ตอนที่ ๓๐ END18-xx-25xx
ผมกับไอ้ตัวกวนกลับมาไทยได้สองวันแล้ว แค่สองอาทิตย์ก็ทำให้ผมน้ำหนักขึ้นมาสองกิโล ก็นะ ก็เอาแต่กินกับนอน นี่หว่า ไอ้พวกนั้นนั่นแหละตัวดี ชวนผมกินแล้วก็หาเรื่องออกกำลังบนเตียงตลอด วันนั้นพี่ภักมาส่งที่สนามบิน พี่เขาเองก็ดูจะเหงาๆขึ้นมาอีกครั้ง ถึงจะได้รู้จักกับพี่ภักแค่สองอาทิตย์แต่ผมคงไม่ลืมเรื่องของพี่เขาง่ายๆแน่ และหลังจากที่กลับมาก็ต้องทำความสะอาดห้องใหม่อีกรอบ ผมสังเกตว่าไอ้ภูกับไอ้ตินกำลังหาอะไรสักอย่างอยู่ มันค้นแฟ้มเก็บงานของผมเสียวุ่นวาย หยิบนู่นหยิบนี่ออกมาดูจนรกไปหมด เป็นผมที่ต้องตามเก็บ
“พวกมึงหาอะไรกัน”ผมต้องถามออกมาเมื่อทนมองพวกมันรื้อห้องไม่ไหว
“แบบบ้าน งานของมึงเมื่อตอนปีสองไง มึงจำได้ไหมว่าเก็บไว้ตรงไหน”ไอ้ภูตอบหน้าเฉย กลับไปค้นงานของผมต่อ งานที่มันว่าคือโปรเจคมิดเทอมเมื่อตอนปีสอง ผมเองก็จำไม่ค่อยได้ว่าเก็บไว้ตรงไหน...แต่มั่นใจว่าไม่ได้ทิ้ง คงหมกอยู่ตรงไหนสักที่
“แล้วพวกมึงจะเอาไปทำไม”ผมมองไอ้ตินเทม้วนกระดาษออกมาจากกระบอกซูม อยู่ๆก็นึกถึงดินเนอร์ที่ลอนดอนขึ้นมา...พวกมันบอกว่าหาที่ดินสำหรับปลูกบ้านได้แล้ว...หรือว่าจะเกี่ยวข้องกัน
“เดี๋ยวๆพวกมึงรีบร้อนไปหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่รีบหรอก ก็แค่เตรียมพร้อมเฉยๆ”ไอ้ภูตอบหน้าระรื่น
“แปลนนั่นใช้ไม่ได้หรอก ถ้าจะเอาจริงๆต้องปรับใหม่”จะว่าไปผมยังไม่รู้เลยว่าพวกมันไปดูที่แถวไหนไว้ มันสองคนมองหน้าผมพร้อมฉีกยิ้ม เหมือนจะเดาออกว่าผมคิดอะไรอยู่
“รับรองมึงต้องชอบแน่ๆ”ไอ้ตินพูดอย่างมั่นใจ
“เหรอ กูยังไม่เห็นเลย”
“งั้นไปดูกัน”ไอ้ตินได้ทีชวน ผมก็ไม่ขัดเพราะอยากไปดูเหมือนกัน ไอ้ภูเอารถเบ๊นซ์คันโปรดมาใช้ มันพาผมมาแถวๆหมู่บ้านเงียบสงบแห่งหนึ่ง พื้นที่โดยรอบของหมู่บ้านค่อนข้างกว้าง ต้นไม้เยอะ ร่มรื่นดีเหมือนกัน ผมว่าไอ้ตินคงชอบ และที่สำคัญเงียบและดูเป็นส่วนตัวมากกว่าที่คิด แต่ก็ดีแล้วผมชอบ เวลาทำงานจะได้มีสมาธิ มันขับวนรอบหมู่บ้านเพื่อให้ผมดูพื้นที่โดยรอบ มีบึง สวนสาธารณะ สนามบอล ฟิตเนสครบครัน แต่ข้อเสียคือไม่ค่อยมีร้านค้า
ส่วนแปลงที่ดินที่มันสองคนหมายตาไว้ อยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆไม่มาก พวกมันเองก็เหมือนผมคือไม่ชอบพื้นที่ที่กว้างหรือแคบเกินไป แปลงที่ดินตรงหน้าก็เหมือนตอบโจทย์ของพวกผมได้ แค่ใช้สายตามองผมก็เห็นโครงร่างของบ้านที่ผมคิดไว้แล้ว มีสวนหน้าบ้านพอให้น้องหมาวิ่งเล่นหรือปลูกต้นไม้ได้
“มึงโอเคไหม”ไอ้ตินถาม กระแสเป็นกังวลอยู่ในน้ำเสียงเมื่อเห็นผมเอาแต่กวาดตามองรอบๆ ไอ้ภูหยิบแว่นสีดำมาสวม เพราะแดดค่อนข้างแรง ผมทำหน้าบึ้งๆก็เพราะความร้อนนี่ล่ะ
