39
เทวดา & มาเฟีย
ทิวาคิดว่าตัวเองอาจไม่รอดคืนนี้
เขาไม่คิดว่าจะโชคดีแบบคราวก่อนที่หลุดจากเงื้อมมือเฉินเชว่มาได้หลังจากเข้าไปจับเสือมือเปล่าถึงถิ่น ถ้าครั้งก่อนผู้หญิงที่มันเลี้ยงไว้ไม่เมายาคลุ้มคลั่งจะกระโดดตึกตายจนมันต้องออกไปจัดการ เขาคงไม่ได้กลับออกมาอย่างปลอดภัยแน่
โทรหามันแล้ว นัดเจอกันที่ปักกิ่งบ้านเกิด แต่เฉินเชว่บอกว่าอยู่ทองหล่อ ยังไม่กลับ ทำเอานักสืบงงตาแตก แต่ยังไม่ได้ถามต่อก็ถูกตัดสายทิ้ง บอกสั้นๆ แค่ให้มาเจอกันที่โรงแรม
มาถึงโรงแรม แจ้งรีเซปชั่นว่ามาพบแขก (แน่นอนว่าเฉินเชว่ใช้ชื่อปลอม) พนักงานโทรเข้าห้องเพื่อแจ้ง พอบอกว่าอนุญาต ทิวาก็ขึ้นลิฟต์ไป ระหว่างชั้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเขากลับรู้สึกตกต่ำหดหู่ เขาไม่มีทางรู้เลยว่าแผนที่เตรียมมาจะได้ผลแค่ไหน
เขากลัว...ไม่ใช่กลัวตาย
แต่กลัวอย่างอื่น“มาไวจัง”
เจ้าของห้องเปิดประตูโผล่หน้าเสี้ยวหนึ่งให้เห็นเมื่อได้ยินเสียงกดออดหน้าห้อง ทิวาถอยไปข้างหลังครึ่งก้าวโดยอัตโนมัติตามสัญชาติญาณไม่ไว้ใจ
“ไม่ต้องกลัว ที่นี่เขตปลอดอาวุธ”
ผู้อยู่หลังประตูยิ้มยียวน เปิดประตูกว้างขึ้นพร้อมกับการผายมือเชิญ ทิวาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะก้าวเข้าไป สำหรับเขามันคือห้องเชือดชัดๆ แต่ก็ข่มใจตัวเองว่าไม่เป็นไร เขาสั่ง (เสีย) แสงเทียนไว้แล้วว่าถ้าไม่ติดต่อกลับภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ให้โทรเรียกตำรวจได้เลย คงเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่
ไม่อยากเชื่อว่าจะต้องพึ่งพาคนที่ได้ชื่อว่ามือที่สาม คนที่แย่งความรักของเขาไป แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากแสงเทียนว่าทำอะไรเพื่อช่วยโจรอู๋ไปบ้าง นักสืบก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะเขาไม่มีทางใจกล้าบ้าบิ่นสิ้นคิดทำแบบเดียวกันได้ แสงเทียนทุ่มเทสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงิน คือชีวิตและหัวใจ ทิวาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมโจรอู๋ถึงเลือกคนๆ นี้...ถึงจะทำใจยอมรับยากก็เถอะ
เฉินเชว่ใส่แค่กางเกงนอนขายาวตัวเดียว หัวยุ่งฟู แลดูเหมือนเพิ่งตื่นนอน แต่กลิ่นโลชั่นกับอาฟเตอร์เชฟอ่อนๆ ทำให้นักสืบรู้ว่ามันอาบน้ำแล้ว แต่เพิ่งเอากับใครมาสดๆ ร้อนๆ จนยับยุ่งรุงรังต่างหาก
“ถ้ามาขัดจังหวะก็น่าจะบอกกันก่อน จะได้ไม่กวน” ผู้มาเยือนเอ่ย
“ไม่ๆ ไม่มีอะไรสำคัญกว่าวาทั้งนั้น”
เอาละ...มันเอาละ“นึกว่ากลับจีนแล้วซะอีก” นักสืบว่า
“เปล่า นั่นลูกน้อง ให้สวมรอยแทน เผื่อตำรวจเปลี่ยนใจออกหมายจับ เฮียจะได้ไม่ซวย กะรอเรื่องเงียบแล้วค่อยกลับ”
“เลวจริง” ทิวาส่ายหน้าเพลียๆ “งั้นเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ไม่อยากเสียเวลา กูอยากให้มึง...”
