ตอนที่ ๓
งานเลี้ยงยังคงจัดมาถึงวันที่ ๓ วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ศศิศมหานาคราชยังทรงรับเครื่องบรรณาการและของขวัญแสดงความยินดีจนงานเลี้ยงค่ำคืน พระองค์ทรงพระสุบิรร้ายติดต่อกันมาตลอดนับแต่วันแรกที่จัดพระราขพิธีเฉลิมฉลอง และรู้สึกเหนื่อยล้าพระวรกายจึงเสด็จออกจากงานมาประทับยังห้องพักรับรองข้างห้องโถงว่าราชการ
“ทูลพระบาทเจ้ามีราชทูตจากนครฉิมพลีนำราชสาสน์มาถวายพะยะค่ะ”
“ให้เข้ามาได้”
“พะย่ะค่ะ”
ราชทูตถวายราชสาสน์แด่นาคราชสูงศักดิ์ พระองค์ทรงรับมาแล้วรีบทอดพระเนตรด้วยความแปลกพระทัย
ร้อยวันพันปีพวกครุฑมิเคยติดต่อกับพวกพระองค์เลยสักครั้ง แล้วไยเพลานี้ถึงได้ส่งพระราชสาสน์มา
พระองค์คลี่สาสน์เปิดออกทอดพระเนตร
‘ศศิศมหานาคราชเจ้า
เจ้ากับข้ามีหนี้แค้นที่ต้องชำระ หากเจ้าคืนบุตรแห่งข้าพร้อมก้มลงกราบพระบาทข้า ข้าจะอภัยให้ถือว่าเป็นการทำทาน แต่หากเจ้ายังปฎิเสธดื้อดึงที่จะไม่คืนบุตรของข้า แม่ทัพนายกองแห่งเหล่าครุฑก็พร้อมจะถล่มทะเลตะวันออกเขตปกครองของเจ้าให้ราบเป็นหน้ากลอง
ฆเคศวร ’
บังอาจนัก!
เจ้าพวกครุฑกล้าหยามข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ ข้ายังมิได้ทำสิ่งใดอันเป็นการดังที่พวกมันกล่าวหาเลยสักนิด นี่คงหาเรื่องทำสงครามรุกรานอาณาเขตของข้า
ตอนนี้องค์นาคราชเจ้าโกรธจนพระวรกายสั่นไปหมด สายพระเนตรของพระองค์จับจ้องราชสาสน์ด้วยความรังเกียจตามแรงอารมณ์ แต่ก็ยังต้องแย้มพระสรวลให้ราชทูตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หากเป็นพระองค์ในอดีตสมัยยังเป็นพระโอรสองค์ที่สิบแห่งเมืองบาดาลแล้วล่ะก็ พระองค์คงบุกไปทำลายวิมานฉิมพลิของพวกมันแล้ว แต่ขณะนี้พระองค์มีศักดิ์และศรีในฐานะเจ้าผู้ปกครองนครบาดาลแคว้นมหาสมุทรตะวันออก พระองค์จะทำการสิ่งใดจะต้องรอบคอบ ระงับโทสะเสียและคำนึงถึงไพร่ฟ้าประชาราชเป็นอันดับแรก
พระองค์จะต้องไม่ตกหลุมพรางของพวกครุฑเด็ดขาด อีกทั้งชื่อเสียงและความสามารถด้านการสงครามของฆเคศวร องค์ราชาครุฑก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วสามภพกับฉายาเทพแห่งสงคราม ไม่มีศึกใดที่เขานำทัพแล้วจะไม่ได้ชัยชนะ
ขณะที่องค์นาคราชเจ้าพยายามสะกดความเคียดแค้นไว้ในพระทัยแล้วส่งราชสาสน์ให้อัญรัตน์ และพระองค์เสแสร้งแย้มพระสรวลและตรัสออกไปว่า
