ปากดีนัก ต้องโดนจัดซะให้เข็ด
บทที่ 13
อาหารมื้อกลางวันผ่านไปอย่างสนุกสนานเพราะเพื่อนในวัยเด็กต่างก็มาฝากท้องกับฝีมือแม่สุดที่รักของวศินด้วย อวัศย์เองก็เจริญอาหารเพราะเหมือนได้ย้อนอดีตไปสู่วัยเด็กอีกครั้ง ตอนนี้ไม่มีใครพูดจาอะไรให้เขาระคายหูอีกแล้ว เสียงหัวเราะครื้นเครงดังขึ้นจนกระทั่งช่วงบ่ายบรรดาเพื่อนเก่าจึงขอตัวกลับก่อน
“คุณหนูขึ้นไปล้างหน้าล้างตาพักผ่อนที่ห้องไอ้นึงมันก่อนก็ได้นะคะ”
วิภาเอ่ยด้วยความเอ็นดู อวัศย์เป็นคุณหนูฐานะร่ำรวยที่ไม่ถือเนื้อถือตัวเลยสักนิด ลูกสาวตัวแสบรีบดึงมือชายหนุ่มให้ลุกตามขึ้นไปบนชั้นสอง
“มาค่ะพี่หมอก นึงจัดห้องให้รกน้อยลงแล้ว”
เมื่ออวัศย์เดินตามนิดนึงลับสายตาวิภาจึงหันไปหาบุตรชายแล้วกระซิบถาม
“เสร็จโจรไปยังวะ”
“ยังเลยแม่”
“โธ่ ไอ้งี่เง่า เพราะช้างี้เลยไม่มีเมียสักที”
“โหแม่ ให้เวลาพี่หมอกเขาหน่อย เขาโกรธหนูมาตั้งหลายปี”
คนเป็นแม่ส่ายหน้าระอา
“ไอ้หน่อยเอ๊ย เค้ายอมมาบ้านด้วยขนาดนี้ก็คือยอมแน่ๆ แล้ว แกจะรีรอทำไมวะ จับปล้ำทำเมียเลย”
“ไม่ได้ หน่อยจะไม่ฝืนใจพี่หมอก หน่อยเป็นลูกผู้ชายอกสามแท่ง เอ๊ย สามศอก หน่อยจะรอให้พี่หมอกยินยอมพร้อมใจก่อน”
เห็นลูกชายยืดอกอวดความเป็นสุภาพบุรุษแล้ววิภาก็ต้องยอมแพ้ คนเป็นแม่หัวเราะขำพรืด
“เออๆ ตามใจ แต่ยังไงก็อย่าให้พลาดนะ แม่ถูกใจคุณหนูหมอกมาตั้งแต่เด็กแล้ว เป็นผู้ชายด้วยกันแม่ก็ยอม นี่อุตส่าห์ไปกล่อมพ่อให้ยอมมีลูกสะใภ้เป็นผู้ชายจนได้ พลาดมาแม่จะเขกให้กบาลแยกเลย”
“ชัวร์แม่ ไม่พ้นคืนนี้หรอก แม่เตรียมตัวผูกข้อมือรับลูกสะใภ้เลย”
วศินรับคำมารดาด้วยความมั่นใจ แผนของเขาจะต้องไม่พลาด อวัศย์ต้องเป็นของเขาภายในคืนนี้อย่างแน่นอน
เมื่อเข้ามาภายในห้องนิดนึงแล้วอวัศย์ถึงกับทึ่งเมื่อเห็นว่าพื้นที่เต็มไปด้วยกองหนังสือ เจ้าของห้องหัวเราะแก้เขิน
“จัดได้แค่นี้แหละค่ะพี่หมอก ปกตินึงเขี่ย ๆ ให้มีที่ว่างแล้วซุกหัวนอน”
“มีหนังสือเรียนบ้างไหมนิดนึง”
