รักนี้คุณพี่จัดให้!!! Side story 5 จบแล้วววววววว (25-11-62)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักนี้คุณพี่จัดให้!!! Side story 5 จบแล้วววววววว (25-11-62)  (อ่าน 12727 ครั้ง)

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
น้องไม่ระวังตัวเท่าไรเลย สงสารคนพี่อ่ะครับ

ออฟไลน์ nethang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1

บทที่ 40 ผมตามไม่ทัน!!!
 
“ผมพอจะรู้สาเหตุที่คุณไม่ชอบหน้าผม” เสียงทุ้มกล่าว
 
“แต่ผมอยากแสดงความจริงใจ ผมหวังดีจริงๆ” เสียงทุ้มกล่าวต่อไป
 
“ผมเอ็นดูน้องกรเหมือนลูกเหมือนหลาน” เสียงทุ้มกล่าวต่อไปอีก
 
ออ……….เอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานนิเอง
 
ผมนั่งฟังผู้ใหญ่สองคนคุยกันเงียบๆ แต่เอ๊ะ! จะเรียกว่าคุยกันได้รึป่าวเพราะดูเหมือนว่าจะเป็นฝ่ายคุณอิศพูดอยู่ฝ่ายเดียวซะมากกว่า
 
“เรื่องที่คุณส่งนักสืบมาตามผม ผมก็พอรู้มาบ้าง” เสียงทุ้มกล่าวต่อๆไปอีก
 
เอ๊ะ! นักสืบอะไรหว่า
 
“คุณรู้?” ในที่สุดพี่ภูมิก็เอ่ยออกมาบ้าง หลังจากที่เป็นฝ่ายเงียบฟังอยู่นาน
 
“เรื่องที่คุณไม่ชอบหน้าผม คงไม่ใช่แต่เรื่องน้องกรใช่มั๊ย” เสียงคุณอิศกล่าวต่อไป
 
อ่าวววววว นิไม่ใช่ว่าหึงผมเหรอ ผมเข้าข้างตัวเองเกินไปเหรอเนี่ย
 
“...................” พี่ภูมินิ่งเงียบไปอีกครั้ง
 
โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าจะมีวางมวยกัน ที่ไหนได้ทั้งสองคนดันจับเข่านั่งคุยกันแบบผู้ดีซะงั้น หลังจากที่ผมโผเข้าสู่อ้อมกอดอันคุ้นเคยได้ พวกเราจึงตัดสินใจเปิดอกคุยกันอย่างจริงจัง ณ ห้องประชุมในส่วนบริหารของห้าง
 
ผมมองกาแฟขมๆที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอยู่ตรงหน้า สร่างเมาเลยสิครับ แถมอาจตาค้างไปทั้งคืนอีก
 
แต่ประเด็นที่คุยกันนี้สิ ตอนแรกผมก็นึกว่าจะคุยกันเรื่องรักสามเศร้า เราสามคน แต่ไปๆมาๆทำไมมีนักสืบเข้ามาแจมด้วย หรือมันจะมีเรื่องอื่นที่ผมไม่รู้
 
“หึ…” พี่ภูมิส่งเสียงขึ้นจมูกแสดงอารมณ์หงุดหงิด
 
“เรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน” คุณอิศกล่าวเปรยๆต่อ หากแต่เสียงแข็งเอ่ยกระแทกขึ้นขัดจังหวะ
 
“สิบสองปี” พี่ภูมิกล่าวเสียงดังแทรกขึ้นมา
 
“ครับ...สิบสองปีก่อน” คุณอิศเอ่ยเสียงเศร้าๆ หากแต่สายตายังคงมองสบกับพี่ภูมิไม่ได้หลบหนีแต่อย่างใด
 
ฮั่นแน่! สองคนนี้มีความลับที่ผมไม่รู้จริงๆด้วย
 
นี่มันเรื่องอะไรกัน โอ๊ยยยยยยย อยากรู้
 
“ในเมื่อคุณกล้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ผมก็ขอถามคุณตรงๆเลยแล้วกัน” พี่ภูมิพูดขึ้นอย่างมั่นคง เว้นวรรคให้ฝ่ายคู่สนทนาพยักหน้ารับทราบ
 
“คุณพ่อคุณเป็นยังไงบ้าง สบายดีมั๊ย” พี่ภูมิถามเสียงเย็นชา แตกต่างกันความหมายของรูปประโยค
 
เดี๋ยวววววววว เปิดเรื่องมาอย่างเครียด แล้วไหงถามถึงสุขภาพของคุณพ่อคุณอิศหละเนี่ย
 
“ท่านเป็นอัมพาตครับ แต่โดยรวมก็ยังสุขภาพดีอยู่” คุณอิศตอบเศร้าๆ
 
“หึ...กรรมตามสนองสินะ” อีกแล้วพี่ภูมิส่งเสียงขึ้นจมูกอีกแล้วครับ
 
“เอ่อ...นี้มันเรื่องอะไรกันครับ” ผมขออนุญาตอขัดจังหวะการสนทนาหน่อยเถอะ ถึงจะเสียมารยาทมากก็เถอะ แต่คือฟังแล้วงง ประติดประต่อเรื่องไม่ได้เลยครับ
 
นี่มันเรื่องอะไรกัน!
 
ผู้ชายร่างสูงของคนหยุดการสนทนาแล้วหันมาให้ความสนใจผมที่นั่งทำหน้างงอยู่ พี่ภูมิมองแล้วถอนหายใจครั้งนึง ส่วนคุณอิศมองมองอย่างตกใจ เฮ้ยยย ตกใจอะไร ลืมไปแล้วหรือไงว่ามีผมร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย
 
“ชั้นต้องขอโทษแทนคุณพ่อด้วย” คุณอิศหันมาพูดกับผมโดยตรงด้วยความจริงใจ งงสิครับ ขอโทษทำไม ทำอะไรผิดมา!
 
“หึ...แค่คำขอโทษมันทดแทนกันไม่ได้หรอกครับ” เป็นพี่ภูมิที่ดึงดูดความสนใจจากผมอีกครั้ง
 
“คุณคงสืบจนรู้อะไรมาบ้างแล้วใช่มั๊ย” คุณอิศหันกลับไปสนทนากับพี่ภูมิต่อ สรุปผมที่อยากรู้ใจจะขาดว่าพวกเขาคุยอะไรกัน จำเป็นต้องฟังต่อไปแบบงงๆใช่มั๊ย
 
“ผมรู้ว่าพวกคุณทำลายหลักฐานไปจนหมดแล้ว เลยหาทางเอาผิดไม่ได้” เสียงเข้มกล่าวต่อไป
 
“ที่คุณตัดสินใจเปิดตัวบริษัทคุณที่ห้างผม ก็เพราะจะเข้ามาสืบข้อมูลสินะ” คุณอิศโต้ตอบอย่างรู้ทัน
 
มีผมคนเดียวนี้แหละที่ไม่รู้อะไรเลย
 
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ผมผูกพันกับพื้นที่ตรงนี้ ผมอยากเริ่มต้นจากที่นี่” พี่ภูมิอธิบาย
 
ในระหว่างที่สองฝ่ายกำลังส่งเสียง ฮึ่มๆแฮ่ๆ ใส่กัน ขอเวลาคิดตามแปปบึงนะครับ
 
พื้นที่ตรงนี้ ก็ห้างแห่งนี้สินะ อืมมมมม ห้างแห่งนี้เป็นห้างขนาดใหญ่ เป็นแห่งรวมตัวของวัยรุ่นและจุดนัดพบสำคัญใจกลางเมือง ไม่แปลกที่จะเป็นที่นิยมก็ไอ้ห้างนี้มันตั้งอยู่ในกลางเมืองไง ไม่ใช่กลางในลักษณะของพื้นที่นะ เป็นเป็นจุดศูนย์กลางของการคมนาคม สถานบริการ ที่อยู่อาศัยและศูนย์ราชการฯ คือมีครบเลยจริงๆ เอาเป็นว่าทำเลดีมากกกกกกก เปิดตัวเมื่อสิบปีก่อน แต่จากที่เคยตามข่าวมา กว่าโครงการก่อสร้างจะขึ้นได้นั้นผ่านดราม่ามานานนับปีๆ ด้วยความที่เจ้าของพื้นที่เดิมในบริเวณคาบเกี่ยวที่จะก่อสร้างห้างไม่ยอมขายพื้นที่ให้ แถมผู้อยู่อาศัยในบริเวณนั้นก็ออกมาประท้วงอีก
 
อ่าวววววว ชักคุ้นๆ แถวนี้มันอพาร์ทเม้นท์ใจกลางเมืองไฟไหม้เมื่อสิบกว่าปีก่อนนี่นา
 
เฮ้ย! บ้านเก่าผมนิหว่า
 
ก็นะ...บอกแล้วว่าจำไม่ได้ เหมือนมันไม่ใช่เรื่องของตัวเองอะครับ
 
เดี๋ยวนะ...นิมันเรื่องของผมเต็มๆเลยนิหว่า ผมเคยเป็นลูกบ้านอยู่ที่นี่ แต่เกี่ยวไรกับพี่ภูมิ พี่แกมาผูกพันอะไรแถวนี้ บ้านพี่ภูมิอยู่ญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอ
 
“คุณคงเป็นหนึ่งในผู้เสียหายสินะ” คุณอิศเอ่ยต่ออย่างพอนะคาดเดาได้
 
“ผมเคยอาศัยอยู่ที่นี่” ในที่สุดพี่ภูมิก็เฉลยข้อสงสัย ถ้าพี่แกเคยอาศัยอยู่ที่นี่ งั้นเราก็เพื่อนบ้านกันสินะครับ
 
“จริงเหรอครับ” คราวนี้เป็นผมที่ส่งเสียงทะลุกลางปล้องไปครับ มันอดไม่ได้จริงๆ เหมือนได้รื้อฟิ้นเรื่องราวในอดีตที่จำไม่ค่อยได้ อาจจะจำได้นิดหน่อยแบบเลือนลางมากๆ
 
“ใช่แล้ว...จำพี่ไม่ได้จริงๆเหรอ...ก้อนแป้ง” หลังจากที่ผมเผลอเสียมารยาทไป แต่ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่ได้ถือสา พี่ภูมิหันมาอมยิ้มมองหน้าผม พร้อมยกมือขึ้นมาลูบหัว แถมแทนตัวเองว่าพี่อีก โอ๊ยยยยยย ขนลุก
 
“ก้อนแป้ง…” ผมพรึมพรำชื่อที่ได้ยินบ่อยๆ พี่ภูมิชอบเผลอเรียกผมด้วยชื่อนี้ ยังบอกอีกด้วยว่าเป็นคนตั้งชื่อให้เมื่อนานมาแล้ว ออ คงนานมาสักสิบกว่าปีได้แล้วมั้ง
 
ผมจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นเคย ฝ่ามือที่ลูบหัวผมด้วยความเอ็นดู สัมผัสนี้ ความรู้สึกแบบนี้ คุ้นๆแฮะ
 
“พะ....พี่ภูมิ” ผมจ้องมองหน้าเจ้าของชื่อที่ยังคงอมยิ้มอยู่ เหมือนมีใบหน้าหนึ่งปรากฏขึ้นมาซ้อนทับรางๆ เป็นใบหน้าอวบๆ ที่มีรอยยิ้มบางๆเหมือนอมยิ้มตลอดเวลา
 
เฮ้ย! นั่นพี่ภูมิ พี่ที่อยู่ห้องข้างๆกันนิหว่า ถึงจะจำรายละเอียดเรื่องราวในสมัยเด็กไม่ได้ แต่ก็พอจะมีความทรงจำรางๆอยู่บ้าง อารมณ์พล๊อตเรื่องหลักแหละครับ พี่ภูมิเป็นเด็กเนิร์ดที่อาศัยอยู่ห้องข้างๆ วันๆจะเก็บตัวอยู่ในห้องไม่ค่อยออกไปไหน เราเลยเป็นเพื่อนเล่นที่สนิทกันมาก
 
ทำไม ทำไมผมถึงไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่า พี่ภูมิคนนั้นจะโตมาหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ ก็พี่ภูมิเพื่อนข้างห้องในความทรงจำอันเลือนรางของผม เป็นคนอ้วนนนนนนนนนนนนน เอ้อ ใช้คำว่าเจ้าเนื้อแล้วกันครับ
 
“พี่ภูมิ...เหรอครับ” ผมถามเพื่อความแน่ใจ
 
“ใช่แล้ว...ก้อนแป้ง” เสียงเข้มกล่าวตอบอย่างหนักแน่น
 
“ใช่พี่ภูมิแก้มยุ้ย พุงย้วยคนนั้นจริงๆเหรอครับ” ขอถามย้ำเพื่อความมั่นใจอีกรอบครับ
 
“....................” แต่อีกฝ่ายเลือกที่จะเงียบแทนคำตอบครับ
 
แหมมมมมมม พุงย้วยๆก็ออกจะน่ารัก ยิ่งพอนึกย้อนไปในอดีตอันเลือนราง ผมก็พอจะจำได้ว่าพี่ภูมิข้างๆห้องติดผมแจเลย ชอบมาฝากท้องที่บ้านของผม บางวันยังมานอนค้างด้วยซ้ำมั้ง ชอบเดินตามผมต้อยๆแล้วเรียกก้อนแป้งๆ อยู่นั่น น่ารักอะ
 
“นึกออกแล้วใช่มั๊ย” เสียงเข้มถาม พอผมเริ่มนึกเรื่องราวในอดีตอันเลือนรางออก ผมจึงได้แต่อมยิ้มแล้วรีบพยักหน้ารับ
 
“ครับ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” ผมกล่าวทักทายพี่ภูมิเพื่อนข้างห้อง แล้วโผเข้าสู่อ้อมกอดที่กางรออยู่ พรางคิดถึงความอบอุ่นในวัยเด็ก นั่นสินะครับตั้งแต่เด็กๆแล้ว ผมชอบไล่กอดคนอื่นไปทั่ว ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ คุณลุง คุณป้า แล้วก็พี่ภูมิด้วย กอดกันแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นพิลึก ผมชอบบบบบบ
 
ลืมเรื่องพวกนี้ไปได้ยังไงหว่า!
 
แล้วอยู่ๆทำไมถึงจำขึ้นมาได้วะ หรือนี้อาจเป็นผลพลอยได้จากการที่สารเคมีในร่างกายของเราเปลี่ยนแปลง เมื่อแอลกอฮอล์ผสมกลูโคสมาเจอเข้ากับคาเฟอิน เลยบึ้มมมมมมกลายเป็นโกโก้ครั้นช์
 
ไม่ใช่ละครับ! เอาเป็นว่าตอนนี้ผมรู้สึกสมองปลอดโปร่ง ความคิดแล่นไหลปรี๊ดๆ พร้อมรับฟังสิ่งที่เคยเกิดขึ้นโดยไม่คิดว่าเป็นเรื่องของคนอื่นอีกแล้วครับ เพิ่งสำนึกได้ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับผมโดยตรงเลยนิหว่า
 
“แล้วทำไมพี่ภูมิถึงกลายเป็นพี่ภูมิได้หละครับ” พอตั้งสติได้ผมก็เริ่มถามเลยครับ ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มก่อตัว
 
“......พี่ก็พี่ภูมิคนเดิมนั่นแหละ ไม่ได้กลายเป็นตัวอะไรไปหรอก” เสียงเข้มกล่าวปนหัวเราะ ผมว่าพี่ภูมิไม่เข้าใจคำถามผมแล้วครับ ตอบไม่ตรงคำถามเลย
 
“เอ่อ...ผมหมายความว่า ทำไมพี่ภูมิกลายเป็นคุณอาของอากิได้หละครับ” จากพี่ภูมิเด็กเนิร์ดเพื่อนข้างห้องกลายมาเป็น คุณภูมิพัฒน์ สิริวัฒนากร นักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงจากต่างประเทศ ที่อยู่ๆมาปรากฏตัวหลังจากหายไปตั้งสิบกว่าปีได้ยังไงกัน
 
“ช่วงนั้นพี่บินไปเยี่ยมคุณตาที่ญี่ปุ่นพอดี...แล้วหลังจากเกิดเรื่องก็เลยไม่ได้กลับมาที่ไทยอีกเลย” ผมเงียบๆฟังภูมิเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟัง
 
“เมื่อหลายปีก่อนพี่บังเอิญได้พบพี่ตู่...จำพี่ตู่ได้มั๊ยที่อยู่ห้องข้างล่างหนะ เค้าเลยเล่าเรื่องเบื้องหลังเหตุการณ์ไฟไหม้ให้ฟัง พี่เลยตัดสินใจกลับมาสืบหาความจริง” พี่ภูมิเล่าพรางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
 
“พี่ภูมิ…” ผมซุกหน้าลงในอ้อมกอดนั้น จะบอกว่าผมไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของพี่ภูมิก็ได้ครับ ก็ตอนนั้นผมยังเด็กมาก อายุสัก 5 ขวบเองมั้ง ความทรงจำก็ไม่ค่อยมีมากมายอะไร แค่จำพี่ภูมิได้รางๆเท่านั้น แตกต่างจากพี่ภูมิที่จำเรื่องต่างๆได้อย่างแม่นยำ ผมอยากกอด อยากปลอบใจให้พี่ภูมิรู้สึกดีขึ้น เลยได้แต่ซุกตัวนิ่งๆในอ้อมกอดแกร่งนั้น
 
