สุขสันต์วันปีใหม่
ตอนนี้ไม่ใช่ Yaoi นะครัีบ
พิเศษ พี-หน่อย , อ๋อง-ส้ม , เบิร์ด-เจี๊ยบ
พี่หน่อยไปรับหนูนิดที่โรงเรียนแล้วกลับเข้าบ้าน หนูนิดก็วิ่งไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะที่พี่หน่อยเข้าครัวเตรียมอาหารเย็น
เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นพี่หน่อยเดินออกมาดู มีรถมอเตอร์ไซค์ 2 คันจอดอยู่ คันหนึ่งคืออ๋องกับส้ม อีกคันคือเบิร์ดกับพี่เจี๊ยบ
ทั้ง 4 คนยกมือไหว้ทำความเคารพแล้วเข็นรถเข้ามาจอดที่โรงรถในบ้าน
“ขอโทษครับพี่ที่มารบกวนตอนนี้” อ๋องบอก
ขณะที่เบิร์ดมองเข้าไปในบ้าน “หนูนิดล่ะครับ”
“อาบน้ำจ้ะ” พี่หน่อยบอก “เฮียพียังอยู่ที่ร้านอยู่เลย”
“ครับ แต่เรามีเรื่องมาปรึกษาพี่หน่อยก่อน”
เบิร์ดชี้ไปในครัว “พี่ทำข้าวให้หนูนิดอยู่หรือเปล่าครับ ผมไปทำให้”
พี่หน่อยเลิกคิ้วขึ้นสูง แต่ก็พยักหน้า ทำให้เบิร์ดหันไปเรียกพี่เจี๊ยบเข้าไปช่วยกันในครัว แต่ท่าทางเหมือนจะให้ไปดูลาดเลาแถวบันได ดึงหนูนิดไม่ให้มาร่วมรับฟังเรื่องทุกข์ร้อนในวันนี้มากกว่า
“มีอะไรจ้ะ” พี่หน่อยมองหน้าหนุ่มสาว 2 คนข้างหน้า
พี่ส้มขอบตาแดงก่ำ พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “หนูท้อง”
พี่หน่อยหันไปมองหน้าอ๋องทันที จนพี่ส้มต้องรีบบอก “ไม่ใช่อ๋องค่ะ ที่จริงแล้วหนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร”
พี่หน่อยที่เคยพบเจอกับสถานการณ์คล้ายกันพยักหน้าอย่างเข้าใจ ขยับเข้าไปนั่งข้างๆ เพียงแค่โอบไหล่ไว้ พี่ส้มก็ปล่อยโฮ
จนกระทั่งเสียงร้องไห้จางลง พี่ส้มถึงได้เล่าเรื่อง
ปาร์ตี้ที่เต็มไปด้วยเหล้า และยา ผ่านไปจนถึงขั้นตอนของการเมาจนขาดสติ และตื่นมาในสภาพเปลือยเปล่า ยาที่กินตามไปทีหลัง ไม่ได้ให้ผล 100 เปอร์เซนต์ หรือบางทีอาจเพราะกินยานั้นช้าเกินไป รอจนกระทั่งประจำเดือนขาด กับอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ทำให้ไปซื้อที่ตรวจการตั้งครรภ์มาตรวจเอง ตรวจครั้งแล้วครั้งเล่าผลออกมาเหมือนเดิม
“หนูกลัวไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ พอดีนึกถึงพี่ได้ แต่ก็ไม่กล้ามาหาคนเดียว เลยต้องไปหาอ๋อง”
