ข่าวลือทุกครั้งมาแบบไม่ทันตั้งตัวเสมอ แต่ครั้งนี้รุนแรงและเลวร้ายที่สุด สิงหาทราบข่าวจากฝ้ายที่โทรมาบอกยามดึก เธอเล่าให้ฟังว่าเมื่อตอนค่ำแอดมินในเพจบ้านหลักของสิงหาโทรมาบอก สิงหาฝากขอบคุณไปเรียบร้อย พร้อมเร่งให้นัดวันรวมตัวจะได้จัดมีตติ้งสักที
“แล้วคุณสิงจะทำยังไงต่อคะ ให้ฝ้ายติดต่อนักข่าวหรือรายการเดิมดีไหม”
“ตอนนี้มีรายการไหนเล่นประเด็นนี้หรือยังครับ”
“เท่าที่เช็กสื่อใหญ่ๆ ยังไม่มีนะคะ มีแต่พวกเพจซุบซิบดาราเจ้าเดิมนั่นล่ะที่ขยี้อยู่ที่เดียว”
“ฝ้ายคอยตามข่าวทางทีวีให้ผมหน่อยนะ ถ้ามีที่ไหนเสนอข่าวก็เก็บๆ คลิปไว้ให้ด้วย แล้วติดต่อทนายไว้เลย”
“ได้ค่ะ คุณสิงจะคุยกับทนายเลยหรือให้ฝ้ายคุย”
“ฝ้ายโทรไปเล่าให้เขาฟังก่อนก็ได้ ให้เขาช่วยเราเก็บหลักฐานรวมกับครั้งก่อนเลย ผมเชื่อว่าเป็นกลุ่มเดิมนั่นล่ะ ให้เขาลองตรวจสอบอีกทีแล้วพรุ่งนี้ผมจะโทรไปคุยอีกที”
“ได้ค่ะ งั้นแค่นี้นะคะ ฝ้ายโทรหาทนายก่อน”
“ครับ รบกวนด้วยนะ” สิงหากดวางสายท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จ้องมองด้วยความสนใจ
“มีอะไรวะ” คนแรกที่ทนไม่ไหวคือชวิน หลังจากเตรียมตัวกันมานานในที่สุดก็ถึงวันทำพิธีช่วยพยูกับพ่อ ขบวนการช่วยเหลือผีจึงมารวมตัวกันที่ห้องเช่าของสิงหา ข้าวของเครื่องใช้เตรียมไว้พร้อม ตอนค่ำมีการลงไปจุดธูปที่ศาลของคอนโดฯ บอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งขออนุญาตและขอความคุ้มครองเรียบร้อย พ่อแม่สิงหาที่เพิ่งรู้เรื่องก็ตกใจไม่น้อย แน่นอนว่าสิงหาคนแสนดีโดนแม่ดุไปตามระเบียบที่มีอะไรไม่ยอมบอก ที่สำคัญคือแม่เคยเห็นผีพยูตอนวิดีโอคุยกับสิงหาด้วย
“มีคนถ่ายรูปพ่อแม่ที่สนามบิน แล้วก็ปล่อยข่าวลือแย่ๆ พ่อแม่ไม่ต้องสนใจนะครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
“อืม แม่ไม่สนใจหรอก แม่สนพิธีคืนนี้มากกว่า” ความสนใจของพ่อแม่มีมากขนาดที่ว่าเพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อเช้าก็รีบไปซื้อชุดขาวมาใส่ร่วมพิธีคืนนี้ สิงหาไม่อยากให้ทั้งคู่ไปด้วยเพราะเป็นห่วง แต่แม่ยืนยันว่าอยากไป อย่างน้อยครั้งหนึ่งแม่ก็เคยเห็นพยูในห้องเหมือนที่ชวินเคยเห็น ส่วนพ่อของเขานั้นไม่เคยเห็นพิธีแบบนี้มาก่อน สมัยที่ชอบซื้อบ้านมารีโนเวตกันก็เคยมีเรื่องแปลกๆ ในบ้านบ้าง แต่เราไม่ได้สนใจ พอตกแต่งใหม่เสร็จก็ขายต่อ ไม่เคยต้องมานั่งแก้ปัญหาแบบนี้
