บทที่33
“เฮ้ออ”
“เหนื่อยมากหรอวะเฮีย” เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ทำเอาผมต้องหันไปมอง เป็นไอ้รบที่เดินเข้ามาหาผมที่นั่งพิงเคาเตอร์ห้องครัวอยู่ตอนนี้
“ก็เหนื่อยว่ะ”
“ทำไมถึงเหนื่อยวะ”
“ก็เมลอ่ะดิ พูดจริงๆตอนนี้กูแทบจะไม่เข้าใจอะไรเลย เมลอารมณ์ขึ้นๆลงๆจนกูเอาใจไม่ถูกแล้ว ตั้งแต่เช้านี่กูยังไม่ได้หยุด วิ่งจับไอ้หลง ไปซื้อน้ำเต้าหู้ กลับมาทำขนมจีบ พูดจาไม่ถูกหูก็ไม่พอใจ ไม่รู้อะไรนัก”
“แล้วเฮียท้อหรอวะ”
“เฮ้อ เอาจริงๆมันก็มีบ้าง แต่กูไม่ยอมแพ้หรอก”
“เฮียต้องเข้าใจนะเว่ย หลายๆอย่างที่ซ้อเจอมันหนักกว่าที่เฮียเจอตอนนี้ด้วยซ้ำ กี่ครั้งที่เฮียทำให้เค้าเสียใจ ให้เค้าเหนื่อย อาจจะทั้งเจ็บทั้งเหนื่อยมากกว่าเฮียตอนนี้อีกมั้ง”
“อืม มันก็อาจจะจริง”
ผมที่ตอบรับออกไปแบบนั้นแล้วหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างห้องครัว มองเห็นเมลที่กำลังวิ่งไล่ไอ้หลงพร้อมหัวเราะสนุกสนาน ใกล้ๆตรงนั้นมีไอ้รี่นอนเล่นมองอยู่ตรงนั้น เมลมันดูมีความสุขดี รอยยิ้มร่าเริงที่ควรจะมีประดับอยู่บนหน้าของมันแบบที่ควรจะเป็น
“กูอยากเห็นมันยิ้มมากๆ และถ้าทำได้ ก็อยากจะเห็นมันยิ้มกว้างๆจากการกระทำของกู”
“งั้นเฮียมึงแบกขนมจีบนี่ออกไปด้วยกันเลย กูรับรองว่าซ้อต้องยิ้มกว้าง”
“สัด”
“เอ้า ตามมาเร็วๆพี่น้องบ๋อย ฮ่าๆๆๆ” มันที่ว่าแบบนั้น แล้วอุ้มถังน้ำแข็งนำหน้าผมออกไปพร้อมเสียงหัวเราะขบขันสะใจ
“สัดเอ๊ย” ถึงจะบนแบบนั้น ก็ยังจัดขนมจีบกุ้งฝีมือผมเองใส่ถาดเรียบร้อยเพื่อเอาไปเสริฟ คือวันนี้เมลไม่ยอมให้แม่บ้านทำงาน งานทุกอย่างตกอยู่ที่นี่ กูเอง ...
“ขนมจีบกุ้งของโปรดของเมลมาแล้วครับ” ผมที่เดินตามไอ้รบออกมาจากห้องครัวพร้อมจานขนมจีบที่เอามาเสริฟลงตรงหน้าคนตัวดื้อที่ตอนนี้นั่งอยู่พร้อมญาติๆตัวเสือกของผมเอง อยากถามว่าใครเชิญพวกมันมา
“อุ๊บ อ...ก๊ากกกกกกกกกกกก”
“ฮ่าๆๆๆๆ อิเหี้ยโคตรจี้” เสียงหัวเราะดังลั่นห้องทานอาหารตอนที่พวกมันหันมาเจอผม แม่ง
“เฮีย ชุดเฮียมึงสุดยอดมาก ฮ่าๆๆๆ”
“เมลเลือกชุดกันเปื้อนให้เองล่ะ น่ารักไหม ลายสิงโตสีชมพูด้วย น่ารักเนอะ” และไอ้คนต้นคิดก็พูดขึ้นมาแบบหน้าตาเฉย ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจหนักๆออกมาอีกหนึ่งที
“เฉียบมากซ้อ ฮ่าๆโคตรจี้” ไอ้รบที่ว่าออกมาแบบนั้น กำลังจะหันไปด่ามันแต่ต้องถอดชุดออกมาปาใส่ไอ้ห่ารุกแทน แม่งกำลังยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปกูไว้อีก
“ตลกมากพอยังพวกมึง มากันทำเหี้ยอะไร ไสหัวออกไปจากบ้านกูเลยไป”
“อันตพาล เมลโทรชวนมาเองนะ” เสียงใสที่เอ่ยขึ้นมาแบบไม่พอใจทำเอาผมต้องถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งเฮือก
“เมลครับ”
“ทำไมอ่ะ จะไม่ทำตามหรอ”
“ก็เปล่า”
