หลังจากนั้น ท้องฟ้าของผมก็พลันสว่างขึ้นอีกครั้ง ด้วยการได้รับทุกอย่างที่ผมสมควรได้จากเอม ทุกอย่างที่ควรค่ากับความพยายามทั้งชีวิตของผม ทั้งการเป็นที่หนึ่งในชั้นเรียน หรือแม้กระทั่งวินที่ผมใช้เวลาหลายปีจนถึงวัยทำงานกว่าที่เขาจะยอมใจอ่อนและเห็นคุณค่าของคนที่อยู่ข้างๆ เขามาตลอด
หกปีที่แล้ว วินและผมตัดสินใจแต่งงานกัน เราจัดพิธีอย่างเรียบง่าย และเริ่มปรึกษาแพทย์ในเรื่องการมีบุตร เป็นโชคดีของผมที่วิวัฒนาการด้านการแพทย์ในปัจจุบันก้าวไกลเกินกว่าที่ผมจะคาดคะเนได้ การปลูกถ่ายมดลูกเป็นกระบวนการใหม่ที่ทำให้ผู้ชายสามารถตั้งครรภ์ได้ ผมจึงไม่รีรอที่จะดำเนินการ ซึ่งครอบครัวของวินก็ยินดีและช่วยเหลือในเรื่องค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
สองปีถัดจากนั้น ผมก็ตั้งครรภ์ตามธรรมชาติอย่างที่ผมและวินคาดหวังไว้ ซึ่งผมคงยินดีมากที่ความฝันของเรากำลังจะกลายเป็นจริง หากว่าผมไม่ได้กำลังไปได้ดีในเส้นทางสายอาชีพของตัวเอง เพราะในเวลานั้น ผมได้เลื่อนขั้นขึ้นดำรงตำแหน่งผู้จัดการผลิตภัณฑ์ และได้รับคัดเลือกไปทำงานกับบริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่น
สุดท้าย ผมซึ่งเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง บ้างาน และคิดถึงความก้าวหน้าอยู่เสมอต้องยอมสละสิทธิ์การไปต่างประเทศและลาออกมานั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้าน ตามคำแนะนำของแพทย์และความต้องการของครอบครัวสามี
เมื่อทางที่ผมเลือกเดินไม่ใช่ทางเลือกที่ออกมาจากหัวใจ ความสุขที่ควรเกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์ลูกคนแรกจึงไม่ปรากฏชัดอย่างที่ควรจะเป็น และอย่างไรก็ตาม ผมพยายามคิดในแง่ดีถึงการมีโซ่ทองคล้องใจ โซ่ทองที่ผมวาดฝันมาโดยตลอดว่าจะผูกรัดวินให้อยู่กับผมด้วยความรัก ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่คนรักเด็กมากนัก แต่ก็เชื่อว่าการมีลูกคงทำให้ผมได้รับความใส่ใจจากวินและครอบครัวของวินมากขึ้นกว่าเดิม และชีวิตครอบครัวของเราคงถูกเติมเต็มจนสมบูรณ์
แต่เพราะผมเป็นผู้ชาย การตั้งครรภ์จึงไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างธรรมชาติ ผมต้องเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศหญิงอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังต้องได้รับยาเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของครรภ์อีกหลายชนิด เป็นผลให้เกิดอาการข้างเคียงมากมาย ทั้งอาการวิงเวียนหน้ามืด มึนงง ขยับเขยื้อนร่างกายได้ช้าลง และรู้สึกอยากอาเจียนตลอดเวลาจนไม่สามารถรับประทานอาหารได้อย่างที่ควรจะเป็น