“พี่ขอโทษนะที่กลับมาช้า” พี่ภูมิกล่าวพร้อมกับลูบหัวผมไปด้วย
 
โอ๊ยยยยยยยย ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ แค่กลับมาหากันผมก็มีความสุขแล้ว
 
**************************************************************************************************
 
“อะแฮ่มมมมม” เสียงดังขัดจังหวะสวีทหวานของผมกับพี่ภูมิดังขึ้น ผมหันไปมองทางต้นเสียงพรางเบิกตากว้าง
 
เอ่อ...ลืมไปเลยครับว่าวงสนาทนานี้มีกันสามคน แหะๆ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่อ...ที่มาของอดีตที่พี่ภูมิเจอก้อนแป้งเป็นเยี่ยงนี้นี่เอง

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
มีคนที่3อยู่ยังกอด

ออฟไลน์ nethang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ใกล้ - จบ - แล้วววววววววววววว

อ่านตอนนี้แล้ว เห็นสมควรส่งน้องกรไปศึกษาธรรมะอย่างลึกซึ้งค่ะ น้องปล่อยวางได้ดีมาก น้องเกิดมาเป็นเอกบุรุษ

********************************************************************************************

บทที่ 41 ผมยกโทษให้
 
“คุณพ่อท่านได้รับผลกรรมแล้วครับ” คุณอิศกล่าวกับพี่ภูมิหลังจากที่พวกเรากลับมาจับเข่าคุยกันอีกครั้ง
 
กว่าผมจะรู้ตัวว่าโลกนี้ไม่ได้มีเพียงเราสองคน คุณอิศก็ต้องกระแอ้มไอจนอาจเจ็บคอขึ้นมาจริงๆ
 
“มันทดแทนกันไม่ได้หรอกนะครับ สูญเสียไปกี่ชีวิตจากเหตุการณ์นั้นหนะ” พี่ภูมิอารมณ์เริ่มคลุกกลุ่นอีกครั้ง ยิ่งพูดยิ่งมีอารมณ์ครับ
 
“ทางเราพยายามชดเชยมาตลอดครับ” คุณอิศพยายามอธิบาย
 
“โดยการตั้งมูลนิธิกับบริจาคเงินพวกนั้นหนะเหรอ” พี่ภูมิเริ่มใส่อารมณ์
 
“.........................” ฝ่ายคุณอิศได้แต่นิ่งเงียบ
 
ผมว่าคุณอิศทำถูกแล้วครับที่เงียบไป น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือมาขวาง ปล่อยพี่ภูมิแกระบายออกมาสักหน่อยเผื่ออะไรจะดีขึ้น
 
“พวกคุณเผาไล่ที่ เพียงเพื่อต้องการจะสร้างห้างโดยไม่คิดเลยเหรอว่าจะมีคนเดือนร้อน จะมีคนตายสักกี่คน” พี่ภูมิเริ่มระบายอารมณ์แบบจัดเต็ม
 
“.........................”
 
“แล้วเพื่อให้เรื่องเงียบลง พวกคุณก็ใช้เงินปิดปาก โดยการตั้งมูลนิธิ ตั้งกองทุน สนับสนุนผู้ประสบภัย...ภัยที่พวกคุณก่อขึ้นนะเหรอ” พี่ภูมิเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ตบโต๊ะลุกขึ้นยืนไปแล้วครับ
 
“.........................” ส่วนคุณอิศหนะเหรอ เงียบบบบบบบ
 
“เอ่อ...พี่ภูมิครับ นั่งลงก่อน” ผมพยายามดึงร่างสูงที่ลุกขึ้นตามแรงอารมณ์ ให้นั่งลงตามเดิม ลูบหลังมือเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายสงบลง
 
“ผมทราบครับว่าคุณพ่อได้ทำเรื่องที่เกินจะให้อภัยได้ คุณพ่อท่านไม่คิดว่าเรื่องราวจะร้ายแรงขนาดนั้น” คุณอิศก็พยายามแก้ต่างให้คุณพ่อของแกครับ
 
สรุปคนสร้างเรื่องราวทั้งหมดคือบุคคลที่สี่ที่เรากล่าวถึงใช่มั๊ยครับ คุณพ่อของคุณอิศเป็นคนสั่งให้เผาไล่ที่พวกชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่คาบเกี่ยวในการก่อสร้างห้างสรรพสินค้า เป็นสาเหตุเกิดความสูญเสียต่อครอบครัวของผมและพี่ภูมิ และครอบครัวอื่นๆอีกไม่มากก็น้อย
 
อ่าววววว ในเมื่อคนทำผิดคือคุณพ่อของคุณอิศแล้วจะมาต่อว่าคุณอิศทำไมอะ แบบนี้เรียกว่าด่าผิดคนนะครับ
 
“ใจเย็นๆครับพี่ภูมิ” ผมลูบหลังมือแกร่งไปด้วยขณะพูด พี่ภูมิหันมามองหน้าผมแบบไม่เข้าใจว่าทำไมผมไม่โกรธ ไม่แค้นบางเลยเหรอ
 
อันที่จริงผมควรจะโกรธ เกียจ และเคียดแค้นคุณพ่อของคุณอิศ อาจรวมถึงตัวคุณอิศและพรรคพวกที่ร่วมมือกันจัดฉากเหตุไฟไหม้ในครั้งนั้น แต่ผมยึดหลักการปล่อยวางครับ เราควรปล่อยวาง ไม่อาฆาตพยาบาทผู้อื่น แล้วจิตใจของเราจะสงบ ปราศจากทุกข์ใดๆ ยิ่งความโกรธนั้นเปรียบเสมือนยาพิษที่เราเป็นผู้กลืนลงไปในคอตัวเอง เพื่อหวังที่จะฆ่าผู้อื่น ไม่สงผลดีใดๆกับตัวเราเองเลย ไฟที่สุมอยู่ในอกเราก็สุมอยู่แต่ในอกเรา ทำร้ายตัวเราเองทั้งนั้น
 
“พี่ภูมิครับ...เรื่องมันผ่านมานานแล้ว คุณพ่อของคุณอิศเค้าก็ได้รับผลกรรมแล้ว เราอย่าจองเวรกันและกันอีกเลยนะครับ” ผมอยากยกสุภาษิตยอดฮิตติดปากของใครหลายคนมาใช้
 
“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร...เราให้อภัยพวกเค้าเถอะนะครับ” ผมจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่แข็งกร้าวนั้น มองสบตาไปตรงๆหวังช่วยบรรเทาอารมณ์ของอีกฝ่าย
 
“........................” อีกฝ่ายยังไม่กล่าวอะไร แม้ว่าระดับลมหายใจจะคงที่ขึ้นแล้วก็ตาม ฮั่นแน่ แปลว่าใจเย็นขึ้นแล้ว อย่างนี้ต้องงัดประโยคเด็ดมาใช้
 
“การให้อภัยไม่ได้หมายถึงการลืมเหตุการณ์ที่เจ็บปวดแต่หมายถึงการไม่ยอมให้เหตุการณ์เหล่านั้นมาทำร้ายเราอีก...พระไพศาล วิลาโล ได้กล่าวไว้ครับ” ผมขออนุญาติเอ่ยคำคมจากพระอาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมเคยอ่านเจอในอินเตอร์เน็ต ผมว่ามันสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงๆนะครับ
 
“หากเราไม่ปล่อยวาง ยังยึดติดอยู่กับความแค้นในอดีต แล้วเราจะก้าวไปสู่อนาคตได้ยังไง” โอ้โห ยิ่งพูดยิ่งอยากชวนพี่ภูมิไปปฏิบัติธรรม รู้สึกซึ้งในรสพระธรรม
 
“ก้อนแป้ง....” พี่ภูมิเรียกชื่อผมเบาๆ แล้วออกแรงบีบมือของผมให้แน่นขึ้น ก่อนจะหลับตาลงอย่างใช้ความคิดนานนับนาที เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวก็หายไป กลับมาเป็นคุณภูมิพัฒน์ ผู้หล่อเหลา มาดเท่บาดใจอีกครั้ง
 
“ผมอยากพบพ่อของคุณ” พี่ภูมิกล่าวออกมาในที่สุด หลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน
 
ฝ่ายคุณอิศชะงักไปครู่ก่อนพยักงานเบาๆ เป็นอันตกลงนัดแนะเพื่อไปพบคุณพ่อของคุณอิศ โอ๊ยยยยยยย จะอยากไปพบอีกทำไม ไม่ได้ฟังเลยเหรอที่ผมพูดกรอกหูอะว่าให้ปล่อยวาง ปล่อยวางงงงงงงงงงง
 
นิมันเข้าสุภาษิตที่ว่า ‘เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา’ ชัดๆ
 
พอๆ วันนี้ขอจบดราม่าเท่านี้ แยกย้ายๆ
 
**************************************************************************************************
 
ในคฤหาสน์หรูชาญเมือง ห้องนอนขนาดใหญ่ที่มีระบบการระบายอากาศอย่างดี ใจกลางปรากฏเตียงปรับระดับได้ สำหรับผู้ป่วยอัมพาต ภายในมีร่างผอมบางของชายชราผู้หนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่
 
“สวัสดีครับ คุณอดิศักดิ์” ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆผมกล่าว ผมรีบประนมมือขึ้นไหว้ร่างชราที่นอนนิ่งอยู่ ร่างชรานั้นไม่ได้ยกมือขึ้นรับไหว้แต่อย่างใด ไม่ใช่แกหยิ่งหรืออะไรหรอกนะครับ คุณพ่อของคุณอิศแกเป็นอัมพาตครับ จากที่ฟังคุณอิศเล่ามาคือ หลอดเลือดในสมองแตกจนเป็นอัมพาต ส่วนสาเหตุจะเกิดจากอะไรนั้น ผมไม่ขอสืบความนะครับ
 
ร่างชราได้แต่มองสบตากับพี่ภูมิปริบๆ กระพริบตาถี่ๆประหนึ่งรับรู้ว่ามีแขกมาหา
 
“พวกผมเคยอาศัยอยู่ที่ XXX” พี่ภูมิแนะนำตัวเองและผม ผมสังเกตุเห็นแววตาของคุณพ่อคุณอิศคล้ายจะมีแววตกใจ หัวคิ้วคล้ายจะขมวดเข้าหากัน แต่ผมว่าผมคงคิดไปเอง ก่อนที่ดวงต่อจะปรากฏหยดน้ำไหลออกมา ไหลจากหางตาลงไปตามรูปหน้าอย่างรวดเร็ว
 
เฮ้ยยยยยย ร้องไห้เลยรึ เร็วไปป่าว ยังแนะนำตัวไม่จบเลย
 
“คุณรู้ใช่มั๊ยว่าพวกผมมาทำไม” พี่ภูมิกล่าวต่อไปโดยจ้องมองวัยตาที่เอ้อด้วยน้ำตาไม่กระพริบ
 
ชายชรานิ่งเงียบได้แต่หลั่งน้ำตาต่อไป
 
“.....................” บรรยากาศในห้องเคร่งเครียด และเงียบเชียบ ไร้ซึ่งการขยับเขยื้อน มีเพียงชายชราที่นอนหลั่งน้ำตาเงียบๆบนเตียง
 
กลายเป็นเกมจ้องตากันระหว่างพี่ภูมิกับร่างชราบนเตียง ฝ่ายหนึ่งจ้องเขม่งอย่างใครความคิด หากแต่อีกฝ่ายหนึ่งนัยตาฉายแววสำนึก โศกเศร้าและเสียใจ
 
ผมคิดว่าถ้าคุณพ่อของคุณอิศแกพูดได้ แกคงอยากกล่าวคำขอโทษเหมือนที่ลูกชายแกบอกแทนนั่นแหละ
 
ผมส่งแรงบีบมือพี่ภูมิเบาๆ ให้พี่ภูมิรับรู้ว่ามีผมอยู่ตรงนี้ด้วยกัน พี่ภูมิจึงเป็นฝ่ายละสายตาจากร่างชรามาสบตากับผมแทน ผมแจกรอยยิ้มโง่ๆให้ไปทีนึงเผื่อสถานการณ์จะดีขึ้น
 
ท้ายที่สุดร่างชราหลับตาลง ฝ่ามือแกร่งของพี่ภูมิที่กำมือผมไว้บีบแน่นมากขึ้น คล้ายจะมีอาการสั่น ผมจึงได้แต่ออกแรงตอบรับไป ภายในห้องไร้ซึ่งคำพูดใดๆ แต่ละคนคงตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
 
“คุณพ่อท่านคงทราบว่าพวกคุณเป็นใครและมาทำไม” เป็นเสียงของคุณอิศที่ทำลายความเงียบในห้อง
 
พี่ภูมิพยักหน้ารับทราบ พร้อมจ้องมองไปยังร่างชราที่นอนหลับตาอยู่คล้ายจะหลับพักผ่อนไปแล้ว หรือจะหลบหน้าหว่า แบบไม่อยากเล่นเกมจ้องตากับพี่ภูมิ เลยหลับหนีความจริงแมร่งงงงงง
 
“หึ...คนเราทำผิดกันได้ ขอแค่รู้ตัวว่าตัวเองทำผิด แล้วไม่ทำความผิดนั้นอีก…” พี่ภูมิพูดขึ้นเบาๆ หึหึหึ คมมั๊ยหละครับ นี้เป็นผลพลอยได้จากการที่เมื่อคืนผมเอาหนังสือธรรมมะไปให้พี่ภูมิอ่านแน่นอน
 
“คุณพ่อท่านได้รับผลนั้นแล้วครับ และกำลังสำนึกในความผิดนั้นอยู่” คุณอิศอธิบายต่อ หวังว่าจะเป็นอย่างที่ลุงแกพูดจริงๆนะครับ
 
“..................” ส่วนพี่ภูมิเงียบไปอีกครั้ง อย่างคนที่กำลังตัดสินใจอะไรบ้างอย่าง
 
“ผมต้องขอโทษแทนคุณพ่ออีกครั้งนะครับ” คุณอิศกล่าวอย่างจริงใจ ผมแอบเหลือบตามองร่างชราที่นอนอยู่ อยากรู้ว่าแกจะลืมตาขึ้นมารึยัง อ่าววววว ยังแฮะ! สงสัยหลับจริง
 
พี่ภูมิถอนหายใจเฮือกใหญ่ แรงบีบมือที่เคยคัดแน่นบัดนี้คลายลง กลายเป็นบีบมือหลวมๆ คล้ายตัดสินใจได้แล้ว
 
“เฮ้อ...คุณไม่ต้องขอโทษแล้ว...อย่าทำผิดซ้ำสองอีกแล้วกัน ผมจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก” พี่ภูมิกล่าวพร้อมกับหันหน้าเดินออกจากห้องไป โดยไม่ลืมที่จะลากผมเดินตามออกมาด้วย
 
“ออ...แล้วก็เลิกมายุ่งกับแฟนผมได้แล้ว” แหนะ ไม่ลืมหันไปเหน็บตาลุงอิศ พร้อมเปลี่ยนจากกุมมือมาเป็นโอบไหล่ผมแทนแล้วพากันเดินออกห้องไป
 
เอาวะ! อย่างน้อยก็ยังไม่ลืมที่จะหึงผม น่ารักอะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ไม่ลืมที่จะหึงหวงก่อนจาก

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ nethang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ใกล้ จบ มาก มาก แล้ว ค่ะ  :3123:

**********************************************************************************************

บทที่ 42 ผมขออนุญาตเปิดตัวแฟนครับ

แฮบปี้เบิร์ดเดย์ทู้ยู แฮบปี้เบิร์ดเดย์ทู้ยู แฮบปี้เบิร์ดเดย์ แฮบปี้เบิร์ดเดย์ แฮบปี้เบิร์ดเดย์ทู้ยู

ยังครับยัง ยังไม่ถึงวันเกิดผม ต้องรอให้ผ่านเที่ยงคืนคืนนี้ไปก่อน ถึงจะนับว่าเข้าวันเกิดผมอย่างเต็มตัว ซึ่งวันเกิดปีนี้ผมวางแผนมาฉลองที่นี่เลยครับ

แถ่น แถ้น แถ๊นนนนนนนนนน

ผายมือให้ดูวิวทิวทัศน์อันร่มรื่น แนวเทือกเขาเขียวขจีสุดลูกหาลูกตา เสียงสรรพสัตว์น้อยใหญ่ดังแว่วเบาๆ เนื่องด้วยถูกกลบด้วยเสียงปวดมนต์ดังอย่างสม่ำเสมอ

ผมและพี่ภูมิสวมใส่ชุดผ้าฝ้ายสีขาว กำลังเดินจงกรรมอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ด้านข้างมีศาลาที่ผู้คนบางส่วนเลือกที่จะนั่งขัดสมาธินับลมหายใจเข้าออก

