บทที่ 29
อวสาน
พิธีอภิเษกสมรสของเจ้าอุปราชถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกเหรื่อจากต่างเมืองพร้อมใจกันเข้ามาร่วมงานอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ประชาชนต่างก็มาเฝ้ารอกเฝ้ารอที่หน้ากำแพงเมือง เพื่อชมพระบารมีของเจ้านายอย่างใกล้ชิด แม้ว่าวันนี้ทุกคนต่างก็ยินดีและตื่นเต้น แต่ทว่าแสงหล้ากลับรู้สึกตรงกันข้าม นั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องอย่างหมดหวัง
“อีกไม่นานก็จะต้องเข้าพิธีแล้ว ถอนตัวตอนนี้ยังทันนะเจ้า” เหนือคำที่นั่งอยู่เบื้องล่าง กล่าวเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะไปเข้าร่วมพิธีตามธรรมเนียมราชประเพณี
“ข้าตัดสินใจดีแล้ว ไม่มีทางคืนคำเด็ดขาด”
“แล้วถ้าเจ้าจักรคำมาที่นี่ล่ะ เจ้าอุปราชจะทำเช่นไร”
“เจ้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าพี่งั้นรึ”
“ข้าเจ้าหาได้บอกไม่ แต่งานอภิเษกครั้งนี้ใคร ๆ ต่างก็รู้ มีหรือที่เจ้าจักรคำจะไม่รู้”
“จริงสินะ ใคร ๆ ก็รู้เรื่องนี้ ป่านนี้เจ้าพี่คงจะโกรธข้าไปแล้ว แต่ก็ช่างเถอะถึงอย่างไร ก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว” เอ่ยราวกับท้อแท้ในชีวิต ในค่ำคืนนี้เขาจะต้องเป็นของคนอื่นไปแล้วจริง ๆ หรือนี่ แสงหล้าได้แต่คิดในใจ
“หากเปลี่ยนใจตอนนี้ยังพอมีเวลานะเจ้า”
“มันสายไปแล้วล่ะเหนือคำ ถึงอย่างไรเราก็คงไม่ทำให้เจ้าพี่ต้องอับอายขายหน้าเป็นแน่ อย่างน้อยข้าก็ได้เจอกับเจ้าพี่แล้ว แค่นี้ข้าก็ดีใจที่สุดแล้ว”
เหนือคำพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“ถ้าเช่นนั้นเราไปที่หอคำกันเลยรึไม่เจ้า ป่านนี้แขกเหรื่อคงมาถึงกันหมดแล้ว” สีหน้าของคนพูดเองก็หาได้มีความสุข ไม่ใช่แค่เรื่องของผู้เป็นนาย แต่เรื่องของตัวเองก็หนักหนาสาหัสพอ ๆ กัน
“อืม” ว่าแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลุกขึ้นจากตั่งอย่างอิดออด ชุดที่สวมใส่อย่างเต็มยศนั้นทำให้ยากลำบากต่อการเดิน แต่ถึงกระนั้นก็พยายามเดินออกไปจากตำหนัก โดยมีเหนือคำตามหลังไปติด ๆ เหมือนที่ผ่านมา
……….