พี่หน่อยได้แต่พยักหน้า รู้สึกเหมือนกำลังย้อนเวลากลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน ปนเปกับห้วงเวลาปัจจุบัน ภาพของพ่อ แม่ พี่มีน ปนอยู่กับงานศพ การเลี้ยงลูกตามลำพัง และความคาดหวังไม่ให้หนูนิดเดินตามรอยแม่
“พ่อแม่ส่วนใหญ่ถึงจะรู้ว่าเรื่องแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ก็มักจะอธิษฐานว่าจะไม่เกิดขึ้นกับลูกของเรา แต่ครูอาจารย์มักจะเตรียมทางช่วยเหลือเราไว้”
พี่ส้มเงยหน้าขึ้นมอง เช็ดน้ำตา “คะ”
“พี่ไม่ได้ผลักไสหนูนะจ๊ะ พี่หมายความว่า ถ้าเรื่องเรียนเนี่ยพี่คิดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหา”
“แต่หนูทั้งกลัว ทั้งอายคน”
“ส้มอยู่ปี 4 เหมือนอ๋องใช่มั้ย”
ทั้งคู่พยักหน้า
“ตอนนี้กี่เดือนแล้วส้ม”
“3 เดือนแล้วค่ะ หนู...อยากเอาเขาออก”
พี่หน่อยตกใจ พยายามบังคับน้ำเสียงให้มั่นคง “ในฐานะที่พี่เป็นแม่ แล้วก็เจออะไรแบบนี้มา พี่ไม่เห็นด้วยกับการเอาเขาออก”
“แต่หนู”
“ส้ม ไม่ว่าหนูจะเต็มใจ หรือรู้จักพ่อของเขาหรือไม่ แต่ว่า เมื่อเวลาผ่านไป หนูจะรู้ได้เองว่า เขาคือของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิต เพราะเขาทำให้เราอยากเป็นคนดี ทำในสิ่งที่ดี”
“พี่คะ แต่หนูจะอุ้มท้องไปเรียนได้ยังไง ถ้าหนูไม่เอาเขาออก หนูคงต้องออกจากมหาลัย ทั้งที่ยังเหลืออีกเทอมเดียวก็จะจบ”
“มันคือการฝึกฝนให้เราแข็งแรงขึ้นนะส้ม” พี่หน่อยพูด “ยังไงส้มก็ยังมีหน้าที่ไปเรียน ไปสอบ ทำพื้นฐานชีวิตของเราให้แข็งแรง เพื่อให้ลูกที่จะเติบโตขึ้นมีชีวิตที่ดีกว่าเรา ลองปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาดูเพราะว่าส้มยังต้องไปฝากท้อง ไปหาหมอเป็นระยะด้วย”
“แต่ว่าพี่คะ หนูไม่รู้ว่าพ่อเขาเป็นใคร”
“แต่หนูคือแม่ของเขา เขาอยู่ในท้องส้ม หัวใจของเขาเต้นพร้อมกับส้ม”
“พี่คะ”
พี่หน่อยโอบกอดพี่ส้มไว้ “ขอบใจมากที่ไว้ใจพี่ ลองไปคุยกับอาจารย์ แล้วไปบอกพ่อแม่ ถ้าท่านดุด่าก็ยอมให้ท่านดุด่า แต่ถ้าถึงสุดท้ายแล้วท่าน.....ไม่ยอมรับก็มาหาพี่”
พี่ส้มสะอื้นจนตัวโยน
“ส้มไม่ได้อยู่คนเดียวนะ ตอนนี้มีอีกชีวิตที่อยู่กับส้ม ถ้าส้มหัวเราะเขาก็หัวเราะด้วย ถ้าส้มร้องไห้ เขาก็ร้องไห้กับส้ม เข้มแข็งนะส้ม”
ระหว่างที่คนในห้องรับแขกกำลังพูดคุยกัน เสียงหนูนิดร้องเรียกแม่ดังขึ้น พี่เจี๊ยบรีบหันไปบอกเบิร์ดแล้วขึ้นไปอยู่กับหนูนิดทันที