พิธีวันนี้แบ่งเป็นสองสาย สายแรกที่ปัญหาน่าจะหนักกว่านำขบวนโดยอาวุฒิที่จะไปทำพิธีเรียกวิญญาณของทั้งลุงโพนที่โรงพยาบาล เหตุการณ์คืนนั้นมีขั้นตอนการกู้ชีพลุงโพนในรถพยาบาล แม้สัญญาณชีพจะกลับมาหนึ่งครั้งแต่ก็ดับไปในรถก่อนถึงโรงพยาบาล อาวุฒิเลยจะย้อนเส้นทางเรียกวิญญาณของลุงโพนจากโรงพยาบาลกลับไปที่โกดัง พิธีที่นั่นมีอาวุฒิ กฤษณะของพ่อชวิน ลุงโชคและคนงาน ส่วนสายที่สองคือห้องของสิงหา คนทำพิธีคืออาป้อง ลูกศิษย์อีกคนที่พระอาจารย์ให้มาช่วยเหลือ อายุมากกว่าพวกสิงหาไม่ถึงสิบปี แต่การันตีที่จำนวนพรรษาว่าเคยบวชเรียนตั้งแต่ประถมจนเรียนจบปริญญา กลุ่มของสิงหาทั้งสี่คน ทวีลูกชายลุงโชคและคนงานที่มาช่วยรื้อตู้ พิธีเรียกวิญญาณคนตายกลับบ้านไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับคนทั่วไป หากมีคนเสียชีวิตก่อนรับศพไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธก็จะมีการเรียกวิญญาณในที่ที่คนนั้นเสียชีวิตให้กลับบ้าน หรือวัด แต่พิธีวันนี้ไม่ใช่แบบนั้น อาวุฒิใช้คำว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ คนทำพิธีของเพียงมีศีลธรรมเพียงพอก็พอ
จากการคาดเดาเวลาตายของลุงโพนจะเกิดก่อนพยู เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนทางฝั่งของอาวุฒิก็เริ่มทำพิธี จากนั้นอีกครึ่งชั่วโมง ขบวนของสิงหาก็เริ่มเข้าไปในลิฟต์เพื่อขึ้นไปชั้นบน...ห้องของสิงหา
ติ๊งเสียงข้อความจากโทรศัพท์ของสิงหาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในลิฟต์โดยสาร สายตาทุกคนในลิฟต์ตวัดมองด้วยความตกใจ บางคนเช่นชวินถึงกับสะดุ้ง ปากขยับด่าแบบไม่มีเสียงทันที
“ขอโทษครับ ลืมปิดเสียง” สิงหาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดปิดเสียง เห็นมีรูปส่งมาจากน่านนทีเลยกดเข้าไปดูสักหน่อย เสียดายน่านนทีไม่ให้บอกว่าทำพิธีวันไหน วันนี้เขาเลยไม่ได้ขอกำลังใจจากคนรักเลย
ปิงรู้เรื่องข่าวลือแล้ว พี่ฝ้ายบอกคุณยุ่งอยู่ปิงเลยไม่โทรมา แต่ถ้าอยากคุยก็โทรมาหาปิงได้นะ ถึงจะหลับก็จะรีบตื่นมาคุยด้วยทันที อย่าคิดมากนะครับ ปิงรู้ว่าคุณสิงรับมือได้แต่ถ้าเหนื่อยอยากพัก ปิงอยู่ตรงนี้เสมอนะ แล้วก็ Happy Anniversary สุขสันต์วันครบรอบหนึ่งปีที่รู้จักกันนะครับเจอหน้ากันครั้งแรกก็ประทับใจมาก ปีต่อๆ ไปอาจจำไม่ได้แต่ความรู้สึกยังเหมือนเดิมนะ
พรุ่งนี้จะหิ้วปิ่นโตไปฝาก ลงมาเอาด้วยนะ
ฝันดีนะครับสิงหายืนอมยิ้มกับรูปคนรัก หน้าง่วงๆ แก้มป่องๆ ทำนิ้วเป็นรูปหัวใจดวงเล็ก เขาเองก็จำได้ถึงวันแรกที่ได้เจอกันในสถานการณ์ไม่ปกติเท่าไร แต่ก็สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น คนแก้มป่องที่จริงจังกับทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องกิน