มาถึงหน้าหอคำแล้ว แสงหล้าก็เดินตรงเข้าไปยังกลางท้องพระโรงอย่างสง่างาม เมื่อถึงบริเวณหน้าตั่งทองก็ก้มลงกราบแทบเท้าผู้เป็นพี่ชาย เงยขึ้นไปส่งยิ้มให้ แสงชัยประคองน้องชายขึ้นไปยืนตรงหน้า
“วันนี้พี่ดีใจเหลือเกิน ที่เจ้าจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว แต่ก็รู้สึกใจหายที่เจ้าต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองเป็งเงิน เจ้ายังโกรธพี่อยู่หรือไม่ที่ตัดสินใจเยี่ยงนี้”
“น้องไม่เคยโกรธพี่ชายคนนี้เลย น้องรู้ว่าเจ้าพี่ทรงหวังดีต่อน้อง”
แสงชัยดึงตัวน้องชายเข้ามาสวมกอดอย่างรู้สึกผิด ที่ทำลายความรักของน้องชายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ทว่ามันยังจะดีกว่าต้องไปร่วมหอลงโรงกับคนอย่างจักรคำ
“ใกล้ถึงเพลาอันเป็นมงคลแล้ว เตรียมตัวต้อนรับว่าที่เจ้าบ่าวของเจ้าเถิด อีกไม่กี่อึดใจคงยกขบวนแห่ขันหมากมาถึงแล้ว”
“เจ้า”
แสงหล้ากลับไปนั่งบนตั่งประจำตำแหน่ง โดยมีเหนือคำนั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่เคยห่าง คนทั้งสองต่างก็นั่งรอเวลาด้วยสีหน้าและแววตาเศร้า เห็นอย่างนั้นแสงชัยก็พยายามไม่มอง เพราะกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนเข้าให้
หลังจากนั่งรอได้สักพักก็ได้ยินเสียงดนตรีดังเข้ามา เป็นสัญญาณบอกว่าตอนนี้ขบวนแห่ขันหมากเจ้าบ่าวได้มาถึงแล้ว ทุกคนที่อยู่ในหอคำจึงเตรียมพร้อม สำหรับทำหน้าที่ในพิธีสำคัญนี้อย่างพร้อมหน้า
แต่ทว่า...
“เจ้าหลวงเจ้า เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วเจ้า” ทหารองครักษ์รีบวิ่งเข้ามารายงานสถานการณ์ภายนอกให้ทราบ ด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
“ตอนนี้ภายนอกหอคำเกิดการจลาจลขึ้น นั่นเพราะ...” ว่าแล้วก็หันไปมองหน้าแสงหล้า ราวกับว่าเรื่องมันเกี่ยวข้องกับเจ้าตัวโดยตรง
“เพราะอันใดรีบบอกข้ามา”
“เพราะมีขบวนเจ้าบ่าวแห่เข้ามาพร้อมกันสองขบวนเจ้า”
ได้ยินกล่าวรายงาน เสียงขุนนางในหอคำก็ส่งเสียงซุบซิบกันดังระงม แสงชัยหันขวับไปมองน้องชายตนเองทันที เพราะเข้าใจว่าได้วางแผนเตรียมการล่วงหน้า และรู้ว่าอีกขบวนนั้นคือใคร
“น้องมิได้รู้เห็นกับเรื่องนี้เลยนะเจ้าพี่”
“จริงรึ เจ้าไม่ได้โกหกพี่ใช่ไหม” แสงชัยหรี่ตามองน้องชายอย่างไม่เชื่อใจ
“น้องเองก็ตกใจเช่นกัน ไม่นึกว่ามันจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เจ้าพี่ทรงอย่าทำอะไรเจ้าพี่จักรคำเลยนะเจ้า” แสงหล้ารีบลุกขึ้นเดินเข้ามาหา แต่ทว่าแสงชัยไม่สนใจรีบเดินออกไปก่อน
แสงหล้าได้แต่มองตามหลัง ประสานมือไว้ตรงหน้าอกด้วยความกังวลใจ “ในที่สุดสิ่งที่ข้ากังวลใจก็เกิดขึ้นจริง ๆ”
“ข้าเจ้าว่ารีบตามไปดีกว่าเจ้า บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้”
“ข้าก็ได้แต่ภาวนาว่าคงไม่ใช่เจ้าพี่จักรคำ”
ทั้งสองรีบเดินออกไปดูให้เห็นกับตา ว่าจะใช่อย่างที่คาดการณ์เอาไว้หรือไม่
……….