ซ้ำอาการดังกล่าวยังแสดงผลนานเกือบเท่าอายุครรภ์ ที่แย่กว่าการเจ็บป่วยคืออารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างเคย ส่งผลให้ผมทะเลาะกับวินบ่อยครั้งในเรื่องเล็กน้อยที่ไม่เคยทะเลาะกันมาก่อน เช่นการที่วินทำงานอย่างหนักจนกลับมาถึงบ้านช้ากว่าปกติ หรือเรื่องที่ผมแข็งขืนไม่ยอมรับประทานอาหารเสริมและยาบำรุงต่างๆ ที่วินซื้อมาให้ทั้งที่รู้ว่าจำเป็น
ถึงแม้ว่าการที่ลูกตัวน้อยค่อยๆ เจิญเติบโตภายในร่างกายของผมจะไม่ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ของเราเท่าไรนัก ความหวังของผมก็ยังไม่เลือนรางเสียทีเดียว ผมยังคงเชื่อว่าหากได้พบหน้าลูกสาวของเราเมื่อแรกคลอด และได้มีโอกาสอุ้มลูกไว้แนบอก ความแนบชิดนั้นคงก่อเกิดเป็นสายใยเส้นบางที่เชื่อมทั้งผมและลูกไว้ด้วยกัน และความรู้สึกแปลกๆ ที่มีต่อเธอนั้นคงสลายไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แต่เปล่าเลย… เมื่อเอวาคลอดออกมา ญาติหลายคนที่มาเยี่ยมเยือนต่างทักเป็นเสียงเดียวกันว่า ใบหน้าของเอวาไม่เหมือนผู้เป็นพ่อและแม่เอาเสียเลย ทั้งวินและผมมีดวงตาเล็กด้วยเชื้อสายจีน แต่เอวากลับมีใบหน้าคมและจมูกโด่ง ในวันนั้นเราทั้งคู่ทำเพียงพยายามปลอบใจกันและกันว่าลูกสาวยังไม่เติบโตพอที่จะสามารถระบุถึงความคล้ายคลึงได้อย่างเต็มปาก
ไม่เพียงเท่านั้น ปัญหาใหม่ผุดขึ้นในทันที เมื่อเอวาไม่ยอมให้ผมอุ้มตั้งแต่นาทีแรกที่เราพบกัน แต่กลับเลือกอยู่กับพ่อแทน ไม่ว่าผมจะพยายามเปลี่ยนท่าอุ้มหรือหรือปลอบประโลมเช่นไร ก็ไม่สามารถทำให้เธอหยุดร้องไห้และดิ้นรนออกจากผมเพื่อไปสู่อ้อมกอดวินได้เลย
เพราะอย่างนั้น… สายสัมพันธ์แม่ลูกน่ะเหรอ หึ! ลืมไปได้เลย
แต่เชื่อเถอะ การไม่ยอมให้อุ้มยังไม่ใช่ที่สุดหรอก เมื่อลูกสาวซึ่งวินตั้งชื่อว่า ‘เอวา’ เริ่มเติบโตขึ้นจนกลายเป็นเด็กในวัยเตาะแตะ เธอเป็นเด็กน้อยแสนน่ารัก ร่าเริง ซ้ำยังขี้อ้อนสำหรับวินและคนอื่นในครอบครัว โดยเฉพาะคุณปู่และคุณย่าที่เห่อหลานเอามากๆ หรือแม้กระทั่งคนภายนอกที่พบเห็นเธอตามสถานที่สาธารณะ เธอก็ยังส่งยิ้มหวาน โบกมือทักทายอย่างน่าเอ็นดู
คุณอาจจะเคยได้ยินว่า ลูกมีอาการติดพ่อหรือแม่ แต่คุณยังไม่เคยเจออาการของเอวาแน่ๆ เพราะเธอมีอาการติดทุกคน ยกเว้นผม
แน่นอนเธอมักจะติดพ่อมากที่สุด วินจะเป็นตัวเลือกแรกที่เธอเลือกเวลาต้องการอ้อนให้ใครอุ้มหรือเล่นด้วย หากวินไม่อยู่ ปู่หรือย่าจะเป็นตัวเลือกถัดมา ส่วนผม… เรียกว่าไม่ใช่ตัวเลือกเลยดีกว่า