“งั้นก็ใส่ผ้ากันเปื้อนไว้สิ ไปเอาขนมมาเสริฟให้อีกหน่อย คนเยอะแยะ”
“สุดจัดซ้อบอก ไปๆเฮียไป” ไอ้แจที่นั่งจิ้มขนมจีบเข้าปากพรางสะบัดมือไล่ผมให้ไปเอามาให้ใหม่
“อันนั้นมันของเมลนะเว้ย”
“แล้วไง เมลจะให้แจกิน”
“ได้ยินแล้วนะจ๊ะเฮียจ๋า” เป็นไอ้แจที่ทำท่ากระหยิ่มยิ้มย่องใส่ผม เห็นมันแล้วโคตรคิดถึงน้องจอม ขอบคุณที่ไอ้น้องจอมไม่มาพร้อมไอ้แจ คู่นี้มันรุ่นเดียวกัน ถ้าอยู่พร้อมกันกูต้องตายแน่ๆ
“เออ รอเลย กูจะเอามายัดปากพวกมึงให้ล้นคอเลย”
“เกรี้ยวกราดจังเลยโน๊ะรุกโน๊ะ”
“เกรี้ยวไปก็เท่านั้นอ่ะ มึงดูรูปนี้ดิ”
ไอ้รุกที่ยื่นมือถือให้ไอ้รบดู ท่าทางแบบนั้นที่ทำผมต้องขมวดคิ้ว มองเห็นไอ้เมลที่เดินเข้าไปหาพวกมันแล้วเอาหน้าแทรกกลางระหว่างน้องผมทั้งคู่ เหี้ย ใกล้ไปแล้วโว้ย
“ฮ่าๆๆๆ รูปนี้ทัพน่ารักโคตรๆเลย”
“ใช่มะซ้อ โคตรจี้ จะเอารูปนี้ไปอวดป๊าแม่ใหญ่แล้วก็น้องจอมดีกว่า”
“เดี๋ยวๆ พวกมึงถ่ายรูปอะไรกู” เป็นผมที่ถามพวกมันออกไปแบบนั้น ยกมือขึ้นเท้าสะเอวอย่างเหนื่อยๆ
“นี่ไง ถ่ายรูปนี่ไง” เป็นคาราเมลที่หยิบโทรศัพท์ออกมาจากมือของไอ้รุกแล้วหันโทรศัพท์มาให้ผมดู ชัด...ชัดเลย รูปกูในชุดเสื้อกันเปื้อนสีชมพูลายสิงโต
“มึง”
“จ้าเฮีย”
“จ๋าจ๊ะ” เป็นไอ้รุกกับไอ้รบที่ร้องออกมาพร้อมกันตอนที่ผมหันหน้าไปมองพวกมันด้วยสายตาวาว
“พวกมึงอย่าอยู่เลย”
“โว้ยยยย ไม่เอานะเว่ยเฮีย”
“หนีสิวะ วิ่งๆ ไอ้เฮียรบวิ่ง”
และเป็นผมเองที่วิ่งไล่เตะพวกมันทั้งแบบนั้น มันน่านัก ทำเมียไม่ได้ ทำน้องก็ได้ไอ้สัด กวนตีนกูดีนัก
...
“เมล พี่เอานมอุ่นๆมาให้”
ผมที่เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของอีกคน พร้อมนมอุ่นๆที่ถือมาให้ มองเห็นคนที่วันนี้กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือที่ผมจัดมาให้เค้า เมลที่นั่งอยู่บนนั้น ปลายตามามองผมเล็กน้อยก่อนจะหันหน้ากลับไปอ่านหนังสือตามเดิม
“ทำอะไรอยู่ครับ”
“ก็เห็นอยู่ ถามเพื่อ”
“อ่า ขอโทษครับ ว่าแต่ทำไมเร่งอ่าน หื้ม” เอื้อมมือไปลูบหัวเล็กๆนั่น แต่คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่กลับโยกหัวหนี ใบหน้าสวยที่ขมวดคิ้วหน่อยๆตอนที่ผมทำแบบนั้น ได้แต่ชะงักมือตอนที่เห็นอีกคนทำแบบนั้น
“อ่ะ พี่ขอโทษครับ”
“อื้มๆ” ตอบออกมาแบบรำคาญที่ผมเข้ามากวน มือเรียวที่เอาแต่ไล่นิ้วไปตามบรรทัดต่างๆที่กำลังอ่านทำความเข้าใจ มองดูหนังสือแล้วก็คือวิชาที่ผมเคยไปสอน แต่ตอนนี้อาจารย์ประจำวิชากลับมาสอนตามปกติแล้ว
“พี่วางนมไว้ตรงนี้นะ” ว่าแบบนั้นแล้ววางแก้วนมอุ่นๆลงบนโต๊ะข้างๆหนังสือ คิดว่าจะได้ดื่มง่ายๆและอ่านหนังสือไปจะได้มีสมาธิ แต่คนตรงหน้ากลับทำแค่จิ๊ปากขัดใจ
“มาวางตรงนี้ทำไม เดี๋ยวมันหกใส่หนังสือ” เงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมแบบรำคาญใจ ดวงตาสวยที่มองผมแบบขุ่นเคือง
“พี่แค่คิดว่า...”