ชายหนุ่มหน้าสวยเอ่ยถามเมื่อหยิบมาได้เล่มหนึ่งแล้วพลิกไปพลิกมา อวัศย์เบิกตากว้าง
“ทำไมปกนิยายมันมีแต่รูปวาดผู้ชายกับผู้ชายล่ะ นึงเป็น อะไรนะ ที่เขาเรียกว่าสาววายเหรอ”
นิดนึงจูงแขนอวัศย์ให้นั่งลงบนเตียงที่พอจะมีพื้นที่ว่าง เด็กสาวหัวเราะแหะๆ
“ใช่พี่หมอก สาววายเต็มขั้น สวรรค์อยู่ในกองดอง พี่หมอกต้องลอง แล้วจะบอกว่าติดใจ”
“ฮะ ให้พี่ลองอะไรแล้วจะติดใจนะ”
อวัศย์หน้าตาเหรอหรา คิดลึกจนหน้าร้อนเห่อแดงก่ำไปหมด นิดนึงเห็นแล้วปลื้มสุดขีดเพราะเป็นสาววายสายบูชาเคะ
“พี่หมอกอะคิดมาก นึงหมายถึงให้ลองอ่านนิยายวายดูแล้วจะติดใจ นี่ๆ เล่มนี้เล่มโปรดของนึงเลย”
ว่าแล้วเจ้าของห้องก็คว้านิยายเล่มเยินใกล้มือมาส่งให้อวัศย์รับไปถือเปิดดูคร่าวๆ
“นักแต่งในดวงใจชื่อบีเลิฟ เรื่องนี้เด็ดสุด ผมกำลังจะกลับบ้าน ฉากซั่ม เอ๊ย เลิฟซีนมันทุกบท มีฉากจู๋จี๋กันบนรถทัวร์ด้วยนะ”
อวัศย์กลั้นหัวเราะไม่อยู่
“บนรถทัวร์? นักเขียนก็คิดได้นะ ผู้โดยสารคนอื่นเขาไม่ตื่นมาเห็นกันหมดเหรอ”
“แหม พี่วันรบพระเอกเดอะเบสท์ของหนูเขาไม่ทำให้ใครตื่นหรอกพี่ เขาเน้นท่ายาก อยากให้พี่หมอกได้อ่าน มันมีหลายท่ามาก เผื่อพี่จะใช้กับพี่หน่อย เอ๊ย ไม่ใช่ เผื่อพี่จะเก็บไว้เป็นข้อมูล”
นิดนึงเขินตัวแทบแตกผิดกับคำพูดยุยงเชียร์พี่ชายออกนอกหน้า อวัศย์ได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดู
“นี่ๆ เขาบอกตรงนี้ว่าเหมาะสำหรับคนอ่านอายุสิบแปดปีขึ้นไป เราน่ะ อายุถึงแล้วเหรอ”
“โหย พี่หมอก สมัยนี้ใครเขารอให้สิบแปดแล้วค่อยอ่านกันล่ะ นิยายลงในเว็บกันโครมๆ แต่พี่ไม่ต้องกลัวสาววายอย่างนึงจะใจแตกเพราะอ่านนิยายสิบแปดบวกพวกนี้หรอกนะ หลักการของสาววายคืออยากเห็นผู้ชายกับผู้ชายได้กัน รับประกันความเหลวแหลกว่าไม่มี เงินทองจะล่มจมไปกับนิยายและคู่จิ้นในซีรี่ส์เท่านั้น ชวนคุยนานแล้วพี่หมอกพักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวคืนนี้จะไม่มีแรง เอ๊ย เดี๋ยวจะเพลีย นึงไปช่วยแม่ข้างล่างก่อน”
