บทที่ ๓๒.๑
วิหารนอกเมืองเป็นสถานที่กว้างขวางและเงียบสงบ มีต้นไม้ให้ความร่มรื่นอยู่แทบทุกบริเวณ มีบรรยากาศที่ชวนให้ผู้มาเยือนรู้สึกผ่อนคลาย ทว่าฟีเรียสไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะสงบ ร่มรื่น หรือผ่อนคลาย เขากำลังกลัว และความรู้สึกนั้นก็แสดงออกมาทางหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน
องครักษ์หนุ่มชะงักเมื่อคนดำเนินเยื้องไปข้างหน้าเล็กน้อยทรงยื่นพระหัตถ์มาข้างหลังและจับมือเขาไว้ ก่อนที่พระองค์จะทรงหันพระพักตร์มาแย้มพระสรวลให้
“แม่ข้าใจดี ไม่ต้องกลัว” มือของฟีเรียสเย็นมาก ทั้งที่ปกติจะอุ่น
ฟีเรียสไม่พูดอะไร รู้สึกว่าพูดไม่ออก ทั้งที่เตรียมใจมาก่อนหน้านี้หลายวันจนคิดว่า ‘พร้อมแล้ว’ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าเฝ้าจริงๆ ก็ยังคงกังวลอยู่
“ทำตัวตามปกติ ไม่ต้องเกร็ง”
เขาก็พยายามทำอยู่ เชื่อเถอะ...เขาพยายามสุดๆ แล้ว
“ยังไงข้าก็อยู่ข้างๆ เจ้าตลอดเวลา”
ฟีเรียสมองพระพักตร์อยู่ชั่วครู่ แล้วก็ยิ้มออกมาได้นิดหนึ่ง...อยากจะทำให้อีกฝ่ายสบายพระทัยมากกว่าจะรู้สึกหายกลัวแล้วจริงๆ
สถานที่เข้าเฝ้าคือบนระเบียงหน้าเรือนพักหลังกะทัดรัดแต่งดงาม ซึ่งอยู่ถัดจากสุสานหลังวิหาร นางข้าหลวงที่ออกบวชตามเสด็จยกเครื่องดื่มและเครื่องว่างมาวางถวายบนโต๊ะกลม ถวายความเคารพแล้วจึงล่าถอยออกไปยืนห่างๆ
พระมารดาของเจ้าชายรามิเรสทรงเป็นผู้หญิงที่งามมาก แม้ว่าเวลานี้จะนุ่งขาวห่มขาว และปลงเกศาอย่างนักบวชก็ตาม เจ้าชายหนุ่มทรงรับความงามของพระมารดามาหลายส่วน ที่แน่ๆ ก็คือพระเนตร
แววพระเนตรของพระสนมเหมือนกับของเจ้าชายรามิเรส...ตอนที่พระองค์ทรงทำตัวเป็น ‘เจ้าชาย’ ไม่ใช่ ‘คนรัก’
ยังดีที่โปรดให้เขานั่ง แต่พอนั่งลงแล้วกลับใกล้ชิดกับพระองค์มากกว่าเดิมนี่ก็ไม่ค่อยดีนัก
“แม่อยากรู้เรื่องของลูกกับฟีเรียส เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมจ๊ะ ว่าพบกันตอนไหน รักชอบกันได้ยังไง”
พระสุรเสียงนุ่มนวล รอยแย้มพระสรวลอ่อนหวาน สีพระพักตร์อารี มีเมตตา ทว่าถ้อยรับสั่งเข้าเป้า พุ่งตรงประเด็นแบบไม่มีอ้อมค้อม แตกต่างจากมารดาของเขาอย่างสิ้นเชิง
ฟีเรียสไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าพระมารดาของเจ้าชายรามิเรสจะเป็นผู้หญิงเช่นนี้
แปลกที่แทนที่เขาจะโล่งใจ กลับรู้สึกหน่วงๆ อย่างไรชอบกล
มองไปทางเจ้าชายหก ก็เห็นว่ามีลักษณะคล้ายๆ กัน บางทีเขาอาจจะคิดไปเองก็ได้ ที่รู้สึกว่ากำลังนั่งอยู่ระหว่างผู้ทรงปัญญาสองคนที่เหมือนจะรู้ทันกันอยู่ตลอดเวลา โดยมีเขานั่งโง่ๆ อยู่คนเดียว
เจ้าชายหกกราบทูลพระมารดาไปตามตรง ตัดเฉพาะฉากสำคัญแต่ไม่มีการบิดเบือนข้อมูลเลยแม้แต่จุดเดียว
“ไม่นึกเลยว่าลูกจะมีคนรักเป็นผู้ชาย แต่เท่าที่ฟังมา ฟีเรียสก็น่าเอ็นดูจริงๆ”
ฟีเรียสฟังแล้วก็เครียด เขาน่ะหรือ...น่าเอ็นดู พระสนมรับสั่งยังไม่พอ เจ้าชายหกยังหันมาแย้มพระสรวลให้เขาราวกับจะสนับสนุนเสียอีก
“นอนด้วยกันไปแล้วหรือยังจ๊ะ”
องครักษ์หนุ่มรู้สึกเหมือนอะไรติดคอ อยากจะส่งเสียงแต่ก็ไม่กล้า จึงได้แต่กลั้นเอาไว้จนหน้าแดง
“หลายครั้งแล้วพระเจ้าค่ะ”
รายนี้บางทีก็...พระพักตร์หนาเกิน