“ถ้าไม่ชอบไปดูที่อื่นก็ได้...”ไอ้ภูเสริม
“อะไรเนี่ย กูยังไม่ได้ว่าอะไรเลย กูชอบ ขอบใจที่นึกถึงกู”ผมว่าที่พวกมันเลือกที่เงียบๆบรรยากาศดีก็เพราะความชอบของผมด้วยแน่ๆ
“ไอ้ปามันแนะนำให้กูน่ะ บ้านมันอยู่หมู่บ้านถัดไปนี่เอง”ไอ้ภูอธิบาย ผมถึงบางอ้อก็ว่าอยู่ทำไมไอ้ภูถึงเลือกพื้นที่ตรงนี้ มันเป็นประเภทชอบความสะดวกสบายครบครัน มันถึงได้ไม่ค่อยชอบเข้าร้านปิ้งย่างเพราะมันยุ่งยาก
“แล้ว...ราคา...”ผมไม่ค่อยอยากถามถึงจริงๆ แต่ก็คิดไว้แล้วว่าน่าจะแพง
“กูยังไม่ได้คุยกับเจ้าของเลย วันนี้ไม่ได้นัดไว้ คงนัดคุยวันพรุ่งนี้”ไอ้ตินตอบ ไอ้พวกนี้หลบเลี่ยงจริงๆ
“ป๊ากูออกค่ามัดจำให้ เขาอยากออก..”มันเสริมเมื่อเห็นว่าผมมองหน้ามันอยู่
“อันที่จริงก็กูไปปรึกษากับที่บ้านมา เขาก็แนะนำมาแบบนี้”มันดูกลัวผมจะโกรธ ที่ไม่ได้บอกผมก่อน
“ปรึกษาแม่กูด้วยรึเปล่า”เห็นพวกมันเคยเปรยๆเรื่องนี้ไว้กับแม่ผม พอพวกมันไม่ตอบผมก็เริ่มเดาได้
“ช่วยปรึกษากูซักนิดบ้างเถอะ กูไม่ได้โกรธ แค่บอกไว้เฉยๆ”ผมดักคอไอ้ภูเพราะหว่างคิ้วเริ่มย่นเข้าหากัน
“สิ่งที่พวกมึงทำ ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ กูซึ้งใจที่พวกมึงอยากให้เรื่องของเรามั่นคง...แต่สำหรับกู กูว่ามันเร็วไปว่ะ”มันสองคนจริงจังชนิดที่ผมยังตกใจ เพราะพวกมันวางแผนกันไว้ไกลมาก ไม่รู้ว่าผมชินกับการที่มีคนคอยจัดการธุระให้หรือเปล่าถึงได้มองว่ามันรวดเร็วแบบนี้ ผมยังเรียนไม่จบเลยนะเฮ้ย อีกตั้งสองปี
“กูแค่อยากเตรียมพร้อมไว้เฉยๆ ไม่ได้หมายถึงว่าต้องทำตอนนี้”ไอ้ภูถอดแว่นออกแล้ว บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมา
“เอาจริงๆกูไม่ได้เครียดเรื่องที่มึงสองคนเตรียมไว้นะ แต่กูกังวลเรื่องเงินมากกว่า พวกมึงทำให้กูมาหลายอย่างแล้วนะ ถ้าครั้งนี้
พวกมึงทำอีก กูรับไว้ไม่ได้จริงๆว่ะ”
“กูรู้ว่ามึงห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย แต่กูกับพี่ภูไม่ได้รีบ ค่อยๆเก็บค่อยๆทำก็ได้ กูไม่อยากให้มึงไม่สบายใจ สะดวกตอนไหนก็ค่อยเริ่ม”ไอ้ตินเข้าโหมดจริงจัง นั่นแหละคือปัญหา ลำพังผมเองก็ไม่ได้มีเงินถุงเงินถัง เงินเก็บของผมก็เหลืออยู่แค่ครึ่งเดียวแล้ว
“ให้กูเรียนจบก่อนได้ไหม ระหว่างนี้กูจะเก็บเงินเอง”ผมมองหน้าพวกมันสองคนสลับไปมา ก็รู้ว่าดูเอาแต่ใจไปหน่อย เพราะสองปีนั้นพวกมันคงเรียนจบกันแล้ว
“กูไม่อยากให้มึงลำบากเพราะเรื่องนี้”ไอ้ตินถอนหายใจเบาๆ
“กูไม่ลำบากหรอก ชอบซะอีก พวกมึงตามใจกูจนเคยตัวแล้ว พวกมึงก็ด้วยมีเงินใช้จนเคยตัว สำหรับพวกมึงก็แค่...โทรคลิ๊กเดียว มันสำเร็จรูปเกินไป”ผมอาจจะบ้าที่หยิบยกเรื่องนี้มาพูด แต่พวกมันสองคนให้ผมมาเยอะแล้วจริงๆ ถึงจะเป็นแฟนกันก็เถอะ
