[ 11 ]
แปลก!
เปลวลูบคางตัวเองอย่างใช้ความคิดตอนที่มองไปทางคนนั้นทีคนนี้ที เพลิงกำลังอยู่หลังพวงมาลัยบังคับรถตั้งใจ ขณะที่คนซึ่งนั่งอยู่เบาะข้างคนขับอย่างรเณศกำลังมองทะลุกระจกออกไปนอกตัวรถอย่างสนอกสนใจ ทั้งๆ ที่สองข้างทางนั่นก็มีแต่ป่าไม่น่าพิสมัยอะไรเลย
เด็กหนุ่มซึ่งนั่งอยู่แค๊ปด้านหลังจึงลอบพิจารณาท่าทางกระดักประเดิดของคนเบาะหน้าทั้งคู่อย่างสนใจ ทุกอย่างมันแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่เขาบังเอิญไปเห็นรเณศเดินออกจากห้องของเพลิง คราวแรกเปลวตั้งใจจะขึ้นไปนอนเฝ้าเพลิงเพราะเกรงว่าผู้ช่วยจะมีไข้ตอนดึก
พอเช้าสถานการณ์ยิ่งชวนสงสัยมากขึ้น เมื่อป้าอนงค์พูดทำนองว่ารเณศทอดหมูมาทั้งอาทิตย์ ขณะที่คนเจ็บนั่งกินข้าวกับหมูทอดเฉย จริงๆ ไม่เฉยนักหรอก เปลวแอบเห็นว่าพี่เพลิงกดยิ้มมุมปากราวกับว่าพอใจอะไรสักอย่าง ท่าทางคนทั้งคู่มองกันแปลกๆ แต่ไม่ยักมีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากปากทั้งสอง นั่นแหละถึงทำให้เปลวลอบมองปฏิกิริยาเหล่านั้นอยู่เงียบๆ
“มองอะไรวะเปลว”
เพลิงเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบตอนที่บังคับรถเข้าสู่ถนนใหญ่ เพราะจะพาเจ้าเปลวและหลานป้าอนงค์ที่นั่งเงียบมาตั้งแต่เช้า ไปดูพี่สาวเจ้าเต็งซึ่งคลอดลูกอย่างปลอดภัยเมื่อวานนี้
“หมูทอดอร่อยเหรอพี่”
เปลวถามยิ้มๆ “เมื่อเช้านี้ผมเห็นพี่เพลิงกินเกลี้ยงเลย”
คำถามนั้นทำเอาคนที่นั่งเงียบมานานสะดุ้งโหยง รเณศทำตาลอกแลกขยับตัวไปมา ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงจางๆ แวบหนึ่งแต่นั่นก็ทำให้คนที่จับจ้องอยู่สังเกตเห็น
“ก็อร่อยดี”
เพลิงตอบเสียงเรียบก่อนจะเหลือบหางตาไปทางคนที่ขยับตัวยุกยิกอยู่
“ท่าทางพี่จะชอบกินเนอะ?”
“อืม”
เพลิงทำเสียงในลำคอ
“พี่ชอบ”
แล้วมองไปทางรเณศก่อนจะหันไปสนใจถนนเบื้องหน้า แต่คำตอบนั้นทำให้คนที่นั่งกำมือจนฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อรู้สึกขัดเขินแปลกๆ รเณศยอมรับว่าทำตัวแปลกไป
มันแปลกตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาแล้ว
คิดถึงเรื่องเมื่อคืนเขาก็ถึงกับคอแห้งผาก ภาพเหตุการณ์นั้นสว่างวาบขึ้นมาในหัว คนเมืองทำใจกล้าแอบเหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนขับ ไรหนวดที่เริ่มขึ้นตามสันกรามยิ่งส่งเสริมให้ใบหน้าคมเข้มนั้นดุดันมากกว่าปกติ บวกกับริมฝีปากหนาที่เม้มสนิทนั่น
ริมฝีปาก!
