Phu side
เป็นเวลาห้าโมงเย็นกว่าๆ แต่ผมยังไม่ได้กลับบ้าน เพราะงานสรุปงบประมาณยังไม่เสร็จ คราวก่อนพี่โอ หัวหน้าโฟร์แมนเคยสอนงานผมไปบ้างแล้ว แต่ก็นั่นล่ะ มันไม่ได้จำกันง่ายๆเสียหน่อย ผมจ้องตารางมากมายบนหน้าจอคอมฯมึนๆ ตอนนี้ผมทำงานกับบริษัทL มาได้ห้าเดือนกว่าๆแล้วตำแหน่งของผมคือวิศวกรสนาม ผมเลือกออกไซต์งานมากกว่าทำในโรงงาน เพราะยังไงๆอีกสองสามปีข้างหน้า เดี๋ยวผมก็ต้องถูกตีกรอบกลับไปทำงานกับพ่ออยู่ดี ตอนนี้ขอทำอะไรที่มันท้าทาย ไม่เคยทำดีกว่า
….ซึ่งก็อย่างที่เห็น ชีวิตการทำงานของผมตอนนี้ เหมือนต้องนับหนึ่งใหม่เพราะความรู้หน้างานแทบไม่มี ผมยังไม่ผ่านโปร เข้างานเช้า กลับค่ำ วันดีคืนดีโดนพวกช่างก่อสร้างลองภูมิซะหน้าหงาย โชคดีที่พี่เลี้ยงสอนงานของผมไม่ใช่พวกอีโก้จัด หรือพวกชอบโยนงานมาให้โดยไม่ยอมสอน แต่ถึงจะใจดียังไง พี่แกก็ชอบด่าผมว่าสมองกลวงอยู่ดี ผมกลับมาสนใจงานตรงหน้าอีกครั้ง จะได้กลับบ้านไปฟังพ่อบ่นต่อ
“ยังไม่กลับอีกเหรอวะภู”คนที่โผล่เข้ามาคือไอ้เต้ นักศึกษาจบใหม่จากม.ชื่อดังแห่งหนึ่ง มันจบโยธา หน้าที่คล้ายๆกันแต่มันดูแลสเกลงานใหญ่กว่า ผมแค่งานระบบ ทำนองลูกเมียน้อย
“งานยังไม่เสร็จ”ผมตอบเสียงเหนื่อยหน่าย ไอ้เต้ลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ สีหน้าของมันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมได้ยินแว่วๆว่ามันโดนหัวหน้าด่าเพราะอ่านแบบผิด
“เฮ้อ มึงโชคดีนะได้พี่โอคอยสอนงาน แต่กูนี่สิ…”มันเว้นวรรคเสียงทนทุกข์ ผมหัวเราะหึๆ จะว่าไปก็น่าสงสารที่มันได้คนสอนงานที่คนข้างเฮี้ยบ โดนด่าทุกวัน
“เอาน่า เดี๋ยวมึงก็ชิน ทนไปอีกซักเดือน เดี๋ยวก็ผ่านโปรแล้ว”ผมปลอบ ไอ้เต้นั่งเงียบไปพักใหญ่ระหว่างนั้นผมก็รีบสรุปงานให้เสร็จ
“พวกช่างด้านนอกตั้งวงเหล้าว่ะ กูไม่กล้าเดินผ่าน”
“มึงจะกลัวอะไรวะ เขาไม่ฆ่าปาดคอมึงหรอก”กูจะขำหรือสงสารมึงดีเนี่ย ไอ้เต้
“ชอบแขวะกูเรื่องงาน”ไอ้เต้มันไม่ค่อยเป็นงาน เงอะๆงะๆยิ่งกว่าผม พวกช่างก่อสร้างบางคนไม่ค่อยชอบเด็กจบใหม่ทำอะไรไม่
เป็น
“แม่ง กูนี่แบบหน้าหงายเลยนะเว้ย กูสั่งงานอยู่มาพูดแทรก…”ไอ้เต้ยังคงบ่นต่อไปอย่างอัดอั้น ผมพิมพ์งานต๊อกแต๊กจนเสร็จ ปล่อยให้มันบ่นไปคนเดียว ระหว่างที่รอสั่งปริ๊นงาน โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นครืดๆ แค่ได้เห็นชื่อคนโทรมา อาการเหนื่อยก็แทบปลิวหายทันที
“ว่าไง”ผมรับสาย ไอ้เต้หันมองอย่างสนใจ
[เลิกงานยัง]
“ใกล้เสร็จแล้ว คิดถึงล่ะสิ”
