บทของร่มธรรมและครองภพเต็มไปด้วยการใช้อารมณ์และความรู้สึก ฉากแรกที่ถ่ายกับครองภพเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง เมื่อผู้เป็นพี่พบผงยาที่ไม่มีที่มาที่ไปในห้องส่วนตัวของน้องชาย และมันนำไปสู่การจุดระเบิดครั้งใหญ่ในครอบครัว
“มึงเล่นยาเหรอ ไอ้ภูมิ!”
“ผ...ผมเปล่า โอ๊ย!” น้องชายถูกเหวี่ยงไปกระแทกกับตู้ดังปัง ก่อนที่ร่างจะไหลกรูดลงกับพื้น สีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด
“มึงยังโกหกกูอีกเหรอ! ไอ้ผงเหี้ยนี่อะไร! มันอยู่ในห้องมึง!”
“ข...ของเพื่อน...”
“เพื่อนสารเลวตัวไหน! มึงบอกกูมา!! มึงเอายามาจากเพื่อนตัวไหน!!” ทั้งๆที่ตะโกนถาม แต่คนเป็นพี่กลับไม่รอคำตอบสักนิด เหวี่ยงขากระแทกอั่กเข้าที่กลางลำตัว ร่างที่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนพื้นงอกายหลบเลี่ยงทว่าไม่อาจพ้น
“โอ๊ย! พี่! อย่า!...”
“มึงบอกกู! เพื่อนตัวไหนพามึงเล่นยา! บอกกู! บอกกู!!” เลือดขึ้นหน้า ไม่สนใจแม้แต่เสียงร้องขอจากน้องชาย ท่อนขาของคนเป็นพี่เตะอัดเข้าชายโครง หน้าตาถมึงทึงดวงตาวาวโรจน์บอกให้รู้ถึงอารมณ์ที่โหมกระพือราวกับจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย
“ม...ไม่ใช่ของผม...โอ๊ย! พี่ภาค...ผมไม่ได้เล่นยา...” ร่างของคนน้องพลิกตัวหลบท่อนขาพัลวันพลางร้องห้าม ทว่าไม่อาจหยุดอะไรได้เลย
“เพื่อนมึงเล่น มึงจะไม่เล่นได้ยังไง! มึงคิดว่ากูโง่เหรอ! ไอ้เหี้ย! ไอ้น้องสารเลว!! สอบตก!! ติด F!! ยังเสือกเล่นยาคบแต่เพื่อนชั่วๆ! มึงคิดบ้างมั้ยว่าทั้งกู ทั้งพ่อทั้งแม่จะมองหน้าคนอื่นๆยังไงที่มีคนแบบมึงอยู่ในบ้าน!!”
แรงกระแทกยังไม่สู้คำพูดเฉือดเชือนหัวใจ ร่างที่พลิกหนีกลายเป็นนิ่งขึง ท่อนขากระแทกปั่กเข้าที่ชายโครง เจ็บร้าว...แต่ไม่เท่าที่ใจ
เขาเงยหน้ามอง ดวงตาว่างเปล่าคล้ายทำนบของความเจ็บปวดพังทลายจนไม่เหลือแม้แต่ความรู้สึกใด
“ถ้าผมมันเลวขนาดนั้น ก็ตัดพี่ตัดน้องกันไปเลย”
“นี่มึงท้ากูเหรอไอ้ภูมิ!”
“ผมไม่ได้ท้า ในเมื่อผมมันเลว ก็ไม่ควรจะเป็นน้องของพี่ ไม่ควรเป็นลูกของพ่อแม่” สุ้มเสียงต่ำ ใบหน้าเรียบเฉย ไม่มีแม้แต่จะตะคอกกลับไป นี่คือความสงบ...ก่อนพายุจะมา
“ปีกกล้าขาแข็งเหรอมึง!!”