“ข้ามิรู้ว่า องค์ฆเคศวรทรงหมายถึงเรื่องใดกัน ข้ามิได้ยุ่งเกี่ยวกับบุตรแห่งพวกครุฑเลยสักนิด ข้ามิเคยย่างกรายออกนอกเขตบาดาลและมิเคยไปสวรรค์ชั้นฟ้าเลยสักครั้ง แล้วข้าจะลักพาตัวบุตรขององค์ราชาไปได้อย่างไร ข้าเองก็เพิ่งจะรู้ด้วยซ้ำว่า องค์ราชาแห่งครุฑมีโอรส ข้าไม่เคยได้ยินว่า พระองค์มีราชินีหรือมีพระสนมเสียด้วยซ้ำ”
ในสามภพนี้ใครๆ ก็ต่างรู้ว่า ราชาแห่งพวกครุฑโหดเหี้ยมไร้พระทัยเพียงใด ไม่เคยมีข่าวว่ามีสตรีใดเคียงข้างตลอดห้าร้อยกว่าปีที่จุติมา สตรีนางใดที่ทอดสะพานให้ก็มักจะโดนความเย็นชาหรือคำปฎิเสธอย่างไร้เยื่อใย แต่กลับกลายเป็นบุรุษอันดับหนึ่งที่สตรีทั่วหล้าใฝ่ฝัน ไฉนเลยจะมีโอรสโดยปราศจากราชินีหรือสนมได้เล่า น่าขัน!
“กระหม่อมเพียงแต่นำราชสาสน์มาถวายเท่านั้น เรื่องภายในราชสำนักมิอาจแพร่งพรายให้คนภายนอกล่วงรู้ได้ กระหม่อมต้องขอพระราชทานอภัยโทษที่มิอาจตอบข้อสงสัยของพระองค์ได้พะย่ะค่ะ”
ราชทูตยิ้มมุมปาก เขาช่างฉลาดตอบเหลือเกิน
“เอาเถอะ ข้าคิดว่าคงเป็นเรื่องเข้าพระทัยผิดระหว่างสองเผ่าเสียมากกว่า จริงอยู่เผ่าบาดาลของข้ามีความแค้นแต่เก่าก่อนกับพวกท่าน แต่ข้าหาใช่เอาความเก่าก่อนนานนมมาแก้แค้นให้เสียเพลาไม่ ใจจริงข้าตั้งใจจะขอเป็นพันธมิตรกับพวกครุฑ ฝากท่านนำความไปบอกองค์ราชาด้วย และหากองค์ราชามิเชื่อก็ขอเชิญพระองค์เสด็จมาเป็นพระราชอาคันตุกะแคว้นข้า และลองค้นดูด้วยพระองค์เองเถิด ข้าพร้อมต้อนรับและยินดีอย่างยิ่งที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ”
“พะย่ะค่ะ”
ราชทูตกลับไปแล้วพร้อมกับวางกล่องของขวัญเพียงใบเดียวไว้ ช่างไร้มรรยาทเหลือเกิน นอกจากเก่งแต่ฆ่าแกงแล้วพวกครุฑก็มิมีสิ่งใดน่าชื่นชมเลยสักนิด แต่องค์นาคราชเจ้าต้องสะกดอารมณ์ขุ่นมัว มอบเกล็ดแก้วนาคราชกลับไปเป็นของตอบแทน
อัญรัตน์เงยหน้าขึ้นจากราชสาสน์
“เหตุใดพระบาทเจ้าจึงเชิญศัตรูมาประทับที่นี่กันเพคะ หม่อมฉันมิเข้าพระทัยพระองค์เลย ทรงมีพระดำริเช่นใดหรือเพคะ”