“หนูนิดคะ พี่เจี๊ยบขึ้นไปหานะคะ”
“พี่เจี๊ยบมาหรือคะ พี่เบิร์ดมาด้วยหรือเปล่า” หนูนิดทักทายพี่เจี๊ยบที่เข้ามาอุ้มแล้วพาเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นที่ชั้นลอย ไม่อยากให้ได้ยินเรื่องที่กำลังคุยกันที่ชั้นล่าง
“มาครับ วันนี้พี่เบิร์ดทำผัดแตงกวาใส่ไข่ กับแกงจืดเต้าหู้ให้หนูนิดด้วยหล่ะ พี่เอาขึ้นไปป้อนข้างบนนะครับ” เบิร์ดรีบยกถาดอาหารขึ้นไปป้อนเด็กน้อย
“แม่ไม่ให้กินข้าวบนนี้ เดี๋ยวมีหนูมีมดค่ะ”
“เดี๋ยวพี่เบิร์ดเช็ดถูเองครับ”
“มีเรื่องอะไรหรือคะ”
พี่ๆพิรุธเยอะเกินจนเด็ก 6 ขวบยังรู้
“มีพี่เขาไม่สบายมากน่ะค่ะ ต้องคุยกับคุณแม่” พี่เจี๊ยบบอกความจริงแค่ครึ่งเดียว “พี่เขาไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ต้องให้คุณแม่อธิบายช้าๆ ให้เข้าใจ”
“เหมือนที่หนูทำการบ้านไม่ได้ คุณแม่ก็อธิบายช้าๆแบบนั้นใช่มั้ยคะ”
“ค่ะ” พี่หน่อยพูดยิ้มกว้าง แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยไปที่การเรียน และนิทานเรื่องต่างๆ
คุยเล่นกันไปป้อนข้าวจนหมด เบิร์ดเอาจานลงไปล้าง เห็นพี่ส้มยังเช็ดน้ำตาป้อย ก็เลยกลับขึ้นมาเล่นกับหนูนิดไปพลางๆ
“เข้ากับเด็กได้ดีนะเนี่ย คิดว่าถนัดแต่รับขนมจีบซาลาเปามั้ยคะ”
“เป๊บซี่ช่วงนี้โปรโมชั่น 10 บาทค่ะ” พี่เจี๊ยบต่อแล้วหัวเราะ หนูนิดพลอยหัวเราะตามไปด้วย
“หนูชอบแรบบิทครีม แต่แม่บอกว่า ต้องกินข้าวก่อนถึงจะกินได้”
“ถูกต้องแล้วค่า”
เฮียพีกลับเข้าบ้านเกือบสี่ทุ่ม พี่หน่อยรออยู่ แล้วเล่าเรื่องที่อ๋องพาส้มมาหาในวันนี้ให้ฟัง เฮียพีรับฟังเงียบๆ จนจบถึงได้พูดขึ้น
“ดีแล้ว”
แต่หน่อยกลับลังเลเดินตามเข้ามาจนถึงในครัว ที่เฮียพีเดินเข้ามาดื่มน้ำ
“ตอนที่คุยกับส้ม หน่อยคิดว่า นั่นเป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดแล้ว แต่พอพวกเขากลับไปหน่อยกลับไม่ค่อยมั่นใจ”
ปกติก็เป็นคนพูดน้อยแล้วก็ใช้ฟอร์มเงียบเวลาคุยกับพี่ชายมาตลอด พอมาถึงเรื่องนี้ เฮียพีได้แต่เดินกลับนั่งลงที่เก้าอี้โต๊ะกินข้าว แล้วทำหน้าที่รับฟังอย่างตั้งใจ
พี่หน่อยนั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม
“หน่อยกังวลว่า กำลังเรื่องของตัวเองไปตัดสินเรื่องของส้มหรือเปล่า”
“เหรอ” เฮียพีทำเสียงต่ำๆ ชวนให้นึกถึงพี่ชาย
“ตอนนั้นคิดแต่ว่าไม่อยากให้ส้มทำบาป ไม่อยากให้เขาฆ่าลูกตัวเอง”
“หน่อยทำถูกแล้วนี่”
“ตอนตัวเอง รู้ว่าท้องก็บอกกับพ่อแม่ พอพ่อออกปากไล่ก็ออกจากบ้านทันที คิดว่าอยู่กันกับพี่มีน 2 คนก็ได้แล้วก็เลิกเรียน พอเวลาผ่านไป บางทีก็คิดว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วพอส้มกลับไปกันแล้ว ก็มาคิดว่า เรื่องของส้มไม่เหมือนเรื่องของหน่อย หน่อยอาจกำลังบังคับให้แกทำในสิ่งที่หน่อยเองยังทำไม่ได้”
“แต่วันนี้หนูนิดยังอยู่” เฮียพีพูดเสียงหนักๆ
“ค่ะ”
“แล้วตอนที่หน่อยพูด ส้มฟังหรือเปล่า”
“ฟังนะคะ แต่ดูเหมือนว่า ใจของแกเอียงไปทางไม่อยากเอาเด็กไว้”
เฮียพีถอนหายใจแรงๆ คิดถึงหนูนิดที่นอนหลับสบายอยู่ในห้องนอนชั้นบน
“ไม่ควรคิดแบบนั้น เพราะว่าครอบครัวของส้มไม่ได้ลำบากถึงขนาดที่จะเลี้ยงเด็กอีกคนไม่ได้”
“คุณก็รู้ว่าบางครอบครัวไม่ได้ติดเรื่องเงิน แต่ติดที่เรื่องหน้าตา เรื่องสังคม แล้วพ่อกับแม่ของส้มเค้าเป็นยังไงคะ”
เฮียพีรู้จักคนที่บ่อนเสี่ยเล้ง และย่อมรู้จักพ่อแม่ส้มด้วย “เขาก็เป็นญาติกับเสี่ยเล้งน่ะแหละ ก็ไปทางนักเลง อาจเลี้ยงหลานเอง”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีค่ะ” พี่หน่อยดูผ่อนคลายลง “ดีแล้ว”
พี่หน่อยลุกขึ้นยืน จะกลับมาเข้านอน แต่ก็บอกถึงสิ่งที่อยู่ในใจ “ถ้าส้มไม่ต้องการเด็ก หน่อยก็คิดว่าจะขอเด็กคนนั้น คุณว่ายังไงคะ”
“ดี” เฮียพีรับสั้นๆ “นับเดือนแล้วจะคลอดเมื่อไหร่
“ประมาณเมษายนปีหน้าค่ะ”
“สอบเสร็จเรียนจบแล้วนี่นะ ไม่แน่หรอกกว่าจะถึงตอนนั้น ส้มอาจผูกพันกับลูกมาก แล้วเขาก็เรียนจบแล้ว ไม่ต้องสนใจกับสายตา ไม่ต้องตอบคำถามใคร เรื่องที่คิดไว้ อาจเปลี่ยนไปก็ได้”
“ยังไงก็ขอให้เปลี่ยนไปในทางที่ดีของทั้งแม่และลูกนะคะ”
เฮียพีปิดบ้านปิดไฟแล้วเดินขึ้นไปที่ห้องนอนเล็ก อดไม่ได้ที่จะมองผ่านบันไดขึ้นไปที่ห้องนอนใหญ่ชั้นบน
“ดีแล้วที่หนูนิดมีหน่อยเป็นแม่ ไอ้มีนกูจะดูแลลูกเมียมึงให้ดี”
อ๋องกำลังเรียงของจัดแผงขายลูกชิ้นอยู่กับไอ้เบิร์ด ตอนบ่ายจัดๆ เมื่อพี่ส้มในชุดกางเกงยีนขายาวเดินเข้ามาที่ตลาด