“แสดงว่าถึงเป็นผู้ชายเหมือนกันก็ไม่มีปัญหาสินะ”
“ไม่มีพระเจ้าค่ะ”
ไม่ต้องตอบรับทุกคำขนาดนั้นก็ได้ บางทีพระสนมอาจจะแค่ทรงเปรย
“ลูกชอบเขาตรงไหน”
คำถามนี้ แม้แต่องครักษ์หนุ่มเองก็กลั้นหายใจรอฟัง เจ้าชายรามเรสแย้มพระสรวลอ่อนโยน ตรัสตอบเนิบๆ
“อะไรที่รวมกันแล้วเป็นเขา หม่อมฉันก็ชอบทั้งหมดพระเจ้าค่ะ”
ฟีเรียสมองสบสายพระเนตรเนิ่นนานอย่างลืมตัว เขาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ ว่าคำว่าชอบของเจ้าชายหกแห่งไมซีนมีความหมายมากมายขนาดนี้
“แล้วเจ้าล่ะ ชอบลูกชายข้าตรงไหน”
หลายวันที่ใช้เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจ เขาไม่ได้เตรียมคำตอบสำหรับคำถามนี้มา เวลานี้จึงได้แต่อึกอัก นั่งนิ่งเหมือนคนเบื้อใบ้ แม่ชีตรัสถามเขาอย่างกะทันหันเกินไป เขานึกหาคำตอบไม่ทัน
“กระหม่อม...” ยิ่งร้อนรนยิ่งลนลาน คิดไม่ออก
ยิ่งเห็นว่าเจ้าชายหนุ่มก็กำลังทรงรอ เขายิ่งรู้สึกกดดัน
ฟีเรียสเป็นคนจริงจัง เขาตอบเหมือนกับเจ้าชายรามิเรสไม่ได้ ต่อให้เขาชอบทั้งหมดของอีกฝ่ายเหมือนกัน เขาก็ต้องแจกแจงออกมาเป็นข้อๆ ให้ชัดเจน
“คิดไม่ออกว่าชอบตรงไหนหรือ”
พระสนมตรัสถาม และฟีเรียสก็ไม่อยากให้พระองค์ทรงรอนานกว่านี้
“กระหม่อมชอบความพยายามพระเจ้าค่ะ”
สิ้นเสียงก็มีแต่ความเงียบ ทั้งแม่และลูกทำหน้าเหมือนกันคือแปลกใจ และนั่นทำให้องครักษ์หนุ่มยิ่งเครียด เขาทูลตอบไปอีกประโยค
“เจ้าชายหกทรงอดทนกับกระหม่อมมาก”
“เจ้าชอบที่เขามีความอดทน”
ไม่รับสั่งก็แล้วไป แต่พอรับสั่งออกมา เหมือนย้ำให้เขารู้ว่า คำตอบของเขามันแย่มาก ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหน แค่คำถามง่ายๆ ก็ตอบได้ไม่ดี ก้อนความรู้สึกแข็งๆ บางอย่างก่อตัวขึ้นมาจุกอยู่ตรงอก ทว่าเมื่อเจ้าชายหกทรงจับมือเขาไว้ ฟีเรียสก็เปลี่ยนเป็นตกใจแทน ถึงเขาจะวางมือไว้บนหน้าขา แต่นั่งอยู่ด้วยกันแค่นี้ แม่ชีต้องทอดพระเนตรเห็นอยู่แล้วว่าพระโอรสกำลังทรงทำอะไร
“เอาเถอะ ความอดทนก็เป็นข้อดีของรามิเรสเหมือนกัน” เว้นวรรคไปนิดก็รับสั่งต่อ “ถึงแม้ว่าเท่าที่ข้าเห็น ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยอดทนเท่าไรแล้วก็เถอะนะ”
ฟีเรียสรีบดึงมือออกจากพระหัตถ์ เห็นสีพระพักตร์เปลี่ยนไปก็นึกเสียใจขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ก็คิดว่าเขาทำถูกแล้ว พระสนมยังไม่ได้ทรงยอมรับเขา เขาไม่อยากทำให้พระองค์ทรงตำหนิว่าทำกิริยาไม่สมควร
หลังจากนั้นพระมารดาของเจ้าชายรามิเรสก็รับสั่งเรื่องอื่นๆ กับพระโอรส รวมทั้งชวนคนรักของพระโอรสคุยด้วย ทำให้ฟีเรียสรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง แต่นั่นมันก่อนที่พระองค์จะโปรดให้เจ้าชายหนุ่มตามเสด็จเข้าไปในเรือนเพื่อรับสั่งเรื่อง ‘ส่วนตัว’ ตามลำพัง
ครู่ใหญ่ เจ้าชายหกก็เสด็จออกมา เพื่อเปลี่ยนให้องครักษ์หนุ่มเข้าไปแทน
“เจ้าแม่คงรับสั่งถามเรื่องของเราเพิ่มเติม แค่ทูลตอบไปตามตรงก็พอ ไม่ต้องกลัว”
ดูจากสีพระพักตร์ไร้กังวลของพระองค์แล้วมันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ฟีเรียสรู้ดีว่าคนรักของเขาพระทัยเย็น เรื่องไม่น่ากลัวของพระองค์อาจเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับเขาก็ได้