รเณศสะดุ้งโหยงเมื่อเผลอมองริมฝีปากของอีกฝ่าย ชายหนุ่มรีบเบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน
‘ขอโทษ’เขายังจำได้ดีว่าหลังจากจูบที่ดื่มด่ำนั่นคนป่วยกระซิบข้างหูเขาเสียงแหบพร่า หลังจากนั้นรเณศก็ได้สติแล้วรีบผละออกมาโดยไม่หันกลับไปดูคนป่วยเลยว่ามีปฏิกิริยาอย่างไร จวบจนกระทั่งเช้ารเณศจึงตั้งใจหลบเลี่ยงเพลิง ไม่พูดคุย ไม่สบตา ทำเหมือนทุกอย่าปกติทั้งที่ไม่มีอะไรปกติ
เมื่อเพลิงขยับเข้าหา รเณศก็ถอยห่างแต่สุดท้ายเขาก็ตกกระไดพลอยโจรมานั่งอยู่ในรถกับเพลิง เพราะมีเหตุจำเป็นต้องเข้าไปที่ร้านยาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลในตัวอำเภอ รเณศไม่อยากติดสอยผู้ช่วยนี่มาหรอกหากป้าอนงค์ไม่คะยั้นคะยอให้มา ดีว่าเปลวติดรถมาด้วยจึงทำให้บรรยากาศระหว่างกันผ่อนคลายลงบ้าง ไม่อยากนั้นเขาเองก็ไม่รู้จะทำตัวเช่นไรเหมือนกัน หลังจากนั่งเงียบสักพักใหญ่ๆ รถกระบะก็เลี้ยวเข้าสู่โรงพยาบาลประจำอำเภอ
เจ้าเปลวถลันลงจากรถทันทีที่เห็นเต็งเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น ขณะที่รเณศยังงงๆ ทำอะไรไม่ถูกจนกระทั่งเพลิงขยับมาใกล้แล้วแตะข้อศอกพาให้ออกเดิน คนเมืองสะดุ้งโหยงรีบขยับตัวถอยห่างจากอีกฝ่าย แต่ขยับไปได้ไม่ไกลนักหรอก เมื่อฝ่ายนั้นถือวิสาสะคว้าข้อมือเขาเอาไว้
“คุณ...”
รเณศยืนอึ้ง
“ขอคุยด้วยหน่อยสิ”
“...”
รเณศเม้มปากแน่น
“ขอเวลาสักครู่เถอะครับ” เพลิงพูดเสียงเรียบ “คุณรเณศ”
สุดท้ายรเณศจำใจพยักหน้าหงึกหงักเดินตามคนตัวโตนั่นไปยังสวนหย่อมหน้าโรงพยาบาล เพลิงยืนกอดอกพิงสะโพกอยู่กับโต๊ะม้าหินอ่อนตัวหนึ่งแล้วมองใบหน้าของเขานิ่ง นั่นทำให้รเณศทำอะไรไม่ถูก
“อะไร”
“ขอโทษ”
เพลิงมองหน้าเขาแล้วพูด
“ขอโทษเรื่องอะไร”
รเณศทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ผู้ช่วยหนุ่มจึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้คนที่แกล้งทำไขสือ
“ผมขอโทษ”
“...”
“ที่จูบคุณ”
รเณศเม้มปากแน่นหลุบตามองพื้น เพราะรู้สึกถึงความร้อนเห่อทั่วลำคอและใบหน้าเขา ยิ่งตอนที่ปลายนิ้วแข็งแรงนั่นยื่นมาเกลี่ยขอบปากเขาเบาๆ แบบนี้
“ไม่เป็นไร”
เพลิงถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ผมขอโทษ ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิดที่ทำแบบนั้น”
รเณศทำหน้าไม่เข้าใจ
“คุณเบลอเพราะพิษไข้ ผมเข้าใจไม่โกรธคุณหรอก”
“รเณศ”
เพลิงเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเข้ม นั่นทำเอาเจ้าของชื่อทำปากยื่นใส่อย่างเผลอตัว และพอรู้ตัวว่าตัวเองแสดงกิริยานั้นออกไป รเณศเลยทำหน้าไม่ถูกตอนที่ฝ่ายนั้นมองหน้าเขาแล้วยิ้ม
“ผมขอโทษเพราะไม่ห้ามใจตัวเองต่างหาก”
“อะ อะไร”
รเณศปากคอสั่น
ห้ามใจอะไร?