เด็กสาวออกจากห้องปล่อยให้ผู้มาเยือนได้อยู่ตามลำพัง อวัศย์ลองเสี่ยงเปิดนิยายในมือ เมื่อลองอ่านหน้าที่เปิดได้เขาถึงกับอ้าปากค้างแก้มแดงเป็นพวง
“มันมีท่านี้ด้วยเหรอ ทำได้จริง ๆ เหรอเนี่ย นักเขียนคิดได้ไงอ้ะ”
อ่านไปก็เขินไปแต่ก็อยากรู้เลยอ่านไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวก็อ่านเกือบจบเล่ม อวัศย์เพิ่งรู้ว่าเวลาผ่านไปจนเกือบบ่ายคล้อยตอนที่ได้ยินเสียงวศินมาเรียกอยู่หน้าห้อง
“พี่หมอก พี่หมอก ทำไรอยู่ หลับอยู่หรือเปล่า”
“เปล่า แป๊บนึงนะหน่อย”
วางหนังสือลงแล้วเดินไปเปิดประตูให้วศิน ชายหนุ่มโผล่หน้าเข้ามามองไปรอบห้องน้องสาวตัวเอง
“โห ห้องไอ้นึงทำไมรกงี้วะ เดี๋ยวปลวกมากินหนังสือจะหัวเราะเยาะให้สะใจเลย”
“อย่าว่าน้องสิหน่อย ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า”
วศินยิ้มหน้าแป้น เขาฉวยโอกาสจูงมือนุ่มให้เดินตามลงไปชั้นล่าง
“จะไปเยี่ยมหลานไง ลูกไอ้เขียว เมียมันเพิ่งคลอดเมื่อเดือนที่แล้ว ไอ้เหี้ยเขียวมีลูกคนแรกของกลุ่มเลย”
เจ้าของบ้านคว้ามอเตอร์ไซค์คันเก่าของบ้านมาสตาร์ทรถแล้วบิดคันเร่งเสียงดังลั่น
“ขึ้นมาสิพี่หมอก เราแว้นไปบ้านไอ้เขียวกัน”
อวัศย์ขึ้นไปนั่งซ้อนหลังบนเบาะมอเตอร์ไซค์อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เขาไม่ค่อยได้มีโอกาสนั่งมอเตอร์ไซค์แบบนี้มากนัก วศินดึงมือของเขาให้โอบกอดเอวไว้
“ไม่ต้องกลัวตกน่าพี่หมอก ถ้ากลัวก็กอดผมไว้แน่นๆ”
“คนบ้า ฉวยโอกาสจริงๆ”
บ่นอุบอิบแต่ก็ต้องกอดเอววศินไว้เมื่ออีกฝ่ายกดเท้าเหยียบเกียร์แล้วบิดคันเร่งไปบนถนนของหมู่บ้านตรงไปยังบ้านของเขียว สายลมปะทะกับผิวหน้าทำให้อวัศย์ต้องซบหลบอยู่กับแผ่นหลังกว้าง
ความจริงวศินก็เป็นคนที่ทำให้อวัศย์ไว้วางใจได้ เมื่อลองเปิดใจอีกครั้งอวัศย์จึงได้เรียนรู้ว่าชายหนุ่มเป็นคนจริงใจเมื่ออดีตเมื่อวัยเยาว์ ความเป็นธรรมชาติ ความใสซื่อ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้อวัศย์หลงรัก
รัก!