“โอเค ยอมรับว่าพวกกูใจร้อนไปหน่อย”ไอ้ภูถอนหายใจ
“แต่กูไม่ได้บอกให้พวกมึงล้มเลิกเรื่องพวกนี้นะ แค่เลื่อนออกไปก่อน ได้ไหม”ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองกลัวเรื่องค่าใช้จ่ายหรือกลัวการเริ่มต้นที่จับต้องได้แบบนี้กันแน่ ผมว่าผมยังไม่พร้อม
“กูเข้าใจน่า ไม่ต้องเครียดหรอก”ไอ้ตินปลอบ ผมว่าพวกมันต่างหากที่เครียด รู้สึกไม่ดีขึ้นมาที่ทำลายความหวัง ความตั้งใจของ
พวกมันแบบนี้ ผมเข้าไปกอดปลอบใจพวกมันสองคนหลวมๆ
รอกูกันก่อนนะหลังจากที่พวกมันสองคนปรับอารมณ์ได้แล้ว (รู้สึกบาปจริงๆ) ไอ้ภูก็แวะไปหาพี่ปาที่บ้าน ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเห็นบ้านของพี่ปา บ้านไอ้เนมเคยเห็นเมื่อครั้งที่มันเอาพี่พิสไปยำ ผมจำได้แม่นเลย แต่บ้านพี่ปาไม่ได้ใหญ่แบบนั้น เป็นบ้านจัดสรรหลังกะทัดรัดน่ารัก มีสวนเล็กๆให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ
“นึกว่ามึงจะไม่อยู่ซะแล้ว”ไอ้ภูทัก ผมลงจากรถตามหลัง พี่ปาใส่แค่เสื้อกล้ามกับบ็อกเซอร์เก่าๆ
“ก็กะจะไปหอพอดี มึงมาถูกเวลานะ”พี่ปาเลื่อนสายตามองผมกับไอ้ตินแล้ววนมาที่เพื่อนอีกครั้งก่อนจะหัวเราะลั่น
“หัวเราะอะไร”ไอ้ภูดูหัวเสีย
“แหม แต่ล่ะคน หน้าตาบอกอาการชัดเจนจริงๆ กูบอกแล้วก็ไม่เชื่อว่าไอ้ฟิกมันไม่เอาด้วยหรอก มึงสองคนนี่รอจังหวะไม่เป็นเลย เข้ามาๆ”พี่ปาเลื่อนประตูให้ผมกับอีกสองคนเข้ามาในบ้าน นี่แสดงว่าพวกมันมาปรึกษาพี่ปาด้วยสินะ แต่ก็พอเข้าใจได้เพราะพี่ปาเรียนจบแล้วดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมเยอะ
“อย่ามาซ้ำเติมกันน่า”ไอ้ตินทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้หินอ่อน
“พวกมึงคิดกันง่ายไป ชีวิตจริงๆมันไม่ง่ายนะเว้ย อย่างที่กูบอกไปนั่นแหละ”พี่ปาหันมามองหน้าผมแล้วส่งยิ้มยิงฟันมาให้
“พี่ไม่ต้องมายิ้มแบบนั้นเลย ผมไม่เล่าให้ฟังหรอก”แค่มองหน้าก็รู้ใส่รู้พุงแล้ว เพื่อนไอ้ภูหรือไอ้ตินก็สอดรู้ไม่ต่างจากไอ้ชายเลย ไอ้ภูทำหน้ายุ่งใส่เพื่อน
“มึงดูดีใจนะที่เห็นกูผิดหวัง”
“แน่นอนสิ มึงจะได้รู้ว่าชีวิตคู่มันไม่ง่าย”
“พี่อย่าพูดเหมือนผมแต่งงานกับพวกมันแล้วได้ไหม”แสลงหูชอบกล
“โธ่ ไอ้ฟิก อยู่กินกันมาเป็นปีล่ะ ถ้ามึงมีมดลูกนะ ลูกดกหัวปีท้ายปีแน่นอน”พี่ปาหัวเราะหึๆ ผมขี้ค้านจะเถียงต่อปากต่อคำ เลยได้แต่นั่งเงียบ มองหน้าไอ้ภูกับไอ้ตินไปพลางๆ สงสารก็สงสาร แต่ก็อดขำไม่ได้พวกมันทำเหมือนว่าถูกผมปฏิเสธ การขอแต่งงานเลยว่ะ