แน่นอนว่าคุณพ่อที่ลูกมอบความรักให้อย่างเต็มล้นเช่นวิน ไม่รู้สึกถึงความแปลกประหลาดนั้นหรอก เขามักปลอบใจผมเสมอว่าคิดมากไปเองในเรื่องนี้ เขาคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะรูปลักษณ์ของผมที่ดูไม่ใช่คนจิตใจดีหรือรักเด็กมากนัก แต่ครอบครัวของวินไม่ได้มองโลกในแง่ดีแบบนั้น พวกเขาพาลคิดไปว่าเด็กสามารถรับรู้ได้ว่าใครรักหรือเกลียด ใครเป็นมิตรหรือดูน่ากลัว นั่นหมายความว่าผมผู้ซึ่งเป็นแม่แท้ๆ อาจแสดงบางท่าทีที่ทำให้เอวารู้สึกว่าผมไม่ชอบเธอ เธอจึงมีพฤติกรรมเช่นนั้น
กลายเป็นความผิดของผมอย่างเต็มประตู
ผมเถียงอย่างหัวชนฝาเลยว่า ผมไม่เคยแสดงท่าทีแบบนั้นต่อเอวาเลย เพราะอย่างไรก็ตาม เอวาก็ยังเป็นลูกสาวของผม ต่อให้เธอจะไม่ชอบผม ผมก็ไม่อาจรู้สึกต่อเธอในทางลบได้
แต่ความคิดนั้นเกิดขึ้นก่อนที่ผมจะเริ่มค้นพบว่า เอวาไม่ยอมทานส้มที่พวกเราปอกเปลือกและแกะกลีบไว้ให้ ทั้งที่สามารถรับประทานผลไม้อื่นได้ทุกชนิด ยังไม่รวมถึงการที่เอวารักและเอ็นดูสุนัขที่บ้านของปู่และย่าอย่างมาก ถึงขนาดขอนำกลับมาเลี้ยงที่บ้านของตนเอง ซ้ำยังพยายามขออนุญาตจากวินเพื่อเลี้ยงสุนัขและแมวไว้ในบ้านอีก
ความคล้ายคลึงนำมาซึ่งความสงสัย…
เอวามีบางอย่างที่คล้ายคลึงกับเพื่อนวัยเด็กคนนั้นของผมอย่างประหลาด
หากเพียงใจที่ไม่เคยเชื่อเรื่องบาปกรรมหรือการเวียนว่ายตายเกิด อาจคิดถึงสาเหตุได้เพียงเพราะความบังเอิญ ใครๆ ก็รักสัตว์ได้ หรือไม่ชอบส้มก็ได้ทั้งนั้น แต่ทันทีที่ผมพยายามไม่จับผิดในพฤติกรรม เอวาซึ่งเติบโตขึ้นจนพูดได้คล่องก็เริ่มถามคำถามในเชิงเปรียบเทียบความสำคัญระหว่างผมและเธอแบบนี้…
"พ่อคะ พ่อรักเอวามั๊ยคะ" เสียงใสดังขึ้นหลังจากที่เอวาวิ่งเข้ามากอดผู้เป็นพ่อ
"รักสิคะ รักมากที่สุดเลย" วินหันหน้าไปทางเธอ ก้มลงเล็กน้อยก่อนใช้สองมือแกร่งยกลูกสาวขึ้นมาจนตัวลอยแล้วกอดไว้แน่น
"รัก... มากกว่าแม่รึเปล่าคะ"
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินคำถามของเอวา คำถามที่กระตุ้นอารมณ์โมโหของผมได้ในทันที มันใช่คำถามที่ลูกสาวควรถามผู้เป็นพ่อเหรอ? ผมว่าไม่ใช่แน่ๆ เอวาต้องการอะไรกัน!
"อืม..." ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างครุ่นคิด พลางเหลือบมองผมซึ่งยืนกอดอกพิงประตูอยู่ใกล้ๆ เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบแบบไหน ในเมื่อไม่มีคำตอบใดที่จะถูกใจทั้งสองฝ่าย
"ว่าไงคะ" ลูกสาวตัวดียังย้ำคำถามด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีก
"รัก... เท่ากันเลยจ้ะ"
ทันทีที่จบประโยคของวิน บรรยากาศของบ้านหลังเล็กซึ่งควรให้ความรู้สึกอบอุ่น กลับมืดทึมจนแม้แต่ผู้ตอบคำถามยังรู้สึกโหวง จากมุมที่ผมยืนอยู่เห็นใบหน้าของเอวาซึ่งเก็บกักอารมณ์ขุ่นเคืองไว้ไม่อยู่ได้ชัด ก่อนที่เธอจะส่งเสียงใสขึ้นอย่างไม่สนใจผมที่อยู่ด้านหลัง