“ตอนนี้ไม่มีใครเห็น อยากให้ข้าจูบให้กำลังใจสักทีรึเปล่า”
“ไม่ต้องพระเจ้าค่ะ”
องครักษ์หนุ่มทูลตอบเสียงขรึม แต่ให้ตายเถอะ...รับสั่งเล่นๆ ของพระองค์ช่วยให้เขาผ่อนคลายขึ้นมากทีเดียว
ราวยี่สิบนาทีต่อมา ฟีเรียสก็กลับออกมาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ แววตากังวลลึกล้ำ และคำตอบเดียวที่เขาสามารถกราบทูลเจ้าชายรามิเรสได้ก็คือ
“แค่รับสั่งถามเรื่องของเราเพิ่มเติมพระเจ้าค่ะ กระหม่อมก็ทูลตอบไปตามตรง...ไม่ต้องกลัว”
ลอกรับสั่งของเจ้าชายหนุ่มมาเปี๊ยบ
ราวหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฟีเรียสมีวันหยุด เขาไปเยี่ยมจิลเวลและดีลุคซซึ่งเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนองครักษ์ ขณะนั้นโรงเรียนกำลังซ่อมแซมและทาสีตึกพักใหม่ องครักษ์หนุ่มเข้าไปดูห้องที่เขาเคยพัก ขณะที่กลับออกมา ก็ถูกกระถางต้นไม้ที่อยู่บนระเบียงชั้นสามตกลงมาใส่ศีรษะอย่างแรงจนถึงกับสลบไปต่อหน้าต่อตาจิลเวล
ผู้อำนวยการโรงเรียนรีบให้คนไปกราบทูลเจ้าชายหกทันทีเพราะเกรงจะมีความผิด
เจ้าชายรามิเรสเสด็จมาถึงโรงเรียนอย่างรวดเร็ว ขณะนั้นฟีเรียสนอนอยู่ที่ห้องพยาบาลและฟื้นแล้ว
ข่าวดีก็คือ เนื่องจากกระถางมีน้ำหนักเบาเพราะไม่ได้ใส่ดินไว้ ดังนั้นแม้จะมีเลือดออกแต่ก็ไม่ถึงกับต้องเย็บ
ข่าวร้ายก็คือ...ความทรงจำขององครักษ์หนุ่มหยุดอยู่แค่ตอนเป็นนักเรียนองครักษ์...ก่อนหน้าที่จะได้พบกับเจ้าชายหกแห่งไมซีนในคืนนั้น ที่บ้านของผู้อำนวยการโรงเรียน
ฟีเรียสดูงงๆ ปนๆ เครียด เมื่อรู้ว่าตัวเองเรียนจบแล้ว และได้เป็นองครักษ์ของเจ้าชายรามิเรส เขาเบิกตากว้างอย่างระแวงสงสัยเต็มที่ เมื่อเจ้าชายหนุ่มรับสั่งบอกเขาว่า เขาเป็นคนรักของพระองค์
“กระหม่อม...จำไม่ได้พระเจ้าค่ะ”
ฟีเรียสไม่พูดอะไรมาก เขาได้แต่ย้ำประโยคนี้ซ้ำๆ และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากจะฟังใครให้ข้อมูลอะไรอีกตอนนี้
“อย่างนั้นก็กลับไปพักผ่อนที่บ้านเถอะ”
“บ้าน?”
“ตำหนักของข้า...บ้านเรา”
องครักษ์หนุ่มนิ่งเงียบไปหลายอึดใจ สายตาที่มองสบสายพระเนตรดูระแวงสงสัยไม่รู้จบ
“กระหม่อม...ขออยู่ที่นี่พระเจ้าค่ะ” เขามองไปทางอดีตหัวหน้าชั้นปีของตนเอง แต่จิลเวลไม่อยู่ในสถานะที่จะพูดอะไรได้ ในสถานที่ที่มีทั้งเจ้าชายและผู้อำนวยการโรงเรียนอยู่แบบนี้
“จะอยู่ในฐานะอะไร”
“ถ้ากระหม่อมเรียนจบแล้วจริง ก็ขอเป็นครูอยู่ที่นี่ก็ได้พระเจ้าค่ะ”
“ขอเป็นไม่ได้ อยากจะเป็นครูก็ต้องสอบ”
“ถ้าอย่างนั้น...” องครักษ์หนุ่มหันไปทางผู้อำนวยการโรงเรียน
“ตำแหน่งครูที่นี่ยังมีที่ว่างอยู่อีกรึเปล่า ท่านทีมัส”
คนถูกถามมองพระพักตร์ ความมากประสบการณ์ในการอ่านพระประสงค์ของ ‘เบื้องบน’ ทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าต้องทูลตอบว่าอะไร
“ตำแหน่งเต็มแล้ว คงยังไม่เปิดสอบอีกหลายปีพระเจ้าค่ะ”
ฟีเรียสนิ่งอึ้ง อึดอัดใจ
“อย่างนั้นกระหม่อมขอเป็นนักเรียน...” คำกราบทูลหยุดชะงักเมื่อเห็นรอยแย้มพระสรวลราวกับขำขัน
“เจ้าเรียนจบแล้ว จะเป็นอีกคงไม่ได้”
เมื่อทอดพระเนตรเห็นสีหน้าอับจนหนทางของอีกฝ่าย เจ้าชายหนุ่มก็โปรดให้คนอื่นๆ ออกไปจากห้องก่อน