ผมก็กำลังนับจำนวนก้าวอยู่เหมือนกันครับ ผมกะว่าจะเดินให้ครบ หนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าก้าว แล้วจะหยุดพักสักที ส่วนพี่ภูมินั้นไม่แน่ใจว่าเดินได้กี่ก้าวแล้ว รู้แต่ว่าพี่แกกำลังหลับตาเดิน แล้วเอ๊ะ! หลับตาเดินทำไมไม่สะดุดเลยหละ พื้นข้างล่างนี้อย่างขรุขระเลยนะ

อ๊ะ! คิดเพลินๆเลยเผลอเดินสะดุดก้อนหินข้างล่างเอง แต่โชคยังดีที่ร่างสูงด้านหลังคว้าแขนไว้ทัน ผมเลยรอดพ้นชะตากรรมหน้าทิ่มพื้นไปได้

“ระวังหน่อย เสียงดุๆกล่าวเบาๆ” พร้อมส่งสายตาดุๆมาให้ 

“แหะ แหะ...เห็นได้ไงหว่า” ผมกล่าวขอบคุณแล้วหัวเราะแหะๆ ก่อนบ่นด้วยเสียงเบาๆ

“หึ...ซนจริงๆ เธอชวนพี่มาทำสมาธิไม่ใช่เหรอ” ด้วยความที่ผมสะดุดเกือบล้มจึงกลายเป็นจุดสนใจของใครหลายคน พี่ภูมิจึงยิ่งต้องกระซิบใกล้ ลมหายใจอุ่นๆจึงเป่าลดใบหูที่เริ่มออกสีแดงระเรื่อ

โอ๊ยยยยย ร้อนนนนนนน ออกไปห่างๆหน่อยครับ

ผมชวนพี่ภูมิมีปฏิบัติธรรมที่วัดป่าก็จริง แต่ผมกะชวนมาชิวๆคลายเครียด แต่นี้อะไร ทำไมกลายเป็นว่าฝ่ายนั้นปฏิบัติแบบธรรมจริงไปซะงั้น

หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์คุณอิศและคุณพ่อของลุงแกมา ผมรอจนจัดการเรื่องยื่นเอกสารสำหรับเรียนต่อเรียบร้อย รอจนพี่ภูมิเคลียร์งานลงตัว แล้วจึงตัดสินใจชวนพี่ภูมิมาทำสมาธิที่วัดป่าแห่งนี้ กะเอาไว้ว่าเป็นการช่วยเติมพลังด้านบวกให้เราทั้งสองคน โดยไม่ลืมที่จะเลือกช่วงเวลามาชำระจิตใจเป็นช่วงวันเกิดของผม

ฝ่างงงงงงงงงงงงงงงงงงง

เรามาชำระใจ ชำระกายให้สะอาด บริสุทธิ์ครับ

คืนนี้ผมกะจะนั่งสมาธิข้ามคืน เป็นการแฮบปี้เบิร์ดเดย์ตัวเองไปเลยยยยยยยยย

**************************************************************************************************

“ก้อนแป้ง...ก้อนแป้ง” นิ้วมือแกร่งสะกิดสีข้างของผมยิ๊กๆ พร้อมกระซิบเรียกชื่อเบาๆที่ข้างหู

โอ๊ยยยยยย แผนนั่งสมาธิข้ามคืนของผมเป็นอันล่มครับ ทำไมหนะเหรอ ก็เพราะคนที่นอนอยู่ข้างๆเนี่ยแหละ ระหว่างที่กำลังทำสมาธิอยู่นั่น พี่แกดันบ่นว่าปวดท้องไม่เป็นอันทำสมาธิใดๆ จนพระอาจารย์ต้องไล่ให้กลับมาพักผ่อนในห้อง ไม่พอยังส่งผมมาดูแลอีกต่างหาก แต่พอเข้าห้องเท่านั้นแหละไอ้ท่าทีปวดท้องจะเป็นจะตายก็หายเป็นปลิดทิ้ง แถมยังล้มตัวลงนอนแล้วตบเตียงให้ผมลงนอนข้างๆกันอีก ปากก็บอกว่าวันนี้ง่วงนอนมากเลยอยากกลับมาหลับมากกว่าไปนั่งหลังขดหลังแข็งทำสมาธิ

เอาวะ! หลับก็หลับ

แต่ว่า จะหลับไม่ใช่เหรอ จะมาสะกิดผมทำม๊ายยยยยยยยยยยยย

“พี่ภูมิง่วงนอนไม่ใช่เหรอครับ” ผมดึงมือที่โอบเอวผมออก โอ๊ยยยยย ในวัดในวา หากแต่มือข้างนั้นกลับเหนียวเป็นกาวตราช้าง ตะปบแน่นอยู่ที่เอวของผม เฮ้ยยยยยยย จะนอนไม่ใช่เร้อ

“ก้อนแป้ง...สุขสันต์วันเกิดนะ” ห๊ะ! ถึงวันเกิดผมแล้วเหรอ นิเลยเที่ยงคืนแล้วเหรอเนี่ย

“อ๊ะ….” ยังไม่ทันตกใจเสร็จดี ก็ตกใจอีกรอบ เมื่อริมฝีปากหนาย้ายมาจรดอยู่ที่แก้มของผม ก่อนฝังหน้าทิ้งไว้นานพักใหญ่ จนพอใจแล้วจึงชักริมฝีปากออก ก่อนพยายามจะย้ายตำแหน่ง

เดี๋ยวววววววววววววว

“พี่ภูมิ....อย่าครับ…” ผมพยายามเบือนหน้าหลบ

“ทำไมหละ ตามสัญญาตอนนี้เธออายุครบ 18 ปีแล้ว” ร่างสูงยังคงไม่ยอมแพ้ พยายามซุกไซร้ไปเรื่อยๆ

เฮ้ยยยยยย ไอ้คนข้างๆผมนิคนเดียวกับชายหนุ่มนุ่งขาวห่มขาวที่เดินจงกรมเมื่อตอนกลางวันรึป่าว ทำไมตอนพระอาทิตย์ขึ้นถึงดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อยจนเราตายใจ แต่ตกกลางคืนมาถึงกลับตาลปัดแบบนี้หละ

“พี่ภูมิ...นิมันในวัดนะครับ” ผมโพร่งออกไป ถึงวัดป่าแห่งนี้จะทำสำนักปฏิบัติธรรมเชิงธุระกิจ คือที่พักสะดวกสบาย มีห้องพักแยกเป็นส่วนตัว แต่ก็อย่าลืมว่านิมันเขตวัดอยู่ดีแหละครับ

เหมือนพี่ภูมิจะนึกขึ้นได้ว่าพวกเราไม่ได้อยู่คอนโดเหมือนเคย จึงหยุดการกระทำลงแค่นั้น แต่ไม่ยอมปล่อยมือที่โอบเอวไว้

โหหหหห ลืมจริงดิ

“งั้นคืนนี้รีบๆนอน พอเช้าแล้วเรากลับเลยแล้วกัน” พี่ภูมิตัดบท แล้วหลับลงอย่างรวดเร็ว

ห๊ะ! ง่ายๆงี้เลยเหรอ

แล้วหลับลงจริงดิ

เอาเป็นว่าแผนแรก เอาธรรมะเข้าข่มล่มไม่เป็นท่า แต่อย่าได้กลัวไป ผมมีแผนสองรออยู่ หึหึหึ

**************************************************************************************************

“แฮบปี้เบิร์ดเดย์ทู้ยู แฮบปี้เบิร์ดเดย์ทู้ยู แฮบปี้เบิร์ดเดย์ แฮบปี้เบิร์ดเดย์ แฮบปี้เบิร์ดเดย์ทู้ยู” เสียงร้องเพลงอวยพรวันเกิดของผมดังกังวาลไปทั่วห้อง

“สุขสันต์วันเกิดนะเมิง ขอให้ได้ ขอให้โดน” ไอ้เพื่อนมาร์คอวยพรอย่างจริงจังและจริงใจ

“โดน พร่องงงงง” ผมจึงตอบกลับมันไปด้วยใจจริงเช่นกัน

“สุขสันต์วันเกิดครับกร อะ นิของขวัญครับ” อากิยื่นกล่องของขวัญมาให้ ไม่วายไอ้มาร์คตะโกนบอกว่าของมันกับอากิรวมเงินกันซื้อ โหหหหห เพื่อนอะไรจะงกขนาดนั้น นิถึงขั้นต้องรวมกันซื้อเลยเหรอ

“อย่าเพิ่งรีบเปิดนะครับ รอพวกผมกลับก่อน” อากิรีบออกตัวห้าม ก่อนที่ผมทำท่าจะแงะกระดาษห่อออก

“เฮ้ย...จะรีบกลับไปไหน ฉลองกันข้ามวันข้ามคืนไปเลย” ผมรีบโวยวาย รีบกลับได้ไง ผมอุตส่างัดแผนสำรอง โทรเรียกเพื่อนๆมาฉลองวันเกิดกันที่คอนโด แบบข้ามหน้าข้ามตาเจ้าของห้องไปเลย

หลังจากเข้ารุ่งสาง พระอาทิตย์ยังไม่ทันจะโผล่พ้นขอบฟ้าดี กระเป๋าเป้ใบเล็กของผมก็พร้อมจะเดินทางกลับคอนโด ไม่รู้ผีพี่วินเข้าสิงพี่ภูมิหรือยังไง จะรีบกลับซะให้ได้ ผมลาพระอาจารย์แบบงงๆ แต่โชคดียังทันให้พระท่านอวยพรวันเกิดมัดข้อไม้ข้อมือให้ เฮ้ยยยยยยย เสียแผนจริงๆ ดันถูกบังคับกลับก่อนกำหนด

ยังดีนะที่ผมคิดแผนสำรองเอาไว้แล้ว ยังไงคืนนี้ผมกะว่าจะโต้รุ่งกับเพื่อนๆไปเลย คิดได้ก็หันไปทำตาปริบๆ ออดอ้อนขอเจ้าของห้องว่าอยากพาเพื่อนมาฉลองวันเกิด ตอนแรกนึกว่าฝ่ายนั้นจะตีหน้ายักษ์ไม่อนุญาติ แต่ที่ไหนได้พี่ภูมิกลับยื่นพ็อกเก็ตมันนี่ให้ปึกใหญ่ พร้อมกับหัวเราะ หึหึ

เอาเป็นว่าตอนนี้ภายในห้องประกอบไปด้วยเหล่าเพื่อนสนิทของผมทั้งอากิ มาร์ค ไอ้เป็ด ไอ้มืดและพองเพื่อนผู้เป็นลูกค้าประจำในการซื้อเก็งข้อสอบจากผม ถือว่าวันนี้เป็นการคืนกำไรให้ลูกค้าแล้วกันครับ ผมสั่งซื้อเคเอฟซี พิซซ่า และ แม๊คมาเต็มเหนี่ยว ก็นะได้พ็อกเก็ตมันนี่มาจากพี่ภูมิปึกใหญ่ต้องใช้ให้คุ้ม

บรรยากาศงานฉลองวันเกิดผมเป็นกันเองสุดๆ สนุกสนานเฮฮา ขนาดพี่ภูมิที่ปกติจะนั่งเก๊กเท่ วันนี้ยังร่วมวงป๊อกเด้งกับพวกผมด้วยเลย

เฮ้ยยยยยยยย พี่ภูมิร่วมวงด้วยนิอายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเลยนะครับ พี่แกมาเนียนร่วมวงด้วยทำไมเนี่ย ไม่ไปทำงานเร้อห๊ะ

ร่างสูงที่นั่งข้างๆผม ใช้มือนึงถือไพ่เอาไว้ ส่วนอีกมือนึงโอบเอวแล้วดึงผมให้ขยับเข้าไปใกล้ๆ สักพักหอม สักพักจูบ เฮ้ยยยยย ให้ผมขึ้นไปนั่งตักเลยมั๊ยอะ พวกเพื่อนเวรตอนแรกมีแซวกันเกรี๊ยวกร๊าวววววว แต่พอผ่านไปสักชั่วโมงนึงก็เริ่มชินหยุดแซวกันไปเอง

สรุปวันนี้ไม่ใช่งานฉลองวันเกิดผมแล้วหละครับ แต่เป็นงานเปิดตัวพี่ภูมิเลยก็ว่าได้ เหมือนประกาศให้โลกรู้ไปเลยว่าเนี่ย แฟนผมๆ

ผมว่าเพื่อนๆมันก็คงรู้กันมาบ้างแล้วแหละ จากการที่พี่ภูมิไปรับไปส่งผมที่โรงเรียน แต่แค่ไม่มีใครถามเพื่อความแน่ใจเท่านั้น วันนี้ได้เจอตัวจริงแบบจังๆ เป็นไงหละ หล่อหละสิ ดูหน้าไอ้โอ๊ตมัน มองตาละห้อยเชียว

“อะแฮ่มๆ”ผมกระแอ้มไอไปสองครั้ง ไอ้โอ๊ตยังมองตาเยิ้มอยู่ครับ

“เฮ้ยยยย แฟนกู” สุดท้ายทนไม่ไหวเลยยกมือขึ้นตบไหล่มันไปแรงๆทีนึง

“เอ่อ...กูรู้ว่าแฟนมึง มองไม่ได้เหรอวะ...คนอะไรไม่รู้มองไกลๆว่าหล่อแล้ว ยิ่งพอได้มาอยู่ใกล้ๆยิ่งหล่อ” ไอ้โอ๊ตเริ่มเพ้อพกแล้วครับ

“เฮ้ย...เพ้ออะไร เกรงใจพี่ภูมิด้วย” ผมเอ่ยเตือนเพื่อน มีแฟนหล่อผมก็ภูมิใจอยู่หรอกครับ แต่แฟนผมไม่ใช่ของโชว์นะครับ ไม่อยากแบ่งให้ใครชมหรอก

ผมไล่ให้พี่ภูมิไปทำงานก็ไม่ไป พี่แกเล่นลางานยาวๆมาฉลองวันเกิดกับผม ไล่ให้เข้าห้องนอนไปก็ไม่ไปอีก คอยแต่โอบโชว์อยู่นั่นแหละ รู้นะว่าอยากเปิดตัวหนะ แต่ถ้าจะตัวติดกันขนาดนี้ ฉี่รดผมไว้เลยมั๊ยครับ หมายกลิ่นเอาไว้จะได้ไม่มีใครมายุ่ง โธ่!

“นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกผมว่าผมกลับก่อนดีกว่า” เป็นไอ้มืดผู้นำขบวน เฮ้ยจะมาทิ้งกันกลางคันแบบนี้ได้ไงวะ

“เฮ้ย...ยังไม่ดึกเลย เพิ่งจะสองทุ่ม” ผมรีบแย้ง ถ้าพวกมันกลับหมดก็เสียแผนผมแย่สิ

“สองทุ่มเนี่ยแหละ ดึกแล้ว เดี๋ยวหม่อมแม่เป็นห่วง” ไอ้มืดแถต่อ โอ๊ย ไอ้ตอแหล ผมรู้หรอกว่ามันรีบกลับตอนที่มันยังมือขึ้นอยู่ ดูในกระเป๋าตังมันดิอย่างตุง นั่นแบงค์ยี่สิบของผมที่เก็บสะสมไว้ทั้งนั้น

จะรีบกลับไปไหนวะ ผมยังไม่ทันได้ถอนทุนคืนเลย

เผลอแปปเดียว เฮ้ยเดจาวูอีกแล้ว เพื่อนๆมันกลับไปกันหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมพวกมันถอนทัพกันเร็วขนาดนี้

ผมมองซ้ายมองขวา เฮ้ยยยย เงียบ เสียงเพลงที่เคยเปิดดังลั่นก็เงียบลง ทั้งห้องเหลือเพียงผมและพี่ภูมิที่กำลังเดินเก็บข้าวเก็บของที่กระจัดกระจายให้เข้าที่

เฮ้ยยยยยยย

“พี่ภูมิครับ เดี๋ยวผมทำเอง” ผมรีบเข้าไปแย่งไม้กวาดในมือแกร่ง สภาพอย่างพี่ภูมิไม่เหมาะกับงานนางซินแบบนี้หรอกครับ ให้ผมทำเองเถอะ จากสภาพห้องถ้าจะรอให้ป้าแม่บ้านมาทำความสะอาดพรุ่งนี้คงไม่ไหว ผมว่าเคลียร์ไว้ให้แกสักหน่อยน่าจะดีกว่า ถือเป็นการรับผิดชอบการกระทำของตัวเองไปด้วยเลย

ระหว่างที่กำลังกวาดห้องเพลินอยู่นั่นเอง ร่างสูงก็ถือโอกาสโอบกอดผมมาจากด้านหลัง

เฮ้ยยยยย ผมเหม็นเหงื่อนะเออ...เมื่อกี๊เผลอแดนซ์กระจายไปหน่อย

“ปล่อยก่อนครับ...เหม็นเหงื่อครับ” ผมขัดขืนแล้วรีบบอก

“งั้นไปพี่อาบน้ำก่อนนะ” ร่างสูงรีบปล่อยผมออกจากอ้อมกอด แล้วผละเข้าห้องน้ำไป

เฮ้ยยยย ไม่ใช่ ผมหมายถึงตัวเองต่างหากที่เหม็นเหงื่อ

เฮ้ยยยยยยยยย งอนหนีเข้าห้องน้ำเลยเหรอวะ

เดี๋ยวก่อนนนนนนนนนนน!