หมายความว่าอย่างไรกัน
“ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงทำแบบนั้นกับคุณ แต่ผมไม่เสียใจที่ทำแบบนั้นเลย วันนี้ผมอาจยังตอบคุณไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่สักวันหนึ่ง ผมสัญญาจะบอกคุณ”
“...”
“ฟังดูแล้วอาจเห็นแก่ตัว แต่หากคุณไม่พอใจ ผมก็ยินดีรับผิดชอบ”
“ไม่ต้อง”
รเณศโบกมือปฏิเสธ
“จะให้รับผิดชอบอะไรล่ะ แค่เผลอ เอ่อ ก็เท่านั้นเอง”
รเณศเกาหัวเกาหูวุ่นวาย
“เผื่อคุณยังไม่รู้”
“...”
“ว่าผมไม่ได้เผลอ”
เพลิงมองหน้าอีกฝ่ายแล้วกดยิ้มมุมปาก
“แต่ผมตั้งใจ”
แม่งงงงงง
กว่ารเณศจะรู้ตัว เพลิงก็เดินไปโน่นแล้วทิ้งให้เภสัชกรหนุ่มยืนหน้าแดงอยู่อย่างนั้น
☘☘☘☘
ตอนที่รเณศเข้าไปถึงห้องรวมคนไข้หญิง เขาทันเห็นสาวชาวป่ากำลังร้องห่มร้องไห้ โดยมีสามีของเธอรั้งตัวเธอมากอดเอาไว้ ด้วยกลัวว่าสายน้ำเกลือที่เสียบคาอยู่ที่หลังมือจะหลุดจนได้เลือด รเณศมองเหตุวุ่นวายนั่นอย่างไม่เข้าใจก่อนจะสาวเท้าเดินตามเพลิงไปติดๆ
“มีอะไรกัน”
เพลิงหันไปถามเต็งที่ยืนหน้าเสียเกาะอยู่ข้างเตียง
“เมื่อกี้พยาบาลเข้ามาบอกว่าจะฉีดวัคซีนให้ลูกพี่ซูเนียน”
“แล้ว...”
เต็งถอนหายใจเฮือกใหญ่
“พี่ซูเนียนกลัวลูกจะตาย”
“จะตายเพราะฉีดวัคซีนเนี่ยนะ”
รเณศร้องขึ้นมาทันทีเรียกสายตาจากทุกคนให้หันมามอง คนเมืองถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไปใกล้แม่มือใหม่ที่ยังร้องไห้อยู่ ไม่รู้เป็นความบังเอิญหรือโชคชะตาเพราะหญิงสาวคนดังกล่าวคือคนเดียวกับที่เขาเคยให้ความช่วยเหลือไม่ให้หกล้มไปตอนนั้น แต่เมื่อวานมันชุลมุนไปหมด รเณศจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเธอเป็นกิจจะลักษณะ
“คุณจำผมได้มั้ย”
ซูเนียนที่นั่งร้องไห้อยู่เงยหน้าขึ้นก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าของรเณศชัดๆ
“คุณคนเมือง”
เธอร้องดีใจจับมือของเขาเขย่าแรงๆ
“จำได้จ๊ะ คุณช่วยฉันไว้ตอนนั้น”
“ครับ”
รเณศลูบหลังมืออีกฝ่าย ท่าทางราวรู้จักกันของทั้งคู่นั่นทำให้เพลิงมุ่นหัวคิ้วอย่างประหลาดใจ
“คุณใจดีช่วยฉันไม่ให้ล้ม”
รเณศยิ้มน้อย
“ถ้าคิดว่าผมใจดีแล้วคุณเชื่อใจผมมั้ย”