“แล้วฮันนีมูนที่ลอนดอนเป็นไงบ้าง”วกกลับมาเรื่องนี้จนได้ ผมได้แต่ปล่อยให้มันสองคนฝอยกันไป ส่วนผมก็นึกถึงสิ่งที่พวกมันวางแผนกันไว้...ไอ้ภูกับไอ้ตินนี่...คิดไกลและจริงจังมากต่างจากผมที่ไม่เคยคิดอะไรเลย
20-xx-25xx
หลังจากเรื่องวันนั้น ผมก็คุยกับพวกมันถึงเรื่องค่าใช้จ่ายบ้าง ค่าที่ดินต้องหารสามแต่เป็นจำนวนเงินที่เยอะสำหรับผม โทรไปหาแม่ แต่กลับเจอเรื่องน่าตกใจเพราะแม่เองก็ช่วยพวกมันออกเงินค่ามัดจำที่ดิน แถมยังจะออกส่วนที่เหลือให้ผมอีก แต่ผมปฏิเสธเพราะอยากใช้เงินที่เป็นของตัวเอง อยากได้บ้านที่เป็นของผมจริงๆ แบบนั้นมันน่าภูมิใจมากกว่า
เวลาสองปีก็ไม่รู้ว่าจะเก็บทันรึเปล่า พูดถึงเรื่องเงินๆทองๆแล้วเครียด ไอ้ผมก็ถนัดแต่ใช้ด้วยสิ เอาล่ะ ผมว่าคงถึงเวลาที่ผมต้องมาวางแผนคิดจริงจังบ้างแล้วล่ะ เรื่องบุหรี่เหล้าของมึนเมาคงเป็นเรื่องแรกที่ผมพยายามจะลดละให้ได้ เพื่อสุขภาพของตัวเอง
และลดค่าใช้จ่ายไปในตัว อย่างน้อยๆก็ลดค่าใช้จ่ายไปได้บ้าง
“เออ ไอ้เคนพวกมึงเคยบอกว่าอยากทำเสื้อขายใช่ไหม”เมื่อนานมาแล้วผมกับพวกมันเคยคิดกันเล่นๆว่าอยากสกรีนเสื้อขาย ไอ้เคนหันมามองผมอย่างแปลกใจ
“แต่ก็ล้มเลิกเพราะมึงขี้เกียจ”มันเตือนความจำ
“กูคิดว่า…เรามาลงทุนด้วยกันเถอะ”ผมทำเสียงตื่นเต้น คว้ามือของไอ้เคนกับไอ้ชายชูขึ้นเหนือศีรษะ
“สัดฟิก มึงนึกบ้าอะไรขึ้นมา ทีเมื่อก่อนกูชวนตั้งนานล่ะไม่อยากทำ”ไอ้ชายสะบัดมือออกพร้อมกับผลักจนผมหน้าหงาย
“ตอนนี้กูกำลังมีปัญหาว่ะ”ผมพูดกับเพื่อนด้วยเสียงเป็นการเป็นงาน จนพวกมันสองคนทำหน้าแปลกใจอีกรอบ
“พูดเหมือนไปทำใครท้องเข้า”
“เปล่า กูกำลังวางแผนชีวิต กูต้องเก็บเงินให้ได้ภายในสองปี”
“ทำไมวะ”ไอ้เคนถามอย่างสนใจ เพราะนานๆครั้งผมจะพูดเรื่องมีสาระ ผมจ้องหน้าเพื่อนอย่างชั่งใจว่าจะบอกดีไหม
“เก็บเงินสร้างเนื้อสร้างตัวไง”ผมเล่าให้พวกมันฟังถึงแผนชีวิตอันยิ่งใหญ่ของไอ้ภู ไอ้ติน
“กูเลยคิดว่าพวกมันแม่งโคตรจริงจัง กูยังเรียนอยู่เลย หมายถึงยังเด็กไปสำหรับเรื่องพวกนี้ ไหนจะค่าใช้จ่ายนู่นนี่อีก”
“มึงอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”ไอ้เคนหันมาสั่งสอน
“อายุขนาดมึง เขาไม่เรียกว่าเด็กแล้วนะ เออ แต่กูลืมไปว่าสมองมึงมันไม่ค่อยได้ใช้งาน”
“เอ้า ไอ้นี่ หลอกด่ากูเหรอ”
“ไม่ได้หลอก กูด่ามึงเลยเนี่ย แต่จะไปว่ามันสองคนก็ไม่ได้ มึงก็รู้ใช่ไหมว่าความสัมพันธ์เรื่องมึงกับมัน ไม่ค่อยจะแน่นอน พวกมันคงต้องการความมั่นคงล่ะมั้ง”ไอ้เคนพูดเหมือนคนเข้าใจในชีวิต
“มึงน่าจะดีใจนะที่พวกมันจริงจังขนาดนี้”ไอ้ชายพูดจาเข้าหูเป็นครั้งแรก
“ไอ้ดีใจมันก็ดีใจ แต่กูยังไม่พร้อมไง”