********************************************************************************************

ชะตากรรมของน้องกรจะเป็นอย่างไรต่อไป ในเมื่อตอนต่อไปก็จะจบแล้วววววววววววววววว  :katai4:

---ถึงเวลาที่พี่ภูมิรอคอยสักที อิอิ--- :hao6:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
คนกำลังจะโดนกิน เกียมตัวโดน

ออฟไลน์ nethang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงตอนจบ จบสักที ปาดเหงื่อแปป  :o8:

********************************************************************************************

บทที่ 43 ผมไม่ไหวแล้วววววว
 
แย่แล้ว ผมตกอยู่ในภาวะวิกฤตขั้นสุดแล้วครับ
 
เผลอเดินตามเข้าห้องน้ำไป หวังจะไปอธิบายเรื่องที่พี่ภูมิเข้าใจผิด แล้วไหงกลายเป็นผมถูกจับร่อนเสื้อผ้าออกแล้วมาโผล่ที่เตียงได้หละเนี่ย
 
ผมพยายามเหลือบตามองสภาพร่างตัวเอง แม้ว่าภายในห้องจะค่อนข้างมืดสลัว แต่แสงจันทร์จากภายนอกก็ส่องให้พอมองเห็นอะไรได้รางๆ
 
รางๆพอให้รู้ว่าบนร่างกายผมไม่เหลือเสื้อผ้าปิดบังไว้แต่อย่างใด บ็อกเซอร์ตัวเก่งก็ถูกถอดออกไปแล้วเช่นกัน
 
ขออนุญาติบิดตัวแก้เขินแปปนึงครับ
 
ชะอุ้ย พุงโผล่ เมื่อตอนเย็นเผลอกินพิซซ่าเยอะไปหน่อย!
 
เฮ้ยยยยยยยย ลูกพ่อทำไมตื่นนอนง่ายแบบนั้น เล่นตัวสักหน่อยไม่ได้รึไง นิไม่ใช่ตอนเช้านะเว๊ย ยังไม่ต้องเคารพธงชาติ
 
“หึ...เธอก็พร้อมแล้วสินะ” ร่างสูงกว่าที่คร่อมทับตัวผมอยู่กล่าวพรางจ้องมองไปยังน้องชายของผมที่ยืนตรงทักทายอยู่
 
ผมเลยจ้องกลับไปที่น้องชายของอีกฝ่ายบ้าง จ้องมาจ้องกลับไม่โกงครับ
 
แต่เฮ้ยยยยยยย ทำไมพี่ภูมิยังนุ่งผ้าเช็ดตัวอยู่หละ ไม่แฟร์อะ
 
“พะ...พี่ภูมิ ก็ถอดด้วยสิครับ” ผมรวบรวมความกล้ากล่าวออกไป ผมไม่ชอบพวกสองมาตรฐานครับ
 
“ถอดให้พี่สิ....ก้อนแป้ง” เสียงเข้มกล่าวแกมยั่วเย้า กล้าท้าผมก็กล้าทำครับ ไม่รอช้าผมย้ายฝ่ามือไปตะปบปมเงื่อนที่ขมวดผ้าขนหนูผืนนั้นเอาไว้บริเวณสะโพกแกร่ง 
 
แอบรอบกลืนน้ำลายนิดนึง ภายใต้ผ้าขนหนูผืนนั้นพี่ภูมิก็ไม่ได้สวมใส่อะไรไวแล้ว
 
เฮือกกกกกกกกกกกก ยะ ใหญ่
 
นิขนาดมันนอนหลับอยู่ยังใหญ่ขนาดนี้เลย อย่าให้ตื่นขึ้นมานะ โอ๊ยยยยยยย ผมอยู่ในภาวะวิกฤติแล้วจริงๆ
 
“พอใจรึยัง” ร่างสูงกล่าวปนหัวเราะเมื่อผมเอาแต่จ้องมองส่วนนั้น โอ๊ยยยยย เขิน พี่ภูมิทำคนหน้าหนาระดับผมเขินได้ แสดงว่าพี่แกต้องหนากว่ามากจริงๆ
 
ผมหลบตาหันหน้าหนี เอาวะ หลับตาหนีความจริงไปเลยละกัน
 
ความรู้สึกจากน้ำหนักที่กดทับลงบนตัวผมส่งผลให้ขนแขนของผมลุกซู่ น้องชายที่ตื่นตัวอยู่แล้วยิ่งสะดุ้งหนักเข้าไปอีก
 
“หึ...ตั้งชันเชียวนะ” พี่ภูมิพูดกับส่วนตั้งชันที่ว่า พร้อมใช้ปลายลิ้นเย็นๆกวัดไปยังส่วนดังกล่าว โอ๊ยยยยยยย เสียวครับพี่แกเล่นเลียหน้าอกของผมอยู่
 
ผมแอบเหล่ตาขึ้นมามองข้างนึง เห็นแต่ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่บัดนี้กำลังยุ่งเหยิง กำลังก้มๆเงยๆหยอกล้ออยู่กับหน้าอกของผม
 
“อ๊ะ….พี่ภูมิ...สะ เสียวครับ” ผมยิ่งต้องสะดุ้งไปใหญ่เมื่อมือข้างหน้าได้เลื่อนลงไปเล่นกับน้องชายที่กำลังสู้มือเต็มที่ ด้านบนที่ถูกรุกไร้ด้วยปลายลิ้นเย็นชื้น แถมด้านล่างยังถูกฝ่ามือแกร่งบีบนวดให้อีก
 
โอ๊ยยยยยยยยยย ผมจะไม่ไหวเอาน้าาาาาา
 
“อืม...ก้อนแป้ง” ร่างสูงผละออกจากหน้าอกอันแบนราบขึ้นมามาประกบจุมพิตกับร่างเล็กที่เพิ่งเรียกชื่อของตนเอง
 
“อื่อ...อืม...อื่อออออออออ” ร่างเล็กยิ่งต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อมือที่ว่างอีกข้างหนึ่งย้ายไปสัมผัสกับช่องทางคับแคบทางด้านหลัง
 
แม้ว่าผมจะเคยศึกษาผ่านหูผ่านตามาบ้างแต่ก็ไม่เคยทดลองของจริงสักครั้ง แถมที่ผ่านๆมาพี่ภูมิก็ไม่เคยยุ่งกับส่วนนี้มาก่อน
 
“เฮือกกกก...พะ...พี่ภูมิ อื่ออออ” ผมขออนุญาติสูดหายใจดังเฮือกครับ มือนิ้วแกร่งได้กดผ่านเข้าไปในรอยแยกนั้น แต่ร่างสูงไม่ยอมให้ผมได้กล่าวคำประท้วงใดๆ เพราะริมฝีปากแกร่งได้ประกบแล้วกลืนกลินคำพูดของผมไปจนหมด
 
เริ่มแรกแม้ว่าจะสอดเข้าไปเพียงนิ้วเดียวผมยังรู้สึกเจ็บ พี่ภูมิใช้อะไรทาลงไปก็ไม่รู้ใสๆเหนียวๆเย็นๆ สักพักผมจึงรู้สึกดีขึ้น ไม่นานพี่ภูมิจึงได้ตามมาด้วยนิ้วที่สอง เผลอๆอาจใส่นิ้วที่สามเข้ามาด้วย เพราะถ้าให้ผมเดาจากขนาดน้องชายพี่ภูมิที่ตอนที่ตื่นแล้วนั้น สองนิ้วไม่น่าจะพอ
 
เฮือก…..ตื่นแล้วจริงๆด้วยครับ และสองนิ้วก็ไม่น่าจะพอจริงๆ
 
ร่างสูงพยายามปรนเปรอร่างบางภายในอ้อมกอดอย่างสุดความสามารถ เค้่ากลัวก้อนแป้งเจ็บ เพราะเค้ารู้ดีว่าน้องชายไม่รักดีของเค้ามาอันตรายแค่ไหน เฉพาะฉะนั้นในระหว่างที่เค้ายังมีสติยับยั้งชั่งใจอยู่นี้จะต้องดูแลร่างบางให้ดีที่สุด เตรียมการให้พร้อมที่สุด
 
นิ้วมือนิ้วที่สามกำลังสอดใส่เข้าไป พร้อมขยับกวาดต้อนไปจนทั่วช่องโพรงแคบนั้นที่บัดนี้มีความอ่อนนุ่มแถมยังมีการตอดรัด เรียกร้องให้ร่างสูงกระโจนเข้าไปภายใน
 
“อืม….ก้อนแป้ง” ร่างสูงประกบจูบอย่างดูดดื่ม มือข้างหนึ่งปรนเปรอด้านหน้า อีกข้างจัดการด้านหลัง แถมริมฝีปากยังเรียกร้องรสจูบจากคนตัวเล็กอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดได้
 
ร่างเล็กแอ่นตัวไปมา เมื่อปากเว้นว่างก็จะคร่างกระเส่าอย่างเสียวซ่าน ดวงตาหลับพริ้มประหนึ่งตกอยู่ในห้วงฝัน
 
หากแต่อยู่ดีๆก็ต้องตื่นจากฝัน เมื่อรับรู้ว่าร่างกายถูกยกให้ลอยขึ้นมาคร่อมอยู่เหนือร่างสูง ศีรษะถูกเบี่ยงให้ไปจดจ่ออยู่กับส่วนกลางลำตัวที่ผงาดขึ้นมา
 
ผมกลืนน้ำลายตัวเอง สบตามองหน้าพี่ภูมิที่มองมาเหมือนตั้งความหวัง
 
โหหหหหห สีหน้าท่าทางแบบนี้ ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยครับ เป็นสีหน้าที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่า ‘หื่น’
 
ถ้าไม่ติดว่ากำลังเข้าได้เข้าเข็มผมจะยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปบันทึกความทรงจำเอาไว้เลย ท่าทางแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะเห็นกันง่ายๆนะเนี่ย
 
มือแกร่งออกแรงกดศีรษะเล็กให้เข้าใกล้ร่างกายตนมากขึ้น จนท้ายสุดร่างเล็กเหมือนจะรู้ว่าร่างสูงต้องการอะไร จึงอ้าปากออก แล้วกลืนกินสิ่งนั้นเข้าไปโดยใช้สองมือช่วยพยุง
 
“อืมมมมมมมมม ก้อนแป้ง” ร่างสูงครางออกมาอย่างพอใจ แม้ว่าฝีมืออาจไม่สู้ดีนักแต่ร่างเล็กก็ทำให้ด้วยความเต็มใจ
 
พี่ภูมิสูดหายใจเข้าลึกๆอยู่หลายครั้ง พร้อมกับเสียงที่ครางอยู่ในลำคอคล้ายสัตว์บาดเจ็บ กำลังอดทนอดกลั้นบางอย่าง ผมจึงดูดเลียไอติมแท่งร้อนในมือให้แรงยิ่งขึ้น เอ่อ จินตนาการว่ามันคือแท่งไอติมแสนอร่อยแล้วกันครับ ไอติมอุ่นอะนะ
 
“อ๊ะ…..” ผมสะดุ้งตกใจอีกครั้งจนเผลอทำแท่งไอติมหลุดออกจากปาก เมื่อร่างกายถูกยกกลับมาเบื้องล่าง โดยมีมือแกร่งสองข้างกางกั้นขาทั้งสองให้แยกออก
 
คุณพระ ท่านี้มันเห็นชัดมากเกินไป จะบ้าตาย
 
ร่างสูงจ่อจดแท่งไอติมเข้ากับช่องทำอ่อนนุ่มที่กำลังเรียกร้องให้เข้าไปสำรวจด้วยตัวเอง พรางชำแรกส่วนหัวเข้าไปก่อนหากแต่ต้องหยุดค้างชะงัก เมื่อร่างเล็กด้านใต้เกิดอาการเกร็งขัด
 
“ก้อนแป้ง…อย่าเกร็ง” เค้าบอกเสียงเบาๆ พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ทำอะไรรุนแรง รอจนร่างเล็กค่อยคลายกังวลมากขึ้น
 
“อื่อ...พี่ภูมิ” ร่างสูงพลางก้นลงไปจุมพิตเพื่อเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด แลกลิ้นกันไปมาครู่หนึ่งจนร่างเล็กผ่อนคลาย สุดท้ายเค้าจึงตัดสินใจกระโจนเข้าไปจนสุดลำ
 
“เฮือกกกกกกก” ร่างบางส่งเสียงออกมาแม้ว่าเค้าจะใช้ริมฝีปากประกบปิดเอาไว้ก็ตาม ปรากฏสีหน้าเหยเก หัวคิ้วขมวด จนร่างสูงต้องละมือข้างหน้ากลับไปปรนเปรอน้องชายตัวน้อยให้
 
โหหหหหหหหหห จุกครับจุก นี้ขนาดผมเตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้วนะครับยังจุกขนาดนี้
 
ขออธิบายว่าไม่ได้เจ็บอะไรมากมายหรอกครับ คือพี่ภูมิแกก็เตรียมความพร้อมมาให้ผมหลายสิบนาทีแล้ว กายพร้อม ใจพร้อม เราทำได้ แค่จะจุกๆหน่อยแค่นั้นแหละครับ
 
ผมพยายามผ่อนคลายลง ยิ่งมือแกร่งกำลังบีบนวดน้องชายให้ผมยิ่งรู้สึกสบายตัวขึ้น สุดท้ายจึงตัดสินใจโผล่ขึ้นไปกอดร่างสูงไว้แน่น เป็นการส่งสัญญาณว่าพร้อมแล้ว ไปต่อได้ ไม่นานพี่ภูมิก็เริ่มขยับอีกครั้ง จากขยับเข้าๆออกๆสั้นๆช้าๆ ก็เริ่มเร็วขึ้น ยาวขึ้น สุดท้ายพี่แกก็ถอดออกไปเกือบสุดด้ามแล้วฝังตัวเข้ามาใหม่โดยแรง
 
“อื่อ….พะ พี่ภูมิ” ผมพยายามส่งเสียงที่ขาดหวยเป็นห้วงๆ หากแต่ร่างสูงด้านบนไม่มีปฏิกริยาตอบสนองอันใด นอกจากเสียงหอบลึกในลำคอ แล้วกิจกรรมที่โหมกระหน่ำมิดด้ามก็ยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง
 
“พี่ภูมิ...ชะ ช้าลงหน่อย ผะ...ผมเสียว” แม้ว่าร่างสูงจะกระหน่ำไม่มีหยุด และผมก็ไม่อยากให้หยุดด้วย ต้องยอมรับเลยแหละครับว่า เมื่อมันผ่านจุดนั้นมาได้ ความสุขก็รออยู่ตรงหน้านั่นเอง
 
“.....ฮึม.....ฮื่อ.....ฮึม......”  และนี้คือเสียงตอบรับจากร่างสูง
 
ผมมองสบตาร่างสูง ออ เอาเป็นว่าพี่แกไม่มีสติรับรู้แล้วครับ ลักษณะจิตใจจะเข้าสู่โลกส่วนตัวไปเรียบร้อย ร่างกายยังคงโยกขยับ ไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยอ่อน แรงยังไงก็ยังแรงอย่างนั้น โชคยังดีหน่อยที่พี่ภูมิแกเก่ง ผมเลยมีอารมณ์ร่วมได้ไม่ยาก ถือว่าฟินๆทั้งสองฝ่ายแล้วกันครับ
 
เอาเป็นว่าคืนนี้ยังอีกยาวไกล ส่วนพรุ่งนี้จะเป็นยังไงนั้น ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตครับ
 
ถ้าพี่ภูมิจะ ‘รัก’ จนผมลุกไม่ขึ้น พรุ่งนี้เราคงได้รู้กันครับ


********************************************************************************************

จบแล้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว

ตะ แต่ วะ ว่าาาาาาาาาาา

มีตอนพิเศษคร่าาาาาาา

ตอนหน้าพี่ภูมิจะขอเล่าเรื่องบ้าง เล่าแบบรวบรัดตัดตอน ที่น้องกรบ่นๆมา 43 ตอน พี่ภูมิจะตัดจบในตอนเดียว ฮาาาาาาาาา

 :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ nethang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
มาถึงตอนพิเศษแล้วนะคะ

เป็นตอนสั้นๆ ที่เปิดโอกาสให้ตัวละครแต่ละคนมาเล่าเรื่องราวบ้าง

เริ่มจากพี่ภูมิก่อนเลยคร่าาาาาา  :กอด1:

********************************************************************************************

side story 1 ภูมิพัฒน์ สิริวัฒนากร
 
12 ปีแล้วสินะ หลังจากวันที่ต้องสูญเสียครอบครัวอันเป็นที่รักไป ตั้งแต่วันนั้นมาเขาไม่มีโอกาสได้กลับมาเหยียบผืนดินแห่งนี้อีกเลย ในช่วงที่เกิดเหตุไฟไหม้นั้นเป็นช่วงที่เขาไปซัมเมอร์ที่ประเทศญี่ปุ่น คุณตาเป็นคนจัดการเรื่องทางประเทศไทยให้ แล้วเขาก็ไม่ได้กลับมาที่นี่เลย
 
เขาเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น โดยมีคุณแม่ที่เป็นอดีตคุณหนูแห่งตระกูลฟูจิคุระเกิดหลงรักนักเรียนทุนชาวไทย สุดท้ายตัดสินใจทิ้งความสะดวกสบายในชีวิตแต่งงานกับหนุ่มต่างชาติ แล้วย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่ประเทศไทย แม้ว่าคุณแม่จะสละสิทธิ์ในฐานะตระกูลฟูจิคุระแล้วหากแต่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกไม่ได้ขาดไปด้วย พวกเขายังติดต่อครอบครัวของคุณตาเป็นระยะๆ พอเขาสูญเสียคุณพ่อและคุณแม่แล้วครอบครัวฝั่งคุณตาจึงต้อนรับเขากลับไปด้วยความยินดี เขาจึงใช้ชีวิตในฐานะหลานตาของครอบครัวฟูจิคุระนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
 
ปีแรกที่ญี่ปุ่นเขาเรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย จากวัยรุ่นร่างกายอุดมสมบูรณ์ก็กลับกลายมาสมส่วนเข้ารูปอันเนื่องมาจากไม่คุ้นชินกับอาหารบวกกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เขาสอบเข้ามหาลัยประจำภูมิภาคเรียนไปด้วยพร้อมกับทำธุรกิจร่วมกับเพื่อนๆ โดยเปิดไลน์แยกออกจากบริษัทพ่อของตระกูล ไม่นานเขาจึงกลายเป็นประธานหนุ่มอนาคตไกล
 
แม้ว่าชีวิตที่ประเทศญี่ปุ่นจะดูสดใส หากแต่ในใจกลับระลึกถึงความทรงจำดีๆที่ประเทศบ้านเกิดเสมอ เขารู้ดีว่าไม่อาจนำคุณพ่อและคุณแม่กลับคืนมาได้ ไม่สามารถย้อนเวลาได้ แต่เขากลับคะนึงหาเด็กน้อยร่างเล็ก ผิวขาวอมชมพูคนนั้น ‘น้องก้อนแป้ง’
 
จะเรียกว่าน้องได้รึป่าวเขาไม่แน่ใจ เพราะอายุห่างกันรอบกว่าๆ แต่เค้าก็เรียกว่าน้องมาโดยตลอด
 
ก้อนแป้งเป็นชื่อที่เขาตั้งให้ เนื่องจากเด็กชายมีผิวที่ขาวเนียนเหมือนแป้ง แถมยังนุ่มๆหยุ่นๆน่าสัมผัสอีกต่างหาก
 
ก้อนแป้งเป็นเหมือนแสงสว่างเล็กๆในมุมมืดของเขา ในยามที่เขาท้อแท้ หมดกำลังใจ ก็ได้มือเล็กๆของก้อนแป้งที่ตะปบลงบนใบหน้าของเขานั่นแหละคอยให้กำลังใจ
 
สมัยที่เขายังอยู่ประเทศไทยเขาจัดอยู่ในประเภทเด็กเนิร์ดติดบ้าน วันๆไม่ค่อยออกไปไหน ไม่พบป่ะใคร ชีวิตมีไปโรงเรียนแล้วก็กลับมาอยู่บ้าน บ้าน บ้าน ชีวิตอยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยม ยังดีที่มีน้องก้อนแป้งเป็นเพื่อนอยู่เสมอเลยไม่ค่อยเหงา อยู่กับเด็กน้อยน่ารัก บริสุทธิ์ไร้เดียงสาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่ต้องคอยปั้นแต่งรอยยิ้มเข้าสังคม หากคิดต่างก็อยู่กับคนหมู่มากไม่ได้ มีแต่ความแตกแยก เขาเบื่อสังคมแบบนั้น
 
ถ้าสมัยนั้นคุณแม่ไม่บังคับเขาให้มาซัมเมอร์ที่ญี่ปุ่น ตอนนี้เขาก็คงได้หลบหนีสังคมอันแสนรังเกียจไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่แล้ว
 
หากแต่หลังจากที่ต้องจากบ้านเกิดมาเริ่มชีวิตใหม่ที่ญี่ปุ่น เขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนตัวเอง หันมาออกกำลังกาย ขยันเรียนรู้หาความรู้ใหม่ โชคดีทีสมองดีเป็นทุนเดิมเลยเปลี่ยนแปลงได้ไม่ยาก แถมญาติๆฝั่งคุณตาก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี แม้ไม่ได้มอบความรักให้มากมายแต่ก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ออกจะมีชีวิตสุขสบายกว่าที่ประเทศไทยด้วยซ้ำ
 
เขามีลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมาก พี่อากิโตะเป็นลูกชายของคุณลุงที่อายุห่างจากเขาเกือบสิบปี พี่เป็นที่ปรึกษาที่ดีเสมอมา ดังนั้นเขาจึงเอ็นดูลูกชายของพี่มากเช่นกัน นับๆดูแล้วอายุของอากิน่าจะพอๆกับเจ้าตัวเล็กของเขาเหมือนกัน
 
คิดแล้วก็สงสัยก้อนแป้งน้อยและครอบครัวจะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะคุณตาเป็นคนจัดการเรื่องงานศพของคุณพ่อคุณแม่ ย้ายผมมาอยู่ญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว เขาจึงไม่รู่รายละเอียดของเพลิงไหม้ครั้งนั้นเลย เวลานั้นรู้เพียงแค่ว่าเขาได้สูญเสียครอบครัวไปอย่างไม่มีวันหวนกลับแล้ว
 
หลังจากที่เขาเรียนจบได้หลายปี เขาบังเอิญพบคนคุ้นตา ‘พี่ตู่’ เป็นพี่นักเขียนไส้แห้งที่เคยอาศัยอยู่ที่อพาร์ทเมนต์เดียวกับเขา แม้ว่าในทีแรกพี่ตู่จะจำเขาไม่ได้เลย แต่เขากลับจำพี่ตู่ได้ดี เพราะเป็นพวกอินดอร์เหมือนกันเขาเลยมีความสนิทสนมกับแกระดับหนึ่ง
 
พี่ตู่เป็นนักท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็คกำลังขายของงานประดิษฐ์เล็กๆน้อยๆ เพื่อหาเงินค่าตั๋วเครื่องบินสำหรับไปท่องเที่ยวยังประเทศต่อไป แกบอกว่าแกไม่มีบ้านให้กลับแล้วเลยออกเที่ยวทั่วโลกซะเลย เที่ยวไปด้วยเขียนหนังสือไปด้วย เขาว่าชีวิตแบบนี้ก็ดูอิสระดี
 
หลังจากได้พบกับพี่ตู่เขาถึงได้รู้ความจริงเบื้องหลังเหตุไฟไหม้อพาร์ทเมนต์แห่งนั้น พี่ตู่เล่าด้วยความคับแค้นใจว่า ช่วงก่อนที่จะเกิดไฟไหม้ชาวบ้านที่อยู่อาศัยกำลังมีข้อพิพาทกับเจ้าของห้างสรรพสินค้าซึ่งกำลังกว้านซื้อที่ดินโดยรอบ ขาดแต่ส่วนที่เป็นอพาร์ทเมนต์ที่ไม่ยอมขายให้ ทำให้โครงการใหญ่ระดับหลายร้อยล้านต้องหยุดชะงัก หากแต่อยู่ดีๆก็เกิดเพลิงไหม้ มีคนเสียชีวิต ทำให้อพาร์ทเมนต์แห่งนั้นไม่สามารถอยู่อาศัยได้อีก เป็นอันต้องยอมขายให้กับทางห้างนำไปพัฒนาต่อไป แม้ว่าสุดท้ายผู้เสียหายจะได้รับค่าชดเชยจำนวนมาก หากแต่สำหรับบางครอบครัวการเยียวยาที่ได้รับนั้นกลับไม่สามารถทดแทนสิ่งที่สูญเสียไปได้ ตำรวจสรุปสำนวนคดีเป็นไฟฟ้าลัดวงจร เป็นอุบัติเหตุที่เศร้าสลด ไม่มีผู้กระทำความผิดหากแต่ในใจลึกๆของผู้เสียหายทุกคนกลับรู้สาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้ดี เสียแต่กลัวอิทธิพลของอีกฝ่ายสุดท้ายจึงได้แต่จำยอม
 
เขากำมือแน่นด้วยแรงอารมณ์ นี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้ทราบรายละเอียดของเพลิงไหม้ครั้งนั้น หลังจากทราบข้อมูลบางส่วนจากพี่ตู่แล้ว เขาจึงเริ่มขุดคุ้ยหาข้อมูลเพลิงไหม้โดยละเอียด แล้วก็อดคิดถึงครอบครัวข้างๆห้องไม่ได้ ครอบครัวกิจการุณเหลือรอดเพียงคนเดียวคือลูกชายวัย 6 ขวบที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงช่วยออกมาได้ เด็กน้อยที่สูญเสียพ่อแม่ไปอยู่ในความดูแลของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่จัดตั้งขึ้นโดยมูลนิธิอัครเหมันต์
 
ก้อนแป้งยังมีชีวิตอยู่ หากแต่เด็กน้อยต้องเผชิญความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตคล้ายๆกับเขาหากแต่ยังเยาน์วัยกว่าเขานัก เด็กน้อยจะทนรับมันได้อย่างไร คิดแล้วยิ่งละเหี่ยใจ
 
นับจากนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะขยายธุระกิจไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ค่อยๆวางรากฐาน วางเส้นสายที่มั่นคง แม้อาจต้องใช้เวลาสักหน่อยแต่การรอคอยของเขาจะต้องคุ้มค่า
 
และแล้วก็ถึงวันที่เขาได้มาเยียนบ้านเกิดอีกครั้ง
 
“นั่นครับนาย เด็กผู้ชายคนนั้นคือคุณก้อนแป้ง” เคโตะเลขาที่เขาดึงตัวมาช่วยงานที่ประเทศไทย กล่าวพร้อมพายมือไปทางเด็กหนุ่มผอมแห้ง ผิวคล้ำ หัวเกรียน ท่าทีกวนส้น กำลังสตาร์ทรถจักรยานยนต์ที่เหลือแต่โครงเหล็กอยู่
 
“...........” นั่นใช่ก้อนแป้ง เด็กน้อยผิวขาวเนียนนุ่ม แก้มยุ้ยน่าบีบคนนั้นจริงๆหรือ ทำไมถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
 
“ครับคุณก้อนแป้ง นายปกรณ์ กิจการุณ” เหมือนเลขาเขาจะรู้ถึงความในใจจึงกล่าวย้ำอีกที
 
เท่าที่เขาสืบทราบมา ชีวิตในบ้านเด็กกำพร้าของก้อนแป้งก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เนื่องจากที่ศูนย์ฯแห่งนั้นเป็นมูลนิธิเอกชนที่ได้เงินสนับสนุนหลักจากครอบครับอัครเหมันต์ ที่ดูแลตลอดเรื่อยมา แต่ทำไมสภาพของก้อนแป้งที่เขาเห็นจริงได้กลายเป็นวัยรุ่นหัวโจกแบบนี้ไปได้
 
“ออกรถ” สงสัยต้องพิสูจน์กันสักหน่อยแล้วว่าเด็กคนนี้ใช่ก้อนแป้งของเขารึป่าว!
 
**************************************************************************************************
 
เด็กคนนั้นกำลังพนมมือ และบ่นพรึมพรำอยู่พักใหญ่ แล้วอยู่ๆปากก็พองลมขึ้นทำท่าทีเหมือนจะพ่นอะไรออกมา
 
“หยุดนะ อย่าพ่นมันออกมา” เขาตัดสินใจลดกระจกแล้วกล่าวออกไป แต่มันก็ไม่ทันการละอองน้ำกระทบใบหน้าพร้อมกลิ่นกระเทียมอ่อนๆ เขาไปแต่ขมวดคิ้ว
 
เด็กคนนั้นบอกว่าตนกำลังพรหมน้ำมนต์ ใช่เลย! นี้แหละเด็กน้อยบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ที่มีตรรกะป่วยๆ คิดไม่เหมือนคนปกติ นี้แหละก้อนแป้งของเขา
 
“เธอรู้มั๊ยว่าชั้นเป็นใคร” เขาถามออกไป หากแต่อีกฝ่ายหนึ่งกลับปฏิเสธไม่รู้จักเขา
 
งั้นรึ ดูท่าว่าก้อนแป้งจะจำเขาไม่ได้ ไม่แปลกหรอก เขาทิ้งเด็กคนนี้ไว้อย่างโดดเดี่ยวมายาวนานขนาดนี้ แต่ไม่เป็นไรหลังจากนี้เขาสามารถบันทึกความทรงจำดีๆให้กับก้อนแป้งได้ เขามาเพื่อการนั้น
 
หลังจากที่ได้พบก้อนแป้งอีกครั้งเขาจึงได้ทราบว่าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ก้อนแป้งอาศัยอยู่มีผู้ดูแลที่ทุกคนเรียกติดปากว่า ‘คุณแม่จุ๋ม’ เมื่อได้พบกับคุณแม่จุ๋มเขาก็ทราบได้ทันทีว่าลักษณะนิสัยของก้อนแป้งนั้นได้มาจากใคร เล่นถอดแบบมาจากคนเลี้ยงนี้เอง โดยเฉพาะความ ‘งก’ นั่น แต่เขากลับคิดว่าแบบนี้ก็น่ารักดี น่าเอ็นดู ชีวิตดูมีสีสันแบบแปลกๆ
 
ลึกๆแล้ว ไม่ว่าก้อนแป้งจะเป็นอย่างไร เขาก็รักก้อนแป้งในแบบที่ก้อนแป้งเป็นนั่นแหละ!
 
**************************************************************************************************
 
ในที่สุดเขาก็หาทางหว่านล้อมให้ก้อนแป้งย้ายมาอยู่กับเขาที่คอนโดได้ แม้ว่าจะไปๆกลับๆก็เถอะ กว่าจะยอมย้ายมาอยู่ด้วย เขาต้องเสียกำลังภายในหว่านล้อมคุณแม่จุ๋มไปไม่น้อย ดีหน่อยที่คุณแม่จุ๋มเธอหัวไว พูดคุยด้วยง่าย สุดท้ายเขาจึงได้ก้อนแป้งมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน
 
หากแต่เขาดีใจได้ไม่นานเมื่อแพลนที่วางไว้กระชั้นชิดเข้ามา ทั้งเรื่องงาน ทั้งเรื่องที่ให้นักสืบคอยตามสืบอยู่ เขาจำเป็นจะต้องบินไปกลับญี่ปุ่นเป็นว่าเล่นเพราะมีปัญหากับทางห้างที่ดิวงานกันไว้ เหมือนทางนั้นจะเริ่มระแคะระคายบางอย่าง แถมล็อตการผลิตล่าสุดที่โรงงานเกิดปัญหาไม่ผ่านคิวซีเขาจึงต้องกลับสาขาหลักเพื่อหาทางแก้ไข ยิ่งช่วงที่เขาติดประชุมที่ญี่ปุ่นยาวๆเขากลับได้ข่าวที่คาดไม่ถึงจากหลานชาย
 
‘ก้อนแป้งได้รับบาดเจ็บ’ ณ เวลานั้นเขายอมละทิ้งทุกอย่างที่เตรียมการไว้บินกลับมาดูแลคนรัก หากแต่ไม่นานก็ต้องกลับไปทำงานต่อทิ้งให้เด็กดื้ออยู่ตามลำพัง แต่เพียงไม่นานก็ได้รับข่าวที่น่าตกใจกว่าเดิม ครั้งนี้ถึงขั้นมีเรื่องชกต่อย ไม่พอยังพยายามปิดบังไม่ให้เขารับรู้อีก กว่าจะคาดคั้นเอาความจากหลานชายได้ ทางคุณแม่จุ๋มก็ดำเนินเรื่องจนจบลงไปแล้ว ‘ไม่เอาความ’ แต่เขาไม่อยากจบ!
 
พอดีกับที่พ่อของเด็กหัวโจกเป็นพนักงานระดับอาวุโสของบริษัทในเครือ ในเมื่อมีปัญหากับคนรักของเขา แถมกฎหมายยังเอาเรื่องอะไรไม่ได้ อย่างนั้นก็ไปอยู่ห่างๆเลยแล้วกันจะได้ไม่ก่อปัญหาอีก โรงงานใหม่กำลังอยู่ในช่วงก่อสร้าง ดังนั้นก็ย้ายไปคุมงานก่อสร้างเลยแล้วกัน แม้ว่าจะถูกพี่อากิโตะต่อว่าว่าใช้อำนาจโดยมิชอบ แต่เขาไม่สนใจหรอก เพราะคำกล่าวเสียงออดอ้อนว่า ‘รักนะครับ พี่ภูมิ’ มันเอาชนะได้ทุกอย่าง
 
**************************************************************************************************
 
วันนี้เขาพลาดไปแล้วจริงๆที่พาก้อนแป้งมาทานข้าวเย็นที่ห้างแห่งนี้  เป็นเพราะเขาห่วงงานไม่เข้าเรื่องนั่นแหละ เลยเป็นเหตุทำให้ก้อนแป้งต้องพบกับไอ้คุณอิศ!
 
