รักใสปิ๊ง
พิเศษ คู่รัก ท. แอนด์ ท. ((ทิม&ทิวากร))
ทิวากรในชุดนักศึกษาเดินลงมาจากตึกเรียน ตามมาด้วยเพื่อนชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อเห็นกรที่ไหนก็ต้องเห็นเพื่อนคนนี้ด้วยทุกทีไป เพื่อนๆในกลุ่มของกรเองก็มักจะเอ่ยแซวอยู่ตลอด ถึงจะถูกกรเอ่ยปรามก็ไม่ได้ทำให้เพื่อนในกลุ่มหยุดแซวกันได้ กรเองก็ปล่อยผ่านๆไป ไม่ได้คิดมากกับเรื่องที่เพื่อนแซวกันขำๆนั้น แต่อีกคนกลับไม่ใช่
“กิ้วๆ หวานกันจริงๆเลยนะคู่นี้”
ว่าแล้วเสียงแซวก็ลอยมาตามลม กรทำหน้าหน่ายกับคำแซวที่เพื่อนๆช่างสรรหา
“จะแต่งกันเมื่อไหร่อย่าลืมร่อนการ์ดเชิญนะจ๊ะ เดี๋ยวจะไปกินข้าวต้ม” เพื่อนผู้หญิงอีกคนในกลุ่มเอ่ยสมทบ
“ได้ข่าวว่าข้าวต้มมันงานศพ” กรย้อนเพื่อนขำๆ
“อ้าว? เหรอๆ ขอโทษที สับสนไปหน่อย” เพื่อนหญิงคนเดิมแตะแก้มตนเองท่าว่าสับสนจริงจัง
“พวกมึงก็แซวกันไปเรื่อย” กรว่าแล้วส่ายหน้าหน่าย
“ซงแซวอะไร เรื่องจริงทั้งนั้น ใช่ไหมแมกซ์?”
เพื่อนยังไม่เลิก มีการดึงอีกหนึ่งหนุ่มที่อยู่ในหัวข้อการแซวในครั้งนี้มาร่วมด้วย แมกซ์ยิ้มกับคำถามแต่ออกเป็นคำแซวมากกว่านั้น ถ้ามันเป็นเรื่องจริงก็ดีสิ
“อย่าใส่ใจเลยแมกซ์ เดี๋ยวพวกมันได้ใจก็เล่นแซวไม่เลิก”
กรเอ่ยบอกเพื่อน แมกซ์ยิ้มเจื่อนๆ เขาไม่ได้รู้สึกไม่ดีที่เพื่อนคนอื่นพากันแซว กลับอยากให้คำแซวพวกนั้นมันเป็นความจริงเสียอีก แต่ถ้ามันทำให้กรรำคาญก็คงแย่ แต่รอยยิ้มจริงใจที่ได้จากกรมาก็ทำให้ความคิดกังวลหลายหลากมันหายวับไป มีเพียงหัวใจที่มันเต้นแรงทุกทีที่ได้อยู่ใกล้มาแทน
แม้จะรู้ว่ากรมีเจ้าของ เพราะกรบอกเองว่ามีคนรักอยู่แล้ว แต่แมกซ์ก็อดไม่ได้ที่จะคิดไม่ดี ระยะทางที่ห่างกันเช่นนี้มันทำให้หลายคู่ต้องเลิกรากันไปมากมาย เพราะฉะนั้นคนอยู่ใกล้แบบเขาก็ไม่ผิด หากจะรู้สึกว่าตนเองมีสิทธิ์มากขึ้น
พอปิดภาคเรียนทิวากรก็ได้กลับมาที่บ้านเกิด มีโทรศัพท์ทางไกลจากเพื่อนแมกซ์มาได้ตลอดและทุกวันจนทิมชักจะรู้สึกไม่ดี กรบอกว่าเป็นเพื่อนที่กรุงเทพฯไม่มีอะไร เด็กหนุ่มเอารูปของเพื่อนๆที่ถ่ายด้วยกันมาให้ดู เมื่อได้ดูแล้วทิมก็แทบอยากจะโยนโน้ตบุ๊กของกรที่บรรจุรูปพวกนั้นทิ้ง เมื่อเกือบทุกรูปนายแมกซ์นั่นต้องอยู่ข้างกรตลอด บางรูปมีโอบไหล่กันด้วย เห็นแล้วมันตาร้อนจนจะลุกเป็นไฟ ดูก็รู้ว่ามันจงใจ คนอื่นอยู่ใกล้กรบ้างเป็นบางรูป แต่หมอนี่ถ้าทำได้มันคงสิงกรไปแล้ว บ้าเอ๊ย!
และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ทำให้ทิมหงุดหงิด เพราะนายแมกซ์อะไรนั่นโทรมาหากรอีกแล้ว กรเองก็ไม่กล้าปฏิเสธที่จะไม่รับสายเพราะอย่างไรฝ่ายนั้นก็เพื่อนกัน ทิมนอนมองกรคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอยู่บนเตียง กรเหลือบมองทิมที่เริ่มมีบรรยากาศมาคุเพิ่มขึ้นทุกขณะ พยายามจะเอ่ยตัดบทแล้วแต่แมกซ์เหมือนจะรู้ว่ากรอยู่กับแฟนเลยยื้อเวลาเอาไว้อีก ทิมเลื้อยตัวมาข้างกร ยกตัวขึ้นมาอีกนิดก่อนรั้งให้กรหันมารับจูบ
“อื้มมมม”
กรทำเสียงประท้วงในลำคอเมื่อถูกเพื่อนจูบไม่ให้ทันตั้งตัว เสียงของแมกซ์เรียกชื่อกรดังลอดมาทำให้ทิมหงุดหงิดเพิ่มขึ้น กรผลักเพื่อนออกเมื่ออีกฝ่ายพัวพันไม่ยอมหยุด พอถูกผลักออกมาทิมก็มองหน้ากรเขม็ง สีหน้าบึ้งตึงก่อนลุกขึ้นจากเตียงแล้วออกจากห้องไป
“แมกซ์ แค่นี้ก่อนนะ เรามีธุระต้องจัดการนิดหน่อย”
กรชะเง้อตามทิม ขณะที่เอ่ยบอกกับแมกซ์ ปลายสายอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ท่าทางไม่อยากจะวางสักเท่าไหร่
“เอ่อ... อืม ไว้วันหลังเราโทรหาใหม่นะ”
แมกซ์เอ่ยอย่างแสนเสียดาย กรนิ่งไปนิด แต่เพราะอยากวางสายแล้วจึงเออออตามใจแมกซ์ เมื่อฝ่ายนั้นยอมวางกรจึงได้ลุกออกไปหาทิม เห็นคนหน้าบึ้งยืนกอดอกพิงผนังห้องอยู่ กรดึงข้อมือเพื่อนให้กลับเข้ามาในห้อง พามานั่งลงที่เตียงแล้วเอ่ยถาม
“โกรธอะไร?”
“ไม่รู้เหรอ?” ทิมย้อนถามกลับ หน้ายังบึ้งไม่หาย
“เพื่อนกันน่า”
กรเอ่ยบอกเมื่อเข้าใจในสิ่งที่ทิมเป็น ทิมยังคงนั่งเงียบเพราะงอนที่กรทำเหมือนไม่ใส่ใจ กรจ้องตาคนหน้าบึ้งอย่างจริงจังแล้วว่า
“เชื่อใจเราไหม?”
คำถามเดียวทำเอาทิมจอดไม่ต้องแจว เด็กหนุ่มกลอกตามองสูงก่อนทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนราวกับหมดเรี่ยวแรงแล้วบ่น
“โธ่เอ๊ย พูดแบบนี้แล้วจะให้ทำไงอ่ะ?”