“อ๊ะๆๆ ไม่เอาสิ กูมึงอะไรไม่น่ารักเลย” เจ้าของห้องยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากแบบกวนๆ ทำเอาทิวาควันออกหู
“อย่ามากวนตีนได้มั้ย เวลามีน้อย”
“แหม เห็นเฮียเป็นบ่อขยะรึไง อยู่ด้วยแป๊บเดียวทำเป็นรังเกียจอยากหนี ทีกับไอ้คนที่ทำหนูเจ็บช้ำปางตายนี่มีเวลาให้ทั้งชีวิตเลยนะ”
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว!” ทิวาตวาด ทั้งโกรธและอาย
อีกฝ่ายยิ้มไม่รู้สึกรู้สา เหมือนคำด่าคือคำชม
“เฮียเสียใจที่วาเปลี่ยนไปขนาดนี้ จากที่เมื่อก่อนเรียกเฮียจ๋าๆ วิ่งตามแจ ตอนนี้กลายเป็นคนเกรี้ยวกราดหยาบคาย คิดแล้วก็เศร้า เพราะไอ้มี่คนเดียวเลย”
“หุบปากซะที พล่ามอะไรอยู่ได้น่ารำคาญ ถ้าไม่เข้าเรื่องจะกลับแล้วนะ” ทิวายื่นคำขาด เฉินเชว่จึงเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจัง
“แหม แค่อยากย้อนความหลังนิดหน่อยเอง”
“กูไม่อยาก”
“กูมันระคายหูอ่ะ หนูเหมือนเดิมได้มั้ย”
“ไปตายซะ”
“โอเคๆ เข้าเรื่องครับ”
ความจริงที่ไม่อยากยอมรับ ความหลังที่ไม่ต้องการรื้อฟื้น ก็คืออดีตของเขากับมัน (และโจรอู๋) ที่เติบโตมาด้วยกัน เคยเป็นความทรงจำที่ดี
เฉินเชว่แก่กว่าเขากับโจรหลายเดือนและได้เลื่อนชั้นก่อน เขาเลยนับถือมันเป็นพี่ เรียกเฮียทุกคำ แต่โจรอู๋ไม่เคยเรียกเพราะคิดว่าเกิดปีเดียวกัน ตัวโตเท่ากัน และคนเป็นน้องก็ต้องยอมอยู่ใต้คำสั่งพี่ ถูกเอาเปรียบเสมอ เลยเรียกแค่ชื่อเฉยๆ
ทิวายอมรับว่าเมื่อก่อนเขาติดเฉินเชว่มากกว่าโจรอู๋จริง เพราะเฉินเชว่ตามใจ ในขณะที่โจรอู๋ไม่ เฉินเชว่ชอบแบ่งขนมกับของเล่นให้เขา แต่โจรอู๋ชอบแย่ง โตถึงขั้นประถม-มัธยม เฉินเชว่ก็ยังโอ๋ไม่เลิก ตามติดชีวิตเขาประหนึ่งบอดี้การ์ด เพราะเขาเป็นเด็กเรียน บุคลิกเรียบร้อย พูดน้อย เข้ากับใครไม่เก่ง เลยถูกแกล้งบ่อยๆ แต่เฉินเชว่ก็ต่อยเจ้าพวกนั้นยับ ตรงข้ามกับโจรอู๋ที่คบแต่เพื่อนนักเลง เที่ยวหาเรื่องคนโน้นคนนี้ เข้าห้องปกครองบ่อยกว่าห้องเรียน เหมือนอยู่กันคนละกาแล็กซี่
แต่ความรักมันมักผีเข้าผีออก... คนดีใช่ว่าจะถูกรักเสมอไป เขารักโจรอู๋มาตลอด ทว่าโจรอู๋กลับเมิน
เหมือนที่เฉินเชว่รักเขา แต่ถูกเขาเมินนั่นแหละ
ทิวารู้สึกเศร้าและรู้สึกผิดตอนที่ตัดสินใจย้ายตามโจรอู๋มาอยู่ไทย เพราะมันคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เฮียคนนี้ใจสลายและทำลายตัวเอง พอไม่มีทิวาให้คอยดูแล ก็ไม่มีเหตุผลต้องเป็นคนดีอีกต่อไป มันเริ่มกินเหล้าสูบบุหรี่เที่ยวโสเภณีจนสุดท้ายเข้าสู่วงจรมืดของพ่อเต็มตัว ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยสัญญาว่าจะไม่ยุ่ง และจะทำให้พ่อเลิกให้ได้ด้วยซ้ำ