“ขอบใจพวกท่านมาก ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว เดี๋ยวข้าจะพาเขากลับไปเอง”
สีหน้าของคนเจ็บที่เหมือนเด็กมองตามแม่ไม่ได้ทำให้เจ้าชายหนุ่มทรงสงสาร ตรงข้าม กลับขัดพระทัยเสียอีก
“เจ้าเป็นของข้าแล้ว”
ถ้อยรับสั่งทำให้ฟีเรียสหันมองพระพักตร์ เขาคิดว่าพระองค์อาจจะตกคำว่า ‘องครักษ์’
“ถึงความจำจะหายไป แต่อย่างน้อยก็ต้องมีความเคยชินหลงเหลืออยู่ เจ้ากลับไปพักผ่อนให้สบายก่อน หายแล้วค่อยทำหน้าที่เหมือนเดิม ข้าจะให้คนมาสอนงานให้ เรื่องฝีมือก็ไม่ต้องห่วง” มุมพระโอษฐ์พลันปรากฏรอยแย้มพระสรวลนิดๆ เมื่อรับสั่งถึงตรงนี้
“ถ้าฝีมือไม่ดีจริง ข้าไม่เลือกมาเป็นองครักษ์แน่”
“แต่ฝ่าบาทรับสั่งว่า กระหม่อมเป็น...” เขาหยุดเพื่อให้อีกฝ่ายทรงต่อ ทว่าเมื่อไม่ยอมรับสั่ง เขาจึงต้องพูดคำนั้นเสียเอง “คนรักของฝ่าบาท กระหม่อม...จำไม่ได้ และคงจะทำให้ฝ่าบาททรงอึดอัดพระทัยพระเจ้าค่ะ”
“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วง มันเป็นอุบัติเหตุ แค่เจ้าบาดเจ็บก็นับว่าเคราะห์ร้ายมากแล้ว เรื่องความจำเสื่อมเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดของเจ้า กลับไปกับข้า แล้วเราจะค่อยๆ ทำให้ความทรงจำของเจ้ากลับมาด้วยกัน”
ทั้งถ้อยรับสั่ง สีพระพักตร์ พระสุรเสียง ล้วนแต่ดูน่าเชื่อถือมาก ทว่าฟีเรียสยังคงไม่สบายใจ
“กระหม่อมจะ...ขอประทานพระอนุญาต ทูลลากลับไปบ้านก่อนได้หรือไม่พระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายหนุ่มทรงนิ่งคิด การกลับบ้านในเวลาอย่างนี้ก็อาจจะดี เพราะบ้านคือที่พักใจ แต่ในเมื่อพระองค์กับเขามี ‘บ้าน’ ด้วยกันอยู่แล้ว จะทรงปล่อยให้เขาไปอยู่ที่อื่นได้ยังไง
“ถ้าคิดว่าจะไปถามความจริงจากแม่และน้องสาวของเจ้าก็ไม่จำเป็น เจ้าอ่านเอาจากจดหมายที่เฟย์เขียนมาหาได้ หรือถ้าสงสัยอะไรก็เขียนไปถาม”
ดูจากสีหน้าแล้ว ฟีเรียสคงกำลังพยายามหาทางเลี่ยงไม่กลับพระตำหนักอีก เจ้าชายรามิเรสจึงทรงประมวลเหตุผลและสรุปในคราวเดียว
“เจ้าเพิ่งกลับบ้านไป” ที่จริงก็นานพอสมควรแล้ว แต่ในเมื่อจำไม่ได้ ก็ยกผลประโยชน์ให้พระองค์ก็แล้วกัน “จะกลับไปอีกคงไม่เหมาะ เพราะเจ้าบอกข้าอยู่บ่อยๆ ว่าถึงเป็นคนรักกันก็ไม่อยากใช้อภิสิทธิ์ ในด้านหน้าที่การงาน เจ้าเป็นองครักษ์ การลากลับบ้านนานๆ ทำให้ข้าขาดองครักษ์ไปทั้งที่จ่ายเงินเดือนเต็มเดือน หรือถ้าเจ้ายินดีจะให้ข้าหักเงินเดือน ข้าก็ขอเตือนไว้ก่อนว่า เจ้าติดหนี้ข้าก้อนโต...เจ้าอาจจำไม่ได้ แต่เรื่องนี้มีหลักฐาน กลับไปแล้วจะเอาให้ดู ถ้าเจ้าขาดงานหลายวัน ข้าคิดว่าเจ้าจะหาเงินมาใช้หนี้ข้าได้ล่าช้าออกไปอีก เพราะฉะนั้นก็กลับไปด้วยกันก่อน จะกลับบ้านหรือไปไหนก็เอาไว้ค่อยพูดกันทีหลัง”
ฟีเรียสอยากจะทูลถามว่า เขากับพระองค์เป็น ‘คนรัก’ กันแน่หรือ ทำไมถึงรับสั่งเหมือนพ่อค้าเงินกู้ขนาดนี้
อย่างไรก็ดี เขาไม่ได้พูดอะไร และแน่นอนว่าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากกลับไปกับพระองค์
กลับถึงพระตำหนัก องครักษ์ผู้สูญเสียความทรงจำไปช่วงหนึ่งก็มีปัญหาอีก
“กระหม่อมพักห้องนี้หรือพระเจ้าค่ะ”
“ใช่ หรือถ้ารู้สึกว่าไม่คุ้น ไม่ชอบ ก็ยังมีให้เลือกอีกห้องหนึ่ง”
“ห้องไหนพระเจ้าค่ะ”
“ห้องข้า”
“...”