[แค่โทรมาถามเฉยๆ กลัวจะเป็นลมเป็นแล้งไปก่อน]
“กูไม่ใช่คนอ่อนแอขนาดนั้น”ผมหัวเราะ รู้ทันว่ามันต้องมีเรื่องอื่นด้วยแน่ๆ
[เออ คือกูเพิ่งทำงานเสร็จ ยังไม่ได้กินข้าว…มึงกินหรือยัง แวะมารับกูหน่อย] มันพูดรัวเร็วเหมือนกลัวใครแย่งพูด
“ยัง แต่กูมีนัดกับที่บ้านแล้ว”ทุกวันศุกร์ผมจะแวะไปกินข้าวเย็นที่บ้าน ถึงอาการป่วยของแม่จะคงที่แล้ว แต่ผมยังไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่ ไม่รู้สิ ช่วงนี้แม่ชอบทำตัวแปลกๆให้ผมคิดมากหรือบางทีผมอาจจะคิดเยอะไปเอง
“เดี๋ยวมึงไปกับกู”ผมพูดต่อ ไม่รอให้มันแทรก เอามันไปด้วยอย่างน้อยผมจะได้ไม่หงุดหงิดกับพ่อมากจนเกินไป รายนั้นชอบหาเรื่องมาบ่นผมตลอด ส่วนใหญ่เป็นเรื่องงาน
[จะดีเหรอวะ กูไม่อยากจะพูดแบบนี้หรอกนะ แต่พักนี้พ่อมึงอารมณ์ไม่ค่อยปกติ]
“จะบอกว่าพ่อกูประสาทว่างั้น”แต่ก็เห็นด้วยตามที่มันบอก
[เฮ้ย มึงพูดเองนะ] มันหัวเราะชอบใจ
[เออ กูไปก็ได้ ถ้าพ่อมึงด่ากูจะบอกว่ามึงเป็นคนบังคับกูไป]
“โอเค ให้ไปรับที่ไหน หอรึคณะ”
[คณะ]
คุยจบไอ้ฟิกก็ชิ่งวางสายไปก่อน ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า ช่วงที่ผมย้ายออกมาจากหอ ส่วนมากไอ้ฟิกมักจะไปขลุกอยู่กับพวกไอ้เคน ส่วนไอ้ตินพักหลังๆเหมือนมันจะยุ่งกับงานวิจัยพันธ์ไม้ ก็ไม่รู้ว่ามันจะสนใจไปทำไม เพราะเรื่องนี้ทำให้มันต้องตระเวนไปต่างจังหวัดบ่อยๆ คราวนี้ก็ขึ้นเหนือ ผมนึกสีหน้าของไอ้ฟิกออกเลยว่าเป็นยังไง มันอาจจะยังคิดมากเรื่องไอ้เจ้าคุณอยู่ก็ได้ พูดถึงไอ้หมอนี่แล้วหงุดหงิด
ผมกลับมาสนใจเรื่องของตัวเองต่อ สะดุดกับสีหน้าล้อเลียนของไอ้เต้เข้าพอดี
“นั่นแน่ คุยกับแฟนเหรอ สวยไหมวะ ว่างๆพามาแนะนำให้รู้จักหน่อย”ผมทำเสียงหึในลำคอ
“มึงจะอยากรู้จักไปทำไม”ผมไม่สนใจเสียงพร่ำเพ้อของมัน รีบเก็บของกลับบ้าน ไอ้เต้ช่วยเก็บนู่นเก็บนี่จนเสร็จ สำรวจว่าปิดไฟ
เรียบร้อยหมดแล้วจึงปิดประตูล็อคห้อง พอออกมาด้านนอกห้องถึงได้รู้ว่าอากาศค่อนข้างร้อน ห่างไปไม่ไกลเท่าไหร่ที่แคมป์คนงานกำลังคึกคัก ผมไม่ค่อยสนิทกับพวกช่างก่อสร้าง จะมีแค่บางคนที่ยังคุยกันได้ บางคนไม่ค่อยเชื่อเวลาที่ผมสั่งงานเพราะผมเพิ่งจบใหม่ จะเชื่อพวกโฟร์แมนมากกว่า
“เจอกันวันพรุ่งนี้ครับ”ผมตะโกนบอกลา พวกเขาแค่โบกมือพยักหน้าให้นิดหน่อย ก่อนกลับไปสนใจวงเหล้าต่อ ผมถอนหายใจ นี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผมอยากทำงานที่นี่ต่อ ผมอยากเอาชนะใจพวกเขาให้ได้ในฐานะหัวหน้า