กรหัวเราะเบาๆก่อนเอนตัวลงนอนข้างกัน หันหน้ามาหาทิมขณะที่เลื่อนมือไปจับมือของอีกคนไว้แล้วยิ้มบางเบา
“ยังไงเราก็มีแค่นายคนเดียวนะ เชื่อใจกันหน่อย”
“เชื่อมันก็เชื่ออยู่หรอก แต่ทิมเกลียดมัน!” ทิมยังไม่วายใส่อารมณ์เมื่อพูดถึงบุคคลที่สาม
“อะไร นายยังไม่ได้ทำความรู้จักกับเขาเลย เกลียดเขาแล้ว?” กรเอ่ยถามพลางยิ้มล้อ
“รู้จักแค่นี้ก็พอแล้ว อย่าให้เจอตัวนะมึ๊ง!” คนนี้ก็ทำเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ออกท่าออกทางจนเกินพอดี
“เว่อร์ๆ”
กรเบ้ปากแล้วว่า ทิมขยับตัวนอนตะแคงข้างหันหน้าเข้าหากร ไล้ปลายนิ้วกับแก้มของเพื่อนแผ่วเบาก่อนบอก
“ที่หวง ที่ห่วง ก็เพราะรักนะ”
“รู้แล้วครับ รักเหมือนกันแหละ” กรบอกรักกลับยิ้มๆ ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของทิมปลิวหาย มีรอยยิ้มกลับมาอีกครั้ง
“น่ารัก แฟนใครเนี่ย?” เด็กหนุ่มเอ่ยชงไป
“แฟนทิม” อีกคนก็ตอบกลับมาอย่างเอาใจกันสุดฤทธิ์
“จริงอ่ะ?” ทิมขยับพลิกตัว โหย่งกายขึ้นคร่อมเพื่อนเอาไว้ก่อนโน้มใบหน้าลงไปเอ่ยถามใกล้ๆ
“ไม่ใช่หรอก ล้อเล่น” กรตอบเพื่อนแล้วอมยิ้ม
“ไม่ใช่ไม่ได้ เป็นแฟนทิมแล้วห้ามเปลี่ยนใจ”
“บังคับเหรอ?” ทิวากรแกล้งทำสีหน้าขึงขังเมื่อเอ่ยถาม
“ไม่บังคับ แต่อยากให้รักเราคนเดียว” ทิมก้มลงไปจนหน้าผากแตะหน้าผากของอีกคน กระซิบบอกเสียงเบาแต่เว้าวอนอยู่ในที
“ไม่บังคับเล้ย~” ว่าแล้วกรก็หัวเราะ
ทิมยิ้มกับบรรยากาศของความสุขที่กรส่งให้ผ่านเสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่มี เด็กหนุ่มแตะจูบริมฝีปากเพื่อนเบาๆก่อนผละออกมาเล็กน้อย ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างเข้าใจ ก่อนที่จะพากันออกไปข้างนอก
ระหว่างที่กรอยู่ใกล้ ทิมมีความสุขในทุกๆวัน เรื่องของแมกซ์นั้นทั้งคู่ตกลงกันแล้วว่าระหว่างที่กรยังไม่กลับไปที่กรุงเทพฯให้หยุดการติดต่อกับเพื่อนคนนี้ไปสักพัก เพราะดูอย่างไรมันก็มากจนเกินเพื่อน ทิมทำใจให้คิดตามกรไม่ได้ว่าแมกซ์เป็นแค่เพื่อนของกร เพื่อนคนอื่นยังไม่เห็นจะโทรหากรทุกวันแบบแมกซ์เลยสักนิด กรเองก็ไม่อยากให้มีปัญหาจึงปิดเครื่องแล้วใช้โทรศัพท์ทิมโทรหาพ่อกับแม่แทน
กรบอกกับทิมว่าปิดภาคเรียนคราวหน้าคงไม่ได้กลับมาที่บ้านแล้ว เพราะตนเองจะทำงานพิเศษเพื่อเก็บเงินตลอดช่วงปิดภาคเรียนนั้นเลย ทิมเลยขอเป็นฝ่ายไปหาเอง กรว่าจะไปก็ได้ แต่ต้องให้พ่อกับแม่ของทิมอนุญาตก่อน เดี๋ยวท่านเห็นหายไปนานแล้วจะเป็นห่วงเอา
ก่อนที่กรจะกลับไปเรียนต่อ ทิมก็มีของแทนใจมอบให้ เป็นสายสร้อยธรรมดา แต่มีอักษรภาษาอังกฤษตัวทีสองตัวเป็นตัวสร้อย ทิมเห็นพี่ชายซื้อให้นีออนเลยอยากซื้อให้กรบ้าง รวบรวมเงินจากการทำงานพิเศษที่ผ่านๆมาให้พี่ชายอย่างไทม์ช่วยบอกให้เพื่อนพี่ทำสร้อยให้หน่อย ถึงจะใช้เวลานานสักนิด แต่สุดท้ายแล้วทิมก็ได้สร้อยมาให้กรใส่สมใจ ยิ่งเห็นรอยยิ้มของคนที่ตนเองรักเมื่อได้สวมสร้อยเส้นดังกล่าว ทิมยิ่งรู้สึกดีที่ตนเองได้ทำให้คนรักมีความสุข
-----------------
“สร้อยสวยนะกร”