“เชื่ออะไรหรือจ๊ะ”
“การฉีดวัคซีนสำหรับเด็กเกิดใหม่มันสำคัญมากนะครับ ซูเนียนไม่อยากให้ลูกแข็งแรงหรือ”
“แต่ว่า”
สีหน้าเธอมีความกังวล
“พ่อเฒ่าบอกก่อนมาว่า อย่าให้ลูกโดนอะไรเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นลูกจะตาย”
“พ่อเฒ่าอีกแล้ว”
เต็งถอนหายใจเฮือกใหญ่
“มันก็แค่ความเชื่อน่ะพี่”
“แต่พ่อเฒ่าบอกว่า ถ้าลูกพี่ได้รับอะไรจากคนเมือง ผีพ่อปู่แม่ย่า ผีบรรพบุรุษจะไม่ปกปักษ์รักษา”
เพลิงหวนนึกถึงแววตาเจ้าเล่ห์ของพ่อเฒ่านั่นแล้วนึกไม่ชอบมาพากลแปลกๆ
“แต่หากไม่ฉีดวัคซีน ลูกซูเนียนจะไม่แข็งแรง ถ้าโชคร้ายเขาอาจเจ็บป่วยจนถึงชีวิต เมื่อถึงเวลานั้นแม้ผีปู่ย่าหรือผีบรรพบุรุษก็ไม่สามารถช่วยชีวิตลูกซูเนียนได้นะ”
รเณศอธิบายอย่างใจเย็น
“จริงหรือจ๊ะคุณ”
รเณศพยักหน้าหงึกหงัก
“ที่หมอหรือพยาบาลต้องฉีดวัคซีนให้ เพราะมันจะทำให้เจ้าตัวเล็กของซูเนียนแข็งแรง โตขึ้นมาเขาจะได้ไม่เจ็บไม่ป่วยและอยู่กับซูเนียนนานๆ นะ” คนเมืองยิ้มอ่อนๆ
“ลูกซูเนียนจะไม่ตายใช่มั้ยจ๊ะคุณ”
เธอทำหน้าลังเล
“เชื่อผมเถอะนะครับ”
สุดท้ายเธอพยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น รเณศเลยหันไปยิ้มให้กับเพลิงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ กัน ก่อนจะรู้ตัวว่าดีใจเกินเหตุก็ตอนที่ฝ่ายนั้นยิ้มตอบนั่นแหละ
.
.
“พ่อเฒ่าบ้านมึงนี่ชักไปกันใหญ่แล้วนะไอ้เต็ง”
เสียงเปลวบ่นขึ้นมาตอนที่เคียงบ่าคู่หูอยู่เบื้องหน้า
“เฮ้อ พูดยากว่ะ มันเป็นความเชื่อของคนเก่าคนแก่”
“แต่ความเชื่อที่อันตรายถึงชีวิต กูว่ามันแปลกๆ นะเว้ย”
“เอาน่าไม่มีอะไรหรอก พ่อเฒ่าแกก็คงห่วงไปตามประสาคนบ้านเดียวกันนั่นแหละ”
รเณศเงี่ยหูฟังเด็กสองทั้งสองคุยกันแล้วนึกสงสัยถึงพฤติกรรมของคนในหัวข้อสนทนา พอได้ยินมาเหมือนกันว่าชาวบ้านที่หมู่บ้านท้ายเขานั่นมีความเชื่อและการนับถืออะไรที่เหนือธรรมชาติ มันจึงเป็นเรื่องที่ยากหน่อย หากจะทำให้คนเหล่านั้นเปลี่ยนความคิด เพราะการจะเปลี่ยนความคิดความเชื่อคนอื่นไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ในวันสองวัน