นี่ยอมรับใจตัวเองแล้วอย่างนั้นหรือว่ารักเขา
อวัศย์ถามใจตัวเองพร้อมกับเผลอกระชับอ้อมกอดของตนเองที่โอบรอบเอวของวศินอยู่
หรือบางทีอาจจะรักตั้งแต่ยังเด็ก ผูกพันจนกลายเป็นเจ็บปวดเมื่อได้ยินคำพูดตัดรอนโดยไม่ทันตั้งตัว และเมื่อได้พบอีกครั้งจึงรู้ว่าความรักแสนบริสุทธิ์ในอดีตไม่เคยลืมเลือนจนที่ผ่านมาไม่อาจเปิดใจให้ใครได้
“พี่หมอก ถึงแล้ว พี่หมอก”
“อะ อื้อ ถึงแล้วเหรอ”
สะดุ้งตื่นจากภวังค์ถึงได้รู้ว่าตนเองกอดเอววศินไว้แน่นตอนที่วศินดับเครื่องมอเตอร์ไซค์แล้ว อวัศย์รีบคลายวงแขนด้วยความขัดเขิน วศินได้แต่แอบซ่อนรอยยิ้มไว้เมื่อมั่นใจแล้วว่าอวัศย์คิดเช่นไรกับเขา
“ไอ้นัด ไอ้ป๋องมาก่อนแล้ว เราตามเข้าไปในบ้านเถอะ ไอ้เขียวเป็นเจ้ามือเลี้ยงเหล้า เห็นคุยโวว่าเมียทำกับแกล้มอร่อยต้องถล่มมันเสียหน่อย”
วศินฉุดแขนให้อวัศย์เดินตามเข้าไปในบ้านเพื่อน บรรยากาศเป็นกันเองทำให้อวัศย์สนุกไปด้วย ขณะหยอกล้อกับลูกของเขียวเขาก็ถูกบรรดาเพื่อนในวัยเด็กคะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้าไปเสียหลายแก้วจนเริ่มหน้าร้อน
“พอแล้ว กินไม่ไหว เดี๋ยวเมา” ยกมือห้ามพลางมองนาฬิกา “พวกเรากลับกันเถอะ เจ้าของบ้านเขาจะได้พักผ่อน นี่มันจะสี่ทุ่มแล้วนะ”
วงเหล้าจึงเลิกกันตอนนั้น เมื่อร่ำลาเขียวกับเมียทั้งหมดจึงได้เดินออกมาจากบ้าน ตอนนั้นที่อวัศย์เพิ่งรู้ว่าเขาเกือบยืนไม่อยู่เพราะเหล้าฤทธิ์แรงที่ได้ข่าวว่าพ่อของเขียวต้มเอง
“แยกย้ายๆ ไปกันได้แล้วพวกมึง พรุ่งนี้เจอกัน ไป พี่หมอก กลับบ้านเรา รักรออยู่”
วศินจูงมือนุ่มไปที่รถแล้วสตาร์ทเครื่องขี่พาอวัศย์ออกจากบ้านของเขียว แต่ทางที่ไปกลับไม่ใช่ที่บ้าน
“ไปไหนอีกล่ะหน่อย ดึกแล้วนะ”
สี่ทุ่ม หากเป็นในเมืองอาจจะเพิ่งจะสว่างไสว แต่สำหรับชนบทเช่นนี้มองไปทางไหนก็มืดมิดเงียบสงัด วศินไม่ตอบแต่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปยังทุ่งนา
“พ่อบอกให้แวะมาดูน้ำที่สูบเข้านา พี่หมอกลงมาก่อนนะ”
มอเตอร์ไซค์คันเก่าจอดลงตรงคันนาเล็ก ๆ วศินพาอวัศย์เดินตรงมายังสิ่งก่อสร้างโยกเยกตั้งอยู่บนคันนา วศินรุนหลังให้คนที่เดินตามติดก้าวขึ้นไปบนนั้น
“พี่หมอก นั่งรอบนเถียงนาก่อน เดี๋ยวผมไปดูน้ำในนาให้พ่อแป๊บนึง”