เจ้าชายรามิเรสไม่ได้รับสั่งอธิบายเรื่องคดีความของฟีเรียสกับวิลให้ยุ่งยาก เหตุผลที่พระองค์ประทานให้คนรักที่ความจำเสื่อมบางส่วนฟังก็คือ คนรักกันก็ต้องอยู่ใกล้ๆ กันเป็นธรรมดา
ฟีเรียสไม่ได้ยอมง่ายๆ เขาพยายามหาเหตุผลมากราบทูลเพื่อจะได้อยู่ตึกพักองครักษ์ แต่ไม่ว่าอย่างไร ผลก็คือ เขาเปลืองน้ำลายเปล่า
“ธอมัสจะเป็นคนอธิบายเรื่องต่างๆ ที่สำคัญให้เจ้าฟัง อาเรห์จะบอกเกี่ยวกับหน้าที่ขององครักษ์” ทรงหมายถึงองครักษ์ประจำพระองค์นายหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับฟีเรียส “ส่วนเรื่องระหว่างเจ้ากับข้า ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเอง” หยุดแย้มพระสรวลนิดหนึ่งแล้วค่อยรับสั่งต่อ “ทุกวัน วันละสักชั่วโมง เพื่อไม่ให้เจ้าต้องรับข้อมูลมากเกินไปในเวลาสั้นๆ”
ฟีเรียสขยับปาก อยากจะทูลถามขึ้นมาเป็นกำลัง ว่าการที่คนรักของพระองค์ความจำเสื่อม จำเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ไม่ได้เลยนี่ไม่ได้ทำให้พระองค์ทรงเศร้า สลด เดือดร้อน กังวล หรือว่าอะไรที่ใกล้เคียงบ้างเลยหรือ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา เขาก็เห็นพระองค์ทรงทำอยู่หน้าเดียว...คือหน้าแบบคนมั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ต้องการ
“มีอะไรจะถามข้าไหม”
“แค่เล่าเรื่อง...อย่างเดียวหรือพระเจ้าค่ะ”
คนฟังทรงขมวดพระขนง ครุ่นคิดอยู่ครู่จึงนึกออกว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังกังวลเรื่องอะไร
“แรกๆ ก็คงจะแค่นั้นไปก่อน แต่ถ้าเจ้ายังนึกเรื่องของเราไม่ออกเลย...อาจจะต้องกระตุ้นด้วยการสัมผัส”
องครักษ์หนุ่มยืนนิ่งขึง คนทอดพระเนตรเห็นจึงแย้มพระสรวลละมุน
“ข้ารับรองว่าจะไม่ฝืนใจเจ้า ไม่ต้องกังวล”
เมื่อฟีเรียสไม่มีอะไรจะทูลถามแล้ว เจ้าชายรามิเรสก็โปรดให้เขาพักผ่อนอยู่ที่ห้องและกำชับให้กินยาแก้ปวดหลังอาหารด้วย เสด็จ
ไปถึงประตูแล้วจึงหันกลับมารับสั่งอย่างคนที่เพิ่งนึกขึ้นได้
“ข้าลืมบอกเจ้า ว่าธอมัสกับอาเรห์จะคุยกับเจ้าทีหลัง เรจินทำให้ข้ามีวันว่างสามวัน พรุ่งนี้เราจะไปบ้านริมผากัน ข้ากับเจ้าจะได้อยู่
ด้วยกันตามลำพังสามวัน หวังว่าจะทำให้เจ้าจำเรื่องของเราได้บ้าง”
ลืมบอก...หรือตั้งใจบอกทีหลังกันแน่!