ยิ่งมาได้ยินแบบนี้ด้วยแล้วเขายิ่งอดห่วงไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าวิถีชีวิตของชาวบ้านเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร บ้านเมืองอยู่ในป่าเขา น้ำประปาหรือไฟฟ้าก็ยังเข้าไม่ถึง ไม่ต้องพูดถึงโอกาสทางการศึกษาที่ต้องดิ้นรนหากันเองเลย แค่ความรู้พื้นฐานในการใช้ชีวิตสมัยใหม่นี่ก็ยากที่จะเข้าใจกันแล้ว
เภสัชกรหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่อดนึกถึงเด็กน้อยที่เพิ่งลืมตามาดูโลกได้ไม่นาน แล้วต้องกลับไปใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานที่สมบูรณ์ จะมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรกันหรอ รเณศเหม่อมองไปไกลเขาคงไม่รู้ว่าชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ กันตั้งแต่เมื่อสักครู่นั่นก็คิดไม่ต่างไปจากกันเลย เพลิงมุ่นหัวคิ้วนึกเอะใจกับบทสนทนาระหว่างเปลวและเต็งเช่นกัน สงสัยว่าเร็วๆ เขาคงต้องเข้าไปที่หมู่บ้านนั่นอีกสักครั้ง
ชายแดนที่ติดกับเขตลักลอบตัดไม้พะยูงกับวิถีชีวิตที่ห่างไกลสายตาผู้คนแบบนั้น
Rrrrrr
ระหว่างที่เขากำลังคิดประติดประต่อไปเรื่อยนั่นพอดีเสียงโทรศัพท์มือถือสภาพไม่น่าพิสมัยก็ดังขึ้นทันที แค่เห็นสายเรียกเข้านั้นเพลิงก็รีบขยับไปอีกทางก่อนจะกดรับ รเณศแอบเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเพลิงตอนที่กดรับโทรศัพท์แล้วนึกแปลกใจตามแผ่นหลังนั้นไป
“ครับพี่”
[ไอ้เพลิง กว่าจะติดต่อแกได้]
ฝ่ายนั้นร้องมาตามสาย เพลิงเลยเผลอขยับรอยยิ้ม
[แกสบายดีใช่มั้ย นี่ออกจากป่ารึยัง แกรู้มั้ยว่าแม่ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับมาทั้งคืน เพราะเป็นห่วงแก]
“ผมสบายดีครับพี่”
[เออได้ยินอย่างนี้ค่อยโล่งใจ ว่าแต่แกอยู่ไหนวะ ออกจากป่าแล้วใช่มั้ย วันนี้ถึงรับสายฉันได้]
ธามถามเสียยืดยาว
“ผมอยู่โรง’บาลครับ”
[ว่าไงนะ]
ฝ่ายนั้นร้องลั่น
[แกเป็นอะไร ทำไมถึงไปอยู่ที่นั่นได้]
เพลิงถอนหายใจ ครันจะโกหกไปเพื่อฝ่ายนั้นสบายใจก็ไม่ใช่วิสัยเขา
“ผมมาเยี่ยมชาวบ้านที่คลอดลูก” เพลิงพูดเสียงเบา “แล้วผมก็ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย”