“หยุด เอาออกไปเลยไป รำคาญ” ว่าออกมาแบบนั้น แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ ผมที่เผลอถอยตัวออกมาตอนที่เมลลุกขึ้นยืน ดวงตากลมที่มองหน้าผมแบบขัดใจ
“แล้วก็เอาออกไปด้วยไม่กิน ไม่มีสมาธิ แล้วก็ไม่รู้จะเข้ามาทำไมอยู่ได้ทุกวัน”
ว่าออกมาแบบนั้นแล้วหยิบหนังสือออกจากโต๊ะ จ้ำพรวดๆก้าวผ่านหน้าผมไปนอนลงที่เตียงอย่างหงุดหงิด ผมที่ยืนค้างอยู่ตรงนั้น รู้สึกหน้าชาแปลกๆ เหมือนถูกคำว่ารำคาญกระแทกเข้าหน้า ผมที่กลืนน้ำลายหนืดๆลงคออย่างฝืดฝืน เอื้อมมือไปหยิบแก้วนมอุ่นๆนั่นมาไว้ในมือ แล้วถอยหลังเดินออกมา ในช่วงที่กำลังจะเปิดประตูออกจากห้อง ก็นึกอะไรขึ้นมาได้สักอย่าง เลยหันกลับไปมองคนที่ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น แบบไม่ได้สนใจสักนิดว่าผมจะอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า
“เมลรู้ไหม ว่าทัพหน้ามันรู้นะว่าเมลต้องกินนมอุ่นๆก่อนนอนทุกคืน” ผมที่พูดออกไปแบบนั้น มองเห็นเมลที่ชะงักมือที่กำลังจะเปิดหนังสืออ่านในหน้าถัดไป เขาที่ไม่ได้หันมามองหน้าผม ทำเพียงแค่นั่งนิ่งๆเหมือนไม่สนใจ
“ที่มันรู้ ก็เพราะว่ามีครั้งตอนไปค่ายอาสาที่เมลตามทัพหน้าไป ตอนกลางคืนที่เมลนอนไม่หลับแล้วแอบมารื้อหานมที่เอาไปด้วย จะเอามากินน่ะ คืนนั้นมันตามเมลออกไปนะ มันเห็นเด็กที่ยืนบ่นงงๆอยู่คนเดียวว่าถ้าไม่ได้กินจะนอนไม่หลับ ตั้งแต่ตอนนั้นมันเลยรู้ มันเลยจำได้ จริงๆคืนนี้มันเองก็แค่อยากให้เมลได้ฝันดีแค่นั้นเองล่ะ”
ผมที่ว่าออกไปแบบนั้น แล้วเอื้อมมือเปิดประตูเดินออกจากห้องไป ไม่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายทำหน้าแบบไหน แต่ถ้าเมลรับรู้ได้บ้าง ผมเองก็จะดีใจ ผมคิดถึงคาราเมล เด็กที่วิ่งตามผมเพราะรักผมหมดหัวใจคนนั้นเหลือเกิน
.
.
.
“วันนี้จะไปเรียนแน่หรอเมล”
“จริง จะสอบแล้ว”
“จำได้หรอว่าใกล้จะสอบ” ผมเลิกคิ้วถามคนที่หิ้วกระเป๋าใส่ชุดนักศึกษาลงมาจากห้อง
“จำได้สิ ทำไมจะจำไม่ได้”
“แล้วทำไมถึงยังจำพี่ไม่ได้สักทีล่ะ พี่คิดถึงเมลนะ” ถามออกไปแบบนั้น อีกคนที่ทำหน้านิ่งมองมาที่ผมไม่ต่างจากคนแปลกหน้าเหมือนเช่นทุกที
“ผมไม่รู้ว่าทำไม อาจเพราะ...คุณกับผมเราไม่สนิทกันขนาดนั้นมั้ง”
“ไม่จริงหรอก เราสองคนเกินกว่าจะสนิทกัน”
“หมายความว่ายังไง” คนตรงหน้าที่กระชับสายกระเป๋าเป้บนบ่าแล้วว่าออกมาแบบนั้น ผมที่ยิ้มอ่อนๆส่งไปให้เค้า
“ถ้าพี่บอกว่าเรารักกันจะเชื่อไหม”
“ถ้ามันเป็นแบบนั้น ทำไมผมถึงลืมคนที่ผมรักอยู่คนเดียวล่ะ? ถ้าผมรักมาก ผมก็ไม่ควรจะลืมคุณสิจริงไหม”
เมลที่ถามออกแบบนั้นแล้วยกยิ้มมุมปาก คำพูดคำจาที่ไม่ได้ยีหระอะไร ผิดกับผมที่เหมือนโดนหมัดฮุกซัดเข้าหน้า
ถ้ารักมาก ทำไมถึงลืม
ผมที่ตอบอะไรออกไปไม่ได้สักคำ ผิดกับคนตรงหน้าที่อ้าปากพูดต่อออกมาได้หน้าตาเฉย
“หรือจริงๆแล้วคุณอาจไม่ใช่คนที่น่าจดจำมากนักสำหรับผมก็ได้ล่ะมั้ง ผมไม่รู้ว่าคุณกับผมจะเคยรักกันจริงไหม แต่ตอนนี้ผมจำคุณไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราสองคนไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกัน นอกซะจาก...คนแปลกหน้า ที่ผมไม่เคยมีความทรงจำ”
“แต่พี่มี....”