“กูกลับก่อนล่ะ”ไอ้เต้บอกลาเซ็งๆ แยกตัวไปที่ลานจอดรถ ผมไม่ได้เอารถเบ๊นซ์มาใช้ เพราะผมก็มีรถประจำตำแหน่ง เหอะๆ ฟังดูหรูหราใช่ไหมล่ะ แต่จริงๆแล้วมันแค่รถกระบะของไซต์ก่อสร้างที่พี่โอให้ผมเป็นคนถือกุญแจ เพราส่วนใหญ่แล้วผมจะได้รับหน้าที่เป็นเบ๊ไปรับไปส่งคนนู้นคนนี้ หรือไม่ก็ถูกใช้ไปซื้อของ ตามเดิมไอ้รถกระบะนี่สภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมเลยไปยกเครื่องใหม่
ผมไปรับไอ้ฟิกที่คณะ ช่วงเย็นๆบรรยากาศคึกคักตามเคย ไม่รู้มีงานอะไรรถถึงติดยาวเหยียด กว่าจะถึงคณะสถาปัตย์ก็เกือบๆยี่สิบนาที ผมจอดรถที่หน้าคณะ เห็นไอ้ฟิกนั่งจับกลุ่มอยู่กับพวกแก๊งค์เด็กปีหนึ่งที่ผมพอจะคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง มันหันมามองด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ คว้ากระเป๋าแฟ่บๆมาจากโต๊ะ โบกมือลาให้น้องๆ ผมเห็นแล้วหมั่นไส้จึงแกล้งบีบแตรยาวๆ มันเดินเข้ามาใกล้ เข้ามานั่งในรถอย่างรวดเร็ว
“จะบีบทำซากอะไรหลายรอบวะ”มันปิดระตูรถเสียงดัง หันมาทำหน้าหงิกใส่
“มัวแต่ชักช้าทำไมล่ะ”ไอ้ฟิก ย่นหน้า กวาดตามองรอบๆรถ สภาพด้านในไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ส่วนมากจะเต็มไปด้วยของ เบาะหลังมีพวกอุปกรณ์ก่อสร้างวางกองเต็มไปหมด
“รถมึงนี่เกินบรรยายจริงๆ”มันหัวเราะหึๆ
“นี่รถรับส่งระดับหัวหน้าเชียวนะ มึงควรภูมิใจที่ได้นั่ง”
“เป็นเกียรติมาก มึงนี่รั้นจริงๆ ไปช่วยงานพ่อมึงก็จบแล้ว ได้ยืนสั่งงานหล่อๆในออฟฟิศ”
“พ่อกูจ้างมึงมาเป่าหูกูรึเปล่าเนี่ย”ผมพูดขำๆ ไอ้ฟิกหันมาทำหน้าจริงจังใส่
“กูรู้ว่ามึงอยากพิสูจน์ตัวเอง กูไม่ห้ามหรอก แต่มึงควรจะห่วงสารรูปตัวเองบ้าง”ผมทำเป็นก้มมองตัวเอง
“หล่อเหมือนเดิม”
“มึงผอม”มันทำเสียงเหนื่อยหน่าย ผมถอนหายใจเซ็งๆ จริงอยู่แหละที่พักหลังผมค่อนข้างเครียดเรื่องงาน ผมทำได้แค่พึ่งตัวเอง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้าพลาดก็โดนด่า โชคดีที่บางครั้งพี่โอรับหน้าแทนผม เรื่องคุมคนงานผมก็ทำได้ไม่ค่อยดี มากคนก็ยิ่งเรื่องเยอะ จิตวิทยาก็สำคัญ และผมเองก็ไม่ถนัดไอ้เรื่องพวกนี้เลย หลังจากที่เรียนจบ ก็เหมือนว่าผมได้เริ่มชีวิตใหม่ด้วยขาของตัวเอง อะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนไปเยอะ ผมมีเรื่องให้คิดเยอะแยะไปหมด
“กูจะบอกอะไรให้นะ เรื่องพ่อมึงน่ะ”ไอ้ฟิกทำเสียงมีลับลมคมในเหมือนรู้อะไรมา
“ทำไม”ผมตามน้ำทำท่าตื่นเต้นไปกับมัน
“เขาเป็นห่วงมึงนะ”ผมหลุดหัวเราะออกมาทันที