“มึงยิ้มอะไรวะ” เต้พยายามชะโงกหน้ามาอ่านแต่สิงหาเก็บโทรศัพท์ไปเสียก่อน
“ปิงส่งมาวันครบรอบที่รู้จักกันครั้งแรก” สิงหายิ้มอวดเพื่อน แอบเขินคนอื่นในลิฟต์นิดหน่อย
“วันนี้เนี่ยนะ” โบ้ถามย้ำ
“เออ”
“ไอ้เหี้ย วันนี้จริงๆ อะ” ชวินด่าเมื่อสิงหาตอบแบบไม่รู้สึกรู้สา ตรงข้ามกับคนอื่นที่ตาแทบเหลือกกันหมดเมื่อได้ยิน
“....เออ...เหี้ย...” เขาสะดุ้งวาบในใจเมื่อรู้แล้วว่าเพื่อนถามทำไม
“ใช่ เหี้ยเลย ครบรอบวันตายผีในห้องด้วย ฉลองเลยไหมล่ะ” ชวินด่าประชดพ่อคนชิวประจำกลุ่ม ยังมีหน้ายืนยิ้มในลิฟต์ สมน้ำหน้ามัน
“.....มึง...กูเพิ่งนึกออก...” สิงหาอ้ำอึ้ง อยากพูดแต่ก็กลัวทำให้บรรยากาศเลวร้ายลงไป วันนั้นเขาคิดว่ามีคนแอบเข้าห้องเลยโทรไปให้น่านนทีช่วย เขาจำได้ว่าตัวเองนั่งจัดของในห้องทำงาน แล้วได้ยินเสียง...ประตูห้อง เสียงที่ไม่ได้มาจากห้องอื่น แต่เป็นเสียงประตูหน้าห้อง ประตูที่พยูไม่เคยยุ่งเกี่ยวเลย....แล้ววันนั้น...ใครเปิด
“....ถึงแล้ว” ประตูลิฟต์เปิดออก สิงหาเลือกที่จะไม่พูดเรื่องที่เพิ่งคิดได้ออกไปให้คนอื่นกังวล ชวินดันให้เขาเดินนำออกมาจากลิฟต์ แปดชีวิตยืนเบียดกันหน้าประตูห้องโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีอะไรรออยู่ด้านใน
ห้องพักที่ไม่มีคนอาศัยมานาน แม้จะสวยหรูแค่ไหนก็ทำให้ทุกคนขนลุก คนใหม่ที่ไม่เคยมาเดินตามอย่างกังวล พวกเขาพอจะได้ฟังวีรกรรมของพยูมาบ้าง บอกได้เลยว่าน้อยกว่าคนพ่อเยอะ ทวีและคนงานค่อนข้างสงสารมากกว่ากลัว พวกเขาถือเป็นผู้โชคดีที่ได้มาร่วมขบวนนี้ ดีกว่าไปเจอคนพ่อ ส่วนแก๊งล่าผีดั้งเดิมทั้งสี่ จากที่เคยสงสารก็ถูกปัดทิ้งเมื่อเข้ามาอยู่ในบรรยากาศเดิม สิงหากับโบ้ช่วยกันเดินเปิดไฟในห้องนั่งเล่นและห้องครัว สำรับอาหารคาวหวานที่จัดใส่จานมาจากข้างล่างอยู่ในมือของสิงหา โบ้และเต้ ส่วนชวินถือถุงของเล่นที่นำมาให้พยูโดยเฉพาะ ทวีและคนงานถือเครื่องมือสำหรับรื้อตู้และอาป้องมีดอกไม้ธูปเทียนทำสำหรับทำพิธี ของทุกอย่างเตรียมพร้อมอยู่ในมือ...จุดหมายคือห้องทำงาน