*****************************************
การใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังเป็นเวลาสามวันตลอดเวลานั้นไม่ได้ทำให้ฟีเรียสลำบากใจอย่างที่นึกกังวลจนนอนไม่หลับ เจ้าชายรามิเรสไม่ได้ทรง ‘รุก’ จนเขารับไม่ทัน พระองค์ไม่ได้ทรง ‘แตะเนื้อต้องตัว’ เขาเลย แต่ละวันผ่านไปด้วยการกินข้าวด้วยกัน รดน้ำต้นไม้ ทำสวน อ่านหนังสือ นอนกลางวัน ไปเที่ยวตลาด เข้าร้านโน้น ออกร้านนี้ เดินดูของต่างๆ ถ้าไม่ชอบก็แค่ดู ถ้าชอบก็ซื้อ ถ้าชอบ...แต่บอกว่าไม่ชอบ...แล้วเจ้าชายหกไม่ทรงเชื่อว่าเขาไม่ชอบ พระองค์ก็ซื้อประทานให้ รับสั่งว่า
“เมื่อก่อนเจ้าไม่ชอบให้ข้าซื้อของให้เจ้า ข้าก็พยายามจะไม่ซื้อเพราะว่าตอนจีบก็อยากจะเอาใจ แต่ตอนนี้เจ้าจำไม่ได้ ก็ถือว่าเราเป็นแค่เจ้าชายกับองครักษ์ เจ้าไม่ควรปฏิเสธ ‘ของประทาน’ จากเจ้าชาย มันเป็นมารยาท”
บ่ายวันนั้นฟีเรียสได้หนังสือแนวที่เขาชอบอ่านมาประมาณยี่สิบเล่ม
ฟีเรียสที่สูญเสียความทรงจำได้เจอกับเด็กหญิงพรีเชียสเป็นครั้งแรก เมื่อเจ้าชายหกทรงพาเขาไปกินอาหารที่ร้านของนาง พระองค์รับสั่งบอกเขาว่า
“ไม่จำเป็นต้องให้นางรู้ว่าเจ้าจำนางไม่ได้ ทำเหมือนจำได้ นางพูดอะไรก็ตอบนางไปตามที่คิด ถ้านางถามเรื่องอะไรที่เจ้าจำไม่ได้ ข้าจะช่วยตอบให้”
เด็กหญิงช่างเจรจาเล่าเรื่อง ‘พี่นีน่า’ ให้ ‘พี่ราม’ และ ‘พี่ฟี’ ฟังจ้อยๆ ตอนที่กำลังไม่มีลูกค้า และมารดาของนางก็ไม่ได้เรียกใช้ให้ไปทำอะไร เพราะรู้ว่าลูกสาวจะได้ทิปติดไม้ติดมือมาเป็นจำนวนมากทุกครั้งที่ไปคุยเล่นเป็นเพื่อน ‘คุณชายทั้งสองท่าน’
“พี่นีน่ามีคนมาชอบเยอะนะคะ แต่พี่นีน่าไม่ชอบใครเลยสักคน นางบอกข้าว่าไม่เคยลืมพี่ฟีเลย ข้าบอกไปว่าพี่ฟีมีคนรักแล้ว แต่นางก็บอกว่าไม่เชื่อ จนกว่าจะได้เห็นด้วยตัวเองค่ะ”
ฟีเรียสยิ้มนิดๆ ให้เด็กหญิง เขาตอบอะไรไม่ได้เพราะไม่รู้จะตอบยังไง
“คนที่มาจีบนาง มีคนที่เจ้าคิดว่าดีมากๆ บ้างไหม” เจ้าชายรามิเรสตรัสถาม
“อืม ก็มีนะคะ ชื่อพี่นอกซ์ ใจดีแล้วก็ขยันมากด้วยค่ะ แต่แม่พี่นีน่าไม่ค่อยชอบเท่าไรเพราะว่าจน”
“เจ้าทำให้สองคนนี้ชอบกันได้ไหม”
“หา! ข้าเหรอ”
เจ้าชายหกทรงพยักพระพักตร์ ขณะฟีเรียสมองพระองค์แล้วก็นิ่วหน้า หลุดปากออกไปว่า
“คิดจะทำอะไรครับ”
คนถูกถามเพียงแย้มพระสรวล ไม่ตรัสตอบ
“ทำไม่ได้หรือ”
นับว่าถามได้ถูกต้อง เพราะเด็กสาวเชิดหน้าขึ้นมาทันที
“ทำแล้วข้าจะได้อะไรล่ะคะ”
“เจ้าเห็นร้านนั้นไหม” เจ้าชายรามิเรสทรงชี้ไปทางร้านอาหารร้านใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“เห็นมาตั้งแต่เกิดแล้วล่ะค่ะ แม่บอกว่าเปิดมาตั้งยี่สิบปีแล้ว พี่รามถามทำไมคะ”
“ถ้าเจ้าทำให้พี่นีน่าของเจ้าแต่งงานกับพี่นอกซ์ หรือผู้ชายดีๆ คนอื่นสักคนได้ ข้าจะสร้างร้านใหม่ให้เจ้า เอาให้ใหญ่เท่ากับร้านนั้นเลย ดีไหม”
เด็กหญิงพรีเชียสตาโต ตื่นเต้นจนเสียงสั่น
“จริงนะ พี่รามไม่หลอกข้าแน่นะคะ”
เจ้าชายเจ้ากรมสรรพาวุธแย้มพระสรวล “อืม”
“...ต้องมีค่ามัดจำก่อน...”