“มึงพูดไปเรื่อย”
จากนั้นทั้งรถก็เงียบกริบ ผมขับรถกลับบ้านเงียบๆ ไอ้ฟิกเหมือนจะมีเรื่องอยู่ในใจ เห็นมันไม่พูดไม่จาไปตลอดทาง บ้านก็ยังเหมือนเดิม ยกเว้นพ่อขอให้พี่ภักย้ายเข้ามาอยู่ด้วย เหอะ ไม่รู้ว่าทำไปทำไม ตอนนี้พี่ภักยังไม่ได้ตำแหน่งใหญ่อะไร แค่เข้ามาช่วยดูแลบางส่วน ผมเคยบอกพ่อไปแล้วว่าขอเวลาสองสามปีแล้วจะกลับมาช่วยงาน แต่ก็เหมือนพูดให้รูปปั้นฟัง พ่อไม่ค่อยพอใจที่ผมทำงานให้บริษัทอื่น เรื่องนี้จึงเป็นประเด็นถกเถียงระหว่างผมกับพ่อเสมอ นี่คือเหตุผลหลักๆที่ผมไม่ค่อยอยากกลับบ้าน แต่เพราะห่วงแม่ ผมเลยเลือกกลับมาแค่ช่วงศุกร์เสาร์อาทิตย์
“ไอ้โด้โตแล้วนี่หว่า มันจะกัดกูไหมเนี่ย”ไอ้ฟิกทำลายความเงียบเมื่อผมเลี้ยวรถเข้ามาจอดในลาน มันมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ไอ้โดโด้หมาพันธ์โดเบอร์แมนที่ผมเคยเอามาเลี้ยง ตอนนี้ตัวใหญ่กว่าเดิมมาก และมันค่อนข้างดุกับคนแปลกหน้า ไอ้ฟิกเองก็ไม่ค่อยได้มาที่บ้านผมบ่อยๆด้วยเหมือนกัน
“มึงไม่ค่อยอาบน้ำ มันกัดไม่เข้าหรอก”
“สัดภู กูอาบตลอด ยกเว้นเวลาง่วงๆแล้วลืม”มันแก้ตัว ก่อนหนีลงจากรถ ไอ้โด้วิ่งเข้ามาหาพร้อมเห่าเสียงดัง โชคดีที่จำไอ้ฟิกได้ ป้าพิมพ์ได้ยินเสียงหมาเห่ารีบกระวีกระวาดออกมาดู พอเห็นว่าเป็นผมกับไอ้ฟิกก็ทำท่าโล่งอก
“คุณภูมาแล้วเหรอคะ นึกว่าจะไม่มาแล้วซะอีก”ป้าพิมพ์เข้ามากอดผมพร้อมหอมแก้มฟอดใหญ่ ผมทำตัวไม่ถูกเพราะไอ้ฟิกมองอยู่ ดูมันจะขำ
“พอดีวันนี้งานเสร็จช้าน่ะครับ”ป้าพิมพ์ย่นหน้า หันไปหาไอ้ฟิกบ้าง
“ไม่ได้เจอเรานานเลย เหมือนมีเนื้อมีหนังขึ้น ไม่เหมือนคุณภูเลย เข้าไปด้านในกันเถอะค่ะ ตอนนี้คุณท่านกำลังเตรียมโต๊ะอาหารอยู่”ป้าพิมพ์รุนหลังให้ผมเข้าไปในบ้าน ก่อนจะบ่นพึมพำถึงเรื่องน้ำหนักของผมอีกหนึ่งรอบ
“พึ่งเลิกงานเหรอภู”พี่ภักทัก เหมือนกำลังออกไปข้างนอก
“ครับ พอดีแวะไปรับไอ้ฟิกมาด้วย”ผมพยักหน้าไปทางไอ้ฟิก มันเดินหายเข้าไปในครัวก่อนผมอีก แปลกเหมือนกันปกติมันจะเกร็งๆเวลามาบ้านผม
“อ้อ เสียดายพี่มีธุระพอดี มีเรื่องอยากคุยกับภูเยอะเลย”พี่ภักตบบ่าผมสองสามที
“ไปหาสาวเหรอ”ผมแซวไปงั้นแหละ เพราะไม่เห็นพี่ภักจะสนใจมีแฟน เอาแต่ทำงานงกๆ
“บ้าเหรอ”พี่ภักหัวเราะ ก่อนจะขอตัวออกไป สงสัยพี่เขาคงไม่อยากมาแทรกเวลาครอบครัวล่ะมั้ง ผมกะจะแวะเข้าไปในครัวบ้าง แต่ได้ยินเสียงโทรทัศน์แว่วมาจากในห้องนั่งเล่น ผมยิ้มเข้าไปกวนประสาทคนแก่ดีกว่า จึงเปลี่ยนโผล่หน้าเข้าไปในห้อง ชายที่ดูแก่กว่าวัยไม่ได้ดูโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ แต่ยืนมองปลาในตู้กระจก สองมือไพล่หลัง พ่อก็ยังเหมือนเดิมยกเว้น หงอกบนศีรษะที่พอมองเห็นได้ประปราย ผมเคาะผนังห้องเบาๆ