“ก็ในเมื่อผมอยู่ที่นี่ ทำให้พี่เสียหน้า ทำพ่อแม่อับอาย ผมก็จะไป!!!” ทว่าเมื่อน้องชายกลายเป็นพายุ พี่ชายกลับโหมกระพือเป็นพายุลูกใหญ่กว่า
“ไปใช้ชีวิตเหี้ยๆของมึงให้มันเหี้ยลงกว่าเดิมน่ะสิ!! อย่าหวังเลยว่ากูจะปล่อยให้มึงได้กลับไปเจอเพื่อนสารเลวของมึงแล้วพากันล่มจมอีก!! ไอ้บัดซบ!! ไอ้น้องจัญไร!!”
อารมณ์ร้ายกาจบดบังความเมตตาอาทร ไร้ความเห็นอกเห็นใจ ถ้อยคำมีแต่ด่าทอ มือฉุดเอาร่างปวกเปียกของคนเป็นน้องขึ้นมาแล้วกระแทกหมัดเข้าที่ใบหน้าดังผลั่วะ ร่างโซซัดโซเซไปกระแทกกับตู้ด้านหลังแล้วร่วงกรูดลงกับพื้นอีกครั้งราวกับตุ๊กตาที่ไร้ชีวิต
ไร้เยื่อใยของความเป็นพี่น้อง ความโกรธเคืองทำให้ไร้ความปรานี คอเสื้อถูกกระชากให้ร่างผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะถูกหมัดอัดซ้ำอีกครั้งและอีกครั้ง พร้อมกับเสียงด่าดังก้องราวกับน้องไม่ใช่น้อง ราวกับร่างในเงื้อมมือไม่ใช่คน
ครองภพมองภาพที่ปรากฏบนจอมอนิเตอร์ อดเลิกคิ้วกับตนเองไม่ได้เมื่อพบว่าคนที่ดูสุภาพอ่อนโยนอย่างร่มธรรมกลับแสดงเป็นพี่ชายเจ้าระเบียบและโหดร้ายได้ดีขนาดนี้
“เอ่อ...ผมขอเล่นใหม่อีกเทคได้มั้ยครับ” แต่เสียงของคนที่เขาชื่นชมในใจกลับดังขึ้น
“คือ...ตอนที่น้องบอกว่าจะให้ตัดพี่ตัดน้อง ผมน่าจะต้องแสดงออกว่าตกใจมากกว่านี้อีกหน่อย...” พอเสนอกับผู้กำกับไปแล้ว คราวนี้ดวงตาของชายหนุ่มรุ่นพี่ก็เหลือบมามองคนที่ต้องเข้าฉากกับเขาอย่างเกรงใจ
“เอ่อ...น้องครองเล่นอีกรอบได้มั้ย”
นักแสดงหนุ่มรุ่นน้องมองคนขอด้วยสายตาเรียบนิ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินกลับเข้าไปในฉากอีกครั้ง เป็นฝ่ายร่มธรรมที่ต้องรีบลุกขึ้นวิ่งตามไปอย่างกระตือรือร้น
วงการบันเทิงก็คือวงการมายา
ตัวตนอย่างหนึ่ง รับบทอีกอย่างหนึ่ง
ดูร่มธรรมผู้รับบทพี่ชายเจ้าระเบียบและโหดร้ายอย่าง ‘ภาค’ กับครองภพผู้รับบทน้องชายผู้เป็นเหยื่อของชะตาชีวิตอย่าง ‘ภูมิ’ เป็นตัวอย่าง
แตกต่างราวฟ้ากับเหวจริงๆ
………………………..