“ไม่ได้ค่ะ คุณพ่อต้องรักเอวามากกว่านะคะ”
คิ้วเรียวขมวดกันแน่นอย่างไม่คิดว่าจะพบเจอลูกสาวที่เรียกร้องความรักจากบิดาในรูปแบบนี้ ทั้งที่เด็กหลายต่อหลายคนต่างมีความรักและต้องการความรักตอบแทนจากทั้งพ่อและแม่เท่าเทียมกัน แต่เอวากลับสนใจแต่พ่อและไม่เคยเหลียวแลผมเลยสักครั้ง ซ้ำยังพยายามแย่งความรักที่ผมควรได้รับกลับไปหาเธอ
“นะคะ” เสียงอ้อนยังดังขึ้นเพื่อให้วินยอมรับในคำขอกึ่งบังคับ
“จ… จ้ะ พ่อรักเอวาคนเดียวเลย”
ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวหรอกนะที่ผมได้ยินคำถามแบบนี้ เอวายังคอยถามย้ำวินอีกหลายครั้งโดยเฉพาะเวลาที่ผมอยู่ในบริเวณนั้นด้วย ราวกับว่าเธอต้องการให้ผมได้ยินคำตอบของวินทุกครั้งเท่าที่เป็นไปได้
แววตาพึงพอใจต่อคำตอบของเอวาที่ผมเห็นทุกครั้งผลักดันให้ความหมั่นไส้ก่อตัวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งเห็นว่าสามีและคนรอบข้างรักและยึดเอวาเป็นศูนย์กลางมากขึ้นเท่าไร ยิ่งทำให้ผมกลายเป็นส่วนเกินของครอบครัวมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเดือนที่ผ่านมา ผมเพิ่งได้รับรูปวาดครอบครัวที่เอวาเป็นคนวาดในวิชาศิลปะจากคุณครูประจำชั้น รูปวาดด้วยสีเทียนแสดงภาพผู้ชาย จับมือกับเด็กผู้หญิง ถัดไปคือชายชราและหญิงชราจับมือกัน โดยมีสุนัขตัวเล็กสีน้ำตาลอยู่ข้างๆ พื้นหลังของภาพเป็นบ้านชั้นเดียว ภูเขาและดวงอาทิตย์ลูกกลมเหมือนที่เด็กๆ ชอบวาด
ผมปราดตามองเพียงชั่วครู่ก็ได้แต่ถอนหายใจยาวกับภาพที่มีสมาชิกในครอบครัวของเอวาครบทุกคนแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง
แต่ไม่มีผม…
ขณะกำลังทบทวนเรื่องราวจากความทรงจำที่มีต่อเอวาให้คุณฟังอยู่นี้ ผมได้โบกมือเรียกรถแท็กซี่เพื่อเดินทางกลับบ้านของผมเรียบร้อยแล้ว
บ้าน… ที่ตอนนี้คงมีแต่เด็กเอวาและคุณย่าของเธอ
ความรู้สึกของผมในเวลานี้คงไม่ต่างจากยานพาหนะที่กำลังพาผมขับเคลื่อนไปตามเส้นทางตรงยาวซึ่งมีเพียงแสงจากเสาไฟฟ้าคอยส่องสว่างโดยไม่อาจวนกลับหรือถอยหลัง หากแต่ผมยังคงตั้งมั่นในความคิดอย่างไม่หวั่นเกรงต่อผลที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น
สายตายังจับจ้องบนฝ่ามือของตัวเองที่มีรอยของมีคมบาดลึก ถึงจะมองไม่ชัดด้วยภายในรถที่มืดเกือบสนิท รอยบาดที่เกิดจากกระจกกรอบรูปบรรจุภาพถ่ายในชุดแต่งงานของผมและวินซึ่งผมตั้งใจสั่งทำมาเป็นอย่างดีเพื่อประดับไว้ในบ้านของเราหล่นลงมากระทบกับพื้นจนแตกละเอียด
ไม่ต้องเดาว่าเป็นฝีมือของใคร… ลูกสาวตัวดีที่อยู่ๆ ก็นึกสนุก นำลูกเบสบอลมาปาเล่นในบ้านจนกระทบเข้ากับกรอบรูปในที่สุด