“พ่ออารมณ์ไม่ดีเหรอ”ผมถามยิ้มๆ เวลาที่ท่านหงุดหงิดจะชอบยืนมองอะไรนานๆเพื่องบอารมณ์ อีกฝ่ายไม่ได้หันมามอง ยังคงจ้องไอ้ปลาโง่ๆนั่นต่อ ผมพ่นลมหายใจฉุนๆ
“แม่แกลงทุนเข้าครัวกับข้าวให้ไอ้เด็กแถวนี้กิน ห้ามแล้วก็ไม่ฟัง”ท่านพูดเบาๆแต่ยังไม่ได้หันมามอง
“ให้แม่ออกกำลังบ้างเถอะครับ อยู่เฉยๆท่านคงเบื่อ”ผมเข้ามานั่งที่โซฟา คว้ารีโมทหาช่องสนุกๆดู
“แกเห็นสารรูปของตัวเองบ้างรึเปล่า”นั่นไง ว่าแล้วเชียวต้องวกกลับเรื่องงานของผม พ่อหันมามองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ยังหล่อเหมือนเดิม”ผมกวนประสาทกลับ
“เหอะ!”ท่านคว้ารีโมทไปจากมือ จากนั้นหน้าจอโทรทัศน์ก็ดับมืด พร้อมความเงียบเข้ามาแทนที่
“พ่อ…ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ให้ผมได้ทำตามใจตัวเองเถอะ ไหนเคยสัญญากับผมแล้วไงว่าจะให้ผมทำตามที่ใจอยากก่อน รออีกสองสามปีไม่ได้หรือไง”ผมพูดโดยไม่มองหน้าพ่อ เลยไม่เห็นว่าท่านทำสีหน้าแบบไหน
“ฉันไม่เข้าใจว่าแกจะทรมานตัวเองไปทำไม มีตำแหน่งดีๆรอแกอยู่ แต่กลับเลือกวิศวกรสนามเนี่ยนะ”
“แล้วไม่ดีตรงไหน ใครๆก็เริ่มจากจุดนี้ทั้งนั้น”ผมพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ถึงมันจะจริงก็เถอะ ตำแหน่งของผมไม่ได้ดีไปกว่าโฟร์แมนเลยด้วยซ้ำ หรืออาจจะเท่าๆกัน แต่งานแบบนี้ไม่ได้วัดกันที่ตำแหน่ง วัดที่ประสบการณ์ และผมเองก็ตั้งใจไว้แล้ว ตั้งแต่ที่เข้าไปทำงานวันแรกแล้วทำได้แค่เดินเกะกะชาวบ้านเขา วินาทีนั้นผมยอมทิ้งอีโก้ของตัวเองเพื่อเรียนรู้งานจากรุ่นพี่อย่างตั้งใจ ถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นแค่ช่างก่อสร้างตำแหน่งเล็กๆก็ตาม
“แกก็รู้ว่าตัวเองควรอยู่ตำแหน่งไหน”
“ผมไม่ทิ้งบริษัทพ่อหรอก ผมอยากเริ่มต้นด้วยตัวเองก่อน พ่อน่าจะเข้าใจดีนะครับว่าสายงานนี้ประสบการณ์เป็นเรื่องสำคัญ พ่อจะให้ผมไปนั่งสั่งงานทั้งๆที่ผมไม่เข้าใจเนื้องานไม่ได้หรอก คนเขาจะหัวเราะเยาะเอา ผมไม่อยากมีตำแหน่งสูงๆแต่สมองกลวง”ผมไม่อยากถูกคนอื่นมองว่าได้งานเพราะนามสกุลของพ่อ แค่ที่ไซต์งานผมก็อึดอัดมากพอแล้ว
“ฉันเข้าใจระบบงานดีว่าควรเริ่มตรงไหน ใช่ว่าฉันจะส่งแกไปลุยงานเลยเสียเมื่อไหร่ ฉันต้องให้แกดูงานก่อนอยู่แล้ว มีภักดีคอยช่วยแกจะกลัวอะไร แล้วอีกอย่างฉันก็เชื่อใน…”ท่านหยุดกะทันหัน ก่อนจะเอื้อมหยิบน้ำมาดื่มแทน