ฝ่ายนั้นเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อย่าบอกป้าวดีนะพี่”
[ของมันแน่อยู่แล้ว ถ้าแม่รู้ แกได้ย้ายออกจากพื้นที่ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงแน่ๆ ไอ้เพลิง]
เพลิงยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงสีหน้าวิตกกังวลของป้าวดี
“ขอบคุณครับ”
[เออแกก็ดูแลตัวเองแล้วนะเพลิง...แกรู้ใช่มั้ยว่าคนที่นี่เป็นห่วงแกมาก]
“ผมทราบครับ”
[อย่าหาเรื่องเจ็บตัวบ่อยนัก ฉันช่วยแกปิดแม่ได้ไม่นานหรอก ถ้าเขารู้เมื่อไหร่ เขาไม่ปล่อยให้แกอยู่ที่นั่นต่อแน่ๆ]
“ครับ”
เพลิงคลึงขมับหลังจากวางสาย ท่าทางแบบนั้นทำให้รเณศเผลอตัวขยับปลายเท้าเข้ามาใกล้
“เอ่อ”
คนเมืองทำยึกๆ ยักๆ
“มีอะไรรึเปล่า”
เพลิงถาม
“เปล่า...แล้วคุณล่ะ”
“ไม่มีอะไรนี่”
ไม่มีอะไรแล้วทำไมทำหน้าเครียดขนาดนั้น รเณศทำปากขมุบขมิบ
“ที่บ้านผมโทรมาน่ะ”
เพลิงมองหน้ารเณศแล้วเปิดปากเล่า
“คนที่บ้าน”
รเณศทวนคำพูดของฝ่ายนั้น
“ผมมีลุงกับป้าและพี่ชาย” เพลิงยิ้มน้อยเมื่อนึกถึงคนพวกนั้น “ป้าวดีเป็นพี่สาวแม่ ครอบครัวนั้นดูแลผมมาตั้งแต่แม่ผมเสีย”
รเณศพยักหน้าหงึกหงักตั้งใจฟัง
“ครอบครัวนั้นดูแลดีมาก นั่นคือครอบครัวที่ผมเรียกได้เต็มปาก”
แววตาเพลิงเป็นประกายจนรเณศเผลอยิ้มตาม เขาไม่ถามถึงพ่ออีกฝ่าย ในเมื่อเพลิงไม่พูดถึงนั่นแสดงว่าเขาเองก็คงไม่สะดวกใจ รเณศยิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย
“ผมไม่สนิทกับพ่อ”
เพลิงเอ่ยถึงบิดา
“และไม่สนิทกับครอบครัวพ่อสักคน ถ้าจะพูดให้ถูก พวกเขาไม่ยอมรับผมเป็นคนในครอบครัวจะง่ายกว่า” เพลิงยักไหล่ขำๆ นั่นทำให้คนฟังใจหล่น
‘ผมเป็นลูกเมียน้อย’ไม่แปลก! หากลูกเมียรองจะเป็นที่ชิงชังรังเกียจ รเณศกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ คิดดูสิว่ากว่าคนตรงหน้าจะเติบโตมาได้เข้มแข็งอย่างทุกวันนี้ เขาต้องผ่านวันคืนที่ยากลำบากมาอย่างเหนื่อยากแค่ไหน
“งั้นเราก็เหมือนกัน”
รเณศพูดขึ้น นั่นจึงทำให้เพลิงมุ่นหัวคิ้วทันที
“ผมก็เสียพ่อกับแม่ไปหลายปีแล้ว”
“...”