รอยบาดดังกล่าวจึงเกิดขึ้นหากแต่ไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่หลายคนเข้าใจ เป็นเพราะผมเองที่สติหลุดทันทีเมื่อเห็นสภาพของสิ่งที่ผมตั้งใจสร้างและดูแลรักษาเป็นอย่างดีกลับพังทลายลงโดยฝีมือของเด็กที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวแท้ๆ ของผม จึงเผลอกำเศษกระจกในมือจนเลือดสีข้นไหลหยดลงมา
แน่นอน ทั้งพฤติกรรมของเอวาที่ผมไม่อาจทนได้และความหวั่นเกรงต่ออดีตที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก ทำให้ผมตัดสินใจพูดคุยกับวินเพื่อพาเอวาไปพบจิตแพทย์เด็ก ซึ่งต้องใช้ทั้งไม้อ่อนคือขอร้องด้วยเหตุผลจนถึงไม้แข็งคือทะเลาะวิวาทกว่าที่วินจะยอมตกลงใจพาเอวาไปพบจิตแพทย์เด็กพร้อมกับผม ผมเดาว่าวินเองก็คงเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปกติของเอวาเช่นกัน แต่ยังคงสองจิตสองใจอยู่จึงต้องการจิตแพทย์เพื่อช่วยตัดสิน
แต่แทนที่จะสามารถลบล้างอคติที่คนภายนอกมองผมได้ด้วยการยืนยันว่าลูกสาวของผมมีปัญหาต่อผู้เป็นแม่จริงๆ จิตแพทย์กลับลงความเห็นว่าไม่พบอาการแปลกประหลาดใดๆ จากเอวาเลยแม้แต่น้อยและสันนิษฐานว่าเป็นเพราะผมเองที่ไม่อาจปรับตัวกับการเป็นแม่ได้ กลับกลายเป็นการผลักดันความมั่นใจของวินให้เลิกคล้อยตามผมและหันกลับไปเอาใจใส่ลูกสาวโดยสมบูรณ์เพื่อลบล้างความรู้สึกผิดในใจ ขณะที่คนอื่นๆ มองผมด้วยสายตาเบื่อหน่ายเพราะคิดว่าผมนั่นแหละคือตัวปัญหา
เมื่อไม่เหลือใครอยู่เคียงข้าง...
ความเจ็บแค้นจึงเพิ่มอีกเป็นทวีคูณ
ล้อรถยนต์หมุนรอบเร็วสะบัดน้ำฝนที่เจิ่งนองอยู่บนถนนจนกระเซ็นสาด ไม่ต่างจากแรงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของผมบนเบาะหลัง ฟันเรียงขบกันแน่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตหากแต่สายตามองตรงไปด้านหน้าแสดงถึงความจดจ่อต่อเป้าหมาย
เหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมานั้นทำให้ผมตระหนักได้ว่าไม่มีคำว่าแม่หรือลูกอีกต่อไป สำหรับผมเราต่างเป็นศัตรูที่ยื้อแย่งวินมาไว้ในครอบครองเท่านั้น ผมเชื่อว่าเอวาเองก็คิดเช่นเดียวกัน
ความเกลียดชังที่เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อยทำให้ความคิดที่ว่าเธอมีความคล้ายคลึงกับเอมกลับคืนมาในสมองของผมอีกครั้ง ยิ่งบางอิริยาบถที่ลูกสาวของผมแสดงออก เช่น การใช้นิ้วม้วนปลายผมระหว่างนั่งทำการบ้าน หรือการฮัมเพลงเก่าซึ่งเป็นเพลงดังในช่วงปีที่ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ทั้งที่ไม่เคยมีใครร้องให้ฟังหรือเปิดวิทยุให้ได้ยิน ยิ่งสั่นคลอนความไม่เชื่อในเรื่องการกลับชาติมาเกิดของผมมากขึ้นไปอีก
สุดท้าย มันได้ถูกหักโค่นลงเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา...