“หน่อย ไอ้นี่มันขึ้นไปได้จริงเหรอ”
อวัศย์ถามด้วยความหวั่นเกรง เพราะไอ้เจ้าเถียงนาน้อยนี้ดูไม่มั่นคงเอาเสียเลย วศินพยายามยิ้มสู้
“ได้สิพี่หมอก เห็นงี้แข็งแรงนา ไปเหอะ”
อวัศย์ยอมขึ้นไปนั่งบนเถียงนา อากาศเริ่มเย็นและเพราะฤทธิ์เหล้าทำให้เขาชักโงนเงนด้วยความง่วงงุนจนต้องเอนกายลงนอนกับพื้นหยาบ ๆ ระหว่างที่วศินหายไป เขาจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเดินไปไม่ไกลนักเพื่อสุมหัวกับอีกสามหัวที่ผลุบโผล่อยู่ในความมืด
“ไอ้เหี้ยเขียว มึงสร้างเหี้ยไรของมึงถึงโงนเงนงี้วะ”
วศินกระซิบด่าเพื่อน เขียวยกมือเกาหัวแกรกๆ
“งานเร่งนี่หว่า มึงจะเอามั่นคงแค่ไหนวะไอ้เหี้ยนิดหน่อย นี่ก็สร้างพอให้มึงเอาเมียได้นั่นแหละ รีบ ๆ เหอะมึง”
“เออ สัส พวกมึงอย่าลืมก่อไฟไล่ยุงให้กูด้วยนะ ไม่ใช่ให้กูปล้ำไปยุงกัดตูดลายไปล่ะ”
“พูดมากชิบหาย” ไอ้นัดเอ่ยปากด้วยความหมั่นไส้ “มึงไปปล้ำพี่หมอกได้แล้ว พวกกูรอฉลองความสำเร็จของมึงอยู่”
วศินชูสองนิ้วให้เพื่อนก่อนจะรีบย่องกลับขึ้นไปบนเถียงนา เมื่อเห็นอวัศย์คล้อยหลับไปเขาก็ยกมือลูบปากพลางยิ้มกริ่ม
“แหม หลับยังน่ารักขนาดนี้ มาเป็นเมียโจรเถอะพี่หมอก”
มหาโจรย่องขึ้นไปนั่งมองคนเผลอหลับ มือใหญ่ลูบไล้แขนกลมกลึงเบาๆ วศินเอนกายนอนเคียงข้างก่อนจะขโมยหอมแก้มนุ่มดังฟอด
“อื้อ หน่อย”
อวัศย์งัวเงียตื่นขึ้นมาก็มองเห็นใบหน้าวศินใกล้จนหนีไม่ได้และห้ามไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาจูบ มือใหญ่ครอบครองเอวของเขาเหนี่ยวรั้งเข้าหา ซ้ำยังใช้ท่อนขาพาดลงมากันเขาหลบหนี
“ผมรักพี่หมอกนะ ยอมเป็นของผมได้ไหม”
“ตะ แต่ว่า...”
“นะพี่หมอก บรรยากาศดีขนาดนี้อย่าปฏิเสธกันเลย”
ลมเย็นพัดผ่าน ทุ่งนาบางส่วนที่ข้าวใกล้ออกรวงถูกลมพัดเสียงหวีดหวิว เบื้องบนท้องฟ้ามองเห็นพระจันทร์ครึ่งดวงส่องแสงไร้เมฆบดบัง และด้วยสัมผัสอบอุ่นจากร่างใหญ่โตทำให้อวัศย์ยากจะปฏิเสธ ใช่ว่าเขาจะไม่มีใจให้วศินเสียเมื่อไหร่ ก็รู้ใจตนเองตั้งนานแล้วว่าคิดอย่างไรกับชายหนุ่มรุ่นน้อง