‘ถ้าคุณทำให้เทคบ่อย คุณต้องรับผิดชอบ’
ทั้งที่คนพูดก็ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องรับผิดชอบอย่างไร แต่ร่มธรรมกลับยึดคำพูดประโยคนั้นเป็นสรณะ เมื่อไรก็ตามที่เข้าฉากกับครองภพ ต้องพยายามให้ ‘เทคเดียวผ่าน’ หรือในระดับมาตรฐานคือ เทค 2 ต้องผ่าน ทั้งๆที่ครองภพก็ไม่ได้มีทีท่าจะตวาดเฆี่ยนตีหากจะมีเทค 3 หรือ 4 แต่อย่างใด
แต่...ไม่ต้องเฆี่ยนตี แค่ปรายสายตามอง ร่มธรรมก็รู้สึกยะเยือกแล้ว
อายุแค่ 22 แต่จะรีบดุไปไหน
นักแสดงหนุ่มรุ่นพี่ได้แต่คิดไม่กล้าถาม มุ่งมั่นก้มหน้าก้มตาท่องบท ทำความเข้าใจบท แล้วอย่าเทคบ่อยเป็นพอ
ทว่า...ชีวิตคนทำงานที่นอนน้อย คิดเยอะ จู่ๆก็มีงานเพิ่มเข้ามาในชีวิตอีกอย่าง ต่อให้จัดสรรเวลาได้ดีแค่ไหนก็ยังเบียดบังเวลาพักผ่อน อีกทั้งไม่ใช่หนุ่มน้อยวัยรุ่นที่พลังงานเหลือเฟืออีกแล้ว ต่อให้จิตใจจะแข็งแกร่ง แต่ร่างกายที่ไม่ไหวก็เริ่มส่งเสียงประท้วง
“ไอ้ร่ม!” เสียงตะโกนของผู้กำกับทำเอาร่มธรรมกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้เขายืนนิ่งอยู่กลางฉากที่ประกอบไปด้วยชายหญิงสูงวัยและครองภพ
บทของ ‘ภาค’ ที่ต้องพูดแทรกยุแยงให้บิดาลงโทษน้องชายที่สอบตก กลับกลายเป็นบทเงียบ
ใช่...ร่มธรรมลืมบท
ลืมว่าต้องพูด
“อ่า...ขอโทษครับ” ชายหนุ่มวัย 28 รีบออกปากหน้าตาตื่น ยกมือไหว้ประหลกๆ ทว่าชายหญิงผู้รับบทบิดามารดาจอมเข้มงวด นอกบทกลับเป็นนักแสดงผู้คร่ำหวอดในวงการที่มีเมตตาอารี ในขณะที่คนรับบทน้องชายผู้ล้มเหลวกลับตวัดสายตามาจ้องจนร่มธรรมกลืนน้ำลายเอื้อก ได้แต่ยิ้มแหยแล้วผงกศีรษะ
“ขอโทษนะน้องครอง พี่ขออีกเทค”
ไม่มีคำตอบจากหนุ่มรุ่นน้อง นอกจากการเดินกลับเข้าไปยืนในจุดเดิมเพื่อเริ่มแสดงใหม่ ร่มธรรมสูดลมหายใจเข้าลึก รวบรวมสติและสมาธิทั้งหมดอย่างรวดเร็ว การถ่ายทำเริ่มต้นใหม่อีกหน
โชคดีที่ฉากนี้ ร่มธรรมไม่ต้องใช้อารมณ์มากนัก แต่ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหลายอย่างและไม่ได้พักผ่อนก็ทำให้ต้องใช้พลังงานมากกว่าที่ควรอยู่ดี ตอนที่ผู้กำกับสั่งคัท ชายหนุ่มก็ถึงกับถอนหายใจเฮือก
“เหนื่อยหรือ ร่ม” พรรณรสผู้รับบทมารดาของ ‘ภาค’ และ ‘ภูมิ’ หันมาถามอย่างเอ็นดู หล่อนเคยร่วมงานกับเขามาแล้วก่อนที่เขาจะออกจากวงการเมื่อ 6 ปีก่อน ตอนนั้นยังเสียดายฝีไม้ลายมือ คราวนี้เขากลับเข้ามาในวงการอีกครั้ง พอได้ร่วมงานกัน ก็พบว่าร่มธรรมยังเป็นชายหนุ่มผู้สุภาพและน่าคบหาเช่นเดิม ฝีมือของเขาจัดว่าอยู่ในระดับดีที่เดียว สำหรับคนที่ไม่ได้จับต้องงานด้านนี้มาถึง 6 ปีเต็ม
