุกอย่างนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ^o^
ปล.อีกครั้ง ถึงคุณRinze มันยังไม่ได้แบบที่ออเดอร์มาอ้ะค่ะ สงสัยอารมณ์นั้นมันจะไม่เข้ากับแฟนตาเซียเท่าไหร่ ไว้รอเขียนในโลกที่จริงมากกว่านี้อีกนิดดีกว่า แหะๆ
หมายเหตุ ตอนนี้หากท่านไหนอ่านแล้วไม่เข้าใจ หรือขี้เกียจจินตนาการเอง เชิญไปอ่านคำชี้แจงที่หน้า11 reply 305 นะคะ
แต่อยากให้คิดเอาเองมากกว่าเนอะ ^o^