อาป้องรู้ดีว่าถึงจุดนี้ไม่มีใครกล้านำหน้าแล้วจึงเป็นคนนำแทน เขาเดินไปเปิดประตูห้องทำงานอย่างสงบนิ่ง ด้านในห้องมืดสนิท กดเปิดสวิทช์ไฟข้างประตูจนมองเห็นภายในห้องชัดเจน เดินนำมาถึงกลางห้อง ทุกคนเกาะกลุ่มเดินตามไม่ห่าง ความกลัวที่กลุ่มของสิงหาแสดงออกมาเริ่มส่งผลต่อกลุ่มทวีด้วย ทั้งสองกลุ่มเกาะติดกันทุกย่างก้าว สำรับอาหารถูกวางไว้บนโต๊ะทำงาน อาป้องจุดธูปหนึ่งดอกปักลงในถ้วยใส่ข้าวสาร ชวินหยิบของเล่นในถุงออกมาวางทีละชิ้น มีบล็อกตัวต่อ รถบังคับแปลงร่างเป็นหุ่นยนต์ เกมตกปลา สุดท้ายคือลูกฟุตบอลสำหรับเด็ก ของเล่นที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเล่นด้วยกัน
“ตั้งสติ จิตใจหนักแน่น อย่ายึดติด อย่าใจอ่อน เดี๋ยวจิตตก” อาป้องพูดเตือนสติชวินที่เริ่มเหม่อลอย เต้รีบประกบเพื่อน ทุกคนเตือนแล้วว่าชวินน่าเป็นห่วงที่สุด หนึ่งคือเป็นคนใจอ่อน สองคือความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพยู พิธีเรียกวิญญาณก็คือการเรียกด้วยความเชื่อล้วนๆ เหมือนเวลาที่พ่อแม่ไปรับลูกที่ห้องเรียน เมื่อครูเรียกชื่อ ไม่ใช่แค่เจ้าของชื่อเท่านั้นที่ได้ยิน...พิธีนี้ก็เช่นเดียวกัน
“ตั้งใจนะทุกคน ปักธูปคนละดอก เรียกพยูให้ออกมากินข้าว บอกเขาดีๆ ว่าเราจะพาไปหาพ่อ พ่อเขาชื่ออะไรนะ”
“ชื่อโพนครับ” สิงหาตอบ
“บอกว่าจะพาไปหาพ่อโพน ไม่ต้องบอกว่าพากลับบ้านนะ เดี๋ยวเขาตามไปบ้านด้วย บอกเขาไปหาพ่อโพน เราจะรื้อตู้ อย่าตกใจ พาไปหาพ่อโพน ใครกลัวพูดในใจก็ได้ ใจนิ่งๆ สงบเข้าไว้ ตู้นี้ใหญ่กว่าที่อาคิด ตอนรื้อออกเลื่อยแผ่นใหญ่ๆ ให้เล็กลงก็ได้จะได้ขนง่ายๆ ใครเห็นหรือได้ยินอะไรอย่าร้อง หลับตาสวดมนต์ไป อาจะสวดพระอภิธรรมแล้วนะ” อาป้องเริ่มนั่งลงที่พื้น ทุกคนขยับหาที่นั่งลงเบียดๆ กันแล้วพนมมือ สงบจิตใจตัวเอง คนที่รู้จักบทสวดก็สวดตาม คนที่ไม่รู้ก็กล่าวคำบอกกล่าวถึงพยูในใจ
แอดดดดดดทุกคนสะดุ้งตกใจเมื่อบานตู้ตรงหน้าค่อยๆ เปิด อาป้องแม้จะสะดุ้งเช่นกันแต่ก็ยังมีสติดีอยู่ บทสวดยังต่อเนื่อง สี่หนุ่มและกลุ่มช่างขยับเบียดจนแทบนั่งเกยกัน จากที่เคยนั่งให้ชิดอาป้องมากที่สุดก็เริ่มขยับออกห่าง ชวินตัวสั่นอย่างไม่ตั้งใจ แม้จะสงสารแค่ไหน แต่ความกลัวหยั่งรากฝังลึกไปแล้ว พยู...ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยสักครั้ง
เสียงบทสวดยังดำเนินต่อไป คลอไปด้วยเสียงก๊อกแก๊กด้านหลังของทุกคน ทุกคนเดาได้ว่าเสียงน่าจะมาจากบล็อกตัวต่อไม้ จากนั้น...
ตุบ ตุบ ตุบลูกฟุตบอลลอยลงจากด้านบนตกลงบนพื้นที่ว่างข้างหน้าชวิน บอลเด้งเรียดพื้นไปชนขอบตู้แล้วเด้งกลับมา....แรงส่งจากสิ่งที่มองไม่เห็นทำให้บอลเด้งกลับไปชนขอบตู้ซ้ำอีกครั้ง...และอีกครั้ง
“....พอๆ กับพ่อมันเลย” เสียงคนงานพูดขึ้น