ทิวาเสียใจ... แต่ทำไงได้ เขาห่วงโจรอู๋มากกว่า รายนั้นอยู่ในช่วงติดเพื่อนเลวสุ่มเสี่ยงจะเสียคนไม่ก็เสียชีวิต คนในครอบครัวก็เอาไม่อยู่ คงมีแต่ทิวาเท่านั้นที่โจรอู๋เชื่อฟัง นับว่าโชคดีเหลือเกินที่เป็นการตัดสินใจถูก เขาพาโจรผ่านพ้นช่วงวิกฤติวัยรุ่นมาได้
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาทิวาไม่ได้ติดต่อเฉินเชว่เลย แต่รู้ข่าวคราวเป็นระยะ แต่ละครั้งก็สร้างความหดหู่ให้ทุกที เฉินเชว่กลายเป็นปีศาจร้ายขายมนุษย์ที่คงไม่มีทางหันหลังกลับได้
ทิวาคิดว่าเฉินเชว่คงลืมเรื่องตนไปหมดแล้ว กระทั่งครั้งล่าสุดเมื่อหกเดือนก่อนตอนไปเจรจาให้ปล่อยตัวแม่โจรอู๋ ทิวาจึงรู้ว่ามันไม่เคยลืม สายตาที่มองเขาแทบไม่ต่างจากเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน
สายตาที่อ่อนโยน...เหมือนกับตอนนี้“เฮียรู้ว่าหนูมาเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นหนูไม่จำเป็นต้องพูด”
“......”
“ทำไมวา เฮียไม่เข้าใจ ทั้งที่มันไม่แคร์หนูแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว หนูก็ยังทุ่มเทให้มันอยู่ได้ ตอนนี้แม่งก็มีเมียใหม่ไปแล้วด้วย เด็กกระจอกที่ไม่มีอะไรสู้วาของเฮียได้ซักนิด ทำไมยังไม่เลิกงมงายกับมันซักที”
“กูเลิกช่วยมันตั้งนานแล้ว ที่มาก็เพราะแสงเทียนขอร้อง เด็กนั่นไม่กระจอกนะ มึงไม่รู้ล่ะสิว่ามันทำคดีปลิวเพราะไปแบล็กเมล์เบื้องบนให้ยกฟ้อง”
“.....” เหวอนิดหน่อย “แล้วทำไมวาถึงต้องช่วยมัน มันก็แค่อยากให้ผัวรอดคุก ไม่เกี่ยวกับวาเลย”
“เพราะกูอยากให้เรื่องห่าเหวนี่มันจบซักทีไง” ทิวาเน้นชัดถ้อยชัดคำทุกพยางค์ราวกับจะกระแทกหน้าเฉินเชว่ให้หงาย “กูไม่สนหรอกว่ามันสองคนจะลงเอยกันยังไง คืนดีหรือแยกย้ายไปคนละทาง มันไม่ใช่เรื่องของกูอยู่แล้ว แต่ในฐานะที่กูเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้มาแต่แรก เป็นคนกลางระหว่างมึงกับไอ้มี่ ไม่มีใครจะจบเรื่องของมึงสองคนได้อีกแล้วถ้าไม่ใช่กู มึงเก็ทมั้ย”
คนฟังได้แต่นิ่งฟัง ตาเรียวแทบไม่กะพริบ
“เรื่องที่อาเจ็กสองคนตาย มึงก็รู้ดีว่าไม่ใช่ความผิดไอ้มี่ มีแต่ผีพวกเค้าเท่านั้นที่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง มึงกับไอ้มี่ก็ได้บทเรียนกันทั้งคู่แล้วไม่ใช่เหรอ เสี่ยงตายในโกดังมาด้วยกันนั่นน่ะ มันไม่พาดพิงถึงมึงตอนสารภาพผิดสักคำ ทั้งที่จริงมันจะพูดก็ได้ มึงจะได้ถูกจับแล้วก็โดนสาวไส้ให้ตายไปซะ แต่มันก็ไม่พูด มันยอมรับผิดคนเดียว ยังจะเอาอะไรจากมันอีก”
เฉินเชว่หน้าชา ทว่าไม่อยากยอมง่ายๆ
“วารักมัน ก็พูดเข้าข้างมันได้สิ”
“เปล่า ตอนนี้ไม่ได้รักแล้ว”
“งั้นก็มารักกับเฮีย แล้วเฮียจะรีเซ็ททุกอย่างให้เป็นศูนย์”
“เดี๋ยว มันเกี่ยวกันตรงไหน”
“วาก็รู้ดีว่าเฮียคิดยังไง”
“.....”