“ผมยังไม่พร้อม ให้พี่ภักดูไปก่อน”ถึงผมจะไม่ซีเรียสเรื่องบริษัท แต่ก็รู้สึกข่มขื่นแปลกๆ ผมเบนสายตาไปที่มุมห้อง เห็นกรอบรูปในตู้โชว์ เป็นรูปเมื่อหลายปีก่อน ผมยืนอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่ ใบหน้ากระจ่างไปด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา แววตาของแม่เปี่ยมสุขและพ่อดูภูมิใจเสียจนเหมือนหัวโตกว่าตัว เป็นรูปสมัยที่ผมยังเป็นเด็กดี เป็นน้องภูของแม่ เป็นเจ้าภูของพ่อ จู่ๆผมก็รู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านมานานแล้ว นานจนผมลืมไปแล้วว่ารูปนั้นถ่ายตอนไหน เมื่อไหร่ จู่ๆเหมือนมีก้อนแข็งๆมาจุกที่อก ผมนึกถึงเรื่องเมื่อตอนนั้น ตอนที่ผมทำให้ความเชื่อใจของพ่อพัง พ่อพูดคำๆหนึ่งออกมา และเหมือนคำนั้นจะติดอยู่ในใจของผมตั้งแต่นั้นมา
“พ่อยังเกลียดผมรึเปล่า”ผมถามเบาๆ
“พูดอะไรของแก”
“ก็ตอนนั้นไง ตอนที่เกิดเรื่อง พ่อบอกว่าเกลียดผม”ผมรับรู้ได้เลยว่าบรรยากาศในห้องเปลี่ยนไป ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ผมยังคงจ้องกรอบรูปใบนั้นอยู่เหมือนเดิม จำได้แล้วว่าภาพถ่ายตอนไหน เป็นตอนที่ผมอยู่ม.หนึ่ง แล้วสอบวัดความรู้ได้อันดับสองของจังหวัด ผมยิ้มออกมาเมื่อจำได้ว่าวันนั้นที่บ้านถึงกับจัดงานเลี้ยง
“…เรื่องมันก็ตั้งนานแล้ว”พ่อหยุดพูดไปดื้อๆอีกครั้ง ก่อนกระแอมเบาๆแล้วพูดต่อ
“ไอ้เรื่องงานของแกน่ะ ฉันก็แค่เป็นห่วง เห็นแกทำงานงกๆแต่ยังอยู่แค่ขั้นทดลองงานเนี่ยนะ หึ”เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง จนเมื่อพ่อขยับตัวลุกจากโซฟา ท่านเดินผ่านผมไปพร้อมเสียงบ่นพึมพำเบาๆ
“สงสัยฉันคงตายไปก่อนทันเห็นแกได้ดีล่ะมั้ง”
ผมอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หุบปากฉับตามเดิม ถอนหายใจเบาๆกับตัวเอง ระหว่างพ่อกับผมคงดีได้แค่นี้นั่นแหละ ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา ตอนแรกคิดว่าไอ้ฟิก แต่กลับเป็นแม่ ท่านยังดูมีน้ำมีนวลอยู่ แต่แววตาไม่ค่อยสดใส ทำให้ผมกังวลใจทุกครั้ง
“ผมกำลังออกไปพอดีเลย”
“ทะเลาะกับพ่ออีกแล้วเหรอภู”แม่เข้ามานั่งข้างๆ ดึงมือไม่ให้ผมเดินหนี แววอ่อนล้าปรากฏอยู่บนหน้า
“แม่ไปให้หมอตรวจอีกดีไหม ผม…”
“แม่ไปตรวจอยู่ตลอดนั่นแหละ ก็แค่เบาหวาน”ผมยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี หรือผมควรย้ายมาอยู่ที่บ้าน จะได้โล่งใจ
“แม่ไม่อยากให้เราทะเลาะกับพ่อบ่อยๆเลย ไม่เหนื่อยหรือไง”