“น้องพยู....อย่าเพิ่งเล่นนะ กินข้าวก่อนนะ....พวกพี่เอาของกินมาให้เต็มเลย” สิงหากล่าวกับสิ่งที่มองไม่เห็น เต้และโบ้เริ่มพูดตาม
“ใช่ๆ น้องพยูกินข้าวกินขนมดีกว่านะ อร่อยๆ ทั้งนั้น”
“แม่ง...เล่นไม่หยุดเลยว่ะ”
“มึงลองพูดดิ เผื่อน้องฟังมึง” สิงหาบอกชวินที่ยังนั่งก้มหน้าหลับตาอยู่คนเดียว
“.....พยู” ชวินปรือตามองแวบหนึ่งก่อนรีบหันหน้าหนี
กึก!ลูกฟุตบอลหยุดทันที ทุกคนพร้อมใจกันบอกให้ชวินพูดต่อไป “พูดต่อๆ”
“...พะ..พยู...กินข้าวก่อนนะ อย่าเพิ่งเล่น” ชวินเอ่ยเสียงสั่น เขาพยายามมองหัวเข่าตัวเอง ไม่สนใจลูกฟุตบอลที่หยุดนิ่งข้างหน้า ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรในห้องนอกจากเสียงบทสวด
สถานการณ์กลับมาสู่ปกติ อาป้องส่งสัญญาณให้คนงานเริ่มรื้อตู้ ทุกคนลุกขึ้นช่วยกันขนของในตู้ไปวางไปบนโต๊ะทำงานบ้าง บนพื้นบ้าง ไม่นานก็เคลียร์จนโล่ง คนงานเริ่มใช้เครื่องมือสำหรับรื้อถอน กลุ่มสิงหาและอาป้องถอยไปยืนรวมกันที่หน้าประตูเพื่อให้มีพื้นที่ทำงานมากขึ้น
“อย่ากลัว เขามาดี มีอะไรก็บอกเขาดีๆ ให้เขากินเยอะๆ อยู่เฉยๆ เดี๋ยวพากลับไปหาพ่อ คิดมากกลัวมาก สงสารมาก ทำให้จิตเราดิ่งลง ไม่ดี ทำใจให้นิ่ง” อาป้องสวดจบแล้วก็มายืนบีบมือให้กำลังใจชวินที่ยืนท่ามกลางวงล้อมเพื่อน มือชื้นไปด้วยเหงื่อ ร่างกายสั่นเทาและสะดุ้งเป็นระยะจนทุกคนเป็นห่วง
“อาครับ...ขะ...เขา...”
“อารู้ๆ ใจเย็นๆ เขามาดี เขารู้”
ปัง!!เสียงที่ดังขึ้นทำให้ทุกคนในห้องหยุดชะงัก คนงานที่กำลังรื้อตู้ผงะห่างออกจากตู้แต่ชั่วครู่ก็รู้ว่าเสียงไม่ได้มาจากที่นี่ สายตาทุกคนมองไปตามทิศทางของเสียง...นอกห้อง
“ไม่เป็นไรๆ ทำงานต่อไป เขาคงออกไปเล่นข้างนอก ทำต่อเร็วๆ” อาป้องขมวดคิ้วคอยฟังเสียงด้านนอก กลุ่มสิงหาที่ยืนใกล้ประตูที่สุดเริ่มถอยห่างจากประตูแล้วมองหน้ากันอย่างสับสน...ประตูห้องไม่ได้เปิดออกเหมือนทุกครั้ง หรือว่าพยูจะเดินทะลุประตูออกไป
“ชวินเขยิบมานี่” โบ้ดึงมือเพื่อนให้เดินตามแต่เพื่อนยืนก้มหน้านิ่ง สิงหาคิดว่าชวินคงกลัวจนก้าวขาไม่ออกเลยโอบไหล่เพื่อนดันให้เดินไปข้างหน้าแต่อีกฝ่ายขืนตัวต้านไว้
“ห่างๆ ประตูหน่อยดีกว่า ไปยืนมุมโน้นกัน” สิงหาปลอบเสียงเบา ไม่อยากให้เพื่อนกลัวจนช็อกแบบคราวก่อน คนงานเร่งมือเต็มที่ แต่สายตากวาดมองไปรอบๆ สลับกับกระซิบถามกันเองตลอดเวลา ทวีมองมาที่กลุ่มเจ้าของห้อง เห็นทุกคนแสดงความเป็นห่วงชวินก็รู้สึกระแวงมากกว่าเดิม พวกเขาคิดว่าลุงโพนดุแล้ว...พยูดุกว่าอีกเหรอ
“...พะ..พวกมึง....” ชวินปากสั่น เขาพยายามจะบอกเพื่อนถึงบางสิ่ง....
ปัง!!!