“พูดเหมือนโดนขอแต่งงาน”ไอ้ชายหัวเราะ แต่มันก็ตบโต๊ะเสียงดัง
“ชวนสร้างบ้านแบบนี้ กูว่าพวกมันขอแต่งงานทางอ้อมรึเปล่า”ผมถึงกับส่ายหน้าให้ความคิดไอ้ชาย
“ไร้สาระ”
“กลับมาเรื่องเดิมก่อน เพราะแบบนี้มึงเลยอยากทำเสื้อขายว่างั้น”ไอ้เคนกลับมาพูดเรื่องเดิมก่อนที่จะออกทะเลไปไกลกว่านี้
“ทำนองนั้น”ต้องบอกว่าเป็นครั้งแรกจริงๆที่ผมกับพวกไอ้เคนสุมหัวทำเรื่องจริงจังแบบนี้ เรื่องบล็อคอุปกรณ์อะไรมีพร้อมอยู่แล้ว นอกจากสกรีนเสื้อก็ทำจำพวกผ้ามัดย้อม กะทำขายที่ตลาดนัดม.ผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะขายได้เยอะแยะ แต่ตอนนี้แค่อยากทำ
อะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันบ้าง
ไอ้ภูกับไอ้ตินก็ไม่ได้ห้ามเรื่องนี้ และผมก็ย้ำกับพวกมันหลายรอบแล้วเรื่องนี้ไม่ทำให้ผมลำบากแม้แต่นิด ไอ้สองคนนี่ชักเป็นคนคิดมากเข้าไปทุกวัน
ชีวิตของไอ้ฟิกชักจะมีสาระแล้วครับ หลังจากเหลวเป๋วมาเกือบยี่สิบเอ็ดปี
22-xx-25xx
ผ่านไปไม่นาน ก็มีเรื่องน่าแปลกใจอีกแล้ว ผมกลับมาที่หอพร้อมไอ้ติน ก็มาเจอไอ้เดือนคณะมานั่งรออยู่ที่หน้าหอ โชคดีของไอ้เพชรที่ไอ้ภูยังไม่กลับ
“มาทำไม”ไอ้ตินเดินเข้าไปหาช้าๆอย่างรักษาท่าที ไอ้เพชรเองก็ดูระวังตัวอยู่เหมือนกันเพราะครั้งล่าสุดที่เจอกันก็ไม่น่าจำเท่าไหร่
“ผมอยากมาคุยให้เคลียร์สำหรับเรื่องวันนั้น”ไอ้เพชรเหลือบมองผม สีหน้าของมันดูสดใสขึ้นมาเป็นกอง ไม่รู้ว่าอกเดาะจากผมหรือไงถึงได้เพี้ยนตัดผมใหม่
“มีอะไรก็ว่ามา”ไอ้ตินยังไม่มีท่าทีเดือดแต่อย่างใด ผมเลยได้แต่มองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ
“ผมแค่อยากขอโทษที่ล่วงเกินพี่ฟิก ทำให้พวกพี่ผิดใจกัน ผมขอโทษจริงๆ”ไอ้เพชรพูดด้วยเสียงจริงใจ มันมองหน้าไอ้ตินโดยไม่คิดจะหลบสายตา
“ความจริงเรื่องมันก็ผ่านมาได้ระยะหนึ่งแล้ว พี่เองก็ไม่ติดใจอะไรหรอก ขอแค่น้องอย่ามาวุ่นวายกับแฟนพี่อีกก็พอ อย่าให้เกินขอบเขตของคำว่ารุ่นพี่ รุ่นน้อง ถ้ามีครั้งหน้า เรื่องคงไม่จบดีๆแบบนี้แน่”ผมนึกขำในใจ
จบดีๆเหรอก็มันไม่ใช่เหรอไงที่เอาขวดฟาดหัวไอ้เพชรเมื่อคราวก่อน
“ครับ”ไอ้เพชรก็เจียมตัวดีมาก เรื่องกำลังจบด้วยดี ถ้ารถเบ๊นซ์ของไอ้ภูไม่ขับเลี้ยวเข้ามาจอดที่ลานจอดซะก่อน ไอ้ภูลงจากรถมาได้ก็รีบตรงดิ่งมาที่ไอ้เพชรทันที
“มึงยังกล้าโผล่หน้ามาอีกเหรอ”
“ไอ้ภู ใจเย็น”ผมกลัวจะมีเรื่อง จึงคว้าไหล่มันไว้ ไอ้เพชรดูจะกลัวอยู่เหมือนกันแต่ก็ไม่ขยับไปไหน ไอ้ภูเข้าไปคว้าคอเสื้อ เงื้อหมัดขึ้นเหมือนจะต่อย แต่ไอ้เพชรก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว ไอ้ภูหัวเราะหึก่อนจะลดมือลง
“มึงก็กล้าเหมือนกันนี่...”