วันนั้นเป็นวันวาเลนไทน์ วินได้มอบดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ให้ผมเป็นของขวัญ ซึ่งนั่นคือดอกไม้ช่อแรกในชีวิตที่ผมได้รับจากเขา ผู้ชายที่ไม่เคยแสดงออกในเรื่องความรักไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ จนบางครั้งผมอดหวั่นใจไม่ได้ว่าเขายังคงไม่ลืมรักครั้งเก่า ยิ่งเมื่อมีเอวา ความคิดเห็นที่ไม่เคยตรงกันยิ่งสร้างความห่างเหินให้แก่เราทั้งคู่มากขึ้น
แต่เมื่อผมได้รับดอกไม้จากเขา หัวใจกลับพองโตขึ้นในทันที รอยยิ้มบางที่เผยออกมาพร้อมสายตาอบอุ่นจากเขากอบกุมเอาความหวังและความมั่นใจในความรักของเรากลับคืนมาได้อีกครั้ง
แต่ทันทีที่เด็กนั่นเห็นดอกกุหลาบช่อสวยในมือของผม เธอกลับร้องโวยวายกับวินโดยทันทีว่าอยากได้ดอกไม้ช่อนั้น ไม่ว่าวินจะพยายามอธิบายเหตุผลใด หรือแม้แต่บอกว่าจะซื้อดอกไม้อีกช่อมาให้แทน ก็ไม่ทำให้เอวาหยุดงอแงได้เลย
เมื่อหมดสิ้นหนทางเพราะเอวายังคงร้องไห้และตื้ออยากได้ดอกไม้ช่อนี้โดยไม่ฟังคำทัดทานของใคร สายตาของวินที่มองมาทางผมจึงส่งผ่านคำขอร้องตามมาด้วยโดยไม่ต้องออกเสียง
ขอร้อง… ให้ผมมอบดอกไม้ช่อนี้แก่เอวา
ฟันเรียงขบกันแน่นอย่างลืมตัวพร้อมๆ กับช่อดอกไม้ที่ถูกกำไว้ในมือทั้งสอง เมื่อสายตามองเห็นวินกำลังปล่อยเอวาลงจากการโอบอุ้มหลังจากบอกกับเธอว่าผมจะยอมมอบดอกไม้ให้ เธอจึงหยุดร้องไห้โดยทันที ซ้ำสีหน้าทุกข์ทนยังเปลี่ยนเป็นสดใสขณะที่เดินเข้ามาหาผม
วินรู้ดีว่าครั้งนี้เอวาเอาแต่ใจตัวเองมากเกินไป หากแต่พ่อผู้ตามใจคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการเดินลงบันไดไปรอผมที่ด่านล่างเพื่อปรับความเข้าใจ
ขณะที่เอวายังคงยืนอยู่ตรงหน้าผมด้วยรอยยิ้มกว้าง พลางยื่นมือข้างที่ถนัดออกมาเพื่อรับช่อดอกไม้จากผม แต่เสี้ยววินาทีหนึ่ง แววตาของเธอที่สะท้อนใบหน้าของผมกลับเปลี่ยนไปจากเด็กที่ผมรู้จัก กลายเป็นคนที่ผมคุ้นเคยอย่างดี ขณะเดียวกัน มือเล็กๆ อีกมือซึ่งเธอยื่นมาจับที่แขนของผมกลับปรากฏรอยปานสีเข้มที่ผมไม่เคยสังเกตเห็น รอยปานอยู่ด้านหลังมือตำแหน่งเดียวกับพลาสเตอร์ปิดแผลและเข็มน้ำเกลือของเอมที่ผมเคยดึงกระชากจนเลือดออก
แต่ก่อนที่ผมจะนึกอะไรได้ต่อ เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นพร้อมกับการขยับริมฝีปากของเอวา
แต่มันไม่ใช่…
ไม่ใช่เสียงของเอวา
“ขอคืนนะจ้ะ”
เสียงนุ่มหวานพร้อมรอยยิ้มของคนด้านหน้าได้นำพาผมกลับไปยังโรงเรียนมัธยมแห่งเดิมเมื่อสิบสามปีที่แล้ว ความเคลือบแคลงสงสัยที่เคยไต่ระดับขึ้นช้าๆ กลับทะยานขึ้นจนเต็มล้นเมื่อสมองสามารถประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ครบถ้วน ตั้งแต่เอวาเกิดขึ้นมา ทั้งหน้าตา บุคลิก นิสัย และความชื่นชอบย้ำเตือนความทรงจำให้ผมระลึกถึงคนที่ตายไปแล้ว คำว่า ขอคืน ของเธอยังคงดังก้องในสมอง มันคลี่คลายทุกเหตุผลของพฤติกรรมที่เอวาปฏิบัติต่อผม
เธอกลับมา เพื่อขอคืนความสุขจากผม… ขอคืนความรักจากผม…