เพล้ง!“เหี้ย! ตกใจหมด” คนงานที่กำลังงัดไม้จากผนังตกใจจนค้นเกือบหลุดมือ
“ทำไมคราวนี้น้องทำเสียงดังจังเลย เหมือนได้ยินเสียงอะไรแตกด้วย” สิงหาเงี่ยหูฟังความเป็นไปด้านนอก พยายามนึกว่ามีอะไรข้างนอกที่สามารถแตกได้บ้างในตำแหน่งนั้น
“คงไม่ชอบให้รื้อบ้านเขามั้ง พยายามบอกเขาว่าเราทำอะไรอยู่ เรามาดี” อาป้องปลอบทุกคนไม่ให้กลัว พี่วุฒิบอกเขาว่าวันนี้ต้องทำพิธีพร้อมกันสองที่ แต่ที่นี่ไม่น่าจะร้ายแรงเท่าอีกที่ ให้เลือกระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ เขาก็เลือกมาที่เด็ก แต่ไม่เห็นบอกกันก่อนว่าเด็กคนนี้จะอารมณ์ร้ายแบบนี้
“พยู ใจเย็นๆ นะ เดี๋ยวรื้อตู้เสร็จจะพาไปหาพ่อโพน เอาตู้ไปด้วย” โบ้หันไปพูดกับสิ่งที่มองไม่เห็นนอกห้อง หวังว่าจะได้ยินแล้วหยุดทำเสียงปึงปังสักที
“ใช่ๆ ใจเย็นๆ อย่าซนนะ เดี๋ยวพาไปหาพ่อโพน” เต้ช่วยกล่อมแบบกล้าๆ กลัวๆ
“....อะ...อาป้อง....ผมว่า....ข้างนอกไม่ใช่พยู” ชวินเอ่ยบอกเสียงเบาแต่ทุกคนรอบตัวได้ยินชัดเจน แม้กระทั่งทีมรื้อตู้ก็ยังเงี่ยหูฟังอย่างสนใจ
“ทำไมครับ ชวินรู้เหรอ” เขาถามคนที่สีหน้าซีดเซียวมากที่สุดในห้อง คนที่ถูกกำชับให้คอยดูแลเป็นพิเศษอาการน่าเป็นห่วงจริงๆ
“....พะ...พยู....ยังจับมือผมอยู่เลย” ชวินก้มมองมือข้างขวาตัวเอง ความเย็นรอบฝ่ามือเหมือนกันวันนั้นในห้องน้ำไม่มีผิด เพื่อนสามคนที่กึ่งดึงกึ่งลากเมื่อครู่ผงะออกห่าง เว้นที่ว่างให้สิ่งที่มองไม่เห็นข้างๆ ชวิน ทวีและเหล่าคนงานหยุดมืออีกครั้ง สายตาจับจ้องที่มือคนพูด เสียงด้านนอกที่ได้ยินสร้างความหวาดหวั่นเป็นระยะ แต่ด้านในกลับมีสิ่งที่มองไม่เห็นสร้างความหวาดกลัวมากกว่า...นึกว่าออกไปเล่นข้างนอก สรุปคืออยู่ในนี้มาตลอดสินะ
“ทำงานต่อไป ไม่ต้องสนใจ ใครไม่สบายใจก็สวดมนต์ไป ยึดพระธรรมไว้ในใจ ความตั้งใจดีจะปกป้องตัวเอง” อาป้องปลุกปลอบใจทุกคนอีกครั้ง เสียงสวดมนต์ของเหล่าคนงานดังคลอเบาๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่สงบข้างนอกและเหมือนจะดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ
สิงหาเจ้าของห้องฟังเสียงต่างๆ พลางขมวดคิ้ว เขาเดาว่าเสียงแรกคือเสียงประตูหน้า ต่อมาน่าจะเสียงประตูห้องนอนหรือระเบียง อาจจะมีแก้วหรือแจกันตกแตก เสียงเหล่านั้นดึงความทรงจำที่ลืมไปแล้วกลับมา ครั้งแรกที่ได้พบน่านนทีเพราะเขาคิดว่ามีคนแอบเข้าห้อง ได้ยินเสียงประตู เห็นเงาคนวิ่งออกไปจึงวิ่งตามไปถึงหน้าลิฟต์...ต่อมาก็คิดไปว่าครั้งนั้นคือพยู โดยลืมไปว่าพยูไม่เคยยุ่งกับประตูหน้าห้อง ไม่เคยพยายามออกไปข้างนอก...ครบรอบหนึ่งปีที่เขากลับมา ตรงกับวันครบรอบวันตายของพยูและ...