“นิดหน่อยครับ แต่นี่คิวสุดท้ายของวันนี้แล้ว แล้วป้าพรรณมีถ่ายต่อรึเปล่า”
“มีอีกคิวนึง กับครอง” พรรณรสตอบพลางหันไปมองชายหนุ่มวัย 22 ที่ยืนอยู่กับผู้จัดการส่วนตัว
“คนหนุ่มๆสมัยนี้ทำงานกันหนักจริงๆ เมื่อวานป้าเจอครอง ขึ้นเวทีถ่ายรูปเสร็จ เห็นเผ่นแน่บไปอีกงานต่อ” พรรณรสพูดพลางยิ้ม แต่ชายสูงวัยผู้รับบทสามีของหล่อนและเป็นบิดาของสองพี่น้อง ‘ภาค’ และ ‘ภูมิ’ กลับเหลือบไปมองครองภพแล้วทำหน้ายู่
“หน้าตึงแถมไม่พูดอะไรทั้งวันแบบนั้น ยังจะถูกจ้างขึ้นเวทีอีกเรอะ” พรรณรสฟังแล้วก็ถึงกับหัวเราะ
“ใครจะพูดเก่งเป็นต่อยหอยอย่างพี่อู๊ดล่ะ” องอาจทำหน้าตาขึงขัง
“ไม่ได้พูดเก่งเป็นต่อยหอย เขาเรียกว่ามีมนุษยสัมพันธ์! ทั้งตระกูลก็ไม่เห็นจะมีใครเป็นแบบนี้สักคน มีมันคนเดียวผ่าเหล่าผ่ากอ”
“ก็ลุงอู๊ดไม่สอนหลาน นี่ผิดที่ลุงนะ ไม่ใช่ผิดที่หลาน” หญิงสูงวัยหันไปหยอก
พรรณรสและองอาจเป็นนักแสดงที่โลดแล่นในวงการมาพร้อมๆกัน ดังนั้นเรื่องครอบครัวหรือชีวิตส่วนตัวของอีกฝ่ายก็ย่อมผ่านหูผ่านตามาบ้าง การที่ครองภพเป็นหลานชายขององอาจซึ่งเป็นนักแสดงมากฝีมือไม่ใช่เรื่องที่รู้กันโดยทั่วนัก แม้กระทั่งร่มธรรมเองก็ยังถึงกับเลิกคิ้ว
“ลุงอู๊ดเป็นลุงของน้องครองเหรอครับ”
องอาจทำหน้าเหม็นยามถูกถามถึงสถานะของตนเองกับครองภพ เป็นฝ่ายพรรณรสที่ต้องตอบแทน
“ลุงแท้ๆเลยล่ะ แม่ของครองเป็นน้องสาวของพี่อู๊ด”
“ร่มอย่าคิดว่าลุงพามันเข้าวงการนะ มันเข้าของมันเอง แล้วถ้าลุงรู้แต่แรกว่ามันจะเข้า ลุงจะถีบมันออกด้วยซ้ำ ดูสิ! มีมนุษยสัมพันธ์กับมนุษย์โลกซะที่ไหน!”
“พูดไป เขาไหว้พรรณทุกครั้งที่เจอหน้ากัน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ มีสัมมาคารวะ หล่อแล้วยังน่ารักด้วย” พรรณรสรีบแย้ง ต่อให้ครองภพจะไม่ค่อยพูด แต่ก็มีสัมมาคารวะไม่เป็นที่ขัดหูเคืองตาคนยึดอาวุโส เพียงแต่เขาไม่ใช่คนมีหัวข้อพูดคุยมากมายนัก พรรณรสมีลูกชายเช่นกัน หล่อนจึงพอจะรู้ว่าพวกเด็กผู้ชายนั้นมีเรื่องที่ยกมาเป็นหัวข้อชวนคุยกับผู้หญิงอาวุโสอย่างหล่อนไม่มาก
องอาจพ่นลมหายใจอย่างฉุนๆ
“เพราะพ่อมันนั่นแหละ เอาแต่ทำงาน ไม่รู้จักดูแลลูกไม่พอยังชิงตายตั้งแต่ไอ้ครองยังเด็ก นี่ถ้าไม่ได้พี่คอยจ้ำจี้จ้ำไชนะ ป่านนี้มันจะยกมือไหว้ใครเป็น!”