เดินออกมานอกหอคำแล้ว แสงหล้าก็กวาดสายตามองหาชายผู้เป็นที่รัก และพบว่าตอนนี้จักรคำได้ยืนประจันหน้ากับอินทร์แปง โดยที่แสงชัยกำลังเดินเข้าไปหาพร้อมกับกำลังทหาร เจ้าตัวไม่รีรอรีบเดินเร็วเข้าไปหาพร้อมกับเหนือคำ
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าเข้ามาเหยียบที่เมืองของข้าอีกครั้ง” แสงชัยกล่าวเมื่อเดินเข้าไปถึง จ้องมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยแววตาที่แข็งกร้าว
“ถวายบังคมเจ้าหลวง” บัดนี้จักรคำไม่ได้มาในฐานะนักรบเหมือนเมื่อก่อน แต่มาในฐานะผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่เข้ามาต่อสู้เพื่อความรักของตน จึงยกมือไหว้สาตามมารยาท แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนให้เห็น
“คนเยี่ยงเจ้าหามีเกียรติพอที่จะมาไหว้สาข้า มาทางไหนกลับไปทางนั้น ก่อนที่ข้าจะสั่งตัดหัวเจ้า” แสงชัยชี้หน้าอย่างเดือดดาล
“มันผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดจึงกล้ามาทำลายพิธีอันสำคัญเยี่ยงนี้” อินทร์แปงถามแสงชัยด้วยความอยากรู้ซะเต็มประดา
“หาต้องกังวลอันใด ถึงอย่างไรวันนี้ท่านกับแสงหล้าจะต้องได้เข้าพิธีอภิเษกอย่างแน่นอน”
“ถ้าเช่นนั้นก็สั่งให้ทหารลากตัวมันออกไป ก่อนพี่ลูกชายข้าจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้” เจ้าหลวงอินทร์ถากล่าว ชำเลืองตามองจักรคำอย่างไม่เป็นมิตร
“เจ้าพี่รีบกลับไปเสียเถอะ ก่อนที่มันจะสายเกินไปกว่านี้” แสงหล้ารีบตะโกนบอก
“ไม่มีทาง! พี่เคยบอกแล้วเช่นใด ว่าจะมาสู่ขอเจ้าจากเจ้าหลวงแสงชัย บัดนี้พี่ได้ทำตามสัญญาแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นพี่ก็พร้อมจะรับผลที่ตามมา”
“แต่น้องคงอยู่ไม่ได้ หากเจ้าพี่ต้องเป็นอันใดไป ฮึก”
คำพูดและแววตาที่คนทั้งสองส่งให้กัน ทำให้อินทร์แปงกระจ่างใจทันที ไม่นึกฝันว่าเจ้าอุปราชผู้นี้จะมีคนรักอยู่ก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในวันนี้จะไม่มีทางยอมให้พิธีการเป็นอันต้องล้มเลิกแน่
“ถึงอย่างไรก็ตาม วันนี้ข้าก็ต้องได้เป็นเจ้าบ่าวเพียงผู้เดียว” อินทร์แปงกล่าวอย่างมั่นใจ
“แต่ข้าไม่มีวันให้เจ้าแต่งกับเมียข้าแน่”
“หุบปาก! ทหาร! คุมตัวพวกมันทุกคนไปขังไว้ที่คุกหลวง รอรับการลงทัณฑ์จากข้า” แสงชัยตะโกนสั่ง นั่นทำให้ผู้คนที่อยู่ในขบวนขันหมากของจักรคำต่างก็ตื่นตกใจ
“เจ้า”
“ไม่นะเจ้าพี่ น้องขอร้อง อย่าทำพวกเขาเลย” แสงหล้าเอ่ยขอร้องทั้งน้ำตา
ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป จักรคำก็ตัดสินใจนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า ยกมือขึ้นพนมตรงกลางอก ก่อนจะก้มลงกราบแทบเท้าอย่างช้า ๆ แสงชัยยืนอึ้งไม่นึกว่าจักรคำจะกล้าทำถึงเพียงนี้