ลุงโพน“ผมว่าข้างนอกน่าจะเป็นลุงโพน” สิงหาพูดในเรื่องที่ค่อนข้างมั่นใจ
“ไหนบอกว่าเขาไม่เคยมาที่นี่” อาป้องถามย้ำ ข้อมูลที่ได้มาคือที่นี่มีแต่วิญญาณเด็ก
“ตอนแรกก็คิดอย่างนั้นครับอา เพิ่งนึกออกว่าวันแรกที่ผมมาอยู่ห้องนี้ก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตู เหมือนเห็นเงาคนในห้องวิ่งออกไปข้างนอก เสียงประตูดังแบบนี้เลย...ผมว่านั่นไม่น่าใช่พยู”
“เวร...” หัวหน้าขบวนแบบเขาแทบกุมขมับ ถึงจะไม่ได้เตรียมใจมาก่อนแต่มาถึงตอนนี้ก็ถอยไม่ได้แล้ว ไม่ว่าจะหนึ่งหรือสอง ขั้นตอนทุกอย่างก็เหมือนกัน ขอแค่ทุกคนมีจิตใจตั้งมั่นอยู่ที่การช่วยเหลือสองพ่อลูกก็พอ
“แล้วเอาไงต่อดี ต้องไปคุยกับ...ข้างนอกไหม” โบ้ลังเลว่าจะทำอะไรต่อ ทุกคนก็เช่นกัน
“เราให้พ่อลูกเขาเจอกันที่นี่เลยสิ ไหนๆ ก็มาแล้ว” ทวีเสนอ ในเมื่อพ่อลูกอยู่พร้อมหน้าแล้วก็น่าจะง่ายขึ้น
“.....มันไม่ง่ายอย่างนั้น อาคิดว่านะ พี่วุฒิเคยพูดให้ฟังเรื่องจิตขณะตายไหม ยึดติดอะไรก็จะติดอยู่ที่นั่น ต่อให้โผล่มาให้เราเจอพร้อมๆ กัน แต่ในโลกของคนตายอาจไม่ใช่ที่เดียวกันก็ได้” อาป้องพูดถึงเรื่องที่มีการถกเถียงกันเสมอในกลุ่มคนที่สนใจเรื่องนี้ ตามที่รุ่นพี่พูดถึงกรณีนี้ คนพ่อก่อนตายน่าจะยึดติดกับลูกมาก ขณะตายถูกทำร้ายสาหัส วิญญาณอาจมีการกระจัดกระจายจึงต้องช่วยทำพิธีเรียกให้รวมกันให้มากที่สุด เสี้ยวหนึ่งอาจมาโผล่ที่นี่เพราะยึดติดกับลูก เขาอาจไม่รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่โกดัง อาจตามตู้มาเหมือนพยู หรือตามพยูมา ไม่มีใครตอบได้
“แล้วเราต้องทำยังไงต่อ” สิงหาถาม
“ทำตามแผนเดิม ต้องไปรวมกันที่โกดังที่เกิดเหตุ รื้อตู้ให้เร็วขึ้นอีก ช่วยๆ กัน” อาป้องพูดจบ สิงหากับโบ้ก้าวเข้าไปช่วยทีมรื้อตู้
“มึงโอเคใช่ไหม” เต้เดินมายืนข้างมือที่ไม่ได้เกร็งอยู่ของชวิน บีบไหล่ให้กำลังใจเพื่อนที่เจอหนักกว่าคนอื่นเสมอ
“อืม.....ยังจับมือกูอยู่เลย”
“เหี้ย....ย”
ตู้ไม้ถูกรื้อเป็นชิ้นๆ ชิ้นใหญ่มีเชือกรัดรวมกันเพื่อให้ยกง่าย ชิ้นเล็กมีถุงใบใหญ่ใส่เรียบร้อย สิงหาโทรบอกโจที่นั่งทำงานด้านล่างว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว โจมีหน้าที่ขึ้นมาช่วยเปิดประตูลิฟต์ขนของหน้าห้องสิงหา ลิฟต์มีขนาดใหญ่ขนย้ายสะดวกกว่าและไม่ต้องขึ้นลงห้องนี้หลายรอบ
“เสียงเงียบไปนานแล้ว ไม่มีอะไรแล้วมั้ง” เต้เงี่ยหูฟังข้างนอกมาสักพักเอ่ยขึ้น
“น้องยังอยู่กับชวินไหม” อาป้องถามชวินที่เลิกยืนตัวแข็งมาสักพัก ช่วยเก็บไม้ใส่ถุง เก็บของเล่นที่เอามาใส่ถุงไปทำพิธีต่อที่โกดัง
“….!!.....เอ่อ....ยังเย็นๆ มืออยู่ครับ” ชวินลืมไปเสียสนิท พอถูกทักเท่านั้นล่ะ....ยังอยู่!