“โอ้โห เรื่องเอาดีใส่ตัวนี่ต้องยกให้คุณองอาจจริงๆ” องอาจเหล่ตามองนักแสดงหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับตนอย่างหมั่นไส้ แต่คบหากันมาเป็นสิบๆปีเช่นนี้ ไม่มีอะไรต้องมาเคืองใจกับคำหยอกเย้าแล้ว เขาจึงหันมาทางนักแสดงหนุ่มผู้อายุมากกว่าหลานชายของตน
“กับร่มล่ะ มันคุยด้วยบ้างไหม”
ร่มธรรมยิ้มจืด ไม่อยากจะพูดให้เป็นประเด็นว่านอกจากเขาต้องเป็นฝ่ายทักทายก่อนแล้ว รายนั้นยังไม่แม้แต่จะทักตอบด้วยซ้ำ เอาเป็นว่าการปรายสายตามามองนับเป็นการทักทายที่ครองภพมีต่อเขาก็แล้วกัน
“ยิ้มแบบนี้แสดงว่ามันไม่คุย เฮ้อ! จนใจกับไอ้ครองจริงๆ ขนาดคนรุ่นเดียวกับมัน มันยังไม่คุย แล้วชาตินี้มันจะไปคุยกับใคร”
“ผมอายุมากกว่าตั้ง 6 ปี คงจะคุยกับน้องไม่รู้เรื่องเหมือนกันแหละครับ”
แล้วร่มธรรมก็หัวเราะแห้งๆ พอดีกับที่รินฤดีเข้ามาตามเขาไปเซ็นเอกสารที่มีคนเอามาส่ง ชายหนุ่มจึงขอตัว
องอาจและพรรณรสมองตามก่อนจะเป็นฝ่ายชายที่ถอนหายใจออกมา
“สงสัยพี่ต้องเรียกไอ้ครองมาคุยบ้างแล้ว ให้มันหัดพูดกับคนอื่น หรือถ้าจะไม่พูดก็ไม่ใช่ข่มเขาแบบนั้น”
องอาจไม่ใช่ไม่เห็น หลานชายของเขาไม่พูดอะไรก็จริง แต่ฝ่ายร่มธรรมปิดความรู้สึกไม่เก่ง ตอนที่ต้องถ่ายเทคที่ 2 3 หรือ 4 นักแสดงหนุ่มผู้หวนกลับเข้าวงการอีกครั้งมีท่าทีเกรงอกเกรงใจหลานชายของเขาชนิดที่ไม่เหลือคราบบทบาทพี่ชายจอมเฮี้ยบอารมณ์ร้ายที่แสดงเลยสักนิด
พรรณรสพยักหน้าเห็นด้วย แต่ไม่วายเหลือบมองเพื่อนร่วมวงการที่เห็นหน้ากันมานาน
“แต่จะพูดกับครองแบบนั้น ก็ต้องรอให้ครองพูดกับลุงอู๊ดด้วยนะ ทุกวันนี้ลุงหลานคุยกันนับได้กี่คำแล้ว”
องอาจพูดไม่ออก อย่าว่าแต่ครองภพไม่คุยกับร่มธรรมเลย กระทั่งกับลุงแท้ๆที่เห็นมาตั้งแต่จำความได้ ยังพูดด้วยนับประโยคได้!
เออ! หรือจริงๆแล้วครองภพตัดขาดคนทั้งโลก ก่อนที่คนทั้งโลกจะตัดขาดครองภพเสียอีก!!