แมกซ์เอ่ยทักขึ้นมาเมื่อเพื่อนทั้งกลุ่มพากันมาทำรายงานที่บ้านของตนเอง เมื่อเพื่อนเอ่ยทักกรจึงแตะที่สร้อยของตนเองแล้วยิ้มให้เพื่อน
“ขอบใจ”
เด็กหนุ่มเอ่ยบอกเพื่อนก่อนก้มหน้าก้มตาเขียนรายงานต่อไป แมกซ์มองท่าทางมีความสุขเมื่อเอ่ยถึงสร้อยเส้นนี้ของกรแล้วก็นึกอิจฉาเจ้าของสร้อย ตั้งแต่ที่กรกลับมาจากบ้านเกิดก็ไม่เคยที่จะถอดสร้อยเส้นดังกล่าวสักครั้ง เห็นใส่ติดตัวเอาไว้ตลอด พอเพื่อนๆถามว่าใครให้มาเด็กหนุ่มก็เอาแต่อมยิ้มตาพราว แต่เพียงเท่านั้นเพื่อนๆก็พากันรู้แล้วว่าเจ้าของสร้อยคือใคร
ทางด้านทิมที่อยู่ห่างกันกับกรนั้น ช่วงที่ห่างกันทิมก็มักได้ยินกรพูดถึงเพื่อนอย่างแมกซ์บ่อยๆ ไปเที่ยวด้วยกันบ้าง มีของมาให้บ้าง กรเองก็ใช่จะดูไม่ออกว่าแมกซ์รู้สึกอย่างไรกับตน แต่เด็กหนุ่มก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องไปเพื่อเป็นการรักษามิตรภาพของเพื่อนเอาไว้ จนในวันนี้ที่ทุกคนในกลุ่มนัดทำรายงานที่บ้านแมกซ์ และปิดท้ายรายงานเสร็จด้วยการฉลองกันเล็กๆ แต่กลับทำเอากรเมาปลิ้น ไม่รู้มือใครต่อมือใครที่ส่งแก้วน้ำเมามาให้ กรก็คว้ามากระดกลงคอมันหมดทุกแก้ว
เมื่อเห็นท่าว่ากรจะเมามากไปแล้ว เพื่อนคนหนึ่งเลยบอกให้พากรไปนอนพักสักหน่อย ให้อาการดีขึ้นค่อยพากลับบ้าน ไม่อย่างนั้นโดนพ่อกรสวดยับแน่ แมกซ์เลยอาสาพากรไปนอนพักในฐานะเจ้าบ้านที่ดี ให้ทุกคนสนุกกันต่อได้เลย เพื่อนๆก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพียงแต่เอ่ยแซวกันตามประสาว่าอย่าชิงสุกก่อนห่าม มันจะไม่งาม แมกซ์เพียงแต่ยิ้มตอบกลับไป ก่อนพยุงกรไปนอนพักในห้อง
แมกซ์มองร่างเพรียวที่นอนอยู่บนที่นอนของเขานิ่ง ในหัวของเขากำลังคิดไม่ซื่อกับเพื่อนคนนี้ เด็กหนุ่มขยับขึ้นไปบนเตียงแล้วคร่อมตัวเพื่อนเอาไว้ มองริมฝีปากสีระเรื่อแล้วโน้มลงหาช้าๆ แตะสัมผัสแผ่วเบาซ้ำๆ ผละออกมามอง ใช้หัวแม่มือปัดผ่านริมฝีปากนั้นก่อนตามครอบครองด้วยริมฝีปากของตนเอง สัมผัสไม่คุ้นชินทำให้กรดิ้นหนี พยายามปรือตาขึ้นมามองอย่างยากเย็น แมกซ์รวบดูดปลายลิ้นเพื่อน มือก็ลูบไล้ฟอนเฟ้นไปทั่วร่าง เสียงโทรศัพท์ของกรดังขึ้นมาเรียกสติกร เด็กหนุ่มคว้ามากดรับ
“ฮะ... ฮัลโหล... ทิม”
กรเอ่ยทักปลายสาย ไถลตัวหนีมือแปลกปลอมที่มาบีบเค้นเนื้อตัว เมื่อแมกซ์ได้ยินว่าคนที่โทรมานั้นเป็นใครเด็กหนุ่มจึงเลิกชายเสื้อเพื่อนขึ้นแล้วแกล้งกัดยอดอก กรสะดุ้งแล้วร้องด่าเพื่อนว่าอย่ากัด เสียงโต้ตอบของกรดังแทรกเข้าไปในโทรศัพท์ทำให้ทิมที่อยู่ปลายสายชะงัก
“อะ... อย่า ทิม... ทิมช่ว…”
ตื้ด ตื้ด
ยังไม่ทันที่กรจะเอ่ยจบประโยค โทรศัพท์ในมือก็ถูกคว้าไปแล้วกดตัดสาย นั่นคือความตั้งใจของแมกซ์ที่ต้องการจะยั่วให้ทิมโกรธ และก็เป็นไปตามคาดเมื่อทิมโกรธจัดจนแทบจะฆ่าใครก็ได้ที่เดินผ่านมาแถวนั้น เด็กหนุ่มโทรกลับมาหากรอีกครั้ง แต่นั่นนับว่าเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะเสียงที่ได้ยินเมื่อถูกกดรับนั้นคือเสียงครางของกร ทิมนิ่งอึ้งก่อนปล่อยโทรศัพท์มือถือให้ร่วงหล่นจากมือไป
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!?