“ข้าขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่เคยทำไม่ดีต่อเมืองผาพิงค์ ข้าไม่ได้อยากให้มันเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นเลย ข้าหาได้มีความสุขกับการเข่นฆ่าทุกชีวิต แต่มันคือหน้าที่ของเจ้าอุปราช ที่ต้องรักษาเอกราชของบ้านเมืองเอาไว้ ท่านน่าจะเข้าใจในจุดนี้ แต่ทว่าตอนนี้เวรกรรมได้ตามสนองข้าแล้ว ข้าสูญเสียบิดา สูญเสียน้องชาย สูญเสียประชาชนซึ่งเป็นที่รัก สูญเสียตั่งทองที่บรรพบุรุษเคยเสียเลือดเสียเนื้อรักษาเอาไว้ แค่นี้ข้าก็เจ็บปวดมากพอแล้ว ที่ไม่อาจรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ได้ แต่ตอนนี้ข้ายังมีโอกาสที่จะรักษาความรักของข้า ขอโอกาสให้ข้าได้ดูแลแสงหล้าได้รึไม่ เวลาสิบปีที่ผ่านมามันก็ทุกข์ทรมานมากแล้ว ขอให้เราทั้งคู่ได้มีโอกาสกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งได้รึไม่” จักรคำกล่าวทั้งน้ำตา ก่อนจะก้มลงกราบแทบเท้าอีกครั้ง
แสงชัยขยับเท้าออกมาเล็กน้อย ยังคงยืนอึ้ง คิดไม่ออกว่าจะเอายังไงต่อ มองไปยังน้องชายตนเอง ก็พบว่าตอนนี้กำลังนั่งพนมมือ จ้องมองมาด้วยแววตาเศร้า มองไปตรงหน้าก็เจอกับเจ้าบ่าวตัวจริงที่ยืนกอดอก รอฟังคำตอบจากปากตน นั่นยิ่งทำให้รู้สึกหนักใจมากขึ้น
“เจ้าหลวงรีบจัดการมันซะ เราจะได้เริ่มพิธีการต่อเสียที นี่ก็เลยเพลาอันเป็นมงคลมานานแล้ว” อินทร์แปงกล่าวอย่างไม่ได้สนใจใคร ยังคงต้องการเข้าสู่พิธีให้เสร็จโดยเร็ว
“ครานี้น้องจะยอมตามใจเจ้าพี่ หากเจ้าพี่สั่งให้พิธีเริ่มต่อไป น้องก็จะยินดีอภิเษกกับเจ้าอินทร์แปง เพราะถึงอย่างไรเราก็เหลือกันแค่สองพี่น้อง เจ้าพี่คือเจ้าชีวิตของน้อง” กล่าวจบแสงหล้าก็หลับตาลง รอฟังคำตอบ ยอมวัดใจผู้เป็นพี่ชายว่าจะตัดสินใจอย่างไร
จักรคำมองหน้าคนรักอย่างเจ็บปวด หากไม่เป็นอย่างที่หวัง ความทุกข์และทรมานคงจะถาโถมเข้ามาอีกครั้ง แต่ถึงอย่างไรก็ยอมรับการตัดสินใจของแสงหล้า หลับตาลงรอฟังคำตอบเช่นกัน
แสงชัยถอนหายใจเฮือกใหญ่ จ้องมองไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทุกคน หลับตาลงใบหน้าของบิดาก็ลอยมา นึกถึงคำสั่งเสียก่อนจะจากโลกใบนี้ไป ให้ดูแลน้องชายเป็นอย่างดีและมีความสุขที่สุด
“เจ้าหลวงอินทร์ถา เจ้าอินทร์แปง ข้าต้องขออภัยพวกท่านด้วย ที่ต้องล้มเลิกงานอภิเษกในวันนี้”
ได้ยินอย่างนั้นทั้งแสงหล้าและจักรคำก็ลืมตาขึ้น มองหน้ากันด้วยความดีใจ แต่ทว่าสองพ่อลูกที่อยู่ตรงหน้า กลับแสดงสีหน้าเกรี้ยวกราดไม่พอใจ
“ข้าไม่ยอม! ท่านบอกว่าจะยกเจ้าแสงหล้าให้กับข้า แต่เหตุใดจึงกลับคำเยี่ยงนี้ แล้วไอ้เศษสวะผู้นี้มันเป็นใคร เหตุใดจึงต้องยอมมันด้วยเล่า” อินทร์แปงโวยวายเสียยกใหญ่
“ชายผู้นี้คือคนรักของแสงหล้า ข้าไม่อาจทนเห็นน้องชายเจ็บปวดได้อีกแล้ว ข้าจะให้สิทธิ์เมืองเป็งเงินทำสัมปทานป่าไม้เป็นเวลาหนึ่งปี แลกกับการที่ข้าต้องเสียคำพูด เจ้าหลวงอินทร์ถามีความเห็นว่าอย่างไร”
“ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง”
“แต่ข้าไม่ยอม!”