นักสืบถึงกับสะอึก เสียววูบวาบในช่องท้องเหมือนกระแสไฟเคลื่อนที่ เขาคิดว่ามันจะไม่แตะต้องเรื่องนี้แล้วซะอีก ก็ผ่านมาแล้วตั้งเจ็ดปี อีกอย่างมันก็ฟันชะนีมาแล้วนับไม่ถ้วน...
“งงใช่มั้ย ความจริงเฮียไม่เคยลืมวา เป็นไปได้ก็อยากย้อนเวลา ไปเป็นคนดีคนเดิมของวาเสมอแหละ แต่ก็อย่างที่เห็น เฮียมาไกลมาก มันละอายใจที่จะเจอหน้าวาในสถานะนี้”
นักสืบรู้สึกมึนงง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดว่าจะได้ยิน
“มึงแคร์ความรู้สึกกูด้วยเหรอ”
“แคร์สิ แต่มันเลี่ยงไม่ได้ วงการนี้ก็เหมือนบ่อโคลนดูด พลาดก้าวลงไปเมื่อไหร่ก็มีแต่จะถูกดูดจมลึก หรือต่อให้ขึ้นมาได้ก็แต่คราบสกปรก”
“ก็รู้ตัวนี่ แล้วจะทำตั้งแต่แรกทำไมล่ะ”
“วาก็ลองถามตัวเองดู ว่าทำไมทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันแย่ แต่ก็ยังฝืนทำ...ทำอยู่ได้ตั้งนานหลายปี วาหน้ามืดตามัวกับไอ้เหี้ยมี่แบบไหน เฮียก็หน้ามืดตามัวแบบเดียวกันนั่นแหละ”
“อย่ามาเทียบกับกู กูไม่เคยบอกให้มึงทำเรื่องชั่วๆ พรรค์นั้น” นักสืบตอกกลับฉุนเฉียว ร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าด้วยโทสะและละอาย เกลียดคำพูดแรงๆ ของมัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแทงใจดำที่สุด
“ความน่ากลัวของบาปคืออะไรรู้ไหม? คือมันทำให้เรารู้สึกดี จนเราเสพติด กลายเป็นความเคยชิน และไม่คิดว่ามันคือบาปไง เฮียเป็นพ่อเล้า วาก็เป็นชู้ชาวบ้าน เราตกนรกด้วยกันทั้งคู่”
“พอได้แล้ว!”ทิวาตวาดลั่น ตัวสั่นหน้าแดงก่ำและร้อนรุ่ม รู้สึกราวกับโดนจับแก้ผ้าเผาประจานกลางสี่แยก ทั้งโกรธทั้งอาย เขาคิดผิดแล้วที่มาหามัน ไม่มีประโยชน์แถมยังมีแต่เสียหาย
“ขอโทษที่ต้องพูดแรงๆ แต่เฮียไม่อยากให้วาชี้หน้าด่าอย่างเดียว เราทั้งคู่ต่างมีเหตุผล ทุกคนมีเหตุผล เฮียเข้าใจวา วาก็ต้องเข้าใจเฮีย”
“กูว่าธุระเราจบแค่นี้” นักสืบตัดบทและหันหลังให้ ก่อนที่เขาจะเสียน้ำตาและเสียฟอร์มต่อหน้ามัน
แต่เฉินเชว่จับแขนไว้
“ถ้าวารับรักเฮีย เฮียจะปล่อยแม่ไอ้มี่”“...”