-------------
“อื้อออ ทิม อย่า…”
กรเอ่ยประท้วงคนที่กำลังรุกรานร่างกายของตนเอง สมองที่มันหนักอึ้งจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ประมวลผลไม่ทัน แต่ร่างกายของเขาก็ต่อต้านสัมผัสที่ได้รับอย่างเต็มที่
ริมฝีปากของคนที่คร่อมทับกายบดเบียดกลีบปากของกร มือไม้ของคนด้านบนไม่อยู่นิ่ง ลูบไล้ฟอนเฟ้นทุกตารางนิ้วที่มือปัดผ่าน เด็กหนุ่มสั่นสะท้านไปทั้งกายเมื่อถูกจู่โจมทุกจุดอ่อนไหว จนเมื่อริมฝีปากที่พรมจูบระเรื่อยต่ำลงทำให้กรหยัดเกร็งกาย ก่อนเหยียดเท้ายันขาออกไปอย่างแรง
เสียงวัตถุบางอย่างหล่นลงไม่ใกล้ไม่ไกล แต่กรกลับไม่ได้สนใจมันนัก เมื่อความรู้สึกอึดอัดปนเปไปกับความเสียวแปลบมันหายไปได้เสียทีแล้ว เด็กหนุ่มถอนหายใจโล่งก่อนพึมพำเสียงแผ่ว
“สมน้ำหน้า...”
ทิวากรคล้ายจะละเมอออกมาเมื่อนึกไปว่าคนที่ตนเองถีบไปเมื่อครู่คือทิม ก่อนจะหัวเราะเล็กๆแล้วนิ่งไป แมกซ์ที่ถูกถีบจนตกเตียงขยับลุกขึ้นมามองคนทำที่นอนสบายตัวไปแล้ว เด็กหนุ่มรู้สึกจุกเล็กน้อย เมื่อลุกขึ้นมาได้แล้วแมกซ์ก็คลานขึ้นมาบนเตียงอีกครั้ง มองใบหน้ายามหลับของทิวากรอย่างหลงไหล ไล่สายตาลงไปตามร่างกายขาวเนียนที่ถูกเขาตีตราประทับไปอย่างถ้วนทั่ว ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบางเบาด้วยความพึงใจ เฝ้ามองหน้ากรอย่างเผลอไผล ก่อนที่จะชะงักไปเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แมกซ์รู้สึกตกใจกับเสียงเคาะประตูนั้น เด็กหนุ่มมองหาทางหนีทีไล่ แต่ไม่ว่าทางไหนก็ไม่มีทางให้เขาหนีไปได้อีกแล้ว เมื่อหลักฐานการทำความผิดของเขานอนนิ่งอยู่ตรงนี้
แมกซ์ค่อยลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู คนที่มาเคาะคือเพื่อนในกลุ่ม เพื่อนบอกว่าจะขึ้นมาดูกรสักหน่อยว่าได้นอนพักแล้วดีขึ้นบ้างหรือยัง เพราะทุกคนจะกลับบ้านกันแล้ว เมื่อเพื่อนคนดังกล่าวจะเข้ามาในห้องแมกซ์กลับยืนขวางทางไม่ไปไหน เพื่อนหรี่ตามองแล้วถามว่ามีอะไรอย่างนั้นหรือ
“เรา... เราจะไปส่งกรเอง พวกนายกลับไปก่อนก็ได้”
เด็กหนุ่มเอ่ยบอกตะกุกตะกัก เพื่อนคนที่ขึ้นมาตามกรมองแมกซ์นิ่ง แมกซ์เองก็พยายามที่จะไม่แสดงพิรุธอะไร แต่เพื่อนกลับดันตัวเขาออกให้พ้นประตูห้องแล้วเดินอาดๆเข้าไปข้างใน แมกซ์มองตามเพื่อนที่ก้าวเดินเข้าไปในห้องแล้วอยากร้องไห้ ก่อนเดินตามเข้าไปแล้วหยุดอยู่ด้านหลัง เมื่อเพื่อนคนนั้นหยุดอยู่ไม่ไกลจากเตียงนอนที่กรนอนอยู่
“นายทำอะไรแมกซ์?”