“ผมมาครั้งนี้เพราะรู้สึกผิด ถ้าพี่จะต่อยผม นั่นก็สมควรแล้ว ผมขอโทษจริงๆ”
“พูดซะกูกลายเป็นตัวร้ายเลย แล้วกับไอ้ฟิกล่ะ มึงยังชอบมันอยู่รึเปล่า”ไอ้ภูหันมาทางผม ไอ้เพชรเหลือบมองแค่แว๊บเดียวก่อนจะเสมองทางอื่น
“ผมกำลังอยู่ในช่วงทำใจ ความจริงก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากมายหรอก พวกพี่วางใจได้”
“ก็ดี ถ้ามึงจะคุยกับมันกูไม่ว่า แต่อย่าล้ำเส้นก็พอ”ผมถึงกับมึนเมื่อได้ยินไอ้ภูพูด ไม่คิดว่ามันจะยอมให้ผมคุยกับไอ้เพชรอีก
“กูอยากรู้จริงๆ ไอ้ฟิกมันมีดีอะไรวะ ถึงได้หลงไปชอบมัน”ไอ้ภูถามอย่างข้องใจ ไอ้เพชรยิ้มจางก่อนจะมองหน้าผม
“ไม่รู้สิครับ สงสัยผมคงชอบของแปลกเหมือนพวกพี่ล่ะมั้ง ผมมีธุระต่อ ขอตัวก่อนนะครับ”ว่าแล้วมันก็ส่งยิ้มให้กับพวกผมก่อนจะเดินไปที่โรงจอดรถ ผมกลับมามองพวกมันสองคนอีกครั้ง
“ทำไมพวกมึงมาแปลกวะ ปกติหวงกูอย่างกับอะไรดี”
“กูมีเหตุผลพอน่า…”ไอ้ตินตอบ ไอ้ภูเบ้หน้าเหมือนคำพูดนั้นกระทบตัวมัน
“กูไม่อยากตีกรอบมึงมาก เดี๋ยวจะหนีกูไปอีก”มันฉีกยิ้มกว้าง
“แล้วเป็นไง เรื่องทำเสื้อของมึงน่ะ”มันถามความคืบหน้า ไอ้พวกนี้เกาะติดยิ่งกว่าไอ้เคนไอ้ชายซะอีก
“กำลังออกแบบเสื้ออยู่ พวกมึงกังวลอะไรกัน ฮึ”ตั้งแต่ผมบอกมันเรื่องนี้ พวกมันก็ดูบ้าๆบอๆทันที
“เปล่า กูแค่ไม่สบายใจเท่าไหร่ ถ้าเป็นเพราะเรื่องบ้านทำให้มึง…”นั่นไง เรื่องนี้อีกแล้ว
“กูบอกแล้วไง ว่ากูไม่ได้ลำบากอะไร หรือจะล้มเลิกเรื่องบ้านไปเลยดีไหม พวกมึงจะได้เลิกกังวลซะที”ผมขู่ มองหน้ามันสองคนสลับไปมา
“กูแค่ห่วง”ไอ้ตินทำเสียงอ่อน
“อย่างกูไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก เลิกคิดๆ ถ้ามึงพูดอีกกูจะออกไปกระโดดตึกลงมาให้ดู”ผมพยายามทำให้พวกมันตลก แต่ไอ้ภูยิ่งทำหน้าหงิกก่อนถอนหายใจ
“กูเพิ่งเข้าไปคุยกับพ่อมา”แล้วมันก็เล่าให้ฟังว่าเรื่องอะไรบ้าง ความจริงมันควรจะไปตั้งนานแล้ว แต่มันก็กวนประสาทพ่อมันด้วยการยืดเวลาออกไป มันเอาเรื่องไอ้เดรกไปบอกพ่อมันจริงๆ แต่มันบอกว่าพูดตามที่มันพูดวันนั้นเป๊ะๆเพราะอยากให้พ่อมันเห็นภาพชัดๆ ไม่รู้ว่าพ่อมันจะว่าไงบ้าง อ้อ แล้วมันก็เข้าไปคุยกับพ่อมันเรื่องงานด้วย ได้ข่าวมาว่าพี่ภักอาจจะรับช่วงดูแลบริษัทต่อ แต่เจ้าของก็ยังเป็นของพ่อไอ้ภู เรื่องนี้ไอ้ภูเองก็ไม่คิดมากอะไรอยู่แล้ว เพราะมันไม่อยากสานต่อตั้งแต่แรก ผมเองได้รู้จักพี่ภักมาบ้างก็ค่อนข้างเบาใจไปกับครอบครัวมันว่าพี่ภักไม่มีทางเข้ามาทำลายบริษัทแน่นอน
9-xx-25xx