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาพยายามสืบหาหลักฐานและพยานเพื่อจะเอาผิดครอบครัวอัครเหมันต์ แต่ก็จนด้วยอำนาจและอิทธิพลของฝ่ายนั้นมีมากกว่า รู้ว่าพวกมันทำผิดอยู่เต็มอกและกลับเอาผิดไม่ได้ แม้ว่าผู้ทำผิดจะเป็นรุ่นพ่อ แต่ลูกชายของมันดันมาเกาะแกะคนรักของเขา เขายิ่งพาลไม่ชอบหน้าไอ้คุณอิศอีกเท่าทวี
 
เขารู้ว่าก้อนแป้งเป็นคนมีเสน่ห์ แม่ว่าจะเป็นเสน่ห์แบบแปลกๆก็เถอะ แต่ไอ้คุณอิศดันมาติดห่วงเสน่ห์แปลกๆแบบนี้เข้า แถมคนของเราดันใสซื่อไม่รับรู้เบื้องลึกเบื้องหลังนั่นอีก
 
ตั้งแต่ได้อยู่กับก้อนแป้ง เขาก็ไม่อยากรื้อฟืนเรื่องราวในอดีตขึ้นมาอีก รู้ว่ามีแต่ความทรงที่เจ็บปวด ยิ่งรู้ว่าก้อนแป้งจำอะไรไม่ได้ งั้นก็ให้มันถูกฝังเก็บไว้ที่เขาคนเดียวจะดีกว่า
 
 หากแต่วันนี้เขาอดไม่ได้จริง ไอ้คุณอิศมันมายุ่งกับคนรักของเขาอีกแล้ว ทั้งๆที่เขาได้คุยเป็นการส่วนตัวไปแล้วแท้ๆ
 
“ทำอะไรกันหนะ” กว่าเขาจะปลีกตัวออกมาจากฝูงชนที่รายล้อมได้ ไอ้บ้านั่นเกือบพาก้อนแป้งหลุดหายไปจากครรลองสายตาของเขาแล้ว
 
ใจจริงเขาอยากชกหน้าหมอนั่นสักหมัด หากแต่ด้วยสัญญาทางธุรกิจจึงจำเป็นรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ สุดท้ายจึงยอมคุยตกลงกันอีกครั้ง โดยที่ฝ่ายนั้นเป็นคนพูดเรื่องที่เขาพยามยามไม่รื้อฟืนขึ้นมาก่อนจนเป็นเหตุให้ก้อนแป้งรู้ความจริง
 
เขาต้องขอบคุณไอ้คุณอิศหรือไม่ที่ทำให้ก้อนแป้งจดจำเขาได้
 
ไม่! เขาไม่ขอบคุณ
 
สุดท้ายเขาตัดสินใจขอพบนายอดิศักดิ์ อยากเห็นกับตาว่าฝ่ายนั้นได้รับกรรมที่ก่อแล้ว เมื่อได้เห็นสภาพของฝ่ายนั้นความคับข้องใจของเขาก็เบาบางลง ยิ่งเมื่อมีก้อนแป้งเทศนาอยู่ใกล้ๆ ใจเขายิ่งพลันสงบลง เขาปล่อยวางแล้ว เรื่องราวในอดีตก็ปล่อยให้มันเป็นอดีตไป หลังจากนี้เขาจะร่วมสร้างอนาคตกับก้อนแป้ง
 
ก่อนอื่นก็อนาคตอันใกล้ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของก้อนแป้งแล้ว
 
วันเกิดอายุครบ 18 ปี ที่เขารอคอย!

********************************************************************************************

ยังมีตอนพิเศษของอิตาคุณลุงอิศต่อคร่าาาาาา  o18

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ nethang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ต่อด้วยคุณลุงอิศ คนแก่ขออนุญาติออกมาบ่นค่ะ  o18

********************************************************************************************

side story 2 อดิศร อัครเหมันต์
 
------------------ผมในวัย 25 ปี-------------------
 
“ปังงงงง! คุณพ่อทำอย่างนี้ได้ยังไงครับ” เสียงตบโต๊ะอย่างแรงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ผมแสดงอารมณ์โกรธ ไม่พอใจ ผิดหวัง หลากหลายปะดังปะเดเข้าใส่ สุดท้ายได้แต่จ้องหน้าถูกเป็นพ่อด้วยแววตาหมดหวัง
 
หลังจากที่ผมเรียนจบ MBA จาก แคลิฟอร์เนีย ยู ผมก็เข้าทำงานในบริษัทของคุณพ่อซึ่งตอนนี้กำลังมีโปรเจคใหญ่ เป็นการร่วมทุนสร้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมือง มูลค่าหลายร้อยล้าน
 
คุณพ่อมอบหมายให้ผมรับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป ยังไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจวาระสำคัญของบริษัท เนื่องจากยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน ทั้งๆที่ผมอยากดูแลเกี่ยวกับการวางแผนโครงการมากกว่า ส่วนด้านมวลชนที่มีปัญหาการขัดแย้งรุนแรงนั้น คุณพ่อและคุณลุงเป็นผู้ดูแลโดยตรง
 
ผมที่เคยตั้งเป้าหมายในการทำธุระกิจอย่างขาวสะอาด ปราศจากทุจริต อยากใช้ความรู้ความสามารถที่ร่ำเรียนมาให้คุ้มค่า อยากแสดงความสามารถของตนเองให้คนรอบตัวเห็น แต่เมื่อเข้ามาสัมผัสกับการทำงานจริงๆกลับพบว่า โลกที่พวกเราอาศัยอยู่นั้นล้วนหลอกลวง หวังผลประโยชน์ และน่ารังเกียจเพียงใด
 
“คุณพ่อยอมทำตามวิธีของคุณลุงได้ยังไง” ผมดันหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดไปที่ตรงหน้าคุณพ่อ
 
พาดหัวข่าวเขียนถึงเหตุเพลิงไหม้ย่านอพาร์ทเมนต์ใจกลางเมือง ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนสาเหตุของเพลิงไหม้เกิดจากไฟฟฟ้าลัดวงจร
 
“ไฟฟ้าลัดวงจรงั้นเหรอ” ผมอยากจะหัวเราะ ผมเคยแอบได้ยินคุณลุงเปรยวิธีการข่มขู่และไล่ที่ชาวบ้านให้คุณพ่อฟัง แต่ไม่คิดเลยว่าคุณพ่อจะยอมทำตามวิธีทุเรศๆแบบนี้
 
“พ่อยัดเงินตำรวจมันไปเท่าไหร่...ไหนจะนักข่าวอีก” ผมมองจับจ้องเข้าไปดวงตาของคุณพ่อที่ยังนิ่งเงียบ ไม่ยอมตอบคำถาม หัวคิ้วของคุณพ่อขมวดแน่นราวกับกำลังระงับอารมณ์
 
หลังจากนั้นไม่นานโปรเจคสร้างห้างสรรพสินค้าของเราก็ดำเนินการต่อไปอย่างราบรื่นไม่พบปัญหาใดๆอีก และนับเป็นจุดสิ้นสุดของปณิธานที่ผมตั้งไว้ในการดำเนินธุระกิจอย่างขาวสะอาด เมื่อผมได้ค้นพบว่าในชีวิตจริงนั้นไม่มีสีขาว ไม่มีสีดำ มีแต่สีเทาที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ว่าจะเป็นเทาเข้มหรือเทาอ่อนตามสถานการณ์
 
สำหรับตัวผมนั้นพยายามจะดำเนินชีวิตด้วยสีเทาเฉดที่อ่อนที่สุดเท่าที่ทำได้
 
------------------ผมในวัย 30 ปี-------------------
 
คุณพ่อเป็นอัมพาต!
 
หลังจากที่โปรเจคก่อสร้างห้างสรรพสินค้าแล้วเสร็จ เปิดตัวได้ปีเศษคุณพ่อท่านก็ล้ม จะด้วยสาเหตุของสุขภาพหรือความเครียดส่งผลให้คุณพ่อเส้นเลือดในสมองแตกกลายเป็นอัมพาต อาการของคุณพ่อค่อยๆรุนแรงขึ้นจนในที่สุดท่านก็พูดคุยไม่ได้อีก
 
ประโยคสุดท้ายที่ท่านกล่าวกับผมคือ ‘พ่อเสียใจ’ ผมไม่แน่ใจว่าท่านเสียใจเรื่องอะไร จะใช่เรื่องเดียวกันกับที่ค้างคาใจผมมาร่วม 5 ปีรึป่าว แต่จากแววตาของคุณพ่อผมคิดว่าใช่
 
ผมต้องขึ้นบริหารบริษัทในวัยเพียง 30 ปี ถึงเวลาที่ผมจะได้แสดงศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่เสียที
 
หลังจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ บริษัทของเราก็แสดงตัวเป็นนายทุนใหญ่ใจบุญ จัดตั้งมูลนิธิอัครเหมันต์เพื่อดูแลผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ร้ายต่างๆ โดยดำเนินการต่อเนื่องมาครบปีที่ 5 แล้ว แม้ว่าผู้จัดตั้งมูลนิธิจะเป็นคุณพ่อ แต่ผู้ที่เป็นคนต้นคิดและลงแรงหลักคือพี่จุ๋ม
 
พี่จุ๋มเป็นพี่สาวคนโตของผม ผู้ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของคุณพ่อเช่นเดียวกัน หากแต่พี่จุ๋มเป็นหญิงแกร่งเมื่อตัดสินใจแล้วก็เก็บข้าวของออกจากบ้านไปดูแลเด็กๆกำพร้ายังศูนย์เลี้ยงเด็กที่พี่จุ๋มจัดตั้งขึ้นภายในการสนับสนุนจากมูลนิธิอัครเหมันต์
 
แรกเริ่มศูนย์ฯแห่งนี้รับดูแลเด็กกำพร้าผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไฟไหม้ หากแต่ต่อมาก็มีการรับเด็กกำพร้าจากเหตุร้ายต่างๆมาดูแลเพิ่มมากขึ้น
 
ผมเคยไปที่ศูนย์ฯไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่ไปผมมักจะสะดุดตากับเด็กน้อยผิวขาวเนียนคนหนึ่ง เด็กคนนั้นเป็นเด็กกำพร้าจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ ‘หนูกร’ สูญเสียคุณพ่อและคุณแม่ในวันเดียวกัน ผมถือว่าหนูกรเป็นเด็กที่โชคร้ายมากที่ต้องมาประสบความสูญเสียตั้งแต่อายุยังน้อย ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากน้ำมือคนในครอบครัวของผม
 
ด้วยความละอายใจหลังจากนั้นผมก็พยายามไม่ไปที่ศูนย์ฯอีก หากแต่วันนี้มีความจำเป็นต้องมาพบพี่จุ๋มที่นี้ ดังนั้น ณ เวลานี้ผมจึงนั่งอยู่กลางห้องรับแขก ซึ่งมีเด็กๆวิ่งเล่นไปมา มองดูบรรยากาศรอบๆแล้วถือว่าน่าอยู่ คุณภาพชีวิตของเด็กที่นี่ถือว่าไม่เลวนัก
 
“ลุงๆ...คุณแม่ให้เอาน้ำมาให้” เด็กน้อยอายุราวๆสิบขวบ ใช้มือดึงชายเสื้อของผมเพื่อเรียกร้องความสนใจ แล้วจึงประคองแก้วน้ำเย็นๆมาวางไว้ใกล้ๆ
 
ผมสะดุ้งตกใจเล็กน้อย ‘ลุง’ งั้นรึ ผมเพิ่งจะ 30 เองนะ โดนเรียกลุงซะแล้ว แต่ก็นะในสายตาเด็กๆ ผู้ใหญ่ทุกคนถือเป็นลุงเป็นป้าไปหมดนั่นแหละ
 
ผมพิจารณาเด็กน้อยที่นำน้ำมาให้ ใบหน้านี้ โครงหน้าแบบนี้ที่ผมมักสะดุดตาบ่อยๆ เด็กคนนี้คือ ‘หนูกร’ หากแต่สีผิวที่เคยขาวเนียนน่าสัมผัส ตอนนี้กลับดำคล้ำขึ้น 
 
ออ ที่นี่คงแดดแรงมากสินะ พรุ่งนี้ผมจะให้คนสวนเอาต้นไม้ใหญ่มาลง!
 
------------------ผมในวัย 35 ปี-------------------
 
“นายครับ...ผลการเรียนของคุณกรครับ” เลขาส่งเอกสารผลการเรียนเทอมล่าสุดของหนูกรให้ผม
 
ผลการเรียนมอสามเทอมที่หนึ่ง เกรดเฉลี่ย 3.98
 
ผมขมวดคิ้วกับผลการเรียนนั้น หนูกรเรียนที่โรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง นับตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยมต้นมาผลการเรียนของหนูกรดีขึ้นเรื่อยๆ จนผมรู้สึกเสียดายความสามารถของเด็กคนนึงที่จะต้องจมอยู่กับการศึกษาภาคบังคับของประเทศที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของนักเรียนได้
 
“ให้ย้ายไปที่เซนต์คาร์เต้อ” ผมกล่าวสั่งเรียบๆกับเลขาที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยิน
 
“แล้วเด็กคนอื่นๆหละครับนาย” เลขาพยายามทักท้วง ผมเข้าใจครับว่ามันเป็นการสองมาตรฐาน หากหนูกรได้ย้ายไปเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดัง แล้วเด็กกำพร้าคนอื่นๆจะมองหนูกรอย่างไร
 
“ให้สอบชิงทุน” ผมจัดการแก้ไขปัญหาง่ายๆ ฉลาดระดับหนูกรยังไงก็สอบขอทุนเรียนได้อยู่แล้ว ผมก็แค่ตั้งทุนการศึกษาไว้รอให้หนูกรไปสอบเท่านั้น
 
นับตั้งแต่ได้พบหนูกรอีกครั้งเมื่อ 5 ปีก่อน ผมก็ไม่สามารถตัดภาพเด็กตัวดำคล้ำออกจากสมองได้เลย แม้ว่าจะไม่ได้พบหน้าแต่ก็ยังระลึกถึงเสมอ สุดท้ายจึงสั่งให้รายงานสถานะการณ์ของหนูกรเป็นระยะๆ คอยดูแลอยู่ห่างๆ คอยจัดการสิ่งจำเป็นต่างๆ ไม่ให้หนูกรต้องขาดเหลืออะไร และผมคิดว่าคงจะทำแบบนี้ต่อไป ถือซะว่าเป็นการชดเชยความรู้สึกผิดในใจของผม อีกทั้งการคอยเฝ้าดูเด็กคนนี้เติบโตขึ้นก็เป็นความสุขหนึ่งในชีวิตของผมด้วยเช่นกัน
 
------------------ผมในวัย 40 ปี-------------------
 
ผมคิดว่าผมไม่จำเป็นต้องดูแลหนูกรอีกแล้ว เพราะหนูกรมีคนที่รักคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง
 
ทุกวันนี้หนูกรย้ายออกจากศูนย์ฯแล้ว ย้ายไปอยู่กับคุณภูมิพัฒน์อย่างถาวร ออกห่างจากสายตาของผมไปเรื่อยๆ
 
หลายปีก่อนมีโอกาสได้พบกับหนูกรผ่านทางคุณภูมิพัฒน์ ทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงตัว หนูกรจำผมไม่ได้ ก็สมควรอยู่หรอก เพราะเราเจอกันแค่เพียงครั้งเดียวในสมัยที่หนูกรยังเด็กมาก หนูกรไม่รู้จักผม มีแต่ผมที่รู้จักหนูกรฝ่ายเดียว
 
ผมเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคุณภูมิพัฒน์กับหนูกรแล้วเกิดริษยาอยากใกล้ชิดกับหนูกรแบบนั้นบ้าง หากแต่คุณภูมิพัฒน์กลับดูไม่ชอบหน้าผมชอบกล จนผมได้พบความจริงที่ว่าคุณภูมิพัฒน์ก็เป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์ไฟไหม้ในอดีต ไม่แปลกเลยที่เขาจะไม่ชอบผม
 
จนในที่สุดความจริงก็ถูกเปิดเผย ทำให้หนูกรได้รื้อฟืนความทรงจำในอดีต หากแต่หนูกรเป็นเด็กที่เติบโตมาอย่างดีอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้ ไม่โกรธ ไม่คิดแค้น และปล่อยวาง หนูกรยกโทษและอโหสิกรรมให้กับคุณพ่อ
 
ดังนั้นผมก็จะขอปล่อยวางตามแนวธรรมะที่หนูกรได้กล่าวไว้เช่นกัน
 
วันนี้ผมตัดสินใจปล่อยหนูกรให้จากไป ไปจากสายตา ไปจากความคิด ไปกับคนอีกคนที่จะดูแลหนูกรแทนผม
 
เฮ้อออออ ความรู้สึกช่างเหมือนปล่อยลูกน้อยจากอ้อมอกจริงๆ
 
------------------ผมในวัย 45 ปี-------------------
 
ผมคิดว่าผมปล่อยวางไม่ลงแล้ววววววววววววววววววว
 
ไอ้คุณภูมิพัฒน์มันส่งรูปงานแต่งงานของมันกับหนูกรมาเย้ยหยันผม ไม่นานหลังจากที่หนูกรเรียนจบปริญญาโท ไอ้เจ้าบ้านั่นมันก็ลากหนูกรไปจดทะเบียนกันที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
 
ทำอย่างนี้ได้ยังไง ข้ามหน้าข้ามตาผมชัดๆ
 
รับไม่ได้ ผมต้องรีบไปขัดขวาง
 
“เอก เตรียมเอาเครื่องบินขึ้น ชั้นจะไปแมสซาชูเซตส์” ผมรีบสั่งเลขาทันทีที่ได้เห็นรูปชายหนุ่มในชุดขาวสองคนยืนกอดกัน
 
รอก่อนนะหนูกร อย่าเพิ่งตอบตกลงนะ!

