:|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
ตอนนี้ผมมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านขายเครื่องดนตรีครับ นึกแปลกใจเหมือนกันที่มันพามาที่นี่ ถึงแม้ผมเองจะนึกไม่ออกว่าไอ้ดิวจะชวนผมไปซื้อของที่ไหน แต่แน่นอนว่าร้านขายเครื่องดนตรีไม่ได้อยู่ในสารบบของผมเลยแม้แต่น้อย
“มาซื้ออะไรวะ” ผมถามอย่างสงสัย
“ตั้งใจจะมาซื้อกีตาร์น่ะ” ไอ้ดิวตอบพร้อมกับเดินนำผมเข้าไปในร้าน
เครื่องดนตรีมากมายถูกวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ มีลูกค้าสองสามคนที่กำลังเลือกดูอยู่ ผมเดินตามหลังไอ้ดิวไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก พร้อมกับพนักงานของร้านที่เข้ามาต้อนรับ
“สนใจเครื่องดนตรีชนิดไหนเหรอครับ” พี่พนักงานถามขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มไมตรีที่มอบมาให้
“ผมมาดูกีจาร์กับเพื่อนครับ” ไอ้ดิวตอบ ก่อจะส่งยิ้มที่ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ “แต่ผมขอดูเองก่อนนะครับ”
“ได้ครับน้อง มีอะไรสอบถามหรือเรียกพี่ได้เลยนะครับ”
เมื่อพี่พนักงานเดินจากไป เพื่อบริการลูกค้ารายอื่นต่อ ไอ้ดิวก็ลากผมมาอยู่ที่ชั้นวางของกีตาร์หลากรุ่นหลายยยี่ห้อ ผมได้แต่กวาดตามองดูคร่าวๆ ทั้งที่ความคิดข้างในว่างเปล่า
“มึงว่ากูจะเอาตัวไหนดี”
“นึกยังไงของมึงเนี่ย ถึงได้มาซื้อ” ผมไม่ได้ตอบคำถามของมัน แต่ถามคำถามที่ผมสงสัยขึ้นมาแทน ร้อยวันพันปี ไม่เห็นมันจะสนใจ
“ก็เคยบอกแล้วไง ว่าอยากเล่นเป็น” ไอ้ดิวตอบ “เลือกไม่ถูกเลยพาคนที่เล่นเป็นมาเลือกให้”
“
กูก็เลือกไม่เป็น” ผมตอบ ก่อนจะกวาดตามองอย่างครุ่นคิด กีตาร์ของผมพ่อเป็นคนซื้อมาให้ครับ ไม่รู้ว่าท่านมีหลักการเลือกซื้อหรือเปล่า เพราะผมเองก็ไม่มีความรู้ในด้านนี้เช่นเดียวกัน เรียกว่าซื้อแล้วเล่นเป็นเสียงได้ก็โอเคแล้วครับ “ทำไมมึงไม่ชวนโต้งมาด้วยวะ”
ถึงแม้ผมจะไม่มีความรู้ด้านนี้ แต่สำหรับโต้งนี่อีกเรื่องหนึ่งครับ เนื่องจากที่บ้านมันเปิดโรงเรียนสอนดนตรีอยู่ ทำให้เพื่อนผู้มีโลกส่วนตัวสูงของผมคนนี้มีความรู้ด้านคนตรี และสามารถเล่นได้หลายประเภทสมกับเป็นเด็กชมรมดนตรีสากลเลยล่ะครับ
“มันไม่ว่าง” ไอ้ดิวตอบหน้าตาย ผมถอนหายใจออกมา
“ก็รอให้มันว่างก่อนสิวะ” ผมบอก อะไรของมัน แค่นี้ก็คิดไม่ได้หรือไง?