เพื่อนเอ่ยถามเสียงเย็น แมกซ์อึกอักแก้ตัวไม่ได้เมื่อหลักฐานมันคาตาเสียขนาดนั้น ทำให้อีกฝ่ายหันมาตะคอกถามเสียงดัง
“ทำอะไร!!”
“เรา…”
เพื่อนมองหน้าแมกซ์อย่างเสียความรู้สึก ก่อนเดินเข้าไปหากรแล้วเขย่าแขนเพื่อปลุก
“กรๆ ตื่น กร”
เสียงเรียกและแรงเขย่าของเพื่อนทำให้กรงัวเงียลุกขึ้นนั่งโงนเงนไปมา เพราะยังรู้สึกหนักศีรษะไม่หาย เพื่อนที่มาตามตบแก้มกรเบาๆให้ตื่นเต็มตา
“วีออส?” กรเอ่ยเรียกชื่อเพื่อนงงๆ สะบัดหน้าเล็กน้อยเพื่อไล่อาการนั้น
“อืม กลับบ้านเถอะ” วีออสตอบรับก่อนชวนกรกลับบ้าน
กรพยักหน้าหงึกหงัก วีออสจึงช่วยพยุงเพื่อน ด้วยช่วงตัวที่เล็กพอกันทำให้ทุลักทุเลกันเล็กน้อย แมกซ์จะเข้ามาช่วยเลยโดนวีออสตวัดสายตาขุ่นเคืองใส่ พอออกไปข้างนอกเพื่อนๆก็พากันตกใจเมื่อเห็นสภาพกร วีออสส่งกรให้เพื่อนอีกคนที่ตัวใหญ่กว่าตนเองพาไปที่รถ กรยังงงๆว่ามีอะไรเกิดขึ้น หันไปมองแมกซ์ที่ยืนตัวลีบอยู่ตรงหน้าวีออสอย่างไม่เข้าใจ กวาดสายตาทั้งที่ยังคงมึนไม่หายมองเพื่อนแต่ละคนก็เห็นมีสีหน้าเครียดกันทั้งนั้น
เมื่อกรเดินพ้นไปจากจุดที่ทุกคนยืนอยู่ เพื่อนหนึ่งในนั้นก็ชกหน้าแมกซ์อย่างคุมอารมณ์ไม่อยู่ วีออสแตะแขนเพื่อนคนดังกล่าว ปรายตามองหน้าแมกซ์ด้วยความผิดหวัง แล้วพากันขึ้นรถของวีออสกลับบ้านกันไป ปล่อยให้คนทำความผิดยืนสำนึกผิดอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว...
วันถัดมาทิมโทรหากรแล้วเอ่ยถามว่าเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง กรยังมึนไม่หายเลยบอกว่าเมื่อคืนไปทำรายงานที่บ้านแมกซ์มา มีฉลองกันนิดหน่อยแต่ตนเองเมาไม่รู้เรื่อง ทิมทำเสียงรับรู้แล้ววางสายไป
เมื่ออีกคนวางสายสนทนาไปแล้วกรก็มองสภาพร่างกายของตนเองในกระจกบานใหญ่ภายในห้องน้ำ ร่างกายที่มีแต่รอยแดง ทั้งแผ่นอกและตัวของเขา เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปใต้ฝักบัว เปิดน้ำในอุณหภูมิที่สูงจนตัวแดงเถือก มือเรียวถูเนื้อตัวเพื่อที่จะลบร่องรอยที่เกิดขึ้นนี้ให้หมดไป แต่มันกลับทำไม่ได้อย่างใจ เด็กหนุ่มทุบผนังห้องน้ำอย่างอัดอั้น รู้สึกผิดต่อตนเองและทิม
--------------
ทิมขับรถมาที่กรุงเทพฯโดยไม่ได้บอกกรล่วงหน้าก่อน เพราะเขารู้สึกว่าพักนี้กรห่างเหินไป คนอาจจะมองว่าเขาบ้าที่มาถึงที่โดยไม่คิดไตร่ตรองอะไรให้ดีเสียก่อน เขาคิดสิ และเพราะคิดนี่ล่ะเขาถึงได้มาที่นี่ อยากมาดูให้เห็นกับตาว่าสิ่งที่ตนเองคิดนั้นมันจริงแท้แน่หรือไม่ ถ้าหากมันเป็นจริงแล้วเขาจะทำอย่างไร... ไม่อยากจะนึกถึงมันเลยสักนิด
ทิมมารอกรอยู่ที่หน้าร้านที่กรบอกว่าทำงานพิเศษอยู่พร้อมรถมอเตอร์ไซค์คันเก่ง เขาบ้ามากใช่ไหม ขับรถมอเตอร์ไซค์มาถึงกรุงเทพฯ กรเดินออกมาจากร้านกับกลุ่มเพื่อนที่ทำงานด้วยกันหลังจากเลิกงานแล้ว เด็กหนุ่มชะงักเมื่อเห็นทิมมารออยู่หน้าร้านเช่นนี้ ก่อนที่จะหันไปมองเพื่อนแล้วบอกขอตัว หนึ่งในกลุ่มเพื่อนคือแมกซ์ เด็กหนุ่มมองตามทิวากรที่เดินไปหาทิมด้วยสีหน้าละห้อย กรเดินเข้าไปหาเพื่อนรักด้วยรอยยิ้ม ในใจรู้สึกยินดีกับการมาของทิม แต่ทิมกลับเดินหนีไปเสียอย่างนั้น กรจึงเร่งฝีเท้าเดินตามให้เร็วขึ้น ทั้งที่ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนต้องเดินหนี
“ทิม ทิม... ไอ้ทิม!”