“เปล่าครับ แค่แลกเปลี่ยนความคิดกันเฉยๆ”ถ้าแม่เชื่อก็บ้าแล้ว
“แม่ไม่อยากให้ภูกลับมาบ้านแล้วเจอเรื่องไม่สบายใจ แล้วพ่อเราก็รู้ๆอยู่ว่าเป็นยังไง เราก็ไม่ยอมลงให้พ่อด้วยเหมือนกัน ถ้ากลับมาบ้านแล้วทำให้ภูไม่สบายใจ แม่ก็ไม่อยากให้ภูมา”
“ผมไม่ได้ลำบากอะไรสักหน่อย”ผมเริ่มใจเสีย
“คราวหลังผมจะพยายามไม่กวนประสาทพ่อก็แล้วกัน”
“แม่ไม่ได้หมายความในทางไม่ดี แค่อยากให้ภูไม่เครียด มีเรื่องเยอะแยะไปหมดอยู่ในหัว เราไม่เหนื่อยหรือไง”แม่เอื้อมมือมาลูบ
หน้าผากของผมเบาๆ ผมไม่ได้ตอบ แค่ทิ้งตัวพิงโซฟา มีเรื่องหลายเรื่องที่อยาก แต่การเปิดใจกับครอบครัว มันยากเกินไปสำหรับคนอย่างผม
“ถึงพ่อจะชอบด่าผม แต่ผมก็ยังอยากกลับบ้านอยู่ดี”ผมหลับตาพึมพำ อย่างน้อยผมก็ยังรู้สึกว่ามีที่พึ่ง มืออุ่นๆของแม่วางอยู่บนไหล่
“ผมรู้ว่าพักหลังๆพ่อเครียด ผมเลยมาคลายเครียดให้พ่อไง”พ่ออาจมีเรื่องอยู่ในใจ ถ้าด่าผมแล้วได้ระบายก็เชิญทำไปเถอะ ผมอาจจะรำคาญอยู่บ้าง แต่อีกสองสามชั่วโมงก็หาย หรือเพราะความสัมพันธ์ของผมกับพ่อเป็นแบบนี้มาตลอด ถ้าไม่ได้ด่า พ่อคงเหงาปาก
“เรานี่นะ…เมื่อไหร่จะโตสักที”เสียงพึมพำของแม่ทำให้ผมลืมตา
“ผมโตแล้ว มีเงินเดือนของตัวเองแล้วด้วย”ผมทำเสียงจริงจัง แต่แม่กลับหัวเราะซะงั้น
“จ้ะ โตก็โต หิวหรือยัง แม่ทำของโปรดให้เราเยอะเลย”
ผมออกมากับแม่ ที่โต๊ะอาหารไอ้ฟิกกำลังพยายามหาเรื่องคุยกับพ่ออยู่ ท่าทางดูกระอักกระอ่วน พอมันเห็นผมออกมามันก็โล่งอก เหมือนได้ปาระเบิดทิ้ง กับข้าวบนโต๊ะมีแค่ไม่กี่อย่าง ส่วนใหญ่ก็ของชอบของผม พ่อพับหนังสือพิมพ์เก็บเมื่อเห็นผมกับแม่มาที่โต๊ะ สีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมตักข้าวให้ทุกคนเสร็จก็ย้ายมานั่งข้างๆไอ้ฟิก
“ปล่อยให้กูตกที่นั่งลำบากตั้งนาน”มันพึมพำเบาๆ ระหว่างที่ตักต้มจืดใส่จานตัวเอง มื้อนั้นผ่านไปเงียบๆ นานๆครั้งไอ้ฟิกจะพูดโพล่งชมฝีมือของแม่ ผมสังเกตว่าแม่เหมือนไม่ค่อยอยากอาหารจนผมพลอยกลืนไม่ลงไปด้วย ยังดีที่มีไอ้ฟิกนั่งอยู่ข้างๆ ไม่งั้นผมคงลุกหนีไปแล้ว
****************************************************
สองเดือนผ่านไป ผมปรับตัวกับที่ทำงานได้แล้ว ถึงผมกับไอ้เต้จะผ่านโปรแล้ว แต่ผมกับมันก็มาที่ไซต์งานก่อนเวลาเข้างานตลอด เพราะไม่อยากให้งานพลาด ผมยังคงทำตัวเหมือนเดิม วันศุกร์เสาร์อาทิตย์กลับไปค้างที่บ้าน วันไหนว่างก็ไปค้างที่ไอ้ฟิก วันไหนยุ่งจัดจนลืมกินข้าวแค่เห็นชื่อไอ้ฟิกอยู่โทรมาผมก็ดีใจแล้ว