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

คิดว่าจะสำเร็จดังหวังเหรอ  คุณลุงอิศ?

ออฟไลน์ nethang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
side story 3 อากิระ ฟูจิคุระ
 
ปิดเทอมนี้พวกเรามีแผนไปเที่ยวทะเลกันครับ
 
ไม่สิ ไม่ใช่แผนไปเที่ยวทะเล ต้องเรียกว่าแผนสร้างสถานการณ์พบหน้าซะมากกว่า
 
หลังจากที่ได้ยินคุณอาบ่นผ่านๆหูว่าอยากไปเที่ยวพักผ่อนกับกรบ้าง เพราะช่วงนี้ได้แต่ตามไปส่องดูที่หน้าโรงเรียน ผมถึงได้เสนอไอเดียเที่ยวทะเลนี้ขึ้นมา
 
สรุปว่าหลอกกรไปทำความสะอาดบ้านให้คุณอาสัก 3 วัน แล้วหลังจากนั้นค่อยอยู่เที่ยวกันต่อ
 
ส่วนผมหนะเหรอ ก็เหมารวมเป็นการพักผ่อนยาวๆตลอดทริปเลยแล้วกันครับ
 
ผมไม่ค่อยชอบทะเลแผ่นดินใหญ่ของประเทศไทยสักเท่าไหร่ น้ำทะเลดูสกปรกแถมมีเศษขยะปนเปื้อนอีกต่างหาก แต่หากถูกใจเกาะกลางมหาสุมทรที่สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันครับ สำหรับครั้งนี้ไปที่หัวหินเห็นทีจะสะดวกที่สุด เพราะเราจะไม่โฟกัสที่สถานที่แต่จะโฟกัสที่คนร่วมทริปครับ
 
กว่าพวกเราจะเดินทางไปถึงบ้านพักก็เย็นมากแล้วครับ ผมชี้ให้กรดูบ้านของคุณอาที่กรจะต้องไปทำความสะอาดพางกลืนน้ำลาย ยามพลบค่ำแบบนี้ยิ่งส่งเสริมให้บรรยากาศของบ้านหลังนั้นดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น เอาเป็นว่าผมยอมสละพระพุทธรูปให้กรอันเชิญติดตัวไปดีกว่า ผมก็มีความเป็นห่วงเพื่อนระดับหนึ่ง
 
วันแรกที่กรเริ่มงาน หลังจากที่ไปส่งอาหารเที่ยงให้กรแล้ว ในที่สุดผมก็ได้อยู่กับมาร์คสองต่อสองสักที  วันนี้เราเข้าตัวเมืองไปเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ไปกราบพระที่วัดห้วยมงคล ต่อด้วยเช็คอินร้านกาแฟที่เพลินวาน และไม่ลืมที่จะแวะซื้อวัตถุดิบสำหรับทำบาบีคิวที่ตลาดฉัตรไชยก่อนกลับไปรอกรเลิกงาน สุดท้ายก็แยกย้ายกันเข้านอน เพื่อเตรียมตัวไปเที่ยวต่อวันพรุ่งนี้
 
ผมนอนกระสับกระส่ายทั้งคืน นอนไม่หลับเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้
 
ผมไม่เข้าใจความรู้สึกของมาร์คเลย มาร์คไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันกับผมหรอกเหรอ หรือผมเข้าใจผิดไปเอง คิดไปคนเดียว คิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป
 
ทำไมวันนี้มาร์คทำตัวแปลกๆไม่เหมือนเคย เวลาเดินเที่ยวก็เดินอยู่ห่างๆ ไม่ค่อยพูดถามคำตอบคำ แถมยังเข้านอนเร็วอีกต่างหาก ถ้าเป็นปกติจะต้องงอแงมาขอนอนด้วยโดยอ้างว่ากลัวผีแท้ๆ
 
หรือผมยังแสดงออกไม่ชัดเจนว่าผมก็มีใจให้มาร์คเหมือนกัน
 
หรืออาจเป็นเพราะผมแสดงออกชัดเจนเกินไป จนมาร์คตีตัวออกห่าง เพราะแท้จริงแล้วมาร์คคิดกับผมแค่เพื่อน
 
ต่างจากที่ผมคิดกับมาร์คไปมากกว่านั้น
 
เฮ้อออออออ แล้วพรุ่งนี้ผมจะทำยังไงดี
 
ท้ายที่สุดผมก็ผลอยหลับไป ตื่นมาอีกทีก็ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว กรไปทำงานแล้ว ส่วนมาร์คก็หายตัวไปไหนก็ไม่รู้ กลายเป็นผมต้องมานั่งเหงาอยู่ในบ้านคนเดียว นิไม่ใช่ทริปในฝันที่ผมจินตนาการไว้แน่นอน ผมควรจะได้ไปเที่ยวสองต่อสองกับมาร์คสิ ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้
 
“ลุงพลครับ มาร์คไปไหนครับ” ผมหันไปถามคุณลุงคนขับรถที่อยู่ละแวกนั้น รถตู้ก็ยังอยู่แปลว่าไม่ได้ไปไหนไกล
 
“ออ...คุณมาร์คขี่เจ็ทสกีออกไปเที่ยวครับ” อะไรกันครับนี่ มาร์คไปเที่ยวไม่ชวนกันสักคำ
 
ผมจะงอนจริงๆแล้วนะ
 
เฮ้อ...สงสัยผมจะคิดไปเองคนเดียวจริงๆ
 
**************************************************************************************************
 
“อากิ อากิ...ตื่นๆ” เสียงเรียกเบาๆ พร้อมปลายนิ้วกำลังลูบไล้ใบหน้าอย่างอ่อนโยน
 
ผมสะดุ้งตื่น อ่าว นี้ผมเผลอนอนหลับกลางวันไปแน่เลย
 
“อ่าว...มาร์ค กลับมาแล้วเหรอครับ” ผมถามกลับคนที่ผมเฝ้ารออยู่
 
“ใช่ๆ ตื่นเร็ว ไปเที่ยวกันเถอะ” มาร์คพยายามลากผมให้ลุกขึ้น
 
“จะไปที่ไหนครับมาร์ค” ผมถามแบบงงๆ แต่ก็ยอมเดินตามมาด้วย เผลอแปปเดียวผมก็ซ้อนท้ายบนเจ็ทสกีซะแล้ว
 
“เกาะหนะ เราไปเจอเกาะแห่งนึง บรรยากาศดีมากเลย” มาร์คว่าพางบิดคันเร่งให้เร็วขึ้น
 
“ช้าๆหน่อยครับมาร์ค ผมกลัวตก” ผมรีบกอดเอวมาร์คเอาไว้ แรงลมที่กระแทกอาจทำให้ผมปลิวไปได้จริงๆ
 
หลังจากที่ผมกล่าวจบ เจ็ทสกีก็ผ่อนความเร็วลง แต่ผมก็ไม่ได้ปล่อยมือที่โอบเอวของมาร์คไว้แต่อย่างใด
 
ว๊าวววววววว ที่นี่บรรยากาศดีอย่างที่มาร์คบอกจริงๆด้วย แถมน้ำทะเลก็ใส๊ใสอีกต่างหาก ทั้งๆที่เกาะนี้ห่างจากบ้านพักเราไม่มากนัก แต่บรรยากาศคนละเรื่องเลยครับ บรรยากาศที่แสนคุ้นเคย เพราะมาที่นี่บ่อยๆ
 
ออ...ที่นี่เกาะส่วนตัวของคุณอาครับ
 
-”-
 
“มาร์คเก่งจริงๆที่หาที่สวยๆแบบนี้เจอ ขอบคุณนะครับมาร์คที่พามา” ผมหันไปขอบใจคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เนียนๆว่าเพิ่งเคยมาแล้วกันครับ
 
เราสองคนกำลังนั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกอยู่ที่ชายหาด คลื่นซัดหาดทรายเบาๆ ลมพัดผ่านเย็นชื่นใจ มีฝูงนกนางนวลบินตัดผ่านเบื้องหน้า
 
ผมเฝ้ามองเงาพระอาทิตย์ที่สะท้อนอยู่เหนือผิวน้ำเงียบๆ ซึมซับบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกนี้
 
แม้ว่าความสัมพันธ์ของเราจะไม่ชัดเจน แต่ในเวลาแบบนี้มาร์คก็เป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว แค่ได้นั่งเงียบๆอยู่กับมาร์คสองคนแบบนี้ผมก็พอใจแล้ว
 
“อากิ” อยู่ๆมาร์คที่นั่งสงบมาตลอดก็กล่าวทำลายความเงียบ
 
“อ่า...ครับมาร์ค” ผมตอบรับไปเบาๆ
 
“อากิเห็นพระอาทิตย์นั่นไหม” มาร์คถามพร้อมชี้มือไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า ผมพยักหน้าเบาๆ
 
“เราอยากเห็นพระอาทิตย์ตกพร้อมๆกับอากิ อยากเห็นพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันด้วย อยากให้ทุกๆวันของอากิมีเราและทุกวันของเรามีอากิ ให้เรามีกันและกัน อากิจะรังเกียจมั๊ย ถ้าเรา เอ่อออ เรา จะ ….. ขอ เอ่อ…..” มาร์คพูดยาวเหยียด
 
เอ๊ะ! มาร์คพูดอะไร ผมฟังไม่ค่อยเข้าใจ คือมาร์คพูดเร็วมาก แถมประโยคยังยาวมากอีกต่างหาก พูดถึงพระอาทิตย์ กับอะไรสักอย่างทุกๆวัน แต่ท่าทางของมาร์คดูเครียดมาก
 
“เอ่อ...อ่า...ถ้า…เอ่ออออออ” ไม่นะบรรยากาศดีๆ สุดแสนจะโรแมนติกแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ผมไม่ยอมให้มาร์คมาทำลายบรรยากาศด้วยการพูดเอ่อๆอ่าๆแน่นอน
 
“ผมชอบมาร์คครับ มาร์คคบกับผมได้มั๊ยครับ” ผมกลั้นใจบอกออกไป ขอผมฉวยโอกาสที่มาร์คยังเอ่อๆอ่าๆ อาศัยบรรยากาศโรแมนติกนี้ขอมาร์คเป็นแฟนซะเลย
 
ถ้าไม่บอกวันนี้จะบอกวันไหน โอกาสอยู่สองต่อสองไม่ใช่ว่าจะมีบ่อยๆ
 
มาร์คตกใจเบิกตากว้าง อาการเอ่อๆอ่าๆหายไป กลายเป็นอ้าปากกว้างไม่หุบ
 
“หรือว่ามาร์ครังเกียจผม” ผมคงจะเสียใจมากถ้าเป็นอย่างนั้น
 
“มะ...ไม่รังเกียจ คบกันนะ” พอมาร์ครู้สึกตัวก็หุบปากลงแล้วรีบส่ายหน้า พยักหน้า อย่างเลือกไม่ถูก
 
“จริงเหรอครับ” ผมดีใจสุดขีดรีบโผเข้ากอดคนข้างๆ แล้วถามย้ำ
 
“อืม เราเป็นแฟนกันนะ” ร่างสูงด้านข้างยกแขนขึ้นมาโอบกอด ก่อนพูดย้ำให้ความมั่นใจแก่ผม แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากเบาๆ ท่ามกลางบรรยากาศพระอาทิตย์ตกริมทะเลสุดแสนจะโรแมนติก
 
ดีจริงๆที่ผมรวบรวมความกล้าสารภาพรักกับมาร์ค แถมฝ่ายนั้นยังตอบรับรักผมอีกต่างหาก
 
ผมกระชับอ้อมแขนกอดตอบร่างสูง โดยแอบมองสีหน้าดีอกดีใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกของอีกฝ่าย
 
ดูเหมือนว่าคนที่ดีใจจะไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวสินะ
 
แขนแกร่งกอดรัดผมให้แน่นขึ้น เราอยู่ด้วยกันจนพระบาอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ก่อนจะจำใจกลับที่พัก เพราะกลัวว่ากรจะรอ
 
เฮ้อ เอาไว้ครั้งหน้าเราค่อยมากันใหม่แค่สองคนก็แล้วกัน มาโดยไม่ต้องมี กขค. นะครับ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nethang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Side story 4 ปรมัตถ์ อภิวัฒนา
 
ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด เสียงเป่านกหวีดจบควอเตอร์ที่ 3
 
“กูว่าควอเตอร์สุดท้ายเปลี่ยนแผนดีกว่าหวะ ไอ้กรแม่ง...เมิงไปเป็นพอยต์การ์ดเลย กูส่งลูกให้ตั้งหลายรอบเสือกชูตไม่ลง ไอ้โอ๊ตเมิงเล่นชูตติ้งการ์ดแทนไอ้กรมัน” ผมบ่นไอ้เพื่อนรักอย่างจริงจัง แมร่งมันเอาความไว้เนื้อเชื่อใจที่ผมมอบให้ไปละลายลงแม่น้ำ
 
แมร่งงงงง เดี๋ยวปลดให้ไปนั่งเป็นตัวสำรองซะเลย
 
“เอาแล้วไงครับ ทีมสีแดงทำคะแนนขึ้นนำได้ด้วยลูกชูต 3 แต้มจากพี่บิ๊กเบอร์ 3 นั่นเอง สีม่วงจะทำยังไงต่อไป ตอนนี้เวลาเหลืออีกแค่ 2 นาทีก็จะจบเกมส์แล้ว” เสียงพิธีกรข้างสนามประกาศ ผมหันไปมองที่สกอร์บอร์ด ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่ไอ้กรตัวต้นเหตุ แล้วยกนิ้วโป้งปาดคอส่งให้มันไปทีนึง
 
“เฮ้ยยยย ถอยเว๊ย ถอย” ต้องถอยด่วนครับอีกฝ่ายบุกกลับแล้ว แถมคนที่ตั้งรออยู่มีแค่ไอ้กรคนเดียวอีก
 
โธ่! จบกัน ความรักครั้งนี้ของผม จะไปหวังพึ่งอะไรจากไอ้กรมันได้ คิดแล้วน้ำตาจะไหล
 
ถ้าเกมส์นี้ไม่ชนะ หรือว่าหนีตามกันดีวะ!
 
“ปี๊ดดดดด” มัวแต่คิดเพลินๆ กรรมการก็เป่าฟาลว์ อ่าฮะ สมน้ำหน้า สมน้ำหน้าไอ้กรนั่นแหละ กรรมตามสนองมันแล้ว ยังมีหน้าอาสาชูตลูกโทษอีกนะ
 
“ปี๊ดดดดด...แคร้งงงง...ผุบ” โหสิครับเสือกลงอีก สุดท้ายเลยต้องขอบอกขอบใจมันเพราะมันเป็นคนทำคะแนนปิดเกมส์ แถมยังช่วยกู้สถานการณ์ทำให้พวกเราพลิกกลับมาชนะได้อีก
 
โหสิเพื่อน สมกับที่เมิงเป็นเพื่อนเลิฟกูจริงๆ กูยอมเรียกเมิงว่าเทพกรก็ได้!
 