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก” ไอ้ดิวตอบ ก่อนจะมองที่ใบหน้าของผมอีกครั้ง “กูไม่ได้ต้องการของดี แต่ต้องการของที่ถูกใจ”
ผมขมวดคิ้ว พลางชักสีหน้าใส่มัน “ถ้าอย่างนั้นมึงก็เลือกเอาเองสิ จะมาถามกูทำไมวะ”
“เพราะกูเลือกเองไม่ถูกใจไง แต่ถ้ามึงเลือกให้จะถูกใจกูมาก” ไอ้ดิวว่าต่อ ก่อนจะส่งยิ้มมาให้ผม
ผมถลึงตาใส่มัน ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น คำพูดที่บอกอย่างชัดเจนนั้น ทำให้ผมเริ่มอึดอัดเพราะคิดอะไรไม่ออก สงสัยเลือดที่ควรจะเลี้ยงสมองกลับไปเลี้ยงที่ใบหน้าของผมแทนล่ะมั้ง
“เรื่องมากนะมึง” ผมต่อว่ามันเล็กน้อย ก่อนจะไล่สายตาไปตามกีคาร์ที่กำลังวางอยู่ในคลองสายตา “ถ้ากูเลือกแล้วไม่ถูกใจมึง อย่ามาบ่นทีหลังก็แล้วกัน”
ไอ้ดิวหัวเราะขึ้นเบาๆ โดยที่ไม่ได้ตอบอะไร ผมไม่นึกอยากสนใจมันอีก ก่อนจะไปสะดุดตากับกีคาร์ลายไม้สีน้ำตาลอ่อนที่วางเยื้องออกไปเล็กน้อย ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมกับมองป้ายราคาครึ่งหมื่นที่โชว์อยู่
แ
พงว่ะ...
ผมบ่นขึ้นมาในใจ ถ้าถูกกว่านี้สักพันสองพันก็เข้าท่าอยู่หรอก ผมไม่มีความรู้เรื่องวัสดุและเส้นเสียงของกีตาร์ที่ใช้ว่าดีหรือไม่ดี เอาเป็นว่ารูปทรงสวย สีสันถูกใจ ราคารับได้ สำหรับผมก็ถือว่าโอเคครับ
“มึงชอบตัวนี้เหรอ” ไอ้ดิวเข้ามายืนข้างๆผม ก่อนจะมองไปยังกีตาร์ที่ผมหมายตาไว้ ถึงแม้ไอ้หน้ายิ้มมันจะดีแต่สร้างปัญหามาให้ แต่ผมก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่เลือกของสุ่มสี่สุ่มห้าให้มันต้องเสียเงินฟรีหรอกครับ
“สวยดี แต่แพงไปหน่อยว่ะ สำหรับมือใหม่อย่างมึง” ผมบอก ก่อนจะละสายตาไปมองทางอื่น ขณะที่กำลังจะย้ายตำแหน่งของตัวเอง ไอ้ดิวก็ยื่นมือมาจับอขนของผมเอาไว้
“ทำไมถึงชอบล่ะ” ไอ้ดิวถามย้ำ มันมองมาที่ผมเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปจ้องมองกีตาร์ตัวนั้นต่อ
“ก็บอกแล้วไงว่าสวยดี” ผมตอบแบบงงๆผสมความรำคาญเล็กน้อย
“แค่นั้น” ไอ้ดิวเลิกคิ้วขึ้นมามองผม ก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปมองกีตาร์ตัวที่ว่าอีกครั้ง “นอกจากสวยแล้วไม่มีเหตุผลอื่น”
“แล้วมึงต้องการเหตุผลอะไรล่ะวะ”
“แบบว่ายี่ห้อนี้ดัง มีคนเคยบอกว่าดี วัสดุทนทาน อะไรทำนองนี้” ไอ้ดิวร่ายต่อ โดยที่นัยน์ตาคมของมันยังคงทอดมองอยู่ที่ตำแหน่งเดิมไม่จากไปไหน
ผมถอนหายใจ ก่อนจะดึงแขนที่มันจับไว้ออก ไอ้ดิวหันมามองโดยที่ไม่ได้พูดอะไร “ก็บอกแล้วว่ากูไม่มีความรู้ เลือกไม่เป็น แค่รู้สึกว่าอันนี้มันใช่ แล้วกูก็ชอบ มันก็แค่นั้น”
ไอ้ดิวมองหน้าผมครู่หนึ่ง ก่อนจะอมยิ้มออกมา “นั่นสินะ” ผมเลิกคิ้วมองมันอย่างสงสัย ไอ้หน้ายิ้มไม่ได้พูดอะไรนอกจากทำการยิ้มสมกับที่มันทำเป็นประจำ แล้วหันไปเรียกพนักงานของร้านอีกครั้ง