เมื่อเรียกแล้วไม่ยอมหยุดกรเลยชักจะโมโหจนขึ้นคำว่าไอ้นำหน้า และได้ผลเมื่อทิมหยุดเดินเสียที กรถอนใจแรงๆก่อนถาม
“จะรีบไปตามควายที่ไหนของนาย…”
“เราเลิกกันเถอะ”
คำที่อีกฝ่ายเอ่ยสวนมานั้นทำเอาทิวากรอึ้งตะลึงงัน ก่อนเอ่ยถามราวกับว่าได้ยินสิ่งที่เพื่อนบอกไม่ชัด ทั้งที่จริงแล้วมันสะท้อนก้องไปทั้งอกแล้วในตอนนี้
“อะไรนะ?”
ทิมหันกลับมาช้าๆก่อนเอ่ยบอกคำเดิมซ้ำ
“เราเลิกกันเถอะ”
เมื่อได้ยินอย่างชัดเจนจนไม่มีข้อโต้แย้งใดให้ตนเองอีกทิวากรก็กำหมัดแน่น ก่อนจะยกเท้าถีบเพื่อนเสียแรง
“ไอ้เชี่ย! ถ้ามึงมาเพื่อแบบนี้นะ มึงไม่ต้องมาเลยดีกว่า สัดเอ๊ย!!”
ดวงตาเจ้าของคำพูดคลอด้วยน้ำตา มันเจ็บไปทั้งใจกับคำบอกเลิกที่ไม่ทันตั้งตัวนั้น เมื่อครู่นี้เขายังดีใจอยู่เลยที่ได้เจอคนๆนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่อยากให้มันมาเลยสักนิด กรกระชากสร้อยคอที่ทิมเคยให้มาจนขาดแล้วเขวี้ยงใส่ ก่อนเดินกระแทกไหล่ทิมเพื่อจะผ่านไป ทิมคว้าแขนเอาไว้ก่อนกระตุกแรงให้เซมาหา รั้งต้นคอให้แหงนรับจูบ ต่อหน้าต่อตาเพื่อนของกรที่เดินเข้ามาหาเพราะรู้สึกเป็นห่วงที่เห็นทั้งคู่กำลังทะเลาะกัน
กรดิ้นรนพยายามให้หลุดจากการกักกัน แต่ทิมก็ดื้อดึงเกินกว่าจะยอมปล่อยไปง่ายๆ เมื่อพอใจแล้วทิมถึงปล่อย กรมองเพื่อนอย่างผิดหวังและเสียใจ น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ร่วงผล็อย ทั้งเจ็บใจ ทั้งเสียใจ ปนเปกันไปหมด กรใช้หลังมือปาดมันออกลวกๆ ทิมไม่พูดอะไรต่อจากนั้น เด็กหนุ่มก้มลงเก็บสร้อยที่ตกอยู่บนพื้น ก่อนก้าวถอยหลังแล้วหันกลับเพื่อเดินไปที่รถของตนเอง
“มึงไม่รักกูแล้วใช่ไหม?”