“หุบปาก! โอกาสดี ๆ เยี่ยงนี้ไม่ให้หาง่าย ๆ” เจ้าหลวงอินทร์ถาหันไปเอ็ดบุตรชาย
“หากไม่มีอันใดแล้ว ขอเชิญพวกท่านเคลื่อนขบวนขันหมาก กลับไปยังเมืองเป็งเงินเถิด”
“เอาไว้ข้าจะเข้ามาเจรจาเรื่องสัมปทานใหม่อีกครั้ง ข้าลาล่ะ”
“ขอให้เจ้าหลวงเดินทางโดยสวัสดิภาพ”
เจ้าหลวงอินทร์ถายิ้ม ก่อนจะหันไปดึงแขนลูกชายให้เดินกลับออกไป พร้อมกับขบวนขันหมากที่เคลื่อนออกไปด้วย เปิดทางให้จักรคำได้ทำหน้าที่เจ้าบ่าวอย่างสมบูรณ์แบบ
“ขอบพระทัยเจ้าพี่เหลือเกิน ที่ทรงทำเพื่อน้องถึงเพียงนี้” แสงหล้าคลานเข่าเข้ามากราบแทบเท้าพี่ชาย สวมกอดที่ขาทั้งน้ำตา ส่วนจักรคำก็ก้มลงกราบแทบเท้าเช่นเดียวกัน
“ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของเจ้าหลวงไปจนตาย”
“จริง ๆ แล้วข้าเองก็ผิด ที่ทำให้พวกเจ้าต้องแยกจากกันนานถึงเพียงนี้ หวังว่าพวกเจ้าคงจะให้อภัยข้าเช่นกัน” แสงชัยกล่าวด้วยรอยยิ้ม แววตาที่เคยแข็งกร้าวบัดนี้กลับอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ
“น้องไม่เคยโกรธเจ้าพี่เลยแม้แต่น้อย ที่ทำทุกอย่างเพราะเจ้าพี่หวังดีต่อน้อง ฮึก”
“ข้ายอมรับว่าเคยโกรธแค้นท่านมาก แต่เวลามันก็ล่วงเลยผ่านมานานแล้ว ถึงโกรธไปคงไม่มีประโยชน์อันใด ท่านคือพี่ชายของคนรักข้า ก็เปรียบดังพี่ชายข้าเช่นเดียวกัน”
ในวินาทีนั้นอินเหลารีบเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ เหนือคำ ซึ่งกำลังนั่งยิ้ม มองภาพแห่งความสุขของผู้เป็นนาย เมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกกุมมือ เหนือคำก็พยายามดึงมือออกแต่ก็ไม่สำเร็จ เห็นรอยยิ้มกวน ๆ ของอินเหลาเจ้าตัวก็ทำหน้าบูดบึ้ง ทำเป็นไม่สนใจ
“บัดนี้ข้ารู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก รู้สึกสบายใจมากขึ้น เจ้าไม่ต้องไปอยู่ที่ต่างเมืองแล้วนะแสงหล้า เราสองพี่น้องจะอยู่ที่นี่ด้วยกันตลอดไป”
“น้องรักเจ้าพี่เหลือเกิน” ว่าแล้วก็ลุกขึ้น โผเข้ากอดพี่ชายอย่างแนบแน่น สร้างความปีติยินดีให้กับประชาชนที่เข้าร่วมงานอภิเษกสมรสกันถ้วนหน้า
“เจ้ารีบเข้าไปเตรียมตัวในหอคำเถิด วันนี้เป็นวันอภิเษกของเจ้าไม่ใช่รึ”
“เจ้าพี่หมายความว่าเช่นไร”
“ก็หมายความว่า วันนี้จะเป็นวันอภิเษกของพวกเจ้าทั้งสองคนเช่นใดเล่า วันนี้เป็นวันมงคล เป็นวันที่เราต่างก็มีความสุข บัดนี้พี่พร้อมจะคืนความสุขให้กับเจ้าแล้วแสงหล้า”
“ขอบพระทัยเจ้าพี่ ฮึก น้องดีใจเหลือเกิน น้องดีใจเหลือเกิน” แสงหล้าโผเข้ากอดพี่ชายอีกครั้ง ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ
“ขอบพระทัยเจ้าหลวง ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน” จักรคำยกมือไหว้สาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อความตั้งใจเป็นผลสำเร็จ อุปสรรคที่เคยกั้นขวางความรัก บัดนี้มันได้ถูกทำลายลงแล้ว
หลังจากนั้นพิธีอภิเษกสมรสได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจซึ่งกันและกัน บรรยากาศจึงมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ มองไปทางไหนก็เจอแต่ความสุข ความทุกข์ทรมานใจของทุกคนในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา บัดนี้มันได้หมดสิ้นไปแล้ว
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
สามเดือนต่อมา
“ที่ก็ออกกว้าง เหตุใดจึงมานั่งใกล้ข้าเยี่ยงนี้เล่า ออกไปเลย” เหนือคำผลักร่างกำยำของอินเหลาให้ออกห่าง ขณะนั่งอยู่ริมลำธารมองดูน้ำตกอย่างสบายใจ แต่จู่ ๆ อีกฝ่ายก็เข้ามาอย่างไม่ให้สัญญาณล่วงหน้า
“พ่อเจ้าสร้างไว้รึไงกัน ข้าจึงนั่งไม่ได้” อินเหลาไม่ฟัง แถมยังเลื้อยมือไปรั้งเอวคอดไว้อีกต่างหาก
“ปล่อยข้า”
“ไม่ปล่อย ข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปจากชีวิตข้าแน่” ว่าพร้อมส่งสายตาคมจ้องมองอย่างเสน่หา เห็นแววตาที่จริงใจ เหนือคำก็หลุบตาลงมองที่ผืนน้ำ ดวงหน้าสวยขึ้นสีแดงระเรื่อ
“ในฐานะใด...”
“เจ้าอยากอยู่ในฐานะใด ข้าให้เจ้าได้หมด”
“ข้าขอเป็นผัวเจ้าได้รึไม่” เหนือคำเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่มีทาง! เจ้าต้องเป็นเมียข้าเท่านั้น ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าเอ่อ...” อินเหลาขึ้นเสียงใส่ทันที
“เหตุใดเจ้าต้องจริงจังถึงเพียงนี้ ข้าแค่ล้อเล่น” คนพูดหัวเราะออกมาเบา ๆ
“นี่เจ้าแกล้งข้างั้นรึ โดนดีแน่”
“เจ้าจะทำอันใดอินเหลา ไม่นะ!”
อินเหลาผลักร่างบอบบางลงบนพื้น ตรึงข้อมือเอาไว้เหนือศีรษะ สายตาทั้งสองคู่สอดประสานกันอย่างลึกซึ้ง
“พูดให้ชื่นใจหน่อยซิ ว่าข้าเป็นใคร”
“ถ้าข้าไม่พูดเจ้าจะทำอันใด” เหนือคำยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ข้าจริงจัง พูดมาเดี๋ยวนี้เลย”
“หอมแก้มข้าก่อนสิ แล้วจะพูดให้ได้ยิน”
ฟอด! ฟอด!
อินเหลาโน้มใบหน้าลงไปหอมแก้มทั้งสองข้างทันที
“รีบพูดมาเร็ว”
“เจ้านี่ช่างเอาแต่ใจเสียจริง ข้าพูดแล้วก็ได้ เจ้า...”
อินเหลาตั้งใจมองด้วยสีหน้าจริงจัง กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
“เร็ว!”
“เจ้าเป็นผัวข้า จะเป็นผัวคนแรกและคนเดียวตลอดไป ข้ารักเจ้านะอินเหลา”
ในที่สุดสิ่งที่อยากได้ยินมาตลอดก็เกิดขึ้นเสียที อินเหลายิ้มกว้าง โน้มใบหน้าลงไปจุมพิตริมฝีปากบางอย่างดูดดื่มและเร่าร้อน ก่อนที่บทรักจะเริ่มต้นขึ้นและดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ
..........