“พี่ครับ ผมจะเอาตัวนี้”
:|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
เมื่อชำระค่าสินค้าเรียบร้อย ไอ้ดิวก็สะพายกระเป๋ากีตาร์ตัวใหม่ของมันเดินออกมาจากร้าน ผมอดที่จะกวาดสายตามองไปรอบๆไม่ได้เมื่อรู้สึกถึงรัศมีบางอย่างที่พุ่งตรงเข้ามาเป็นทางเดียว ไม่ผิดจากที่คาดเอาไว้มากนัก เมื่อผมเห็นบรรดาสาวน้อยวัยใสหลากสไตล์กำลังลอบมองมายังไอ้คนหน้าตาดีที่พอมีกีตาร์แปะหลังแล้วสไตล์นักดนตรีเปล่งประกาย ไม่นับรอยยิ้มที่ติดอยู่จางๆบนใบหน้าที่เรียกสายตาดึงดูดจนบางคนต้องมองเหลีบวหลัง
ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจออกมา ขนาดผมเองไม่ได้ถูกมองยังรู้สึกได้ แล้วไอ้ดิวเองที่ตกเป็นเป้าสายตามันจะรู้สึกขนาดไหน เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ผมก็อดที่จะเลียนแบบพวกสาวๆทั้งหลาย โดยการลอบมองท่าทีของคนที่เดินอยู่ข้างๆดูบ้าง
“มีอะไรเหรอ” ไอ้ดิวหันมาถาม เมื่อเห็นว่ามีสายตาของผมทอดมองอยู่
“เปล่า กูแค่รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย” ผมตอบไปแบบไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ทำไมล่ะ”
“ไม่รู้สักเรื่องเถอะมึงน่ะ” ผมว่าปิดท้าย ก่อนจะได้ยินเสียงไอ้ดิวที่หัวเราะเบาๆ ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่า มันเป็นพวกที่ชอบความเจ็บปวดหรือเปล่า เวลาที่ผมด่ามันทีไร นอกจากจะไม่เคยโกรธแล้ว ยังหัวเราะหรือไม่ก็ยิ้มรับอีกต่างหาก
“ไปหาอะไรกินกันไหม” จู่ๆไอ้ดิวก็ชวนขึ้น ผมรู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้ากระแสอ่อนๆกระตุ้นเข้าที่ร่างกายเล็กน้อย เมื่อได้ยินประโนคนั้น ก่อนสมองจะหวนไปคิดถึงเหตุการณ์สดใหม่เมื่อวานที่ยังตราตรึงในความทรงจำได้ดี หากไม่ใช่เพราะผมเห็นแก่กินฟรี นอกจากจะกลับบ้านไปเล่นเกมได้อย่างสบายใจแล้ว ยังไม่ต้องได้ยินประโนคเด็ดของมันอีกด้วย
“ไม่ล่ะ กูอยากกลับบ้านแล้ว” ผมเอ่ยปฏิเสธ ตั้งมั่นไว้ในใจว่า จะไม่ให้ของกินมาทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนอีกเป็นครั้งที่สอง
“หือ? ว่าจะเลี้ยงตอบแทนที่อุตส่าห์มาช่วยเลือกของเสียหน่อย” ไอ้ดิวชวนต่อ ก่อนจะยิ้มขึ้น “ไปกินพิซซ่ากันไหม เห็นวันก่อนบ่นอยากกินนี่หน่า”
มึงได้ยินด้วยหรือวะ!
ผมได้แต่คิดกับตัวเองในใจ เมื่อวันสอบวันก่อน ผมเคยเปรยกับไอ้กี้เอาไว้ว่าสอบเสร็จแล้วให้มากินพิซซ่ากัน เพราะไม่ได้กินมานานมากแล้ว ช่วงนี้รู้สึกว่าบริโภคแต่อาหารฝั่งตะวันออกมากเกินไป ต้องไปบริโภคอาหารฝั่งตะวันตกบ้าง กระเพาะจะได้เป็นกลางครับ
“ว่าไง เลี้ยงก็ได้นะ” ไอ้หน้ายิ้มพูดขึ้นอีกครั้ง ผมสูดหายใจเข้าปอด ทั้งที่ในใจกำลังกู่ร้องแต่คำว่า ‘พืซซ่า’ ซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
“กู....”