“ในเมื่อกุเรื่องโกหกมาตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นจะหาเท่าไรก็ไม่มีทางเจอหลักฐานใดๆ ที่นำมาใช้เป็นข้ออ้างทำสงครามกับข้าได้หรอก แต่หากข้าบ่ายเบี่ยงหรือแสดงท่าทีแข็งกร้าว พวกมันก็จะอ้างความชอบธรรมรุกรานเราทันที ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน หากทำสงครามกันจริงก็มีแต่เสียเปรียบและเสียเลือดเนื้อโดยไม่จำเป็น ”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ทรงพระปรีชาสามารถเหลือเกินเพคะ”
คืนนี้เป็นคืนที่สามหลังจากพระสุบินร้ายถึงอดีตที่ลบเลือนของชาติหนึ่งในขณะเป็นมนุษย์
ในคืนแรก พระองค์จำได้เพียงเลือนลางเท่านั้น แต่ในคืนที่สองเริ่มเห็นชัดเจนขึ้น และในคืนนี้พระองค์เริ่มรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญเหตุการณ์นั้นอยู่ มีอารมณ์ร่วมและความรู้สึก
(ภาคอดีตในความฝัน)
ภาพเมืองที่กำลังจะล่มสลาย ข้าศึกปิดล้อมพระนคร พวกมันจับเสด็จพ่อ พระญาติของพระองค์เสียงกรีดร้องดังระงมโหยหวนไปหมด นักโทษสูงศักดิ์คลุมด้วยถุงแดงและทุบด้วยท่อนจันทน์ก่อนนำโยนใส่หลุม ส่วนนักโทษต่ำศักดิ์ถูกเพชรฆาตบั่นคอ ศพหัวไปทาง ร่างไปทาง ช่างน่าสยดสยอง พระองค์ทอดพระเนตรภาพเหล่านั้นด้วยน้ำพระเนตรนองหน้าเสด็จฝ่าทหารไปโดยปราศจากความกลัว
พระองค์ดิ้นรนกรีดร้องอย่างทำพระทัยรับไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงเงื้อท่อนจันทน์ฟาดลงร่างของคนในครอบครัวพร้อมกับวิ่งถลาไปเขย่าร่างเสด็จพ่อ เสด็จแม่ เสด็จพี่ ครู่หนึ่งก่อนจะถอยมาก้มกราบแทบเท้าพวกท่าน
เสียงร้องของอีกาแร้งเหยี่ยวที่บินเต็มท้องฟ้าชวนขนลุก
ขณะที่ขุนนางผู้น้อยบ่าวไพร่พากันหวาดกลัวพวกข้าศึก จึงต่างพินอบพิเทายอมรับแต่โดยดี
หลังจากนั้นพระองค์ถูกใส่โซ่ตรวนจำขังอยู่ในคุกที่อับชื้นไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน
วันรุ่ง ตัวพระองค์ถูกลากไปยังลานกลางเมือง บนประตูเมืองแขวนศีรษะของแม่ทัพที่พระองค์เคารพนับถือ เพื่อถวายเป็นเครื่องสังเวยทวยเทพในฐานะสาวพรหมจรรย์บนกองไฟที่ร้อนระอุ ปวดร้อนไปหมดทั้งร่างกาย
พระองค์ทำอะไรไม่ได้ นอกจากสะอื้นกรรแสงน้ำพระเนตรนองพระพักตร์อยู่ท่ามกลางกองไฟที่ลุกโชน ยากจะทำพระทัยรับได้กับเคราะห์กรรมที่กำลังเผชิญ
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย”
องค์นาคราชเจ้าสะดุ้งตื่นจากบรรทม เหงื่อชุ่มไปทั่วพระวรกาย หลังจากประทับนั่งพักสักครู่จากนั้นก็ล้มพระวรกายลงบรรทมต่อ