“เราเป็นลูกกำพร้าเหมือนกัน” รเณศทำหน้าจริงจัง “แต่คุณยังมีครอบครัวของป้าที่เหลืออยู่นะ ขณะที่ผมเองก็มีป้าอนงค์ เห็นมั้ยว่าเราเหมือนกัน”
เพลิงหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของรเณศ แม้จะรู้ว่าภายใต้เนื้อความนั้นคือคำปลอบโยนชวนให้คนฟังรู้สึกอุ่นใจ แต่ท่าทางขึงขังนั่นมันชวนมองและทำให้เกิดความเอ็นดูจนเผลอยิ้ม
“อย่างนั้นหรือ”
รเณศพยักหน้าหงึกหงัก จังหวะนั้นนายแพทย์ในชุดกาวน์คนหนึ่งเดินผ่านหน้าเขาไปพอดี คนเมืองมองภาพนั้นไปจนลับตาก่อนจะยกยิ้มมุมปาก ท่าทางแบนั้นเรียกความสงสัยจากเพลิงที่มองอยู่พอดี
“ตอนม.ปลาย ผมอยากเป็นหมอมาก”
รเณศไขข้อสงสัยให้
“แต่ผมหัวไม่ดีเท่าไหร่ เพราะผมเกลียดชีวะมากๆ ซ้ำยังกลัวเลือดอีก สุดท้ายผมเลยตัดสินใจไปสอบเข้าเภสัชฯ แทน”
“ความฝันวัยเด็กสินะ”
“อื้อ ชุดกาวน์มันเท่มากเลยนะคุณ คิดดูสิว่ากว่าคนๆ จะฝ่าฟันจนได้เป็นหมอและสวมใส่เสื้อกาวน์ออกตรวจรักษาคนได้มันต้องพยายามแค่ไหน”
รเณศอดยิ้มนึกถึงความฝันของตัวเองในวัยเด็ก
“ที่สำคัญนะ ตอนนั้นผมคิดว่าหมอหนุ่มๆ สาวๆ คณะนี้สวยหล่อกันทั้งนั้นเลย”
เหตุผลไม่เข้าเรื่องที่อยากเรียนนั่นทำเอานึกขำตัวเองในตอนนั้น
“อ๋อ” เพลิงโคลงศีรษะ “ชอบผู้ชายในเครื่องแบบอย่างนั้นเหรอ”
หือ?
“ชุดลายพรางก็เป็นเครื่องแบบนะ”
เพลิงยิ้มน้อยๆ
“คุณชอบมั้ยล่ะ”
รเณศแก้มร้อนซู่ ยิ่งเห็นแววตาพราวระยับของฝ่ายตรงข้ามด้วยแล้ว
“คุณพูดถูกนะ”
“...”
“ที่บอกว่าผมกับคุณเหมือนกัน”
รเณศทำหน้าไม่เข้าใจ
“คุณชอบหมอรักษาคน”
รเณศขยับตัวยุกยิก
“ผมเองก็รู้สึกว่าจะชอบหมอเหมือนกัน”
คนเมืองทำหน้าตื่นเมื่อฝ่ายนั้นโน้มใบหน้าลงมาใกล้
“แต่เป็นหมอยา”เหมือนหูจะดับ
รเณศยืนเบลอ รู้สึกเลยว่าตัวเองตาลอยแล้ว ในอกสั่นระรัวไม่ต้องพูดถึงใบหน้าร้อนผ่าวเพราะความร้อนพร้อมใจกันไปกระจุกอยู่ที่แก้มทั้งสองข้าง
“คุณ...”
เพลิงกดยิ้มมุมปาก
“เผื่อยังไม่รู้ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็เป็นหมอได้นะ”
“...”
“หมอรักษาป่าน่ะ เคยได้ยินมั้ย”ผู้ช่วยแม่ง!
รเณศอ้าปากพะงาบๆ มองตามแผ่นหลังกว้างที่ผละไปโน่นแล้ว ซ้ำก่อนไปเขายังแอบเห็นมุมปากด้านข้างขยับรอยยิ้มอีกด้วย
‘ชุดลายพรางก็เป็นเครื่องแบบนะ’รเณศหน้าแดงก่ำนึกถึงภาพคนตัวโตสวมใส่ชุดลายพรางที่บางจุดเปื้อนโคลนตมแต่ภาพนั่นกลับประทับนิ่งอยู่ในใจเขาไม่ลืม
‘คุณชอบมั้ยล่ะ’แล้วทำไมไม่ถามย้ำอีกทีนะ...จะได้ตอบ
รเณศกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม
☘☘☘☘
แพ็คกระเป๋าดีๆ อาทิตย์หน้าจะพาไปเข้าป่าพร้อมนุ้งเนตร อิอิ
อย่าบ่นว่ามาน้อยนะ เดี๋ยวจูบเลย #พี่เพลิงพูดลอยๆ
หวีดในทวิตฝากติดแท็ค #ป่าห่มรัก ด้วยนะคะ