ทิวาเบิกตากว้าง ตกใจมากกว่าดีใจ คราวก่อนที่มันยังดื้อด้านหัวชนฝาจะเอาชีวิตโจรอู๋กับแม่ให้ได้อยู่เลยแท้ๆ หรือมันจะเสียสติไปแล้ว?
“ทำไม?”
“วาคิดว่าคนในวงการนี้จะอายุยืนแค่ไหนกัน? ส่วนใหญ่ตายก่อนแก่ทั้งนั้น เฮียโคตรเหนื่อยที่ต้องหายใจบนความเป็นความตายตลอดเวลา เหนื่อยที่จะต้องสู้กับตำรวจกับมาเฟียด้วยกันเอง เหนื่อยที่ต้องคิดอุบายเอาตัวรอดสารพัด เหนื่อยกับทุกอย่าง”
“....ตอแหลป้ะ” ไม่วายจับผิด
“เฮียจะได้อะไรจากการตอแหล ในเมื่อทุกอย่างที่เฮียต้องการอยู่ในกำมืออยู่แล้ว”
“ไม่รู้สิ มึงเปลี่ยนใจง่ายเกินไป จนเชื่อยาก”
มาเฟียถอนหายใจ สีหน้าทั้งขำและหน่าย “สั้นๆ ก็คือเฮียหมดสนุกที่จะทรมานไอ้มี่เล่นแล้วไง”
“นั่นแหละยิ่งไม่น่าเชื่อใหญ่เลย” ทิวานิ่วหน้า “มึงไล่ฆ่ามันตั้งกี่ครั้งๆ วันนี้มาบอกจะหยุด ใครจะเชื่อ”
“วานี่...เห็นเฮียเป็นคนไร้หัวใจรึไง”
“เออ”
“จริงๆ คิดมาพักใหญ่แล้วล่ะ ยิ่งพอได้ผ่านเหตุการณ์เวรตะไลในโกดังมากับไอ้มี่ก็ยิ่งคิดได้”
“สำนึกบุญคุณใครเป็นด้วยเหรอ”
“วา...” ลากเสียงยาวอย่างละเหี่ยใจ “เฮียแค่อยากใช้ชีวิตสงบๆ แบบไม่ต้องวิ่งหลบกระสุนปืนทุกวัน อยากรักใครสักคนเหมือนที่ไอ้มี่รักแฟนมัน แล้วก็มาถามตัวเองว่าที่ผ่านมา ทำไมเฮียไม่เคยมีความรักจริงๆ จังๆ สักที...เพราะอะไร เพราะเงาของวาไม่เคยหายไปจากเฮียเลยไง”
“.....”
“เฮียเป็นคนเลว ใช่ ไม่ปฏิเสธ แต่เชื่อสิ แม้แต่คนเลวที่สุดก็อยากเป็นคนดีขึ้นเพื่อคนที่เขารัก การที่วาติดต่อมา ทำให้เฮียเปลี่ยนใจ เพราะวาคนเดียวเลย ทั้งหมดนี่คือความจริง ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”
ทิวาไม่เข้าใจว่าทำไมรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวกะทันหัน
“โอเค เข้าใจแล้ว”
นักสืบว่าแล้วถอดแจ็คเก็ตพาดเก้าอี้ ตามด้วยปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต เฉินเชว่เบิกตาโต มองดูเนินอกขาวๆ ค่อยๆ เปิดเผยต่อหน้าอย่างตื่นตะลึง กระทั่งเรือนร่างท่อนบนเป็นอิสระจากเสื้ออย่างสมบูรณ์
แต่ก่อนที่ทิวาจะเปิดเผยส่วนต่อไป มาเฟียหนุ่มก็ก้มหยิบเสื้อที่หล่นมาคลุมตัวเจ้าของพร้อมกับหัวเราะ
“เฮียว่าวากำลังเข้าใจผิด”
“ไม่อยากได้แบบนี้เหรอ” ออกจะเหวอหน่อยๆ
เฉินเชว่หัวเราะอีก “อยากสิ แต่ยังไม่ถึงเวลา”
“จะเอาไงแน่ พูดตรงๆ เลยดีกว่า”
“ดี ฟังนะ” สีหน้าทะเล้นทะลึ่งกลายเป็นขึงขัง “เฮียอยากได้วา แต่ถ้าเฮียทำตอนนี้ ก็จะกลายเป็นว่าวาใช้เรือนร่างของตัวเองแลกกับการช่วยไอ้มี่ ซึ่งมันเป็นอะไรที่...ไร้เกียรติ...ทั้งเฮีย ไอ้มี่ และตัววาเองคงจะรังเกียจมากๆ”
“....”