ทว่าแม้ว่าจะพยายามกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่พักใหญ่ ไม่ว่าจะพลิกตัวไปมากกว่าแปดตลบก็ยังไม่สามารถข่มพระเนตรบรรทมลงอีกครั้งได้เสียที
สุดท้าย พระองค์ลืมพระเนตรขึ้นทอดพระเนตรเพดานห้อง เพราะภาพในพระสุบินยังคงหลอกหลอนในโสตประสาทของพระองค์จนพระองค์ต้องถอนพระทัยออกมาแรง ๆ อย่างหงุดหงิด
ตอนใกล้รุ่งสาง พระองค์ก็เข้าโรงครัวเสด็จไปทรงทำกับข้าวของมนุษย์ด้วยพระองค์เองโดยมีพวกนางกำนัลคอยช่วยเป็นลูกมือเพื่อขึ้นจะเสด็จไปตักบาตรบนหมู่บ้านริมชายทะเล
(ภาคปัจจุบัน)
ค่ำคืนราตรีเริ่มย่างกรายเข้ามา แต่องค์นาคราชเจ้ายังประทับเพื่อทอดพระเนตรฎีกาและทำพระราชกรณียกิจราชการงานเมืองอยู่ พระองค์ไม่อยากบรรทม ไม่อยากจะเจอกับพระสุบินร้ายเหล่านั้นอีกแล้ว
พระองค์ทอดพระเนตรฎีกาไปก็เริ่มหาวไปด้วย แม้จะเริ่มง่วงแต่ยังฝืนประคองสติทอดพระเนตรฎีกาต่อไปจนได้กลิ่นหอมของดอกแก้วมาจากกล่องของขวัญของพวกครุฑจนเผลอบรรทมไป
พระองค์ตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด และยังประทับอยู่บนบัลลังก์ฝาหอยมุกเช่นเดิม แม้รู้สึกเพลียแต่ไม่รู้สึกง่วงอีกต่อไป และไม่อยากบรรทมต่อ
องค์นาคราชเจ้าประทับนิ่งๆ มีพระดำริว่า ตนพรากชีวิตผู้คนไปมากมาย พวกเขามีพี่น้องมีคนรัก มีญาติพี่น้องที่ต้องเสียใจ ผลกรรมจึงสะท้อนกลับมา แม้พระองค์จะชดใช้กรรมด้วยชีวิตต่อชีวิตไปแล้ว แต่บาปที่ทำให้คนเหล่านั้นต้องสูญเสียกำลังเล่นงานความรู้สึก ตอนนี้คงต้องชดใช้ และตัดสินพระทัยแล้วว่าจะไปบำเพ็ญเพียรที่ถ้ำมรกตที่สงบเงียบและไม่ไกลจากเขตปกครองของตนเจ็ดวันตามคำแนะนำของเทพพยากรณ์
“ท่านเสนาบดี ระหว่างช่วงที่ไปจำศีล ฝากท่านดูแลเมืองด้วย กิจธุระอันน้อยใหญ่ ข้ามอบให้ท่านเป็นผู้สั่งการ แต่หากมีกิจใดอันสำคัญยิ่งขอให้ท่านนำความไปบอกแก่ข้าได้ทุกเพลา”
“รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ”
เมื่อเสนาบดีสหายคนสนิทรับปากแล้ว
องค์นาคราชหนุ่มก็กลายร่างเป็นพญานาคเจ็ดเศียรขนาดมหึมาเลื้อยขึ้นสู่ท้องน้ำเหนือนครบาดาลมุ่งหน้าไปยังเหนือน้ำที่มีถ้ำมรกต
หลังจากบำเพ็ญเพียรได้ห้าวัน องค์นาคราชเจ้าก็ไม่เผชิญกับพระสุบินร้ายอีก
ในขณะนั้น เสนาบดีก็ส่งทหารมารายงานว่า องค์ราชาของพวกครุฑเสด็จมาเป็นแขกทะเลฝั่งตะวันออกอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ พวกเขาไม่ต้องการให้เผ่าอื่นรู้ พระองค์จึงกำชับให้พวกเขาดูแลองค์ราชาให้ดีในฐานะเจ้าบ้าน