“...............” เสียงของกรหยุดขาที่กำลังก้าวเดินของทิมเอาไว้นิ่ง
“กูเคยบอกว่าคนใดคนหนึ่งจะเปลี่ยนไปก็ไม่แปลก แล้วมึงเคยถามว่า…” เสียงของเด็กหนุ่มขาดหายเพราะอาการสะอื้น
“.............”
“ว่าคนนั้นคือใคร... วันนี้มึงได้คำตอบแล้วใช่ไหมว่าคนๆนั้นมันก็คือตัวมึงเองนั่นแหละ!”
ทิวากรตัดพ้อต่อว่าเพื่อน ทิมหันกลับมา สีหน้าเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากรสักเท่าไหร่ รู้สึกเสียใจไม่แพ้กันที่ต้องทำเช่นนี้
“เราไม่เคยเปลี่ยนไป เคยรักนายยังไงก็ไม่เคยเปลี่ยน”
“แล้วมึงมาบอกเลิกกูทำไม!!” กรร้องถามหาเหตุผล สีหน้าเจ็บปวดเหลือคณา
“เพราะ…” ทิมมองเพื่อนแล้วจะเอ่ยบอก แต่กลับมีเสียงบางคนแทรกมา
“เอ่อ... เราว่าอย่าทะเลาะกันตรงนี้เลยนะกร คนมองใหญ่แล้ว ถ้าเขาไม่รักกรก็ช่างเขาเถอะ คนดีมีถมไป กลับบ้านกันเถอะนะ...”
แมกซ์ก้าวเข้ามาหาคนทั้งคู่ก่อนเอ่ยกับกร เหลือบมองทิมที่ชักสีหน้าใส่เขาทันทีที่ก้าวเข้ามาแล้วทำเป็นไม่เห็น
“ไม่” กรปฏิเสธเพื่อนเสียงหนัก สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่คนๆเดียว คนที่เขาต้องการเหตุผลเพื่อมาหักล้างความเจ็บปวดในใจ
“ตอบมาสิทิมว่าเพราะอะไร?” กรยังคงเอ่ยถามเพื่อน ไม่แม้แต่จะสนใจว่ามีใครเขม่นใครอยู่
“ถามไอ้เหี้ยนั่นดูสิ!”
ทิมบอกทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก็ก้าวเร็วๆไปขึ้นรถเพื่อจะตีรถกลับบ้าน กรรีบวิ่งไปหาทิมแล้วโดดขึ้นนั่งซ้อนท้าย กอดเกี่ยวเอวเพื่อนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“เฮ้ย! ลงไป!”
ทิมเอี้ยวตัวกลับมาร้องบอกอย่างตกใจ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมขยับ ยังคงกอดเอวเพื่อนเงียบและดื้อดึง ทิมมองความดื้อดึงนั้นแล้วถอนใจเบา
“กร ลงไป เราจะกลับบ้านแล้ว”
“อย่าไล่นะ! อย่ามาไล่…”
กรซุกหน้ากับแผ่นหลังเพื่อน ตัดพ้อน้ำเสียงอู้อี้จนทิมต้องถอนหายใจอีกรอบ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเคลื่อนรถออกตัวไป แมกซ์กับเพื่อนคนอื่นเรียกตามแต่กรก็ไม่ยอมลง กอดเอวทิมแน่นไม่ปล่อย ทิมขับรถมาได้สักระยะก็หยุด หาที่จอดรถแถวสวนสาธารณะที่มีผู้คนมาออกกำลังกายกันในยามเย็นเช่นนี้
“กร ปล่อย”
ทิมบอกเพื่อนอีกครั้งเมื่อจอดรถ แต่กรก็ยังเงียบ กอดเอวทิมแน่นไม่ไหวติง
“ปล่อย แล้วมาคุยกันดีๆ โอเคไหม?”
ทิมบอกเสียงนุ่มอย่างมีเหตุมีผลมารองรับ ทำให้กรยอมปล่อยแล้วลงจากรถไปคุยกัน ทั้งคู่เดินไปนั่งที่ม้านั่งก่อนพูดคุยกันถึงเรื่องราวที่มันเกิดขึ้น แม้จะไม่อยากเอ่ยถึงให้มันสะเทือนใจตนเองแต่ทิมก็จำต้องพูดว่าตนเองได้ยิน ได้รู้ อะไรมาบ้าง ซึ่งทุกอย่างนั้นมันก็เป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดไปเองฝ่ายเดียวทั้งนั้น เมื่อปรับความเข้าใจให้ตรงกันแล้วว่าสถานการณ์ในวันเกิดเหตุนั้นมันเป็นเช่นไร
ต่อด้านล่างค่ะ