“และถึงเฮียจะได้วา ก็ได้แค่ตัว ไม่มีอะไรน่าดีใจ เฮียไม่อยากทำกับวาเหมือนแค่โสเภณีคนหนึ่ง วาพิเศษกว่านั้น”“.....”
นักสืบรู้สึกไร้เรี่ยวแรงกะทันหัน สิ่งต่างๆ ที่ทำหัวสมองหนักอึ้งมานานราวกับถูกกระชากออกจนเหลือแต่ความเบาหวิว เป็นความเหลือเชื่อ เหนือความคาดหมาย จนทำอะไรต่อไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจกับสิ่งนี้
“บัดซบเอ๊ย...”
ทิวายกมือขึ้นปิดหน้า
เฉินเชว่จับไหล่อีกฝ่ายเบาๆ
“มานั่งทบทวนความหลังกันซักหน่อยมั้ย”
“อย่ามารุ่มร่ามนะ” ทิวาดึงมือออก มองด้วยสายตาเฉี่ยวๆ เหมือนแมวโกรธ “จะคุยอีกแค่เรื่องเดียว คือเรื่องน้าเหมย ถ้าไม่ได้ข้อสรุปจะกลับแล้ว”
“โอเค โอเค” เจ้าของห้องชูสองมือขึ้นอย่างยอมแพ้ “ถ้าเฮียปล่อยเค้า วาจะรับรักเฮียใช่มั้ย”
ทิวาหน้าบึ้ง เบนสายตาไปทางอื่น “บังคับกันแบบนี้ไม่ใช่ความรักหรอก”
“ทำไมจะไม่ ไอ้มี่กับเมียมันยังรักกันได้เลย”
“เลิกพาดพิงถึงมันซักที”
“งั้นก็ถือว่าเฮียขอโอกาส วาคิดดู ถ้าวารับรักเฮีย วาก็ได้ช่วยฉุดเฮียขึ้นจากนรก ช่วยแม่ไอ้มี่ แล้วก็ไถ่บาปของวาเองด้วยนะ มีแต่ข้อดีทั้งนั้น จะปฏิเสธเหรอ?”
“โยงมั่วซั่ว”
“ตกลงเอาไง เฮียไม่ใจดีแบบนี้บ่อยๆ หรอกนะ”
ทิวาหน้าบึ้ง คิ้วขมวดมุ่นยุ่งยากใจ จริงๆ ถ้ามันจะปล่อยน้าเหมย ก็แค่โทรสั่งลูกน้องแค่นั้น ไม่จำเป็นต้องพ่วงเงื่อนไขที่เกี่ยวกับเขาเลย ขี้โกงแท้ๆ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น เอาไว้ค่อยหาทางเลิกกับมันทีหลังก็ได้ ยังไงเป้าหมายที่จะช่วยแม่ของเพื่อนก็สำคัญที่สุด
“อืม ตกลง” ทิวาเอ่ย
มาเฟียยิ้มมุมปาก ควักโทรศัพท์ออกมากดโทร แล้วยังเปิดลำโพงให้เพื่อนร่วมห้องฟังด้วยอีกต่างหาก
“พวกมึง ปล่อยนางแล้วส่งไปที่บ้านเฮียฟง”
[ฮะ! ว่าไงนะครับเจ้านาย!?]
“กูบอกให้ปล่อย
นาง”
[นางนี่น้องๆ หรือป้าคนนั้นครับ]
“ป้าสิโว้ย โง่จริง ถ้ามึงถามอีกรอบกูจะบินไปยิงหูมึงทิ้ง!”