องค์นาคราชเจ้าสงสัยเหลือเกินว่า ราชาครุฑมีความลับใดแอบซ่อนอยู่กันแน่ ตอนแรกก็อ้างเรื่องพระโอรสเพื่อโจมตีหรือพวกเขาจะมาสอดแนมกำลังพลของแคว้นทะเลตะวันออกก่อน
“ส่งคนจับตาความเคลื่อนไหวของพวกพวกครุฑไว้ และส่งสาสน์ไปบอกเสด็จพี่ใหญ่และเสด็จพี่กลางว่าข้าต้องการให้เชิญพวกเขามาพบข้าในอีกสามวัน บอกว่าข้ามีเรื่องด่วนจะปรึกษา”
“พะย่ะค่ะ”
องค์นาคราชเจ้านึกห่วงเขตปกครองของตน เนื่องจากไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร พระองค์พึ่งจะผลัดแผ่นดิน ไหนจะพวกยักษ์ที่มีชายแดนติดกัน ไหนจะราชาพวกครุฑซึ่งมีจุดประสงค์แอบแฝงเข้ามาพักที่ทะเลฝั่งตะวันออกของพระองค์ แต่ตอนนี้พระองค์จะต้องแสร้งทำนิ่งสงบให้พวกมันตายใจเพื่อไม่ให้พวกศัตรูอ่านเกมออก
ระหว่างที่บำเพ็ญเพียร องค์นาคราชเจ้าคืนร่างเป็นพญานาคเจ็ดเศียรขนาดใหญ่กกกอดไข่วิเศษสามราตรีจนไข่ทอแสงสุกสกาวน่าพิศวง
จู่ๆ ก็มีพญาครุฑพร้อมลูกน้องเผ่านกอีกสี่ตนตรงเข้ามาทำร้ายพระวรกายของพระองค์ถึงในถ้ำมรกต พระองค์ปัดป้องแต่หาสู้พละกำลังมหาศาลของพญาครุฑตัวนี้ได้ พระองค์สบตาสีแดงชาดที่มองมาด้วยสายตาอาฆาต
“ปล่อยข้านะ เราไม่มีความแค้นต่อกัน ไยเจ้าทำเช่นนี้”
“เจ้ายังมีน้ำหน้ามาทำไขสืออีกรึ ทำชั่วอะไรไว้น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ”
พญานาคเจ็ดเศียรพ่นไฟเพลิงกาล แต่พญาครุฑมันหลบไปได้ พญานาคจึงเลื้อยเข้าไปใกล้และพ่นพิษผ่านพระเนตรของพระองค์ แต่พญาครุฑกลับสลายปีกและเพียงกระพือปีกครั้งเดียวจนพิษนาคถูกพัดพาสลายไปทันตาและพญาครุฑท่องบทสวดพระคาถาที่ทำให้พระองค์สิ้นอิทธิฤทธิ์จนต้องตรัสถามด้วยความฉงนในพระทัย
“มนต์อาลัมพายณ์ เจ้าคือผู้ใดกัน เจ้าไม่ใช่ครุฑธรรมดาแน่ๆ”
“ข้าคือฆเคศวร”
พอมันเอ่ยจบก็ตรงเข้าจิกพระวรกายนาคราชจนสร้างบาดแผลฉกรรจ์ ทั้งใช้จงอยเท้าขยุ้มพระองค์เหวี่ยงไปสู่ท้องฟ้าและปล่อยพระองค์สู้พื้นดินจนพระองค์กระอักเลือด เลือดแดงฉานที่แผลยังไหลไม่หยุดหยดลงพื้นไหลจนเป็นทางยาว
“ข้าล่ะชังน้ำหน้าพวกนาคเยี่ยงเจ้านัก วันนี้ข้าจะลงโทษเจ้าให้สาแก่ใจสมกับความชั่วช้าของเจ้าที่กล้าขโมยบุตรของข้า”
“เจ้าใส่ความข้า ข้ามิได้ยุ่งเกี่ยวกับบุตรของเจ้าสักนิด”