“ทำไมใส่กางเกงยีนล่ะ” ไอ้อ๋องขมวดคิ้วแน่น “ไม่มีกางเกงหลวมๆเหรอ”
พี่ส้มส่ายหน้า “เพิ่งแค่ 3 เดือนขอใส่อีกสักพักเหอะ”
ไอ้อ๋องก็ส่ายหน้าบ้าง หันไปหาไอ้เบิร์ด “ฝากร้านด้วย”
คนหน้าเหมือนแฮมสเตอร์เดินจูงมือส้มไปที่แผงเสื้อผ้าด้านใน ตรงดิ่งไปที่แผงเสื้อผ้ารุ่นคุณป้า คุณน้าทั้งหลาย
“ร้านแบบนี้มีกางเกงยืดๆ ถึงจะมีลายดอกท้อ ดอกเหมย ก็ใส่ๆไปเหอะ”
พี่ส้มหัวเราะ เลือกกางเกงได้ 3 ตัวส่งให้คนขาย เดินกลับมาที่ร้าน ไอ้เบิร์ดสละเก้าอี้ที่ใช้นั่งเสียบลูกชิ้นให้ว่าที่คุณแม่
“ขอบใจที่ไม่รังเกียจ”
“รังเกียจทำไม” 2 หนุ่มพูดขึ้นพร้อมกัน แล้วหันมามองหน้า ไอ้อ๋องชี้นิ้วทันที
“ไอ้เบิร์ดมึงรีบไปซื้อหวยเลยไป”
พี่ส้มเลยหัวเราะ “เกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย”
2 หนุ่มเจตนาชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนหญิงสาวต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน “ชั้นบอกกับอาจารย์ที่ปรึกษาแล้วก็พ่อกับแม่แล้ว”
ไอ้อ๋องกับเบิร์ดเงียบไป พี่ส้มก็เลยพูดต่อพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น
“ตอนที่ยืนอยู่หน้าห้องอาจารย์ก็คิดไปร้อยแปด ใจอยากหันหลังกลับเสียให้ได้ แต่พอเดินเข้าไปเล่าให้อาจารย์ฟัง มันก็ไม่ยากอย่างที่กลัว แล้วก็อย่างที่พี่หน่อยบอกน่ะแหละ อาจารย์มีทางเลือกที่ดีให้แล้วก็ไปหาพ่อกับแม่ด้วยกันกับชั้น”
“ดีเนอะ”
“ฮื่อดี” พี่ส้มพยักหน้า ยิ้มกว้าง “ชั้นก็เลยมาขอบใจทั้ง 2 คน อยากบอกให้รู้ว่า ชั้นสบายใจขึ้นแล้ว ถึงจะกังวลเรื่องเพื่อนๆ แต่ก็ช่างมันเถอะ”
“พวกเขามองแปลกๆเหรอ” ไอ้เบิร์ดถาม
“บางที่เขาอาจมองเหมือนเดิม ทุกสิ่งเหมือนเดิม เพียงแต่ชั้นเองที่ระแวงไปเอง ไม่รู้เหมือนกัน”
“เพื่อนกัน เขาไม่ทิ้งกันง่ายๆหรอก” ไอ้อ๋องบอก
พี่ส้มส่ายหน้า “ไม่แน่หรอกอ๋อง พวกอ๋อง เบิร์ด เอก คีย์น่ะ ร่วมสุขร่วมทุกข์มาด้วยกัน แต่ชั้นกับแป้ง แล้วก็นิวน่ะ เราเหมือนเพื่อนช็อปมากกว่า”
ไอ้อ๋องกับเบิร์ดมองหน้ากัน ไม่ค่อยเข้าใจ มันคงละเอียดอ่อนเกินไปมั๊ง
“ทำไมล่ะ มีน้องก็ช็อปกระจายได้อยู่ดี” ไอ้เบิร์ดว่า
“ผมว่า ถ้าเป็นเพื่อนกันแล้วเขาเห็นส้มใส่กระโปรงจีบรอบตัว มันคงไม่ทำให้เลิกคบกันหรอก”
พี่ส้มยิ้มเหนื่อยๆ ทำให้ไอ้เบิร์ดถาม