“หรอ ก็ดี ลองกลับกันดูบ้าง เค้าว่ากันว่า คนที่มีความทรงจำมากกว่าก็มักจะเจ็บกว่า เพราะว่าไม่เคยลืม ... ผมเดาว่า ที่ผมลืมคุณได้ขนาดนี้ เมื่อก่อนคุณอาจไม่ใช่คนดีมากจนผมอยากจะลืมล่ะมั้ง และถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ เราลองมากลับกันดูบ้างก็ดีนะ เผื่อคุณจะเข้าใจอะไรมากขึ้น เอาล่ะ วันนี้ผมไปล่ะ บาย”
ว่าออกมารัวๆแบบนั้น คำพูดคำจาที่ว่าเร็วๆแบบไม่ทันได้หายใจ ผมที่ยังไม่ทันเรียบเรียงอะไรก็มองเห็นแผ่นหลังบางเดินหายออกไปจากบ้านแล้วเรียบร้อย ผมที่รีบวิ่งตามออกไป
“เมล เดี๋ยวให้เด็กไปส่ง”
“ไม่ต้อง ผมจะขับไปเอง คันนั้นของที่บ้านผม”
“แล้วจะกลับมายังไง” ผมไม่ชอบใจเลยที่เป็นแบบนี้ ผมเป็นห่วง
“เรื่องของผมนะ ผมไม่ใช่นักโทษของคุณ ลานะ บาย”
พูดออกมาแบบนั้นอีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูด้านคนขับแล้วขึ้นรถขับออกไป เสียงล้อรถบดถนนด้วยความเร็วไม่ทำให้ผมสบายใจเลยตอนที่ได้เห็น หันหน้าไปมองลูกน้องของผมที่ยืนมองกันแบบงงๆแล้วพยักหน้าให้พวกมัน
“ตามไปดูห่างๆอย่าให้รู้ตัว”
“ครับนาย”
อดไม่ได้ อดห่วงไม่ได้ที่ต้องปล่อยให้ออกไปห่างตัวแบบนั้น แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้แบบที่เมลว่า เราไม่ได้เป็นอะไรกัน อย่างมากสุดก็เป็นได้แค่คนที่ไม่มีความทรงจำของกันและกัน แต่ผมมี .... ไม่เคยไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเค้าเลยสักครั้ง แต่คำพูดของเมลในครั้งนี้ ก็ทำให้ผมอดที่จะนึกถึงเรื่องเมื่อตอนที่ผมพาเมลไปร้านไอ้ดาบและเจอกับกุญแจครั้งแรก
“พูดเหี้ยอะไรกันนัก เมลมันเงียบเลยเห็นไหม เลิกคุยเรื่องเก่าๆดีกว่าน่า”
“จะเงียบไม่เงียบก็เรื่องของมันดิ ... ยังไง กูก็ไม่เคยมีมันในความทรงจำอยู่แล้วไหมวะ”
คำพูดของผมในวันนั้น กับคำพูดของเมลในวันนี้ มันไม่ต่างกันเลยสักนิด ในวันนั้น เมลเองก็คงจะรู้สึกเหมือนโดนหมัดกระแทกเข้าหน้าแบบที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้สินะ ... ก็สมควรแล้วมึงไอ้ทัพหน้า
‘ครืด ครืด’
เสียงโทรศัพท์ที่ดังมาจากกระเป๋ากางเกงทำให้ผมหลุดออกมาจากภวังค์ พอเห็นเบอร์ที่โทรเข้าโชว์ขึ้นมาก็ได้แต่ถอนหายใจ
“อืม ว่าไง...รู้แล้ว เดี๋ยวเข้าไป” ตอบรับแค่นั้นก่อนจะกดวางสาย ยังไม่ต้องไปถึงที่ ก็รู้แล้วว่าจะมีเรื่อง
.
.
.