“หลักฐานชัดถึงเพียงนี้ เจ้ายังจะปากแข็งอีกหรือ”
มันทำท่าจะโจมตีพระองค์อีกครั้ง แต่จู่ๆ กลับบินไปทางด้านหลังของพระองค์แทน
พระองค์นอนดิ้นไปมารู้สึกเจ็บทรมานปวดร้าวเหลือเกิน
‘นี่ข้ากำลังจะตายแล้วหรือ’
พระองค์นึกในพระทัย ความเจ็บจากพิษบาดแผลทำให้สติพระองค์เลือนลาง แต่ก็ทันเห็นว่าพญาครุฑพร้อมบริวารของมันมิสนในไยดีพระองค์อีกแล้ว พวกมันกำลังสนใจไข่วิเศษที่เริ่มเปล่งแสงสว่าง พวกมันมีสีหน้ายินดีและพูดบางอย่าง
“ยินดีด้วยพะย่ะค่ะ ในที่สุดความพยายามปีเศษของพระองค์ก็สมปรารถนา พระโอรสเริ่มรู้สึกพระองค์แล้วพะย่ะค่ะ ในไม่ช้านี้จะต้องเสด็จออกมาจากไข่แน่ๆพะย่ะค่ะ”
ในเพลานั้น พระองค์แจ้งพระทัยแล้ว ไข่ที่พระองค์นอนกอดเป็นพระโอรสองค์เดียวขององค์ราชาพวกครุฑซึ่งเผ่าพันธุ์นี้มีบุตรน้อย พวกมันหวงแหนบุตรนักหนา หลังจากรับพรอันประเสริฐจากเทพบิดรให้ไม่มีผู้ใดต่อกรชนะได้ นอกจากเทพบิดรและเหล่ามหาเทพซึ่งมิยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกสามภพแล้ว พวกครุฑมีอำนาจมากที่สุดมายาวนานนับแต่เกิดการแบ่งแผ่นดินออกเป็นสามโลก คือ สวรรค์ชั้นฟ้า โลกมนุษย์ และบาดาล
ตอนนี้พระองค์เข้าพระทัยแล้ว.....
ที่แท้พวกชมพูนุชและเกตุไพลิน พวกนางต้องการวางแผนจะยืมมือพวกครุฑมาทำร้ายพระองค์ พระองค์ชะล่าพระทัยเกินไปจึงตกหลุมพรางของพวกนางซ้ำแล้วซ้ำอีก น่าเจ็บพระทัยจริงๆ
แสงสว่างเจิดจ้าส่องล้อมรอบตัวพญานาคกับไข่วิเศษใบนั้น พระองค์รู้สึกเหมือนถูกดูดพลังและปวดร้าวไปทั้งร่างกาย เหงื่อซึมทั่วพระพักตร์ เลื้อยดิ้นทุรนทุรายจนกระทั่งไข่ใบนั้นร้าวจนแตกออกเหลือเพียงเปลือกไข่หลังจากนั้นพญานาคเจ็ดเศียรก็ล้มลงกับพื้นและสลบไป
(จบตอน)
กลับมาแล้วค่า หลังจากนัทไปเที่ยวน่าน อุทัยธานีและสระบุรีมาในช่วงวันหยุดยาวเข้าพรรษา ตะลุยไหว้พระ เที่ยวมาเต็มอิ่ม มาต่อตอนที่ 3 ในที่สุดทั้งคู่ก็มาเจอกันแล้ว หลายคนเดาได้ ใช่ค่ะ เป็นไข่พญาครุฑ คราวนี้เจอกันแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ ลองเดาๆกันมานะคะ ฝากติดตามเรื่องนี้ต่อด้วยนะคะ
****
คำอ่าน
ฆเคศวร อ่านว่า คะ - เค - สวน
ศศิศมหานาคราช อ่านว่า สะ - สิด - มะ - หา - นาก - คะ - ราด
***** เดี๋ยวนัทจะทยอยไปทบทวนคำที่อ่านยากมาเต็มให้นะคะ