ถัดจากนั้นขึ้นมาจนเกือบจะถึงน้ำตก จักรคำและแสงหล้านั่งคุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพของคำน้อยและเมืองแมน ดอกไม้ป่าถูกนำมาวางประดับอย่างสวยงามด้วยฝีมือของคนทั้งสอง บัดนี้สองชีวิตที่พวกเขารักได้ดับสูญไปแล้ว แต่ทว่าความทรงจำดี ๆ ยังคงไม่เลือนหายไปจากความทรงจำ
“เจ้าพี่จะบอกน้องได้รึยัง ว่าเจ้าเมืองแมนสิ้นชีวิตด้วยสาเหตุใด”
“หลังจากที่เจ้าโดนพาตัวกลับไปเมืองผาพิงค์แล้ว พี่กับอินเหลาก็รีบกลับมาหาเมืองแมน ด้วยกลัวว่าจะโดนทำร้ายไปอีกคน แต่พอมาถึงก็พบว่าเมืองแมนได้ปลิดชีพตัวเองไปเสียแล้ว สิ้นใจตายบนหลุมศพของคำน้อย พี่จึงฝังร่างไว้ข้าง ๆ กัน ให้ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกันที่นี่ตลอดไป”
“เจ้าเมืองแมนคงรักคำน้อยมากจริง ๆ ถึงได้ทำเยี่ยงนี้ อย่างน้อยคำน้อยมันก็ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว” เอ่ยพร้อมจ้องมองหลุมศพด้วยรอยยิ้ม ภาพที่คำน้อยเคยดูแลรับใช้และร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาฉายให้เห็น ทำให้น้ำตาของแสงหล้าไหลพรากลงมาเป็นทาง
“เหตุใดจึงขี้แยเยี่ยงนี้ ตอนนี้เจ้าไม่ได้เป็นเด็กเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ” จักรคำยกมือขึ้นมาเกลี่ยน้ำตาออกให้
“ก็น้องคิดถึงคำน้อย”
“พี่เชื่อว่าคำน้อยคงไม่อยากเห็นน้ำตาเจ้าเช่นกัน” จักรคำพยุงร่างบอบบางให้ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากัน เสียงน้ำตกดังให้ได้ยินอยู่เนือง ๆ แต่ทว่ากลับไม่ดังกังวานเท่ากับเสียงหัวใจที่กำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อได้เห็นแววตาคมที่เป็นประกายตรงหน้า
“เจ้าพี่...”
“มีอันใดรึ...” จักรคำยิ้มอย่างเอ็นดู
“น้องอยากให้เจ้าพี่อยู่กับน้องที่เมืองผาพิงค์ไปตลอดชีวิต”
“หากพี่บอกว่าคงทำเยี่ยงนั้นไม่ได้ น้องจะเสียใจหรือไม่”
“น้องไม่เสียใจ เพราะรู้ว่าเจ้าพี่มีภารกิจที่จะต้องดูแลคนงานอีกหลายร้อยชีวิตที่ปางไม้ น้องเข้าใจ...แต่ก็อยากให้มาอยู่ด้วยกันอยู่ดี”
“พี่รักเจ้ามากนะแสงหล้า รักจนสามารถตายแทนเจ้าได้ แม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่พี่สัญญาว่าหากมีเวลาว่างเมื่อใด จะมาหาเจ้าที่เมืองผาพิงค์ หากในอนาคตอินเหลาสามารถดูแลที่นั่นได้ พี่สัญญาว่าจะมาอยู่กับเจ้าอย่างที่เจ้าต้องการ”
“ได้ยินเยี่ยงนี้น้องก็ดีใจมากแล้ว ต่อจากนี้จะไม่มีใครสามารถแยกเราจากกันได้ ยกเว้นแต่ความตายเท่านั้น”
“หากแม้นชาติหน้ามีจริง เราจะเกิดมาครองคู่กันอย่างนี้ทุกภพทุกชาติ”
“รักกันอย่างนี้ตลอดไป”
กล่าวจบแล้วคนทั้งสองก็ส่งยิ้มหวานให้กัน ก่อนที่จักรคำจะโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตที่กลางหน้าผากนุ่ม ปิดท้ายด้วยการสวมกอดกันอย่างแนบแน่น เป็นการสัญญาว่าจะไม่จากกันไปไหนจนตราบสิ้นลมหายใจ
จบบริบูรณ์