รับรองคราวนี้ จะไม่ทำให้มึงเสียบรรยากาศ” ไอ้ดิวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นท่าว่าผมกำลังจะปฏิเสธ
“ไว้คราวหน้าแล้วกัน” ผมตัดใจ ก่อนจะพูดออกมาอย่างยากเย็น “รอพวกไอ้กี้กับโต้งด้วย”
“แมลงปอ มึงอย่าฝืน กูรู้ว่ามึงยอยากกิน” ไอ้ดิวว่าย้ำ ก่อนจะส่งยิ้มที่ผมรู้สึกคิ้วกระตุกขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ “ถ้ารอพวกนั้น มึงต้องจ่ายเอง แต่ถ้ากินกับกูวันนี้ฟรีนะ”
มึงอย่ามาล่อลวงกูได้ไหมวะ...
“มึงอย่ามาพูดอย่างนั้น....”
“มึงลองคิดดู นอกจากมึงจะต้องเสียเงินเองแล้ว” ไอ้ดิวพูด ก่อนจะเว้นจังหวะไปเล็กน้อย “มึงต้องโดนกี้มันแซวแน่ๆ มึงก็รู้นิสัยมันดีนี่ หรือมึงชอบแบบนั้น”
สาเหตุมันมาจากมึงไม่ใช่เหรอวะ!
ผมชักสิหน้าใส่มัน อดที่จะคิดตามคำพูดของมันไม่ได้ ช่วงนี้ถ้าไอ้ดิวกับไอ้กี้อยุ่ด้วยกันเมื่อไหร่ ผมรู้สึกได้ว่า หายนะจะเกิดกับตัวเองขึ้นมายังไงชอบกล คงเหมือนกับสัญชาตญาณของสัตส์ป่าที่ตื่นตัวก่อนที่ภัยธรรมชาติจะมาถึง พอนึกถึงตรงนี้ ภาพไอ้กี้ที่กำลังยิ้มร่าเอ่ยแซวผมก็พลันบังเกิดขึ้นเป็นมโนภาพที่ผมได้แต่นึกปลงเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร
เวลานี้ผมคงต้องยืมสำนวนไทยยอดฮิดอย่างกันไว้ดีกว่าแก้มาใช้ชั่งคราว หากไม่สามารคแก้นิสัยไอ้กี้ปากมอมได้ ผมต้องกันตัวเองให้ออกห่าง ไม่อย่างนั้นได้เป็นลูกไล่หรือไม่ก็ตัวตลกให้คู่ดูโอนี่แน่ๆ
“กูไม่ได้อยากกินหรอกนะ แต่รำคาญไอ้กี้มัน” ผมพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย
ให้คายเถอะ! ไอ้ดิวแม่งลูกล่อลูกชนเยอะกว่าที่ผมคิดไว้ แถมยังจับจุดอ่อนของผมได้อยู่หมัดอีกต่างหาก...
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” ไอ้ดิวตอบพร้อมกับอมยิ้มออกมา
พวกเราสองคนจะเดินเข้าไปยังร้านพิซซ่าชื่อดังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ผมถอนหายใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า วันนี้ต้องปล่อยให้แม่กินข้าวเย็นคนเดียวอีกแล้ว ช่างเป็นลูกที่เห็นแก่กินโดยแท้ เฮ้อ
ก็อย่างว่านั่นแหละครับ ถ้ามีครั้งแรกมันต้องมีครี้งที่สอง และครั้งต่อไปเรื่อยๆ ความจริงผมน่าจะทำใจยอมรับกับทฤษฏีนี้ได้แล้ว คุณว่าอย่างนั้นไหม
TBC :|– ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::: …
Note :::มาลงแล้วนะคะ อิอิ
อยากจะบอกว่า แมลงปอ มันซึนเดเระค่ะ!
ช่วงนี้มันจะเหวี่ยงแก่เขินของมันไปเรื่อย ต้องทำใจหน่อยนะคะ
คนที่ไม่รุ้ใจตัวเองก็ยังงี้แหละ เอิ๊กๆ
อีกสักสองสามตอนหลังจากนี้ก็จะมีเมฆมาปิดเป็นบางช่วงนะคะ
ท้องฟ้าไม่ค่อยปลอดโปร่ง ตามอารมณ์แมลงปอค่ะ
เอาใจช่วย และเป็นกำลังใจให้น้องดิวด้วยจ๊ะ
มันอาจจะช้าไม่ทันใจไปบ้าง ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ (อะไรของมันเนี่ย?)
ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้มากเลยค่ะ
ถ้ามีคำผิดต้องขออถัยด้วยนะคะ
บวกขอบคุณทุกคอมเม้น สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่เลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