“ไม่มีหรอก” รับสั่งทั้งที่ยังแย้มพระสรวลนิดๆ อยู่ “ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ก็ไม่ต้องทำก็ได้ แต่ถ้าอยากได้ ก็ต้องเชื่อใจพี่”
คราวนี้เด็กหญิงคิดนาน
“กลับไปคิดดูก่อนก็ได้”
“...พี่ไม่หลอกข้าแน่นะ”
“อืม”
พรีเชียสไม่ได้ถวายคำตอบทันที แต่ฟีเรียสมองสีหน้าและสายตาของเด็กหญิงแล้วก็สรุปได้ทันทีว่า สำเร็จเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
“ฝ่าบาทรับสั่งจริงหรือพระเจ้าค่ะ”
องครักษ์หนุ่มทูลถาม เมื่อออกจากร้านของเด็กหญิงวัยสิบขวบและกำลังเดินไปขึ้นม้าที่ผูกไว้ใต้ต้นไม้กับเจ้าชายหนุ่ม
“ข้าไม่หลอกเด็ก”
“ทรง...ทำไปทำไมพระเจ้าค่ะ”
“สงสารพี่นีน่าของนาง ไม่อยากให้นางหลงรอคนที่จะไม่มีวันรักนางตอบ”
“ทรงมั่นพระทัยได้ยังไงพระเจ้าค่ะ ว่ากระหม่อมจะไม่ชอบนาง”
สายพระเนตรของเจ้าชายรามิเรสมีความหมาย อะไรบางอย่างร้องเตือนฟีเรียสแล้วว่าควรยุติบทสนทนาเรื่องนี้เอาไว้เพียงเท่านี้ ควรกราบทูลว่าเขาไม่อยากจะรู้แล้ว แต่ปากกลับยังไม่ขยับ
“เจ้าเคยถามข้าว่าข้าหึงเจ้ากับนางไหม ข้าตอบว่าใช่ ถึงเจ้าจะจำไม่ได้ แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าเสียใจ”
ฟีเรียสเกือบจะรักษาสีหน้าเรียบเฉยอย่างคนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเอาไว้ไม่ได้
“...กระหม่อมคิดว่า ฝ่าบาททรงลงทุนมากเกินไป” เปลี่ยนประเด็นไปเป็นเรื่องอื่นเสีย จะได้ไม่เข้าตัวอีก
“ถ้าหมายถึงเรื่องเงินก็ไม่เป็นไร ถือว่าทำบุญ เผื่อกุศลของการทำให้คนได้แต่งงานกันจะทำให้ข้าได้คนรักของข้าคืนมา”
คนฟังสะท้านใจ
คืนสุดท้ายที่มาพักผ่อนที่บ้านริมผา เจ้าชายรามิเรสตรัสชวนองครักษ์ของพระองค์มานอนดูดาวที่ระเบียงห้องบรรทม ฟีเรียสขัดไม่ได้จึงต้องมา
บริเวณระเบียงมีเก้าอี้ตัวใหญ่บุผ้าฝ้ายสำหรับนั่งกึ่งนอนสองตัว มีหมอนใบใหญ่เอาไว้รองหลังสองใบ มีโต๊ะกลมตั้งอยู่ข้างเก้าอี้ตัวซ้ายหนึ่งตัว และบนนั้นมีนมอุ่นๆ สองแก้ว ฟีเรียสไม่ได้นำมาถวาย แต่พอเขามาถึงมันก็มีอยู่แล้ว แค่เขามองพระพักตร์ เจ้าชายหนุ่มก็รับสั่งราวกับจะรู้ใจ
“ข้าสั่งให้เรจินเอามาให้ นั่งลงสิ ดื่มตอนที่ยังอุ่นๆ อยู่”
ฟีเรียสคิดว่า บางทีหัวหน้าของเขาก็เหมือนภูตพราย ไปมาตอนไหนเขาก็ไม่เห็น
องครักษ์หนุ่มค้อมศีรษะถวายคำนับอย่างเป็นพิธีการ ทูลขอบพระทัย แล้วจึงนั่งตัวตรง พึมพำขอบพระทัยอีกรอบ เมื่ออีกฝ่ายทรงยื่นแก้วนมประทานให้ และเพราะพระองค์ทรงจับกลางแก้ว เขาจึงต้องรับสองมือ คือจับใกล้ๆ กับปากแก้ว และจับใกล้ๆ กับก้นแก้ว
พยายามแล้ว แต่มือก็ยังสัมผัสกับพระหัตถ์
ฟีเรียสมองพระพักตร์ เจ้าชายหกแย้มพระสรวลนิดๆ เป็นปกติ
“ขอโทษ”
แววตาของคนฟังมีรอยหวั่นไหว ก่อนจะเม้มปากนิดๆ แล้วหลุบตาลง ถ้าไม่มีชนักติดหลังอยู่ เขาคงไม่ ‘รู้สึก’ ถึงขนาดนี้
“นั่งให้สบายๆ เถอะ ไม่ต้องเกร็ง”
“กระหม่อมนั่งอย่างนี้ก็สบายแล้วพระเจ้าค่ะ”
“ถ้าไม่เอนหลังพิงหมอน ข้าจะสั่งให้เจ้ามานอนเตียงเดียวกัน”
สีหน้าของคนฟังครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง ทว่าเมื่อนึกขึ้นได้ ก็รีบปรับสีหน้าให้เรียบเฉยอย่างที่ควรจะเป็น และนั่งในท่าที่ผ่อนคลายขึ้น
เจ้าชายรามิเรสแย้มพระสรวลนิดหนึ่ง แล้วก็ทรงดื่มนมของพระองค์ไป ไม่ได้รับสั่งอะไรอีก ที่เคยรับสั่งว่าจะทรงเล่าเรื่องในอดีตให้องครักษ์หนุ่มฟังวันละหนึ่งชั่วโมงนั้น เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียว บางทีพอได้ทำอะไรที่เคยทำ พระองค์ก็จะรับสั่งเล่าย้อนให้ฟังบ้างเป็นระยะ ส่วนเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ว่า ก็อาจจะแค่ต่างคนต่างนั่งอ่านหนังสือในห้องเดียวกันเงียบๆ หรือนั่งดูดาวด้วยกันอย่างคืนนี้
แค่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังเท่านั้น
เวลาผ่านไปนานเข้า ฟีเรียสก็ลืมเกร็ง เขาปล่อยตัวตามสบาย อยากจะซึมซับความสงบนี้เอาไว้ ก่อนจะต้องระมัดระวังทุกการกระทำและคำพูดอยู่ตลอดเวลาอีกครั้ง
“ฟีเรียส”
เจ้าของชื่อเกร็งตัวขึ้น นั่งตัวตรงทันที
“นอนลงไปนั่นล่ะ”
องครักษ์หนุ่มไม่อยากจะทำตามเลย แต่ตอนนี้เขาเป็นเพียงองครักษ์ ไม่ใช่ ‘คนรัก’ จึงมีแต่ต้องทำตามรับสั่งเท่านั้น เจ้าชายรามิเรสได้ไม่หันมามองเขาเลย ขณะรับสั่งถาม
“เจ้าอยากจะได้ดาวสักดวงไหม”
“...”