[รับคราบครับ!]
บทสนทนาจบลงภายในไม่ถึงนาที ทิวาอ้าปากหวอมองหน้าเฉินเชว่เหมือนไม่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง สิ่งที่เขาร้องขอนักหนาในตอนนั้น ตอนนี้มันกลับทำได้ง่ายๆ แค่นี้เนี้ยนะ? คงไม่แปลกถ้าเขารู้สึก ‘ขาดทุน’ กับสิ่งที่ทุ่มเทไปมากมาย ทั้งเงินทอง สมอง แรงกายแรงใจ มาวันนี้เจ้าหนี้กลับยกเลิกง่ายๆ เหมือนแค่กดปุ่มฟอร์แมต
“หรือจริงๆ มึงไม่ได้อยากฆ่าน้าเหมยอยู่แล้ว” นักสืบสงสัย
มาเฟียยักไหล่ “ก็ไม่รู้สินะ”
สิบห้านาทีต่อมา ฝ่ายโน้นโทรกลับมาอัพเดต เฉินเชว่คุยสั้นๆ แล้วส่งมือถือให้ทิวา “ทักทายเค้าหน่อยสิ”
นักสืบงงไปหมด แต่ก็รับมา “ฮัลโหล”
[วา...วาเหรอลูก]
“...น้าเหมย”
เขาขนลุกซู่ไปทั้งร่าง ตัวเย็นเฉียบเหมือนจมลงผืนน้ำใต้แผ่นน้ำแข็ง มือไม้สั่นแทบทำโทรศัพท์หล่น ริมฝีปากชะงักค้างกรามแข็ง ค้างอยู่อย่างนั้นหลายวินาที ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนพูด
“วาสบายดีไหมลูก เจอมี่บ้างไหม”
“....” นักสืบตอบไม่ได้ เพราะลำคอตีบตัน กำลังจะร้องไห้
[ได้ยินว่าหนูช่วยมี่สุดตัวเลย น้าดีใจมาก มี่โชคดีจริงๆ ที่มีเพื่อนแบบหนู ที่มาวันนี้ก็ด้วยใช่มั้ย? ขอบคุณมากนะลูก ชาตินี้น้าไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณหนูยังไงถึงจะพอ]
“ไม่เป็นไรครับ” ทิวากลั่นเสียงอันสั่นไหวออกมา “ทุกอย่างจบแล้ว ไม่มีความแค้น ไม่มีบุญคุณ ทุกคนเป็นอิสระแล้วครับ”
[จ้ะ] ปลายสายเอ่ยสั้นๆ หากน้ำเสียงมีแต่ความปลาบปลื้มเอ่อล้น [แล้วเจอกันนะจ๊ะ น้าถึงบ้านเฮียแล้วล่ะ]
“...ครับ”
วางสายปุ๊บ ก็เข่าทรุดลงกับพื้น ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร จนเฉินเชว่ต้องลงมากอดปลอบ
“อะไรวา ร้องไห้ทำไม เฮียก็ทำตามที่พูดแล้วไง”
ทิวาส่ายหัวไม่ตอบ แต่กอดเฉินเชว่แน่นและร้องไห้เหมือนไม่เคยร้องมาก่อนในชีวิต ที่จริงคือเขาดีใจ...ดีใจจนพูดอะไรไม่ออก และก็โล่งใจมากๆ ถึงขนาดถ้าตายก็ไม่เสียดายอะไรแล้ว หน้าที่ของเขาเสร็จสิ้นเพียงเท่านี้ โซ่ตรวนที่ผูกล่ามน้าเหมยหลุด โซ่ตรวนที่พันธนาการเขาไว้กับอาร์มี่ก็เช่นกัน จากนี้ไม่มีอะไรติดค้างอีกต่อไป
ทุกคนเป็นอิสระ“ไหวมั้ยเนี่ย”
เฉินเชว่เริ่มไม่สบายใจเมื่อทิวาร้องไห้ไม่หยุด กระทั่งหลายนาทีผ่านไปอาการจึงค่อยผ่อนคลายลง เงยหน้ามองเฉินเชว่ด้วยดวงตาบวมเป่งเปียกชื้น พูดด้วยเสียงแหบพร่า
“ขอบคุณนะ”
คนฟังยิ้ม “เปลี่ยนเป็นหอมแก้มแทนได้มั้ย”
“....”