รถมัสแตงคันหรูที่ขับเข้ามาในรั้วบ้านหลังใหญ่ ประตูรั้วที่เปิดคอยเอาไว้อยู่แล้วยิ่งทำให้ทัพหน้าต้องถอนหายใจหนักๆ ... ขายาวที่ก้าวเท้าลงมาจากรถแล้วมองไปรอบๆบ้าน วันนี้รถเยอะมากกว่าปกติ บ่งบอกให้รู้ว่าจะต้องมีแขกมาที่บ้านอย่างแน่นอน
“คุณทัพหน้า” ไม่ต่างจากทุกครั้งที่กลับบ้าน จะเป็นคุณพ่อบ้านที่ออกมาต้อนรับเช่นทุกที ผมที่แค่พยักหน้ารับหน่อยๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวบ้าน
“ทางนี้ครับ ที่ห้องรับแขกใหญ่ครับ”
“ขอบคุณครับ” ตอบรับออกไปแบบนั้นแล้วเดินเข้าไปเอง เดินก้าวยาวๆไปไม่กี่ก้าวก็มองเห็นพวกชุดดำบอดีการ์ดที่ไม่ใช่ของบ้านผมยืนต้อนรับผมอยู่ในบ้านซะแล้ว
“เหอะ” แสยะยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องรับแขก และก็เป็นจริงแบบที่คิดเอาไว้จริงๆ แค่เห็นบรรยากาศอึมครึมชวนกดันของฝ่ายตรงข้ามที่นั่งอยู่ตรงข้ามป๊าและม๊าก็รู้แล้ว
“เหอะ มาได้สักทีนะเจ้าพ่อลูกชายตัวดีของแกน่ะ” เสียงแข็งๆของผู้อาวุโสที่ทำให้ผมต้องยกมือไหว้แบบเสียไม่ได้ส่งไปให้ แต่อีกฝ่ายทำแค่เชิดหน้าใส่
“สวัสดีครับ คุณพ่อณราชา”
“เหอะ ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพ่อหรอกถ้าจะทำกันแบบนี้”
ว่าออกมาแบบนั้น โดยที่มีลูกสาวนั่งหน้าซีดตัวสั่นอยู่ข้างๆ ผมเห็นแบบนั้นก็ได้แต่แสยะยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดี่ยว ที่อยู่ระหว่างพ่อกับฝั่งของพ่อณราชา
“ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรกันหรอครับ” เป็นผมที่เลือกจะถามออกไปแบบนั้น ก่อนจะเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะยกขาขึ้นไขว่ห้างนั่งด้วยท่าทางสบายๆ
“ยังจะมาถามอีก แก! แกทำอะไรกับหุ้นและบริษัทของฉัน” ว่าออกมาแบบนั้นก่อนจะยกมือขึ้นชี้หน้าผมแบบเดือดดาล
“คุณพ่อคะ” ณราชาที่เอ่ยออกมาเสียงสั่นๆ มองหน้าผมแบบกล้าๆกลัวๆ เธอที่พยายามดึงมือของพ่อเธอให้กลับมานั่งดีๆแต่อีกฝ่ายไม่คิดจะทำ แค่เห็นแบบนี้ก็รู้แล้ว
“ปล่อยพ่อยัยชา! แล้วนี่ยังไม่รวมเรื่องบ้าบอที่ลูกชายตัวดีของแกส่งทนายเข้าไปยื่นใบหย่ากับลูกสาวของฉันอีก นี่มันบ้าอะไรกันห๊ะ”
หันไปตะคอกใส่หน้าพ่อของผมที่ยังคงทำหน้าตายนั่งนิ่งๆด้วยท่าทางสบายๆไม่ต่างจากผม พ่อของผมที่เลิกคิ้วทำหน้าตกใจ แบบที่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าไม่เนียนเลย ท่านหันมามองหน้าผมแบบตกใจ
“มึงทำงั้นหรอทัพหน้า”
“ครับพ่อ”
“อ้าวตายแล้ววว อยากเอามือทาบอกเลยนะเนี่ย”
ป๊าที่ว่าออกมาแบบนั้นทำเอาผมอยากหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น แต่ทำได้แค่กระตุกยิ้มมุมปาก แต่เพราะท่าทางแบบนั้นของป๊า เลยยิ่งเหมือนกับว่าเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟ พ่อของณราชาที่โมโหมากจนตั้งท่าจะปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อของป๊า แต่ติดที่ผมลุกขึ้นมาขวางไว้ซะก่อน และไม่ต่างจากณราชาที่ลุกขึ้นมาดึงแขนพ่อของเธอไว้ หน้าตาของเธอที่ยังมองเห็นได้ชัดว่าตาบวมจากการร้องไห้มาอย่างหนัก รอบข้อมือยังมีรอยแดงจากเชือกรัดเมื่อวันที่อยู่ที่ทะเล
“คุณจะทำอะไรไม่ทราบ” ผมที่ดันอกพ่อของเธอจนเสถอยหลังไปพร้อมๆกับลูกสาว จ้องหน้าผู้อาวุโสที่ครั้งนึงผมเคยนับถือ
“นี่แกกล้าผลักฉันหรอห๊ะ!”
“ผมกล้าทำมากกว่านี้อีกด้วยซ้ำถ้าคุณยังไม่หยุด”
“ทำไมฉันต้องหยุด แกทำแบบนี้ได้ยังไง ไอ้พวกไม่มีสัจจะ! ฟันลูกสาวฉันจนท้อง พอตอนนี้ก็จะมาขอหย่าหน้าด้านๆ งานแต่งยังไม่ได้จัดแต่เอาลูกฉันไปจนพลุน ไอ้หน้าตัวเมีย!”
“จุ๊ๆ เดี๋ยวนะครับคุณลุง ถ้าจะด่าผมด้วยคำนี้ ผมว่ามันออกจะเกินไปสักหน่อยนะ”
ว่าออกมาแบบนั้นพลางยกยิ้มมุมปาก ใช้นิ้วชี้ขึ้นมาจ่อที่ปากแล้วส่งเสียงจุ๊ๆออกมา มองเห็นณราชาที่ดึงแขนพ่อของเธอแล้วพึมพำว่าเรากลับกันเถอะๆอยู่แบบนั้น
“ทำไมฉันจะด่าแกไม่ได้ ฉันจะไม่ด่าแค่แก แต่จะด่าพ่อแกด้วย ไอ้เพื่อนเฮงซวย”
“อ้าวเห้ย พูดแบบนี้เดี๋ยวแกก็สวยหรอกไอ้อนันต์” พ่อของผมที่ว่าออกมาแบบนั้นพรางจ้องหน้าพ่อของณราชานิ่งๆ
“แกสิต้องสวย ไอ้พวกเฮงซวย”
“หึ ก่อนคุณจะมาว่าผม ไม่ถามทางลูกสาวของคุณดูล่ะว่าทำอะไรเอาไว้ นี่คุณยังไม่ได้บอกพ่อของคุณหรอ?”
เป็นผมที่ถามออกไปแบบนั้นแล้วแสยะยิ้มร้าย เวลาที่มองเห็นน้ำตาของเธอที่ไหลลงมาพร้อมๆกับสั่นหัวไปแบบอับอายแบบนั้นมันยิ่งสะใจพิลึก สมควรแล้วสำหรับคนคนทรยศ!
“ทำไม มีเรื่องอะไร” พ่อของณราชาที่หันไปมองหน้าลูกสาวอย่างไม่เข้าใจ
“พ่อ กลับบ้านกันเถอะ นะ” เธอที่ว่าออกมาแบบนั้นพร้อมพึมพำเสียงสั่น สายตาใสๆสั่นไหวเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาอีก
“ทำไมคุณไม่บอกพ่อคุณไปล่ะ ว่าคลิปที่ว่อนอยู่ในเน็ตที่กำลังดังตอนนี้ ใครเป็นนางเอกของเรื่อง?”
“ทัพหน้า!”
“อะไร หมายถึงอะไรกันห๊ะ” พ่อของเธอที่ยังคงไม่เข้าใจ มองหน้าผมและลูกสาวของเธอกลับไปกลับมาอย่างงุนงง เห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาหน่ายๆ
“ลูกสาวคุณน่ะมีชู้ เพราะงั้นเรื่องการหย่า ผมแค่ให้เซ็นท์นี่ก็บุญแค่ไหน ถ้าผมฟ้อง พวกคุณไม่มีที่อยู่แล้วล่ะ”
“น...นี่มัน!”
“แล้วก็ยังไม่รวมเรื่องหุ้นและธุรกิจระหว่างเราอีกนะไอ้อนันต์ อย่าคิดว่าแกกำลังพยายามปั่นพวกผู้ถือหุ้นอื่นๆให้เลือกฝั่งแกแล้วอยากปลดฉัน อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ เพราะฉะนั้น...เรื่องที่แกเจอมันแค่เล็กน้อย เพราะนี่มันพึ่งเริ่มต้นเองนะอนันต์”
พ่อของผมที่ว่าออกมาแบบนั้นพร้อมลุกขึ้นยืนพูดเสียงดังจนก้องไปทั่วห้อง ผมที่หันกลับไปมองหน้าของพ่อณราชาที่ตอนนี้สีหน้าซีดเผือดไม่ต่างจากลูกสาว
“ถ้าคิดจะเล่นกับเตชะณรงกรค์แล้วล่ะก็ ... แกก็จะได้เล่นจนสนุก”
“ไอ้..ไอ้”
“อย่ากลับมาเหยียบบ้านฉันอีก ฉันกับแกจบลงที่ตรงนี้ เพื่อนที่หักหลังเพื่อนแบบแก ฉันเรียกมันว่าศัตรู ส่งแขก!”
“ไอ้!! ปล่อยฉันนะโว้ย แกต้องเจอแน่ ฉันไม่ยอมหรอกโว้ย”
พ่อของณราชาและเธอที่โดนบอดีการ์ดบ้านผมเดินเข้ามาหิ้วตัวออกไปทันทีที่ได้ยินเสียงของพ่อผม เสียงตะโกนโวยวายที่ยังคงร้องตะโกนต่อไปแบบไม่ยอม ผมหันกลับมามองหน้าพ่อผมที่ยังคงมองตามเพื่อนรักของท่านด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ผมมั่นใจว่าพ่อจะไม่ใจดีกับคนที่เป็นศัตรูของท่าน
“นี่ใช่ไหม เรื่องที่แกบอกว่าถ้าแกลงมือทำอะไรบางอย่าง ป๊าจะเชื่อในการตัดสินใจของแกหรือเปล่าใช่ไหม”
“ครับ”
“หึ”
“แล้วป๊าเชื่อในการตัดสินใจของผมหรือเปล่า” ผมถามออกไปแบบนั้นแล้วมองหน้าผู้เป็นพ่อ ข้างๆผมมีแม่นั่งทำหน้ากังวลใจอยู่ตรงนั้น
“ถ้าฉันบอกฉันไม่พอใจมากๆในเรื่องนี้ล่ะ”
“ผมก็จะบอกว่า แล้วแต่ป๊าละกัน ผมสบายใจดี”
ตอบออกไปแบบนั้น มองหน้าพ่อตัวเองที่ทำท่าอยากหาอะไรเขวี้ยงหน้าผม แต่วันนี้ผมตัดสินใจแล้ว จริงๆตัดสินใจตั้งแต่วันที่คิดจะลงมือทำเรื่องนี้แล้ว
“หึ่ย ถ้าแกสบายใจก็เรื่องของแกละกัน งั้นก็รีบหาเมียใหม่มาแทนที่ยัยนั่นได้แล้ว แล้วรีบๆมีหลานมาให้ฉันได้แล้ว งามหน้านัก”
“ผมมีเมียแล้ว”
“ห๊ะ แกหมายความว่ายังไง”
“นั่นสิลูก เราไปมีเมียที่ไหนอีก”
“อย่าบอกว่าไปแอบทำผู้หญิงที่ไหนท้องอีกนะ นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันนัก” พ่อกับแม่ของผมที่ว่าออกมาแบบนั้น ดูเหมือนว่าท่านจะเริ่มหงุดหงิดตั้งแต่เรื่องของณราชา
“ผมมีเมียแล้ว”
“อะ นี่คือเรื่องจริงใช่ไหม”
“ครับ”
“อื้ม ... งั้นก็พามาให้พ่อกับแม่เจอ ลูกเต้าเหล่าใคร เช็คมาดีแล้วใช่ไหม อย่าให้เป็นเหมือนเรื่องนี้อีก เหอะ ถ้าพูดตรงๆก็เป็นเพราะฉันเองนั่นแหล่ะที่จัดแจงชีวิตให้แก เลือกยัยผู้หญิงนี่มาให้”
พ่อที่ว่าออกมาแบบนั้นพลางถอนหายใจหนักๆออกมา
“แต่ถ้าลูกมีคนที่ลูกรักจากการที่ลูกเลือกด้วยตัวเอง แม่ก็ดีใจนะทัพ” แม่ของผมที่นั่งอยู่ข้างๆพ่อพูดออกมาแบบนั้นพร้อมส่งยิ้มมาให้ แม่ยังคงเป็นผู้หญิงที่ใจดีกับผมเสมอ
“ถ้าลูกมีคนที่ลูกรักแล้วก็ดี แบบนั้นก็รีบมีหลานมาให้พ่อกับแม่ได้แล้วนะทัพ เนอะคุณเนอะ”
“แต่คนที่ผมรัก เค้า...มีลูกให้พ่อกับแม่ไม่ได้หรอกครับ” คำตอบของผมเรียกสีหน้าไม่ดีของแม่ได้เป็นอย่างดี ผิดกับพ่อที่ยังคงนั่งทำหน้านิ่งอยู่เช่นเดิม
“ทัพหมายถึงอะไรลูก”
“คนที่ผมรัก...เค้า เค้าเป็นผู้ชายครับ” ตอบออกไปแบบนั้น ไม่ได้ไหวหวั่นแม้ว่าแม่จะเบิกตากว้างมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ สีหน้าของความล่มสลายและผิดหวังมีอยู่เต็มใบหน้าของท่านในตอนนี้
“ลูกพูดอะไรออกมา”
“ผมพูดเรื่องจริง และเรื่องนี้...ผมตัดสินใจดีแล้วครับแม่”
“ทัพหน้า!” เป็นครั้งแรกที่แม่เรียกชื่อผมด้วยชื่อจริง เป็นครั้งแรกที่แม่ขึ้นเสียงใส่ผมเสียงดังขนาดนี้ และเป็นครั้งแรก...ที่ผมเห็นน้ำตาของเธอ
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! มันเกิดอะไรขึ้น นี่คุณช่วยฉันพูดอะไรหน่อยสิ” แม่ที่หันไปมองหน้าพ่ออย่างขอความช่วยเหลือ สลับกับมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ
“ผมพูดเรื่องจริงครับแม่ ผมรักเค้า และผมจะไม่ยอมเสียเค้าไปเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว”
“ลูกพูดบ้าอะไร! ลูกเป็นลูกชายคนโตของเตชะณรงกรค์นะ! ลูกจะไม่มีหลานมาสืบสกุลของเราได้ยังไง ทัพก็เห็น ทัพก็รู้ว่าน้องๆทำไม่ได้อยู่แล้ว ทำไม...ทำไมลูกถึงทำแบบนี้”
แม่ที่ว่าออกมาแบบนั้น น้ำตาของแม่ที่ไหลลงมาทั้งๆที่ไม่มีเสียงสะอื้น สายตาของแม่ที่มองผมแบบไม่เข้าใจมากที่สุดในชีวิตของเธอ
“เพราะน้องๆทำให้ไม่ได้ ทุกอย่างเลยต้องขึ้นอยู่กับผมหรอครับ...แล้วชีวิตผมล่ะครับแม่ แล้วชีวิตผมล่ะครับพ่อ”
ผมถามออกไปแบบนั้น เป็นคำถามที่ผมเคยสงสัย สงสัยมาทั้งชีวิตของผม ตั้งแต่เด็กเพราะผมเป็นพี่คนโต ถึงถูกสอนให้ต้องพยายามเก็บงำอารมณ์ ต้องเก่งและรอบคอบมากกว่าคนอื่น ในเวลาที่น้องแบบไอ้รบไอ้รุกแอบปีนรั้วบ้านออกไปเล่น ผมต้องทำหน้าที่พี่ชายที่ดีคอยห้าม และรับหน้ากับการกระทำของน้อง ทั้งๆที่ตัวผมอยากจะหนีออกไปเล่นบ้างด้วยซ้ำ แต่ทำได้แค่นั่งเรียนเรื่องวิชาการอยู่ในบ้านตอนวันเสาร์และอาทิตย์ ... ผมอิจฉาน้องๆของผมทุกคนที่สุดท้ายแล้ว พวกท่านก็ยอมปล่อยน้องๆออกไปในเส้นทางที่เลือก ... แล้วผมล่ะ?