ผมเรียนจบปีสามแล้วครับ พวกมันก็เรียนจบแล้วด้วย รอรับปริญญาปีหน้า ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมและผมไม่ได้กลับบ้านเหมือนทุกปีเพราะผมตัดสินใจจะทำงานพาร์ทไทม์เพื่อเก็บเงินสร้างอนาคตกับพวกมัน(น่าอ้วกไหม) เพราะลำพังแค่ขายเสื้อคงไม่พอ พวกไอ้เคนเอาไปต่อยอดเปิดเพจขายออนไลน์ ได้รายได้อีกทาง แต่ก็นั่นล่ะในเมื่อผมตัดสินใจแล้ว พวกมันก็ห้ามไม่ได้ ผมเลือกร้านอาหารกึ่งบาร์แห่งหนึ่ง ความจริงไปสมัครหลายร้านเพราะอยากได้เงินเดือนที่เยอะที่สุด จนมาเจอร้านนี้ งานค่อนข้างเลิกดึกพอสมควร
“ช่วงนี้ มีเมนูแนะนำอะไรบ้างครับ”
“ลดให้ได้รึเปล่า”
คำพูดพวกนี้มาจากลูกค้ากวนประสาทอย่างไอ้ภูไอ้ติน มาแวะเวียนเป็นลูกค้าประจำตลอด ถ้าวันไหนไม่มีธุระ พวกมันก็นั่งยาวจนร้านปิดเป็นเพื่อนผมนั่นล่ะ มาแบบนี้เกือบทุกอาทิตย์จนเจ้าของร้านและเด็กเสิร์ฟคนอื่นจำหน้าได้แล้ว ผมก็ไม่ว่ามันหรอก อยาก
ทำอะไรก็ทำเพราะพวกมันว่างงงงงงงงงงง
“เที่ยงแล้วนะฟิก พักกินข้าวเลยก็ได้”พี่เอ๋เจ้าของร้านยิ้มกว้าง เพราะมื้อเที่ยงของผมถูกจัดไว้ให้แล้ว ที่โต๊ะเดิมและเจ้ามือหน้าเดิมสองคน ผมล้างมือก่อนเดินมาร่วมโต๊ะ
“ถามจริง มาบ่อยๆแบบนี้ไม่เบื่อบ้างเหรอ”ผมมองหน้ามันสองคนสลับไปมา
“ไม่เห็นเบื่อเลยนี่ ไม่ได้มานั่งเป็นวันๆซะหน่อย”ไอ้ภูแถแก้ตัว มันจะมาช่วงใกล้เที่ยงหรือไม่ก็ตอนดึกๆ
“เหรอ”ผมหรี่ตามองมัน ไอ้ตินตักแกงส้มแปะซะใส่จานให้
“กินเยอะๆจะได้มีแรง ถ้าเหนื่อยก็พักบ้างนะ ไม่ต้องขยันมาก”ดูไอ้ตินมันพูด นิสัยไม่ดีเลยจริงๆ
“กูขยัน กูได้ทิปอ่ะ”ถ้าพวกกระเป๋าหนัก ผมจะได้เยอะตลอด ถ้าเป็นงานเลี้ยงตอนค่ำ พวกเมาๆยิ่งให้เยอะ มีอยู่ครั้งนึงให้เด็กเสิร์ฟในร้านไปตั้งหลายรอบ ผมก็พลอยได้ไปด้วย
“ได้ข่าวว่าพี่ภักกลับมาเหรอ”
“อืม แค่กลับมาพักผ่อนเฉยๆ ปีหน้าถึงจะได้กลับมาแบบถาวร”
“ถามหาบ่อยจังนะช่วงนี้”ไอ้ตินพูดลอยๆ ไม่อยากบอกว่าผมคุยกับพี่ภักหลายเรื่องเลย ปรึกษาเรื่องงานน่ะ ไม่มีอะไรหรอก
“แอบคุยกันซะด้วย”ไอ้ภูเสริม
“แค่คุยเรื่องงานเฉยๆ”แต่มองหน้าพวกมันก็รู้แล้วว่าแค่ป่วนประสาทผมเล่น
นาฬิกาชีวิตของผมวนเวียนแบบเดิมซ้ำๆ ไอ้ภูกับไอ้ตินแวะมากินข้าวที่ร้านให้หายคิดถึง พวกมันไม่เคยบ่นให้ได้ยินสักคำ ผมรู้สึกดีนะ ที่อย่างน้อยมันก็เข้าใจผม ไม่ต้องห่วงว่าจะมีลูกค้ามาจีบ เพราะเด็กเสิร์ฟในร้านคอยเป็นหูเป็นตาให้มันฟรีๆซะงั้น
ผมออกจากงานในช่วงใกล้เปิดเทอม เพิ่งมานึกได้ว่า…ไอ้ภูกับไอ้ตินเรียนจบแล้วนี่นา…ไม่ได้ไปเรียนพร้อมพวกมันแบบนี้ก็เหงาขึ้นมา ยังดีที่พวกมันยังไม่ได้เริ่มทำงานจริงจัง ก็เลยมาเอ้อระเหยกับผมที่หอได้อยู่ ส่วนเรื่องบ้านน่ะเหรอ...ตอนนี้ผมส่งแปลนบ้านไปให้ช่างรับเหมาที่ไอ้ตินรู้จักไปแล้ว
1-xx-25xx