อากิวิ่งเข้ามาสวมกอดผมด้วยความดีใจ ผมเลยหอมแก้มอากิไปฟ้อดใหญ่ ใจจริงไม่ได้อยากหยุดแค่หอมแก้มแต่ตรงนี้คนเยอะครับ ไว้ค่อยไปต่อที่คอนโดแล้วกัน
 
“ดีใจด้วยนะครับมาร์ค...ในที่สุด...ในที่สุดก็…” อากิหอบหายใจด้วยความตื่นเต้น พูดไม่จบประโยคก็หน้าแดงเรื่อขึ้นมา
 
“ในที่สุดคุณลุงก็จะยอมรับเรื่องของเราสักที” ใช่ครับ ผมเป็นคนต่อไห้จบประโยคเอง
 
ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปประเทศญี่ปุ่น ไปพบครอบครัวฟูจิคุระ คฤหาสน์ตระกูลตั้งอยู่ชาญเมืองโตเกียว เพียงแค่เห็นรั้วของตัวคฤหาสน์ผมก็พอจะเดาได้ว่าตระกูลของอากิจะต้องมีประวัติความเป็นมายาวนานร้อยปีอัพแน่นอน แถมทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปเหยียบพื้นดินก็ได้รับรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากคุณลุงอากิโตะ คุณพ่อของอากิซึ่งยืนรออยู่หน้าประตู ด้านข้างมีหญิงสาวตัวเล็กหน้าตาหน้ารัก ไม่ต้องเดาเลยก็รู้ว่านั่นคือคุณแม่ของอากิ ผมยกมือไหว้ท่านทั้งสอง คุณป้าส่งรอยยิ้มให้ผมทันทีที่เจอหน้า หากแต่เมื่อหันไปสบสบตากับคุณลุงเข้าจะพบว่าไม่ใช่รอยยิ้มแต่กลับเป็นรอยอาฆาตแทน สรุปคือคุณลุงไม่ชอบหน้าผมอย่างรุนแรงเลยครับ แต่ด้วยกลัวลูกชายคนเล็กจะสะเทือนใจจริงเก๊กขรึมไว้ แต่ก็คอยกันท่าพวกเราอยู่ตลอดเวลา
 
สุดท้ายผมทนความอึดอัดนี้ไม่ไหว ประกาศต่อรองกับคุณลุงไปว่าต้องทำยังไงคุณลุงถึงจะยอมรับเรื่องของเรา ไปๆมาๆผมเลยต้องเดิมพันกับสิ่งที่ผมรักมากคือกีฬาบาสเก็ตบอล ถ้ากีฬาสีปีนี้ผมได้เป็นแชมป์คุณลุงแกจะยอมเลิกกีดกันความรักของพวกเราสักที
 
แล้วผลก็อย่างที่เห็นแหละครับ
 
นิคือเหรียญทองพร้อมถ้วยรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศงานแข่งขันกีฬาสีประจำปี 2019 อากิถ่ายรูปเหรียญทองและถ้วยรางวัลที่ได้ส่งไปให้คุณพ่อดูพร้อมข้อความสั้นๆ ‘มาร์คชนะแล้วครับ’ เป็นการยืนยัน
 
ฝ่ายนั้นอ่านแล้วส่งข้อความสั้นๆเป็นเชิงตอบรับว่า ‘อืม’
 
เอาเป็นว่าพวกเราแจ้งให้ทราบแล้วคุณลุงก็รับทราบแล้วนะครับ การพนันครั้งนี้ผู้ชนะคือพวกผม หวังว่าคุณลุงจะเลิกตั้งแง่กับผมสักที ผมอยากใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขครับ
 
หึ...หึ...หึ…
 
คืนนี้ต้องกลับไปฉลองงงงงงงง ซะหน่อย
 
คิดแล้วก็ก้มลงไปหอมแก้มอากิอีกครั้ง
 
เฮ้อ...ไม่อยากรอให้ถึงคืนนี้เลย หรือว่าโดดเชียร์ตอนบ่ายดี ร้อนก็ร้อน เหงื่อก็เหม็น สู้เอาเวลาไปสวีทกับอากิสองต่อสองดีกว่า
 
ว่าแล้วกำลังจะเอ่ยชวนแฟนหนุ่มข้างๆกาย
 
“แย่แล้วครับมาร์ค กรได้รับบาดเจ็บ” เสียงเล็กๆพร้อมใบหน้าตื่นตระหนกกล่าว
 
เอ๊ะ! บาดเจ็บไรวะ ไอ้กรมันไปแข่งเปตองต่อไม่ใช่เหรอ หรือมีคนโยนลูกเหล็กใส่หัวมันข้อหาหมั่นไส้
 
สมควร!
 
“เป็ดโทรมาบอกว่าไม่ข้อมือซ้นก็อาจร้าว กำลังพาไปส่งโรงพยาบาลครับ” ร่างเล็กกล่าวต่อพลางลากผมเพื่อเดินทางไปยังโรงพยาบาลโดยเร่งด่วน
 
เฮ้อออออ ไม่กร ไอ้มารคอหอย กูขอถอนคำชมเมิงคืน
 
**************************************************************************************************
 
“ผมโทรไปบอกคุณอาแล้วครับ คุณอากำลังเดินทางกลับมา” เสียงเล็กกล่าวหลังจากวางโทรศัพท์มือถือ
 
เรากำลังนั่งรอไอ้เพื่อนรักตรวจรักษาอยู่ครับ ผ่านไปราวชั่วโมงเศษมันก็กลับออกมา ปรากฏว่าข้อมือกระดูกร้าวครับ
 
สมน้ำหน้า!
 
เฮ้ย! ไม่ใช่ โธ่ เพื่อน ไม่น่าเลย เมิงไม่น่ามาบาดเจ็บเอาวันนี้เลย ขัดจังหวะภาพฝันที่ผมวาดหวังเอาไว้ แล้วคืนนี้พวกผมดันต้องมาคอยดูแลมันอีก
 
ไอ้เพื่อนเวร ไอ้มารความรัก
 
หลังจากที่เราทั้งสามคนกลับมาถึงคอนโด กว่าจะหว่านล้อมให้ไอ้กรมันยอมนอนที่ห้องคุณภูมิได้ ก็เปลืองน้ำลายไปโขอยู่ แถมต้องหาข้าวหาน้ำ เตรียมยาให้ทาน ไม่พอมันยังงอแงจะให้อาบน้ำให้อีก
 
แมร่งงงงง ดีนะที่ห้ามอากิไว้ทัน ไม่งั้นพวกผมได้ตาเป็นกุ้งยิงแน่
 
ขณะที่ผมกำลังนั่งหงุดหงิด อารมณ์เสียที่โดนขัดจังหวะอยู่นั้น เสียงเล็กๆก็กระซิบข้างๆหูเบาๆ
 
“มาร์คครับ...คุณอากลับมาถึงไทยแล้วครับ” ว่าพางส่งข้อความสั้นๆที่บอกว่า ‘ถึงแล้ว’ ให้ดู
 
โหหหห จริงดิ นี้ยังผ่านไปไม่ถึง 5 ชั่วโมงดี คุณภูมิแกเหาะกลับมาหรือยังไงนะ
 
แต่ยังไงก็ขอดีใจสักหน่อยครับ เย้! ในที่สุดภาระหน้าที่อันหนักอึ้งก็จะจบลง
 
“งั้นพวกเรากลับห้องกันมั๊ย” ผมยิ้มหน้าบาน ก่อนกระซิบที่ร่างเล็กเบาๆ แถมร่างเล็กๆยังพยักหน้าหงิกๆอีก
 
ผมเหลือบมองไปยังไอ้เพื่อนรักที่นอนสะลืมสะลือบนโซฟา แล้วบอกกลับมันว่าพวกผมจะกลับแล้ว มันก็ตอบงืมงำๆ แบบคนไม่ค่อยจะสนโลก สงสัยมันคงง่วงตอนเต็มทีเพราะฤทธิ์ยา
 
เอาเป็นว่าทิ้งมันไว้แบบนี้แหละครับ เดี๋ยวคนของมันก็กลับมาแล้ว ส่วนพวกผมของกลับไปเป็นของกันและกันก่อน
 
**************************************************************************************************
 
ปัง! ทันทีที่ประตูปิดตัวลง ผมก็โผเข้าไซร้ซอกคอของอากิทันที
 
“อย่าเพิ่งครับมาร์ค ตัวผมมีแต่เหงื่อ” ร่างเล็กบิดตัวไปมา สงสัยกลัวผมเหม็นเหงื่อ แต่สำหรับผมเหงื่อของอากิไม่เหม็นเลยสักนิด ออกจะหอมอ่อนๆเป็นเอกลักษณ์ คิดพางก็สูดดมกลิ่นที่ชมชอบเข้าไปเต็มจมูก
 
ไม่นานร่างกายในอ้อมกอดของผมก็เริ่มอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงต้านทาน สองขาอ่อนแรงลงจนคนตัวเล็กแทบทรุดลงไปกับพื้น ดีที่ผมรั้งตัวไว้ในอ้อมกอด
 
“เราย้ายไปที่เตียงมั๊ย” ผมเสนอความคิด ตรงหน้าประตูผมคิดว่ามันไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่ หากแต่ร่างเล็กกลับส่ายหน้า
 
อ่าว! ไม่ไปที่เตียงแล้วจะไปที่ไหน
 
ไม่นานผมก็ได้คำตอบ เมื่อมองตามสายตาหวานเชื่อมไปทางประตูห้องน้ำ
 
อออออออออ ห้องน้ำก็ดีเหมือนกัน เล่นน้ำไปด้วยก็เย็นสบายดี
 
ผมเผยรอยยิ้มออกมา อากิช่างรู้ใจผมไปซะทุกอย่างจริงๆ ก้มลงหอมแก้มขาวเนียนอีกครั้ง พร้อมเปลี่ยนท่าอุ้มร่างบางขึ้นแนบอก ก้าวเดินไปยังประตูที่มองเห็นในสายตาเมื่อครู่ ร่างเล็กได้แต่กอดคอ ซุกหน้าลงกลางอกแกร่ง มองเห็นแต่เพียงใบหูสีแดงระเรื่อ
 
เอาวะ! ห้องน้ำก็ดี คืนนี้ยังอีกยาวไกล

********************************************************************************************

เห็นเงียบๆก็ฟ้าดเรียบนะคร้าบบบบบบบบบบบบ  o18

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่...อากินี่ก็.....ร้อนแรงใช่หยอก  อิอิ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ nethang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Side story 5

********************************************************************************************

น้องกร VS คุณเลขา
 
น้องกร : สวัสดีครับพี่คนขับรถ
 
คุณเลขา : ครับ
 
น้องกร : รถติดมั๊ยครับพี่คนขับรถ
 
คุณเลขา : ...เคโตะครับ
 
น้องกร : ขับรถเหนื่อยหน่อยนะครับพี่คนขับรถ
 
คุณเลขา : ...ผมเป็นเลขาครับ
 
น้องกร : แล้วขับรถ(เหนื่อย)มั๊ยครับ
 
คุณเลขา : …..-“-.......
 
นักเขียน : เหนี่ยวเลยค่ะคุณเคโตะ เด็กมันกวนส้น!
 
คุณภูมิ : ……………
 
นักเขียน : โอ๊ยยยย ไม่ต้องมองแรงค่ะคุณภูมิ

**************************************************************************************************

น้องกร VS พี่ยาม
 
น้องกร : พี่ยามครับ ขอบคุณที่ช่วยผมไว้นะครับ
 
พี่ยาม : โธ่! ไม่ต้องขอบคุณพี่หรอกครับ พี่แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย
 
น้องกร : แล้วทำไมพี่ไม่ช่วยหละครับ
 
พี่ยาม : ………….
 
น้องกร : ช่วยพยุงผมก็ยังดี
 
พี่ยาม : …………..
 
พี่ยาม : พี่ขอโทษ พี่เหม็นจริงๆ

**************************************************************************************************

น้องกร VS พี่ยาม B
 
น้องกร : พี่ยามครับ ผมวานอะไรพี่หน่อยดิ
 
พี่ยาม : ครับผมคุณปกรณ์
 
น้องกร : ถ้ามีของส่งมาให้ผมอีก พี่ยามเก็บไว้ให้หน่อยเถอะครับ อย่าเพิ่งทิ้งเลย ผมเสียดาย
 
พี่ยาม : ได้ครับผม
 
………………………………………………………
 
พี่ยาม : คุณปกรณ์ครับ ของที่ให้เก็บไว้ทะยอยหมดอายุแล้วนะครับ
 
น้องกร : ………..……..
 
น้องกร : งั้นพี่เอาไปทิ้งเถอะครับ -“-


**************************************************************************************************

พี่ภูมิ VS น้องกร
 
น้องกร : พี่ภูมิครับ พี่ภูมิ
 
พี่ภูมิ : หือ
 
น้องกร : สเปรย์ดับกลิ่นที่พี่ภูมิเคยซื้อให้อะ
 
พี่ภูมิ : ……………
 
น้องกร : ยี่ห้อนั้นเค้ามีโรออนมั๊ยครับ
 
พี่ภูมิ : มี
 
น้องกร : งั้นผมฝากซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้ไอ้มืด
 
พี่ภูมิ : งั้นชั้นซื้อเป็นของขวัญปิดเทอมให้เธอด้วยละกัน
 
น้องกร : ………………..

**************************************************************************************************

น้องกร VS ไอ้แก่
 
น้องกร : โธ่ ไอ้แก่ลูกพ่อ ไม่น่าด่วนจากไปเลย
 
ไอ้แก่ : …………..
 
น้องกร : หากชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้เกิดมาคู่กันอีก
 
ไอ้แก่ : ……………
 
น้องกร : พ่อจะหมั่นทำบุญ อุทิศส่วนกุศลไปให้นะลูก
 
ไอ้แก่ : ……………
 
น้องกร : แล้วพบกันใหม่ ลาก่อน
 
ไอ้แก่ : …………….

**************************************************************************************************

น้องกร VS น้องนี
 
น้องนี : พี่กรรรรรรรรรรรรรรรรร
 
น้องกร : เฮ้ยยยยยยยยย มาได้ไงกลางวันแสกๆ
 
น้องนี : ก็พี่กรหลับตอนกลางวานนนนนนนนนนนนน
 
น้องกร : กลางวันก็ไม่เว้นเร้อ! ว่าแต่น้องนีมาบอกหวยพี่เหรอ
 
น้องนี : บอกหวยก็ได้จ่ะ แต่น้องนีอยากกินซาซึมิปลาโทโร่ เกี๊ยวซ่า แล้วก็ปูอลาสก้า
 
น้องนี : ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ได้ ชาวบ้านไหว้แต่ปลานิล เกี๊ยวหมูทอด กับปูอัด น้องนีเบื่อ!
 
น้องกร : ……..ได้ ขอสองตัวท้ายเต็งๆ……….
 
น้องนี : ดิว

**************************************************************************************************

น้องกร : ไอ้เป็ด
 
ไอ้เป็ด : อะ...เมิง
 
น้องกร : ไรวะ
 
ไอ้เป็ด : เหรียญของเมิงไง
 
น้องกร : ทองแดง...เหรียญไรวะ
 
ไอ้เป็ด : ที่สามเปตอง
 
น้องกร : เฮ้ย! ยังชนะอีกเหรอ
 
ไอ้เป็ด : เอ่อ กูลงชื่อไอ้มืดเป็นตัวสำรองไว้ พอมันลงสนามคู่แข่งเสือกสลบหมด ทีมเราเลยชนะบาย
 
น้องกร : ……………………….

**************************************************************************************************

น้องกร VS คุณแม่จุ๋ม
 
คุณแม่จุ๋ม : ไอ้ลูกกร...เมื่อไหร่จะกลับมาเก็บของ
 
น้องกร : โธ่! คุณแม่ ผมยังเรียนไม่จบเลย
 
คุณแม่จุ๋ม : แต่ลูกกรเสียตัวแล้ว...ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว
 
น้องกร : ………………….
 
คุณแม่จุ๋ม : โอนเงินมา เดี๋ยวส่งของทางไปรษณีย์ไปให้
 
น้องกร : ………………….

**************************************************************************************************

พี่ภูมิ VS คุณแม่จุ๋ม

คุณแม่จุ๋ม : คุณภูมิคะไม่ขอรบกวนให้มารับมาส่งน้องกรหรอกนะคะ
 
พี่ภูมิ : ไม่เป็นไรครับครับผมสะดวก
 
คุณแม่จุ๋ม : แต่ทางนี้ไม่สะดวกค่ะ
 
พี่ภูมิ : ไม่ทราบว่าไม่สะดวกยังไงครับ
 
คุณแม่จุ๋ม : เด็กๆยังขาดพวกอุปกรณ์การเรียนกับอุปกรณ์กีฬาค่ะ
 
พี่ภูมิ : งั้นคุณแม่ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวทางผมอำนายความสะดวกให้เอง

**************************************************************************************************

น้องนี VS พี่ภูมิ

น้องนี : พี่ชายสุดหล่อจ๋า
 
พี่ภูมิ : ...............................
 
น้องนี : น้องแอบชอบพี่มานานแล้ว
 
พี่ภูมิ : ..................................
 
น้องนี : สนใจมาคบกับน้องมั๊ย
 
พี่ภูมิ : ขอโทษนะ ชั้นชอบผู้ชาย
 
น้องนี : ................................

**************************************************************************************************

พี่ภูมิ VS น้องกร VS ของขวัญ
 
น้องกร : อะ ผมเปิดดูของขวัญของพวกอากิก่อน

พี่ภูมิ : ...............................
 
น้องกร : ...............................
 
พี่ภูมิ : เอาเก็บไว้ใช้คืนนี้แล้วกัน
 
น้องกร : ////////////////////

**************************************************************************************************

พี่ภูมิ VS น้องกร

น้องกร : พี่ภูมิผมหิวน้ำ
 
พี่ภูมิ : อะ...น้ำ
 
น้องกร : พี่ภูมิผมปวดเอว
 
พี่ภูมิ : เดี๋ยวพี่นวดให้
 
น้องกร : พี่ภูมิผมอยากเข้าห้องน้ำ
 
พี่ภูมิ : เดี๋ยวพี่อุ้มไป
 
พี่ภูมิ : ก้อนแป้ง ทานข้าวเยอะๆนะ
 
น้องกร : ทำไมพี่ภูมิดูแลดีจังเลยครับ

พี่ภูมิ : หึ หึ หึ คืนนี้ยังอีกยาวไกล
 
น้องกร : ……………………………….

********************************************************************************************

จบแล้วคร่าาาาาาาาาาาา จบแล้วจริงๆ จบแบบไม่มีอะไรในก่อไผ่ ฮาาาาาา  :katai2-1:

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ ในที่สุดก็แต่งจนจบได้ น้ำตาเกือบไหล  :call:

แล้วพบกันใหม่เมื่อชาติต้องการค่ะ  :bye2:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด