วาดตะวัน 14 วาดตะวัน
หลังจากที่หยาดน้ำใสได้ถูกกลั่นออกมาจนทะลักพรั่งพรู กลับกลายเป็นว่าเขาไม่สามารถสั่งให้มันหยุดได้เสียอย่างนั้น เวลาผ่านไปหลายนาทีจนเกือบชั่วโมง เพื่อนรักทั้งสองพยายามปลอบซี้ตัวเล็กที่ร้องไห้ตัวโยนแต่กลับไม่เป็นผล แฝดฮิลล์เห็นว่าไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลาพักแล้ว คงไม่ดีแน่หากจะให้นักเรียนหลายๆคนออกมาเห็นเพื่อนเขาในสภาพนี้ จึงตัดสินใจหอบหิ้วซี้รักกับแฝดตนซ้อนมอเตอร์ไซค์กลับคอนโดตัวเองไป
ค่อนข้างโชคดีที่ตอนกำลังจะออกจากรั้วโรงเรียน ยามเฝ้าประตูไม่อยู่ได้ตรงเวลาเสียพอดี ถึงแม้ว่าการที่จะมีเด็กนักเรียนขอออกนอกโรงเรียนไปจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเท่าไหร่นัก แต่ก็ต้องทำการลงชื่อและอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายกลายเป็นยุ่งยาก พวกเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ถึงคอนโดที่เป็นเป้าหมาย โชคดีที่ไม่เจอตำรวจจราจร มิเช่นนั้นพวกเขาต้องโดนจับข้อหาซ้อนสามไม่สวมหมวกนิรภัยแน่แท้
ทันทีที่ห้องคอนโดของสองแฝดถูกเปิด ปาร์คก็พาเพื่อนซี้ไปนั่งยังโซฟากลางห้อง เพื่อนรักเอ่ยคำปลอบ
“เพ้นท์ มึงไม่เป็นไรนะเว้ย ใจเย็นๆ”
“ฮึก อึก...อือ”
“มีไรบอกกันได้นะเว้ย รู้ใช่ไหม”
“อืม...”
“เรื่องเฮียรึเปล่า”
“...................อืม”
เด็กน้อยหอบสั่นสะอื้นตัวโยนไม่หยุด ไม่ช้า...ปากบางก็ค่อยเผยความในใจออกมากทีละน้อย เขาค่อยค่อยบอกเล่าเรื่องราวจนหมด
มวลอากาศในห้องเต็มไปด้วยความเงียบหลังจากเรื่องราวจบลง ในตอนนี้แม้แต่เสียงสะอื้นของเพ้นท์ก็ไม่มีแล้ว มีเพียงหยาดน้ำตาที่ยังคงไหลตามหน้าที่ของมันไม่หยุด เด็กชายก้มหน้าไม่กล้ามองเพื่อนรักทั้งสอง
คงทำใจลำบาก
อย่างที่ว่า ซันกับสองแฝดเป็นญาติพี่น้องกัน ส่วนเขากับสองแฝดก็เป็นเพื่อนกัน ที่ไม่อยากบอกเพื่อนทั้งสองก็เพราะความสัมพันธ์นี้ หากเขายอมยกเอ่ยคำลวงไปว่าตัดใจได้แล้ว..เพื่อนซี้คงไม่ต้องลำบากใจ ริมฝีปากเผยอออก
“...เพ้นท์...มึงเหนื่อยไหม”
“....” ริมฝีปากที่กำลังจะเอ่ยคำลวงชะงักงันเมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนตรงหน้าเอ่ยถาม
“อดทนมานานแค่ไหนแล้ว... เหนื่อยไหมที่ต้องทนคนเดียว...”
เขากลืนคำลวงก่อนเอ่ยความจริง
“อืม...”
“พวกกูขอโทษนะ...ถ้าสังเกตมึงดีๆก็คงรู้ว่ามึงกำลังลำบากอ่ะ ขอโทษนะ”
“เฮ้ย จะบ้าหรอ กูไม่บอกเองพวกมึงจะรู้ได้ไง ฮะๆ ไม่เป็นไรหรอก...ไม่เป็นไรจริงๆ...”
ไม่เป็นไรหรอก...เพราะมันคงใกล้จะจบแล้ว
...สำหรับรักที่ไม่มีวันเป็นจริงนี้...
...
กลางคืนยังคงมืดสนิท พระจันทร์ยังคงหายไปสำหรับโลกของเขา
อ้างว้าง
คำๆนี้ช่างเหมาะกับความรู้สึกของเขาตอนนี้ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าโลกจะยังคงหมุนไปตามกาลเวลา กระนั้นก็ยังรู้สึกอ้างว้าง
...เดียวดาย...แม้มีมิตรสหายเข้ามาหาไม่หยุดไม่หย่อน บางครั้งก็เหนื่อยจนอยากได้ที่พึ่งทางใจที่แต่ก่อนเป็นเด็กตัวน้อยคนหนึ่งที่ตัวติดกับเขาเสียยิ่งกว่าอะไร
รัก
?
รึยังนะ
จากที่เป็นที่ปรึกษาของทุกคนกลายเป็นแก้ปัญหาของตัวเองไม่ได้
ท้อใจ...ด้วยจนหนทาง
ถ้าไปหาช้ากว่านี้คงต้องแย่แน่ๆ แต่จะไปทำไมล่ะ ถ้าเจอหน้าแล้วจะพูดอะไร ถ้าเจอแล้วจะทำหน้ายังไง เขายังไม่รู้เลย
ยังไม่กล้าเอื้อนเอ่ยว่ารัก
ไม่ใช่ไม่เคยเจอรักรูปแบบนี้ เพียงแค่ไม่คิดว่าตัวเองจะรักคนเพศเดียวกันก็เท่านั้น สมองเลยยังไม่กล้ายอมรับ แต่หัวใจ....เขาไม่รู้
แค่เคยชินกับรอยยิ้มข้างกาย ชินกับเสียงหัวเราะสดใสไร้เดียงสา เพราะความชินยังไม่ใช่ความรัก เลยยากที่เอ่ยปากว่ารักจริงๆ
“มึงคิดหนักขนาดนี้ก็ยอมรับซะทีเถอะ”
“.....”
เสียงเพื่อนข้างกายเขาเอ่ยทำลายความเงียบ ซันทำเพียงปรายสายตาไปมองเพื่อนเขาก่อนลอบถอนหายใจ
“ชวนกูมาบอกมีเรื่องจะปรึกษาเรื่องไอ้เพ้นท์ แล้วก็นั่งถอนหายใจใส่กูไปเฉยๆเนี่ยนะ กูเอาเวลาฟังมึงถอนหายใจไปอยู่กับเมียกูยังดีกว่า”
“...ไอ้นันมันมีอะไรให้มึงรักนักวะ”
“จะรักใครต้องใช้เหตุผลด้วยหรอวะ”
“....”
“....อะไร ทำหน้าอย่างนั้นทำไมไอ่สัด มึงถามกูเองนะ”
“แล้วมึงรู้ตอนไหนว่ารัก”
“ตอนที่มันกำลังจะโดนไม้ฟาดหัวมั้ง โคตรตกใจเลย กูไม่อยากให้มันเจ็บ”
“...แล้วกูจะรู้ได้ยังไงว่ากูรักเขาแล้ว”
“นั่นมันก็เรื่องของมึงไหมล่ะ”
“....”
“แต่ว่านะไอ้ซัน ไอ้การที่มึงโอ๋เด็กมันขนาดนั้น ทั้งซื้อเกมใหม่โคตรแพงให้มันเล่น ทั้งยอมให้มันมานอนขลุกในห้องของมึงทั้งวันทั้งคืน ไปรับไปส่งน้องมันไปเรียนบ้างล่ะ ดูแลน้องมันดียังกะอะไรบ้างล่ะ กูอยากจะบอกว่าไอ้ที่มึงทำมาอ่ะ...พอๆกับที่กูทำให้นันเลย”
“...”
“เลิกมาคิดมากเพราะเรื่องเพศได้แล้ว อยากเจอก็คืออยากเจอดิ อยากรักก็รักไปดิ ถ้ามึงเอาแต่กลัวอ้างนู่นอ้างนี่ สุดท้ายมึงนั่นแหละจะไม่เหลืออะไร”
“....อืม งั้นหรอ”
“ทำตามใจตัวเองได้แล้วไอ่สัด ไปๆแยกย้าย เสียเวลาชีวิต”
เปเปอร์ผลักหัวเขาก่อนลุกออกจากโต๊ะไป ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นก่อนก้าวออกจากร้านสุรากลับไปยังห้องที่เงียบเหงาอีกครั้ง
ดวงจันทร์คืนนี้แอบแง้มออกมาจากกลีบเมฆเล็กน้อย
พอถึงห้อง เขามองแผ่นเกมที่ยอมรับว่าซื้อให้ใครบางคนจริงๆ มิใช่เพราะซื้อมาเล่นเองแล้วอีกคนมาขอแบ่งปันด้วยอย่างที่เจ้าตัวนึก มองแผ่นหนังที่เคยซื้อไว้เผื่อใช้ดูกับใครคนเดิม มองตารางเรียนมัธยมข้างผนังที่ไม่ใช่ของเขา มองหมอนและผ้าห่มที่มีจำนวนเกินจำเป็น มองหนังสือเตรียมสอบเข้าเล่มเก่าๆของเขาที่เคยคิดจะให้เด็กน้อยคนหนึ่ง เสียแต่ว่าคงไม่มีโอกาสได้ให้แล้ว
กรอบรูปสวยอันนั้นถูกเขาคว่ำไปนานแล้ว
ล้มตัวนอน กลับมองเห็นบรรยากาศเก่าๆลอยฟุ้งอยู่เต็มห้องกว้าง เขาควรนึกได้ตั้งนานแล้ว
พระจันทร์ที่หายไปจนทำให้โลกของเขามืดสนิทนี้
ก่อนหลับฝัน ชายหนุ่มมั่นหมายกับตัวเองในใจ...
...พรุ่งนี้...จะไปหาดวงจันทร์...
.
.
หลังจากที่ร้องไห้ขนานหนัก ตอนเช้าตื่นมาก็พบแต่ความปวดร้าวในดวงตา ยังจำสัมผัสของคราบน้ำตาบนใบหน้าได้อยู่เลย แต่ถึงอย่างไร...วันนี้เขาต้องไปโรงเรียนอยู่ดี เด็กชายล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนสวมเสื้อนักเรียนของเพื่อนปาร์ค เมื่อคืนเขาค้างคอนโดของสองแฝดนี้ด้วยความจนใจในการชวนกึ่งบังคับของซี้ทั้งสอง
สามสหายพากันขึ้นมอเตอร์ไซค์คันเดิมกลับไปยังโรงเรียน เพื่อสอบประจำบทของสองวิชาหลัก แน่แท้ว่าหากไม่มีสอบสองวิชานี้ เขาคงไปตระเตร่เร่ร่อนไปไหนมาไหนไปแล้ว
สอบวิชาแรกผ่านไปแล้วในช่วงเช้า อีกวิชาจะมาถึงเมื่อบ่าย เขานั่งมองบรรยากาศในห้องเรียนพลางนึกได้ว่าอีกไม่นานก็ต้องจากลากันไปแล้วก็ทำให้รู้สึกหน่วงๆไม่ได้ เขาถอนหายใจให้กับกาลเวลาก่อนเสหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง…
...สบตากับเจ้าของความคิดถึง เด็กน้อยเบิกตาโพลง ใบหน้าชายิบ พร้อมกับอุปกรณ์สื่อสารในกระเป๋ากางเกงที่สั่นแจ้งเตือนข้อความบางอย่าง
‘ว่างไหม ออกมาคุยกันหน่อย’
หัวใจเขากระตุกวูบ อยากเจอ อยากเจอ อยากเจอเหลือเกิน แต่ต้องข่มใจฝืนกลืนคำนั้นลงไป
‘มีสอบตอนบ่าย’
เด็กน้อยส่งข้อความกลับพลางคิด...ว่าคำพูดแรกที่ได้สื่อสารกันหลังจากที่ไม่เจอกันนานทำไมต้องเป็นคำนี้ด้วยนะ
‘เสร็จกี่โมง จะรอ’
ครั้งนี้เพ้นท์ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ได้แต่จ้องมองใครบางคนที่สบตากับเขาอยู่นอกรั้วโรงเรียน ฉับพลันน้ำตาเจ้ากรรมกลับตีรื้นขึ้นมาจนเขาต้องเสมองไปทางอื่น มือผอมปาดน้ำตาก่อนพิมพ์ตอบข้อความ
‘สี่โมง’
แน่แท้ว่าการสอบประจำบทไม่ได้ใช้เวลาอะไรมากขนาดนั้น เพียงแต่ว่าเป็นเขาเสียเองที่ต้องการต่อเวลาทำใจอีกสักหน่อย
ไม่ช้านานอ.ประจำวิชาก็เข้ามา การสอบเริ่มต้นขึ้นโดยที่จิตใจของเขาไม่ได้จดจ่อกับกระดาษตรงหน้าแม้แต่น้อย
สี่โมงเด็กน้อยสูดลมหายใจเข้า ทำใจกล้า เพื่อนแฝดทั้งสองออกไปเรียนพิเศษข้างนอกได้ระยะหนึ่งแล้ว เขาเรียกขวัญกำลังใจของตัวเองครั้งที่อนันต์ ไม่รู้ว่าเจ้าของหัวใจมาพบเขาครั้งนี้เพราะอะไร
เพื่อมาบอกลา เพื่อมาจบความสัมพันธ์ หรือเพื่อมาขอสานต่อความสัมพันธ์พี่น้องเหมือนเดิม..
ไม่อาจรู้
รองเท้านักเรียนเบอร์41 ก้าวผ่านรั้วประตูโรงเรียนได้ไม่ถึงเสี้ยววินาที ก็ถูกใครบางคนลากจูงไปยังฝั่งตรงข้ามแทบจะทันที ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ชายหนุ่มกลับยื่นหมวกนิรภัยส่งมาให้เขา บอกเป็นนัยกลายๆว่าให้ขึ้นรถไป
แล้วมีหรือที่จะขัดใจได้
สองร่างหยุดพักแถวริมแม่น้ำพร้อมกับหนึ่งพาหนะ ยังไม่มีบทสนทนาใดๆ มีเพียงเพ้นท์และซันที่นั่งข้างกัน มองออกไปยังสายน้ำไหล ไม่มีใครเอ่ยทำลายความเงียบที่วุ่นวายนี้จนกระทั่ง
“...พี่ซัน...ผมสอบติดแล้วนะ”
“!...อ..อะไรนะ”
“บอกว่าสอบติดแล้วไง..”
“ดีใจด้วย เอ้ย ไม่ใช่สิ กูหมายถึง...มึงเรียกกูว่าอะไร..แทนตัวเองว่าอะไรนะ...”
เด็กน้อยเม้มปาก...ไม่คิดว่าอีกคนจะรู้สึกตัวว่าเขาตั้งใจเปลี่ยนคำสรรพนาม ไม่ใช่เพ้นท์กับเฮีย แต่เป็นผมกับพี่ซัน...
เพราะรู้ว่าคงไม่อาจกลับไปสนิทใจได้อย่างเดิม จึงพยายามหาทางเลี่ยงคำพูดเคยสนิทสนม เมื่อรู้ว่าอีกคนไม่ยอมเอ่ยปาก คนแก่กว่าจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบแทน
“...สอบติดแล้วหรอ...ผ่านไปไวเหมือนกันนะ วันนั้น...มึงยังมาถามกูเรื่องคณะอยู่เลย”
“....อืม”
“ว่าแต่ติดคณะอะไรล่ะ”
“ครุศาสตร์ ม.XX”
“...จริงดิ เจ๋งนี่หว่า”
คนพี่อดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มออกมาต่อหน้า เขาร่วมยินดีกับคนตรงหน้ามากจริงๆ เสียแต่ยิ้มได้ไม่นานก็ต้องหุบรอยยิ้มลงเมื่อคนตรงหน้าส่งยิ้มกลับมา
ฝืนยิ้ม
แค่ดูก็รู้ เขามั่นใจว่าเขารู้จักรอยยิ้มของคนๆนี้ดีเพียงไหน
ดวงตาคมมองตรงเข้าไปในใบหน้าเคยสดใส เด็กน้อยตรงหน้าไม่เริงร่าเหมือนเก่า ดวงตาบวมแดงนั้นต้องผ่านจากการร้องไห้อย่างหนักแน่แท้
รอยยิ้มจากปากที่ยกยิ้มแต่สีหน้ากลับไม่ยิ้มตามฝีปาก
ใจเขาวูบโหวง เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนกระทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้เอง
ทำไมคนดีๆอย่างเพ้นท์ต้องมาเจ็บปวดเพราะเขา ทำไมเขาถึงทำให้คนตรงหน้ามีความสุขไม่ได้ ทำไม...
ชายหนุ่มตั้งคำถามซ้ำๆกับตัวเอง
...หนีมานานพอแล้วหรือยัง....ทั้งที่ในตอนนี้ก้อนเนื้อกลางอกเต้นผิดปกติต่อหน้าคนๆนี้เสียขนาดนี้
ดวงอาทิตย์ทอแสงยามเย็นเป็นสีแสดสด ตะวันใกล้ลับขอบฟ้า ดวงจันทร์กำลังเผยตัวทวงพื้นที่กลางคืน ลมยามเย็นพัดกลิ่นจากแม่น้ำเอื่อยๆ เสียงหญ้าเสียดสีตามจังหวะลมเป็นบทเพลง
เขาปิดเปลือกตาชั่วครู่ ความคิดทุกอย่างในหัวหมุนวนกลับเข้าที่ รวบรวมความกล้าเปิดเปลือกตาอีกครั้ง
ดวงตาสองคู่สอดประสาน คนตัวโตทำลายช่องว่างระหว่างสองร่าง ประกบริมฝีปากแนบลงบนริมฝีปากอีกคน จุมพิตช่วงชิงลมหายใจของเด็กน้อยไปจนหมดสิ้น
แล้วทุกสรรพเสียงก็พลันหายไป
จนตะวันลับขอบฟ้า เขาผละจุมพิตรักแสนหวานออกพลางกระซิบความในใจที่กลั่นออกมา
“...อยู่ด้วยกันนะ”แม้นไม่มีเสียงตอบรับ เด็กน้อยมีแต่คำถามเต็มหัว อยากเค้นหาเหตุผลจากคนตรงหน้าถึงการกระทำเมื่อครู่ หากแต่สุดท้ายแล้วก็มีเพียงหยาดน้ำใสไหลอาบใบหน้าละไมเงียบๆ พร้อมกับรอยแย้มยิ้มที่ค่อยๆฉายบนใบหน้าของเด็กน้อย
ได้เป็นคำตอบแล้ว
...
หากไร้แสงจันทร์ เขาจะมอบแสงตะวัน
PAINT the SUN
-จบภาค-
วาดตะวัน
☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀
ถึง ใจ
เนื่องจากเรื่องนี้เราไม่ค่อยได้ทอล์กท้ายเรื่องเท่าไหร่ เลยขอพื้นที่ตรงนี้พูดคุยกันถึงเรื่องวาดตะวันเสียหน่อย
ความตั้งใจจริงของเรื่องนี้คืออยากลองใช้ภาษาให้เก่งๆดูบ้าง ประจวบกับได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือ
'The otherness-ความฝันของคนอื่น' ของคุณ ฆนาธร ขาวสนิท จึงกำเนิดเรื่องวาดตะวันออกมา
ในทีแรก ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมีคนอ่านมากมาย ไม่คิดว่าจะมีคนคอมเม้นท์เสียด้วยซ้ำ เราแต่งเพราะอยากแต่ง
อยากลอง อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องเขียนเล่นๆ แต่ปรากฏว่ากลับไปจริงจังกับมันตอนไหนก็ไม่รู้
เรื่องวาดตะวันเป็นเรื่องที่เขียนยากมาก กว่าจะเค้นออกมาได้แต่ละตอนต้องใช้อารมณ์มหาศาลเพื่อที่จะสื่ออารมณ์ของเนื้อเรื่องตอนนั้น
ประกอบกับการที่ไม่ได้เป็นคนเขียนดีอยู่แล้ว แต่ละตอนเลยออกมายากยิ่งกว่ายาก
ตั้งใจอยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องหน่วงๆไปเรื่อยๆ จะสุขก็ไม่สุข จะทุกข์ก็ไม่ทุกข์
จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก จะยิ้มก็ยิ้มไม่สุด ไม่รู้ว่าสามารถสื่อถึงคนอ่านได้มากแค่ไหน
ติดจะน่าเบื่อไปเสียด้วยซ้ำ
แต่หากทุกคนอ่านแล้วมีอารมณ์ร่วมตามก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างที่สุดจริงๆ
เราเขียน-ลบเรื่องนี้ไปเยอะมาก อยากจะปิดเรื่องอยู่บ่อยๆ
แต่สุดท้ายก็เค้นมันออกมาได้จนครึ่งเรื่อง
และที่มาได้จนตอนนี้เพราะนักอ่านทุกคนจริงๆ
อยากขอขอบคุณทุกคนจากใจที่เป็นส่วนหนึ่งให้เรื่องนี้ดำเนินมาจนถึงตอนนี้
นิยายเรื่องนี้ยังไม่จบ แค่มาถึงครึ่งเรื่องเท่านั้น
อยากให้ช่วยติดตามเรื่องราวครึ่งหลังกันอีกสักนิด
และหวังว่าครึ่งเรื่องหลัง ดวงจันทร์จะพบความสุขบ้างไม่มากก็น้อย
ด้วยรัก,
จาก ใจ