“กูเหงาว่ะ”ผมบ่นให้ไอ้เคนกับไอ้ชายฟังในเช้าวันหนึ่ง วันที่งดคลาสทั้งๆที่ผมแหกขี้ตามาแต่เช้า
“เหงาอะไรของมึง กูอยู่ด้วยทั้งคน ยังเหงาอีกเหรอ”ไอ้ชายดัดเสียงห้าวๆจนผมขนลุกขนพอง
“คิดถึงสามีว่างั้น”ผมส่งสายตาทิ่มแทงไปที่ไอ้เคน ความจริงก็ใช่นั่นแหละ เพราะปกติพวกมันจะแวะเวียนมาหาผมที่คณะ หรือไม่ผมก็แวะไปหา ตอนนี้ไม่มีพวกมันผมก็เลยเหงา มันว่างแปลกๆ พวกมันจะรู้สึกแบบผมรึเปล่าวะ
“อย่างกับแมวหงอย”ระหว่างที่เขี่ยข้าวในจานไปมา
“เดี๋ยวกูพาไปส่องเด็กมนุษย์อิ้งเอาป่ะ”ไอ้ชายชวน
“อย่ามาหาเรื่องให้กูได้ไหม”ผมทำหน้ายุ่ง ดีดข้าวใส่หน้ามันซะเลย
“ฟังให้จบ”มันยกมือขึ้นเป็นการป้องกัน
“คือกูได้ข่าวมา…”
“กูก็ได้ข่าว…”ไอ้เคนผสมโรงด้วย
“ข่าวอะไรวะ”ผมชักหงุดหงิด พวกมันกวนประสาทกันจริงๆ
“บอกว่าเดือนคณะมนุษย์ปีนี้….หน้าเหมือนมึง”
“ห๊ะ…”ผมอ้าปากค้าง นึกไปถึงไอ้เบ๊นซ์เลยครับ
“มึงรีบพากูไปดูเลย”ผมภาวนาว่าขอให้ไม่ใช่ แต่ถาใช่ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผมนี่หว่า ดีนะ ไอ้ภูกับไอ้ตินเรียนจบไปแล้ว ความ
จริงคณะมันก็ชวนให้แวะเวียนมาดูน้องๆเข้าใหม่บ้าง แต่มันสองคนไม่อยากกลับไปยุ่งเกี่ยวแล้ว ก็เลยปล่อยผ่าน
ไอ้ชายพาผมมาที่คณะมนุษย์ศาสตร์แล้วเรียบร้อย ตอนนี้กำลังมีกิจกรรมอะไรกันสักอย่าง
“คนไหนวะ”ผมพยายามมองหา ผมจำหน้ามันได้แน่ๆอยู่แล้ว แต่ก็ไม่เจอ
“มองหาใครครับ”ได้ยินเสียงทักผมก็รีบหันไปหาทันที มันคือไอ้เบ๊นซ์จริงๆด้วย
“พี่ฟิก”มันทำเสียงตื่นเต้นก่อนจะโผเข้ามากอดผมหน้าตาเฉย ไอ้เชี่ยนี่ทำอะไรของมัน
“อะไรของมึงเนี่ย”ผมดันมันออกอย่างยากลำบาก
“โทษทีครับ พอดีเวลาตื่นเต้นแล้วชอบเป็นแบบนี้ทุกที”มันหัวเราะเขินๆ ไอ้เคนกับไอ้ชายได้แต่ยืนมองเงียบๆ พวกมันมองไอ้เบ๊นซ์ด้วยสายตามึนๆ
“เฮ้ย…คล้ายมึงจริงๆว่ะ”น่าแปลกนะ ที่ผมไม่ค่อยหงุดหงิดเท่าไหร่ คงเพราะไอ้ภูกับไอ้ตินไม่อยู่แถวนี้ แต่ยังไงผมก็ไม่ชอบมันอยู่ดี
“พี่ฟิกเรียนอยู่ถาปัตย์ใช่ไหมครับ ว่างๆผมจะแวะไปคุยเล่นนะ”มันตะโกนไล่หลังเพราะผมลากเพื่อนสองคนเดินหนีออกมา
“มึงรู้จักมันด้วยเหรอ”ไอ้เคนยังคงมึนๆอยู่
“บอกตรงๆ กูไม่อยากรู้จักหรอก”จู่ๆไอ้ชายก็หยุดเดินทันที สีหน้านึกสนุก
“มีอะไรวะ”ผมเห็นมันทำหน้าแบบนี้แล้วคันส้นเท้าจริงๆ
“มันบอกว่าจะแวะไปหามึงที่คณะใช่ไหม เดี๋ยวกูจะแนะนำมันให้ไอ้เพชรรู้จัก”ไอ้ชายหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“หยุดคิดอะไรบ้าๆเลยมึง”ไอ้เคนตบหัวมันเต็มแรงคิดผิดจริงๆที่มาตามคำพูดของไอ้ชาย ….ส่วนไอ้เพชรน่ะเหรอ แค่มันหน้ามืดตาบอดมาหลงชอบผม แต่ใช่ว่ามันจะชอบไอ้เบ๊นซ์มนุษย์หน้าคล้ายผมเสียหน่อย