“เหนื่อยเหรอ จะกลับหรือเปล่า ผมขี่มอไซค์ไปส่งให้ก็ได้ เพราะอีกสักพักคีย์คงมา”
พี่ส้มยังคงยิ้มในองศาเดิม “ชั้นเอารถมา ขับกลับเองได้ ไม่เป็นไรหรอกแค่ 3 เดือน แต่ถ้าท้องใหญ่กว่านี้ คงต้องระวังมากขึ้น”
เมื่อเดินกลับไปส่งพี่ส้มที่รถ ไอ้อ๋องก็บอกด้วยความหวังดี
“ส้ม มีอะไรก็บอกกันได้นะ ถ้าไม่มีคนไปหาหมอเป็นเพื่อนก็เรียกผมได้”
“อ๋อง ยังไงชั้นก็กลัวสายตาคนอยู่ดี”
“สายตาไม่ใช่เจ้าหนี้สักหน่อย” อ๋องพูดแล้วลูบท้ายทอยเก้อๆ “ขอโทษมุกนี้มาไม่ถูกจังหวะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น คิด ๆ ดูมันก็จริง”
“ผมทำงานไปเรียนไป เล่นพนันเพราะหวังรวยทางลัด ได้เงินมาก็เที่ยวจนหมดแล้วมาทำงานงกๆ แล้วก็ไปเล่นพนันอีก หนี้ท่วมหัวจนต้องออกจากเซเว่นมาทำพิซซ่า ผมไม่คิดว่าจะมีใครในคณะหรือหอไม่รู้นะเรื่องความเลวของผมเนี่ย เจ็บเหมือนกันเวลาที่ผมเดินผ่านแล้วพวกผู้หญิงนั่งกอดกระเป๋ากันแน่น แต่ผมก็ถือว่า ผมต้องไม่ทำผิดซ้ำ ผมต้องคิดถึงวันพรุ่งนี้”
“ชั้นก็..เป็นแบบนักศึกษาหญิงพวกนั้นเหมือนกัน”
...อยากบอกว่า ที่จริงแล้ว ตัวเองมีนิสัยดูถูกคนอื่น มองเห็นคนจนว่าเป็นคนเกียจคร้าน น่ารังเกียจ นิสัยไม่น่าคบอย่างแรง เพราะเป็นแบบนี้ไง เวลาที่ตัวเองผิดพลาดถึงได้รู้สึกระแวงทุกคนรอบตัว
อ๋องพูดยิ้มๆ “ทีนี้พอเวลาทำงาน ผมก็ว่า ที่น่าสนใจคือการขายของให้หมด แล้วให้ลูกค้ากลับมาใหม่ สำคัญกว่าการที่เดินผ่านแล้วเขานั่งกอดกระเป๋าเยอะ”
พี่ส้มหัวเราะเบาๆ
“คือผมคิดง่ายๆแบบนี้ มันพอจะช่วยส้มได้บ้างมั้ย”
พี่ส้มพยักหน้ายิ้มเศร้า
“อ๋องไม่กลัวคนจะนินทาว่าอ๋องเป็นพ่อเด็กหรือไง”
“แค่เสียงนินทาจากคนไม่รู้จัก ผมไม่สนใจหรอก” เมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยเชื่อของหญิงสาว ไอ้อ๋องก็พูดต่อ “ผมเจอเรื่องดีเรื่องร้ายมาเยอะ กับแค่เสียงนินทาแลกกับการที่ผมได้ช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งที่กำลังจะเกิดมา เทียบกันแล้วจิ๊บมาก”
พี่ส้มยิ้มอ่อนๆ เมื่อเปิดประตูรถ “ชั้นอยากเป็นคนมองโลกแง่บวกเหมือนเธอจริงๆ”
“ไม่มีอะไรยากหรอกส้ม” ไอ้อ๋องบอกย้ำ “แค่เชื่อมั่นว่าเรากำลังทำความดีก็พอ ส้มไม่ควรสนใจสายตาหรือคำพูดของคน อย่างที่พี่หน่อยว่า เด็กอยู่ในท้องส้ม เขาเป็นของส้มไม่ใช่ของใครที่ไหนก็ไม่รู้คนนั้น”
พี่ส้มมองไปข้างหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด
ไอ้อ๋องพูดเรื่อยๆ “ผมก็ไม่ได้เป็นคนดี หล่อ รวยมาจากไหน ทะเลาะกับแม่เพราะอยากเรียนมหาลัย ตะเกียกตะกายจนมาถึงที่นี่ หลายเรื่องหลายคนที่พบเจอ เพื่อนที่มหาลัย เพื่อนที่ร้านพิซซ่า หรือแผงขายของติดกัน เพื่อนที่กินเหล้าด้วยกันในวันหยุด เอาเข้าจริงผมก็มีอยู่อีก 3 คนที่พูดคุยกับมันได้ทุกเรื่อง”
“รวมชั้นด้วยได้มั้ย”
“แน่นอน” ไอ้อ๋องพยักหน้า “ผมถือว่าเป็นการให้เกียรติผมที่สุดแล้ว ที่ส้มมาหาผมในวันที่ส้มไม่มีใคร ผมพูดซึ้งๆไม่เก่ง อันนั้นมันต้องให้เอก แต่เอาเป็นว่า ขอบคุณที่ไว้ใจผม”
“ขอบใจมากอ๋อง”
อ๋องพยักหน้า “ขับรถดีๆ นะ อย่านอนดึกล่ะ”
เมื่อเดินกลับมา พี่เจี๊ยบก็มาอยู่ที่แผงขายลูกชิ้นแล้ว กำลังช่วยไอ้เบิร์ดขายของอย่างสนุกสนาน
“ส้มไปแล้วเหรอ”
“ครับ ทำไมวันนี้พี่มาได้ล่ะ”
“ชั้นคนไม่ได้เรียนหนังสือ ว่างอยู่แล้ว”
“ไปกินข้าวกันเถอะ ผู้ช่วยวิ่งหน้าตาตื่นมาโน่นแล้ว” ไอ้เบิร์ดบอก
“มาแล้วๆ ขอโทษที่มาช้า” คีย์วางหนังสือ ล้างมือเตรียมพร้อมทำงานทันที
“กินอะไรหรือยังตาโปน”
“กูจะมาขโมยกินลูกชิ้นมึงเนี่ย แฮมสเตอร์”
พี่เจี๊ยบยิ้มกว้าง “ไปกินด้วยกันก่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไรครับพี่” คีย์บอกอย่างเกรงใจทำให้ไอ้เบิร์ดตบไหล่เพื่อนเบาๆ
“ดีมาก ตาโปน ตั้งใจทำงานนะ”
พี่เจี๊ยบกับไอ้เบิร์ดเดินไปกินข้าวราดแกงที่แผงไม่ไกลนัก ขณะที่ ไอ้อ๋องกับคีย์ช่วยกันขายของ สักพักไอ้เอกก็มาถึง
“เฮ้ยไรวะเนี่ยวันนี้ทำไมมาเร็ว”
“มาเร็วก็ว่า มาช้าก็บ่น” ไอ้เอกชี้นิ้วด่าแล้วหันไปหาคีย์ “ตาโปนกอดทีดิ๊คิดถึงว่ะ”
“เฮ่ย มามะมากอดกู” ไอ้อ๋องแทรกเข้ามากันคีย์ไว้ข้างหลัง
ไอ้เบิร์ดกับพี่เจี๊ยบถือข้าวกล่องกลับมาฝากคนที่ขายของไป สร้างความวุ่นวายไปพร้อมกัน
“ลูกชิ้นปลาเยาวราชครับ อร่อย สะอาด ประหยัดครับ”
.....END.....
ไม่วายแล้วยังออกจะเครียดซะอีกเนอะ
แต่พอจัด เฮียพี พี่หน่้อย อ๋อง ส้มมาจัดกลุ่มด้วยกันแล้วนี่ มันจะออกมาแนวๆนี้แหละ
พรุ่งนี้เป็นแมนเอกนะครับ
ขอบคุณที่คุณรักตัวละครในเรื่องนี้ครับ
ไจฟ์ครับ