“ลูกมีชีวิตที่ดีที่สุดอยู่แล้วทัพหน้า แล้วลูกต้องการอะไร” ผมแค่นยิ้มออกมาตอนที่แม่ว่าแบบนั้น
“ชีวิตที่ดีที่สุด มีหน้ามีตาในสังคม มีชื่อเสียงมีเงินให้แม่เอาไปคุยกับคนรอบข้างได้ แบบนั้นใช่ไหมที่ดีที่สุด”
“ทัพ”
“ไอ้ทัพ แกอย่าพูดแบบนั้นกับแม่ของแกเชียวนะ”
“ผมไม่ได้ต้องการชีวิตพวกนี้ ผมต้องการแค่ความรักดีๆจากคนที่รักผม ครั้งนึงพ่อกับแม่เคยพรากมันไป ตอนที่ยัดเยียดณราชามาให้กับผม แต่วันนี้เมื่อมันมีทางที่ผมจะได้คืน ผมจะไม่ยอมเสียมันไปเป็นครั้งที่สองหรอก”
“ทัพหน้า!”แม่ที่ลุกขึ้นยืนแผดเสียงใส่ผม ... ผมเข้าใจความรักที่ยิ่งใหญ่ของคนเป็นพ่อกับแม่ แต่ในบางครั้ง การต้องการให้เราเลือกเดินไปในทางที่เราไม่ถูกใจ แต่ถูกสายตาของพวกท่าน แบบนั้นผมไม่คิดว่ามันถูกต้อง
“ผมขอโทษที่ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวัง แต่การที่ผมต้องเลือกเรียนบริหาร จบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง และก้าวเข้ามาเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ทำกำไรให้บริษัทเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนถึง80เปอร์เซ็น และข้อสุดท้าย ... ครั้งนึงผมตามใจพ่อกับแม่ที่จะแต่งงานกับณราชาและมีหลานให้ ผมว่าเพียงเท่านี้มันน่าจะพอแล้ว”
“ทัพหน้า ฮึก!”
“ผมขอโทษครับแม่ แต่ครั้งนี้...ผมขอทำตามใจตัวผมเอง” ผมที่พูดออกมาแค่นั้นแล้วยกมือขึ้นไหว้พวกท่าน แม่ของผมที่เหมือนคนกำลังใจสลาย นั่งร้องไห้โดยมีพ่อของผมกอดปลอบแต่เพียงเท่านั้น
“ครั้งนึงแม่เคยขอให้พ่อทำตามใจไอ้รบ แล้วมันจะเพราะเหตุผลอะไร ที่ครั้งนี้แม่ถึงไม่ยอม”
“นั่นมันรบ แต่นี่มันคือทัพ”
“ถ้ามันเพราะผมเป็นทัพหน้า ถ้าแบบนั้น...ผมเองก็ไม่อยากเป็นทัพหน้าอีกแล้วล่ะครับ” ผมที่พูดแค่นั้น แล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินออกจากบ้านมาโดยที่ไม่ได้สนใจเสียงกรีดร้องเรียกชื่อผมจากแม่อีกเลย พ่อไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ แต่เป็นแม่ที่กำลังใจสลายและไม่ยอม ... แต่บางทีแม่ก็อาจจะลืมไป ว่าผมเองก็ใจสลายไม่ต่างกัน จากการไม่เข้าใจของแม่
ผมคิดถึงเมล ผมอยากเจอเมลมากๆในตอนนี้ ... เพราะเมลอาจเป็นสิ่งเดียวที่จะเยียวยาและทำให้ผมสู้ต่อในเรื่องของเราได้ต่อไป
...
(มีต่อด้านล่างจ้า)