เห็นอวัศย์นิ่งงันวศินจึงชิงจูบด้วยความย่ามใจ เนื้อตัวของอวัศย์อุ่นร้อนเพราะเหล้าที่เขาคะยั้นคะยอให้ดื่มกิน เรียกร้องให้วศินสอดมือเข้าไปใต้เสื้อยืดเนื้อนุ่มที่ร่างโปร่งสวมใส่แล้วลูบไล้สัมผัส รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายแทบสะดุ้งตามฝ่ามือ พร้อมกันวศินก็สอดปลายลิ้นเข้าไปในปากหวานแล้วก่อกวนจนอวัศย์อ่อนระทวยไปหมด
“พี่หมอก รู้ตัวไหมว่าพี่หมอกน่ากินมาก”
พึมพำอยู่ในลำคอขณะยอมผละจากปากอุ่นมาหาใบหูนุ่มพลางขบกัดแผ่วเบา อวัศย์ครางฮือเผลอบดเบียดกายเข้าหา วศินกำลังทำให้เขาร้อนรุ่มเตลิดเปิดเปิง
“ฮื้อ หน่อย ยะ อย่าจับตรงนั้น”
มือร้อนบีบเค้นเบา ๆ ตรงจุดอ่อนไหว อวัศย์ผวาเฮือกหมดเรี่ยวแรงต่อสู้ ไหล่บางถูกผลักให้พลิกหงายเพื่อร่างสูงใหญ่ของวศินจะได้ขยับมาอยู่เบื้องบน มาถึงตอนนี้อวัศย์ไม่มีปัญญาจะห้ามปรามแล้ว ได้แต่ปล่อยให้วศินรูดซิปถอดกางเกงของเขาลงไปกองที่ปลายเท้า
วศินกอดร่างสั่นเทานั้นไว้ เมื่อดึงกางเกงตนเองร่นลงไปถึงเข่า เขากดท่อนเนื้อแข็งแกร่งของตนเองลงไปทักทายจุดซ่อนเร้น
“ไว้ใจผมนะพี่หมอก มันคงจะเจ็บแหละแต่ผมจะอ่อนโยนกับพี่สุด ๆ เลย”
“หน่อย... แต่เราหาข้อมูลมา มันต้องเอ่อ หล่อลื่นก่อนไม่ใช่เหรอ”
อวัศย์ยังหวั่นเกรง วศินหัวเราะเบา ๆ
“ธรรมชาติสุดก็ต้องน้ำลายผมแล้วพี่”
วศินถ่มน้ำลายใส่มือก่อนจะลูบไล้ใส่อาวุธตนเอง เขาจูบปิดเสียงพลางแยกขาเรียวออกจากกัน จากนั้นจึงวนเวียนหัวรบของตนอยู่หน้าปากทาง เมื่อเห็นอวัศย์เตลิดไปกับจูบหนักหน่วงหัวรบจึงถูกดันเปิดปากถ้ำเข้าไป
“อึก หน่อย เจ็บ!”
“นิดเดียว นะครับพี่หมอกของหน่อย”
น้ำตาเล็ดเมื่อช่องทางถูกสอดใส่ แต่อวัศย์ก็เคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสจากมือและจูบที่ดึงความสนใจไปได้ เขาได้แต่กอดร่างหนาของวศินไว้แน่นจนส่วนกว้างผ่านเข้าไปได้
“เก่งจังพี่หมอก ขอดันเข้าไปอีกนิดเดียวนะครับ”
“ฮัก หมอก”
อวัศย์ชันขารับเมื่อวศินดันเองเข้าไปจนสุดทาง ความคับแน่นภายในสร้างความร้อนรุ่มจนเผลอครางเสียงแผ่ว ตอนนี้เขาถูกวศินครอบครองโดยสมบูรณ์แล้วเพียงรอให้ความเจ็บปวดบรรเทาลงไป วศินจึงค่อยเริ่มขยับตัว
“อื้อหือพี่หมอก แน่นชะมัด”
เริ่มแรกก็ยังขับเคลื่อนลำบาก วศินถ่มน้ำลายตามไปหล่อลื่นอีกครั้งจึงได้พอสบายตัวขึ้น เขาชันกายอีกเล็กน้อยเพื่อจะออกแรงใส่ร่างบางจนพื้นไม้ไผ้ลั่นดังเปรี๊ยะ
มีต่ออีกนิด...