“งั้นเดี๋ยวอานำออกไปก่อน ชวินเดินต่ออา อย่าเดินห่างกันมาก พวกแบกไม้ไหวไหม”
“ไหวครับพี่ แต่เดินช้าๆ นะ ตอนขนผ่านประตูนี่น่าจะติดนิดหน่อย” คนงานพยักหน้าแข็งขัน ไม่มีเสียงดังแปลกๆ กำลังใจก็เริ่มกลับมา
“งั้นพวกขนไม้มาก่อนเลย เอาออกจากห้องนี้ได้แล้วคนอื่นค่อยตาม ชวินมานี่” อาป้องจัดขบวนเตรียมออกจากห้องโดยมีตัวเองนำ ตามด้วยชวินและคนงานสองคนที่แบกไม้แผ่นใหญ่ ทวีและคนงานอีกคนขนไม้แผ่นเล็กลงมาหน่อยแต่ขนาดยาวแม้จะเลื่อยหั่นครึ่งแล้วก็ตาม กลุ่มสิงหาอีกสามคนประกอบท้าย หิ้วไม้ชิ้นเล็กที่อัดอยู่ในถุงหลายใบ ส่วนเครื่องมือช่างต่างๆ ทิ้งไว้ที่นี่ก่อน
แอดดดดดดดผู้นำขบวนเปิดประตูห้องทำงานเดินออกไปอย่างเยือกเย็น เขาเดินไปจนถึงห้องนั่งเล่น พบกรอบรูปตกแตกอยู่บนพื้นทางใกล้ห้องครัว หันกลับมามองคนงานและชวินที่ยังไม่ก้าวเท้าออกจากห้อง พยักหน้าให้สัญญาณเดินตาม ชวินขยับหนึ่งก้าว...มือยังเย็นอยู่ เขาก้าวอีกสองก้าว...พ้นประตูห้องทำงานแล้ว...มือข้างขวาก็ยังเย็นอยู่ ความรู้สึกที่มือตอนนี้นอกจากความเย็นคือน้ำหนักจากสิ่งที่มองไม่เห็น เขาเดินแข็งๆ กลั้นใจก้าวไปยืนชิดอาป้อง มืออีกข้างที่ว่างจับชายเสื้ออีกฝ่ายแน่น ขณะที่คนงานกำลังขยับหาเหลี่ยมหามุมเอาไม้แผ่นใหญ่ออกให้พ้นประตู ชวินยืนหลับตา ไม่กล้ามองอะไรทั้งสิ้น
ทีมของทวีและคนงานช่วยกันจนแผ่นไม้ผ่านประตูออกมาได้ เต้ โบ้และสิงหาเดินตามออกมาติดๆ อาป้องดูความพร้อมของทุกคนก่อนเคลื่อนขบวนต่อ เขาดึงมือชวินออกจากชายเสื้อมาจับไว้แทน ในใจท่องบทสวดพร้อมอธิษฐานของให้สิ่งศักดิ์คุ้มครอง บอกกล่าววิญญาณสองพ่อลูกให้ติดตามไปที่โกดัง บอกว่าเขาและคณะมีเจตนาดี ไม่ได้คิดมุ่งร้ายทำลาย ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยการภาวนาด้วยกุศลจิตจนถึงประตูหน้า
แกร๊ก
............เสียงลูกบิดประตูดังท่ามกลางความเงียบสงัด...
แกร๊ก แกร๊กเขาพยายามบิดลง ดึง บิดแล้วดึง แต่ประตูเปิดไม่ออก สิงหาชะโงกมองจากด้านหลังแล้วแหวกขอทางมาเปิดเองในฐานะเจ้าของห้อง
แกร๊กๆๆ
กึงๆๆ
แกร๊กๆ“.....ไม่ได้ล็อก.....เราโดนขัง” สิงหาหันมาบอกข่าวร้ายกับทุกคน สี่หนุ่มแก๊งล่าผีที่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาแล้วขยับเบียดตัวแทรกมาอยู่ท่ามกลางคนอื่น ชวินที่หลับตาเดินมานานรีบลืมตาแย่งตำแหน่งที่ดีที่สุดคือระหว่างอาป้องและสิงหา สายตามองช่องว่างระหว่างคนทั้งคู่ที่หน้าประตู ขาก้าวไปยืนกึ่งกลาง หันหลังแนบประตูห้อง สายตาหันกลับไปมองเพื่อนๆ และผู้ร่วมขบวนทั้งหมด
สุดสายตาที่ห่างออกไปไม่ไกล...
.....กลางห้องนั่งเล่น....
.........มีอีกคนกำลังยืนอยู่...—¤÷(`[ ♌ ♡ ▽ ]´)÷¤—
Fanpage : Gwa.Novel Twitter : Gwa_Novel