“เล็งดวงที่เจ้าชอบเอาไว้ แล้วยื่นมือออกไปข้างหน้าสิ”
เจ้าชายหกแห่งไมซีนทรงเห็นเขาเป็นเด็กเล็กๆ หรือยังไง แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของเจ้าชาย ก็ต้องทำตาม
“กางนิ้วออกกว้างๆ ยื่นแขนออกไปให้สุด ตั้งใจให้ดี”
ถ้อยรับสั่งนุ่มๆ นั้นราวกับมีมนต์ขลัง จากที่คิดว่าเป็นแค่เรื่องหลอกเด็ก ฟีเรียสกลับตั้งใจทำขึ้นมาจริงๆ
“แล้วก็คว้ามันมา”
องครักษ์หนุ่มค่อยๆ งอนิ้วเข้าหากัน
สิ่งที่เขาคว้ามาได้...คือพระหัตถ์ของเจ้าชายหกแห่งไมซีน
คนถูกหลอกให้ประสานมือด้วยหันไปมองพระพักตร์ของคนที่เอามือเขาไปวางไว้บนพระนาภีของพระองค์หน้าตาเฉย เจ้าชายหนุ่มทรงหันมามองยิ้มๆ
แลดูเจ้าเล่ห์อย่างบอกไม่ถูก
“เสียใจรึเปล่า”
“เรื่องอะไรพระเจ้าค่ะ” เรื่องที่ถูกหลอกน่ะหรือ
“ที่ไม่ได้ดาว”
เขาไม่ใช่เด็กสามขวบ จะได้เชื่อ ถ้าคว้ามาได้จริงๆ สิ...ถึงตอนนั้นค่อยตกใจ
“เจ้าอาจจะคว้าดาวไม่ได้ แต่เจ้าได้ข้า”
หัวใจของคนฟังสั่นสะท้าน
“ข้าจะจับมือเจ้าแล้วพาเจ้าไปเอง”
“ไปไหนพระเจ้าค่ะ”
“ไปให้ถึงดวงดาว”
ยังซึ้งอยู่ แต่เมื่อมองแววประหลาดในสายพระเนตรนานเข้า ก็รู้สึกว่าชักจะทะแม่งๆ ไม่ได้การเสียแล้ว
“ไปกันไหม”
“ไม่ไปพระเจ้าค่ะ” คนถูกชวนทูลตอบเสียงแข็ง
“แต่เจ้าหน้าแดง...แสดงว่าจำได้บ้างแล้วใช่ไหม”
ฟีเรียสเพิ่งรู้สึกตัว สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาขยับมือ...ปล่อยสิ่งที่เขาคว้ามาได้ให้หลุดมือไป องครักษ์หนุ่มลุกขึ้นยืนตัวตรง หน้าขรึม
“กระหม่อมยังจำไม่ได้ ขอประทานอภัยพระเจ้าค่ะ หากฝ่าบาทไม่ทรงมีเรื่องอะไรจะให้กระหม่อมทำถวายอีก กระหม่อมก็ขอทูลลากลับห้องพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายหกทอดพระเนตรคนที่ฝืนมองสบตากับพระองค์ด้วยสีหน้าที่พยายามทำให้ดูเหมือนไร้ความรู้สึกอยู่ชั่วอึดใจ
“ไปเถอะ”
องครักษ์หนุ่มค้อมตัวลงถวายความเคารพและหันกลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็นความเจ็บปวดในดวงตา
เขารู้แล้ว ว่าวิธีที่จะทำให้ได้เจ้าชายหกแห่งไมซีนมาไว้ในกำมือนั้นไม่ยากเลย สิ่งที่ยาก...คือวิธีที่จะเก็บรักษาพระองค์เอาไว้ให้อยู่กับเขาไปนานๆ ต่างหาก
******************************************
บทที่ 32 ยาวหน่อย ขอแบ่งครึ่งค่ะ ครึ่งหลังจะตามมาเร็วๆ นี้
ส่วนตอนพิเศษไม่มีนะคะ
หลังจากบทที่ 33 แล้วก็จะมีบทส่งท้ายอีกนิดนึงค่ะ