“....”
แทนที่จะโดนต่อยหรือมองค้อนอย่างที่คิด กลับถูกจู่โจมด้วยจุมพิตนุ่มนวลแทน ทีแรกคนโดนจูบอึ้ง ตัวแข็งทื่อกลายเป็นเสาหิน แต่พอถูกเร้าด้วยจูบซ้ำพร้อมกับกัดริมฝีปากล่างเบาๆ สติสัมปชัญญะและความอดทนก็ขาดผึงทันใด จับท้ายทอยอีกฝ่ายแล้วกดริมฝีปากบด้วยอย่างร้อนแรง ทำเอาทิวาอ่อนระทวยละลายราบลงกับพื้น อีกคนได้ทีขึ้นคร่อม สองมือล้วงรุกล้ำสัมผัสผิวขาวเนียนอย่างห้ามใจไม่ไหว
เหมือนจะเป็นรอง แต่ทิวาผลักอีกฝ่ายออกแล้วพลิกตัวมาอยู่เหนือ ดึงกางเกงทั้งนอกและในของรุ่นพี่ลงพร้อมกัน เห็นอย่างนั้นเฉินเชว่ก็ตาลุกวาว ตามด้วยทิวาโน้มตัวลงมานอนทับ จูบหูและซอกคออย่างยั่วยวนยั่วเย้าจนเขาสยิวไปทั่งร่าง บีบบั้นท้ายแน่นตึงของคนข้างบนขณะที่ส่วนกลางของร่างกายแข็งตั้งสั่นระริกเต็มที่
ทั้งคู่จูบแลกลิ้นเร่าร้อนพร้อมกับทิวาที่ลูบไล้ตามจุดไวต่อสัมผัสของอีกฝ่าย ทำเอาเฉินเชว่เกือบเสียการควบคุมตัวเอง รู้สึกอายหน่อยๆ ที่เสือผู้ผ่านเหยื่อร้อยเอ็ดเจ็ดมณฑลกลับสู้แมวแสนกลตัวนี้ไม่ได้...แต่ก็เป็นความพ่ายแพ้ที่เขาสมยอมเองนั่นแหละ
เล้าโลมจนได้ที่ก็ถอยร่นลงไปอมก่อนที่อีกฝ่ายจะมีปากมีเสียง มาเฟียหนุ่มครางยาว กลายเป็นผู้ถูกกระทำโดยสมบูรณ์ แต่เขาก็พอใจ สมเป็นทิวาจริงๆ รู้ว่าเขายอมก็เล่นซะไม่ปราณีเลย
“โอ้ ที่รัก ดีมากเลยครับ”
ส่งถึงฝั่งภายในสามนาที วิเศษเหลือเกิน... แต่ฝันที่จะร่วมรักก็ต้องสลายกลางอากาศ เมื่อทิวาผละริมฝีปากและเรือนร่างออกไป
“มีอะไรเหรอ?” ถามเหวอๆ
นักสืบลุกขึ้นยืนและถุยน้ำสีขาวขุ่นทิ้ง เอาแขนเสื้อเช็ดปาก
“ไปปิดโรงงานค้ามนุษย์กับซ่องก่อนค่อยว่ากัน”
“.....”
“ไม่อยากเป็นเมียโจร”“.......”
พูดแค่นั้นแล้วก็เลียขนให้เข้าที่เข้าทาง สะบัดหางเดินจากไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งให้เฉินเชว่นอนมองเพดานอยู่นานสองนาน
///
จริงๆ อยากเขียนพาร์ทอดีตมากเลย
เพราะมาตัดจบให้คู่กันแบบนี้ดูง่ายไปหน่อย 555
แต่เดี๋ยวมันจะยาว และอาจออกนอกเรื่องไป
ขอเก็บไว้ใส่ตอนรีไรท์ ไม่ก็ในสเปเชียลแทนละกันนะคะ
ปล. ตอนหน้าจบแล้ววววว