ในเวลาที่ไม่มีใครอยู่บริเวณนี้ยกเว้นเราสองคน ในเวลาที่ผมได้ยินแต่เสียงลมหายใจหอบถี่และเสียงของความตึงเครียดที่หวีดขึ้นในหูคล้ายเสียงไมค์หอน ในเวลาที่เอวา…
ไม่ใช่สิ! นั่นไม่ใช่เอวา แต่เป็นเอมต่างหากที่ยืนยกยิ้มมุมปากอยู่ตรงหน้า
เวลาแบบนี้แหละ ที่ทำให้เส้นสติของผมขาดผึง จึงก้าวเข้าใกล้ก่อนเอื้อมมือไปจิกผมนิ่มของเอวาอย่างแรงจนศีรษะเล็กๆกระตุกหงาย แล้วใช้มืออีกข้างฟาดเข้าที่แก้มนิ่มด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจจะหยุดยั้ง
“แกกลับมาทำไม… ห้ะ! แกกลับมาทำไม”
เสียงหวีดร้องของเอวาไม่อาจต้านทานต่อความแค้นที่อาบร่างของผมได้ เพราะมือทั้งสองยังคงตบตีไปที่เด็กตัวน้อย แม้ว่าเธอจะยกแขนเรียวขึ้นบังและพยายามถอยหลังเพื่อลดทอนความรุนแรง แต่ไม่สามารถหลบหนีความอาฆาตของผมได้เลย
เราทั้งคู่ยืนอยู่ที่ปลายบันไดตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ คงด้วยความเคียดแค้นที่ทำให้ผมจดจ้องแต่เป้าหมายตรงหน้าโดยไม่ทันระวังจนเท้าข้างหนึ่งเผลอก้าวพลาดและทำให้ผมพลัดตกลงมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย
ตุบ!
“เพชร…” เสียงวินดังขึ้นก่อนที่เขาจะวิ่งมานั่งลงข้างร่างของผมซึ่งนอนนิ่ง รู้สึกเจ็บที่หน้าแข้งจนไม่สามารถขยับได้ สายตายังคงเห็นเอวาที่เดินลงบันไดมาช้าๆ หากแต่ไร้ซึ่งความห่วงใยหรือรู้สึกผิดบาป ก่อนที่ภาพตรงหน้าของผมจะค่อยๆ เลือนรางและสติของผมจะดับวูบลง
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องพักรักษาตัวที่บ้านของมารดาของผมด้วยอาการกระดูกขาหัก และเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมมายืนอยู่ที่นี่
หน้าบ้านของผมและวิน
ผมมองไปที่หน้าต่างด้านหน้าซึ่งจำได้ดีว่าเป็นที่ตั้งของห้องนอนห้องเล็กของเอวา ดูจากเวลาที่ปรากฏบนนาฬิกาข้อมือแล้วเดาได้ว่าเอมในร่างของเอวาคงกำลังหลับสนิทอย่างใจเย็น รวมถึงคุณย่าของเธอที่มีอาการประสาทหูเสื่อมคงถอดเครื่องช่วยฟังก่อนเข้านอนในห้องรับรองแขกแล้วเช่นกัน
‘อยากให้มึงมาด้วยจัง’
‘รอบนี้มากันเยอะมากเลย พวกไอ้โก้ ไอ้ต้าร์ก็มา’ หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏข้อความจากวินซึ่งหมายความว่าเขายังไม่รู้เรื่องนี้ ซ้ำยังไม่มีสายเรียกเข้าจากแม่ของผม แสดงว่าแม่อาจนั่งดูรายการโปรดในโทรทัศน์ต่อจากการเก็บกวาดในครัวโดยยังไม่ขึ้นมาดูผมบนห้อง
ดูสิ อะไรก็เป็นใจให้ผมมาถึงที่นี่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะวินซึ่งจำเป็นต้องไปงานเลี้ยงรุ่นจึงทิ้งเอวาไว้กับหญิงชราที่ไม่อาจได้ยินเสียงใดอีกหากถอดเครื่องช่วยฟัง แม่ของผมซึ่งติดตามรายการทำอาหารจนยังไม่ขึ้นมาที่ห้องนอนของผมอย่างเคย แท็กซี่ที่มารับผมได้ทันเวลา
โชคดีเป็นของผมไม่ต่างอะไรกับวันที่รู้ว่าเอมป่วย
ริมฝีปากจึงกระตุกยิ้มอย่างฝืนไม่ได้
กลับชาติมาเกิดเหรอ… หึ…
ไม่มีวันหรอก
แกก็ทำได้แค่กลับชาติมา ‘ตาย’ เท่านั้นแหละ- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
(มีต่อด้านล่าง)