วันนี้มีประชุมกับผู้รับเหมาและผู้คุมงานและสถาปนิกที่รับผิดชอบแบบ แรกๆผมไม่ได้ใส่ใจรายชื่อผู้รับผิดชอบโครงการ แต่พอมาเห็นชื่อสถาปนิกเข้าก็อดแปลกใจไม่ได้เพราะคนที่เป็นเจ้าของงานคือไอ้พิสนั่นเอง อีกฝ่ายไม่แปลกใจสักนิดที่เห็นผมอยู่ในที่ประชุมด้วย
“ผมคิดว่าค่อนข้างมีปัญหาในการวางสลีฟ บล็อคเอาท์…”ผมเริ่มถกปัญหาที่จะเกิดขึ้นหากไม่แก้แบบงานโครงสร้างบางส่วน อาจทำให้มีปัญหาในการวางพวกระบบท่อน้ำ ท่อลม ท่อร้อยสายไฟฟ้าต่างๆเพราะขอจำกัดของพื้นที่ ไอ้พิสหันไปปรึกษากับหัวหน้าโปรเจค ผมอดชื่มชมอยู่ลึก ๆ มันดูต่างจากเวลาปกติมากๆ เหมือนคนละคน มีความสุขุมและดูไม่เจ้าอารมณ์ กว่าจะได้ข้อสรุปก็ผ่านไปนานโข ผมฟังพวกหัวหน้าคุยเรื่องงบไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ฟังแค่ส่วนรับผิดชอบของตัวเองก็พอ หลังจากจบการประชุมพี่โอก็เข้ามาคุยคนแรก
“แกพอจะทำงานแทนฉันได้แล้วนะเนี่ย”พี่โอตบบ่าผมแรงๆ สีหน้าดูพอใจกับการประชุมวันนี้
“ผมไม่ได้ครึ่งของพี่หรอก”รู้สึกภูมิใจอยู่เหมือนกันที่โดนชม
“ไม่ต้องมาถ่อมตัว รู้ไหมตอนที่แกเข้ามาตอนแรก ๆ ฉันล่ะยังแปลกใจที่แกเลือกมาทำไซต์งานนี้ ยังคุยกับพวกช่างอยู่เลยว่าแกคงทนได้ไม่นานหรอกแต่วันนี้ฉันเชื่อแล้วว่าแกทำได้”ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี จะยืดมากก็ไม่ได้อีก
“ต่อจากนี้แกคงแบ่งเบางานให้ฉันได้บ้างแล้วนะไอ้น้อง”พูดจบพี่แกก็ออกไปเตรียมงานต่อ
“ไม่คิดว่าคนอย่างภูจะทำงานเป็น”ไอ้พิสทัก ผมหันไปมองอีกฝ่ายที่หอบแฟ้มงานออกมาสีหน้าดูเซ็งๆที่ได้งานเพิ่ม
“ชมหรือประชด”ผมเห็นหน้ามันแล้วหงุดหงิดทุกที คงเพราะดันไปนึกถึงเรื่องเก่าๆล่ะมั้ง
“แล้วแต่จะคิด”มันไหวไหล่ ผมยังไม่ได้ย่างเท้าไปไหน เจ้าของโปรเจคก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว จะเดินหนีก็ไม่ได้ ผมยิ้มทัก
“ไงเรา ไม่คิดว่าลูกชายของภิภพจะทำงานเป็นด้วย”ผมหุบยิ้มฉับทันทีเมื่อได้ยินชื่อพ่อตัวเองมาเอี่ยว
“ผมขอตัว”ผมรีบหมุนตัวออกมาทันที ผมหงุดหงิดทุกครั้งที่ถูกเอาไปพูดทำนองนี้ เมื่อก่อนผมเฉยๆกับพี่ภัก แต่พักหลังผมถูกดึงไปเปรียบเทียบมากขึ้น ประมาณว่าผมไม่ได้เรื่องเสียจนต้องให้ญาติมาคุมงาน ผมเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองอิจฉาพี่ภักก็วันนี้แหละ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมอยากไปแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับพี่ภัก และผมเชื่อว่าพี่เขาไม่มีความคิดแบบนี้แน่นอน ผมมั่นใจ