…………………………
ร่มธรรมนั่งอยู่ที่ชุดเก้าอี้ม้าหินไม่ไกลจากฉากนัก คนที่ยืนอยู่ข้างหลังคือพนักงานส่งเอกสารจากบริษัทของเขา แม้จะเป็นเรื่องด่วน แต่ชายหนุ่มก็รอบคอบ เขากวาดตาอ่านในขณะที่โทรศัพท์คุยกับเจ้าของเรื่องที่ต้องการลายเซ็นเร่งด่วน ก่อนจะจรดปากกาเซ็น แล้วปิดแฟ้มส่งเอกสารคืนให้พนักงานหนุ่มร่างเล็ก
“ขอบใจมาก” เขาพูด ก่อนจะหันไปหยิบกล่องอาหารของตนเองที่ยังไม่ได้ทานมาส่งให้ หนุ่มเมสเซ็นเจอร์ขาประจำของออฟฟิศที่ถูกเรียกใช้บ่อยๆได้แต่กะพริบตาปริบๆ
“พอดีผมมีอีกกล่องที่ทำมาจากบ้านแล้ว ช่วยเอากล่องนี้ไปทานแทนผมได้ไหม”
“ได้ครับ” หนุ่มเมสเซ็นเจอร์ยกมือไหว้ก่อนจะรับกล่องข้าวไป แล้วหมุนตัวเดินจากไป ตอนนั้นเองที่ร่มธรรมถึงได้เห็นว่าไม่ใกล้ไม่ไกลจากโต๊ะม้าหิน มีชายหนุ่มร่างสูงยืนจ้องมาที่เขา
“อ้าว น้องครอง...”
ครองภพมองตรงมาที่เขาแต่ไม่พูดอะไร เป็นฝ่ายร่มธรรมเองที่กระดากให้คนอื่นเข้ามาในบริเวณกองถ่ายที่ควรจะมีแค่คนที่เกี่ยวข้อง เพราะเห็นว่าบริเวณนี้ค่อนข้างเงียบเหมาะแก่การคุยโทรศัพท์เพื่อประสานงานในขณะที่ต้องใช้สมาธิอ่านเอกสารด้วย
“อ่า...พี่เห็นไม่มีใคร ก็เลยขอยืมพื้นที่ใช้เซ็นเอกสารหน่อย ขอโทษที”
“งานเยอะหรือ” ทว่าประโยคถัดมาไม่ใช่คำกระแหนะกระแหนแดกดันหรือการกระทำราวกับร่มธรรมเป็นอากาศธาตุ
ร่มธรรมกะพริบตาปริบๆอย่างคาดไม่ถึง แต่ก็รู้ตัวในเวลาอันสั้นเพราะอีกฝ่ายจ้องไม่วางตาราวกับต้องได้คำตอบ
“อ...เอ่อ...อื้อ งานด่วนด้วยน่ะ”
“วันนี้ก็เลยไม่มีสมาธิ” ประโยคนี้ของครองภพแม้จะไม่มีอารมณ์ประชดประชัน แต่ก็ทำเอาคนไม่มีสมาธิถึงกับหน้าเจื่อน หากเป็นคนอื่นถูกพูดจาเช่นนี้ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเรียบๆแบบนี้ คงหมายหัวครองภพไปแล้ว แต่...เพราะเป็นร่มธรรมที่ถูกเลี้ยงดูมาให้สุภาพ นอบน้อมและใจเย็น เจ้าตัวเลยไม่ถือโทษโกรธเคือง หนำซ้ำยังเกรงใจเพราะรู้ดีว่าวันนี้เขาไม่มีสมาธิจริง
“ขอโทษนะ พี่นอนน้อยก็เลย...”
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็ควรรีบกลับไปนอน ไม่มีคิวแล้วไม่ใช่รึไง” เป็นอีกครั้งที่ร่มธรรมกะพริบตาปริบๆ
“น้องครองรู้ได้ไงว่าพี่ไม่มีคิว”
“ได้ยินที่คุยกับป้าพรรณ”
“อ้อ...เห็นว่าลุงอู๊ดเป็นลุงของน้องครองด้วยใช่ไหม”
ครองภพไม่ตอบคำถามนี้ พอดีกับที่รินฤดีสาวเท้าไวๆเข้ามาหา
“ร่ม เสร็จรึยัง จะได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า...อ๊ะ...น้องครองก็อยู่ด้วย?” หญิงสาวเพิ่งเห็นว่าน้องชายของตนไม่ได้อยู่ที่โต๊ะม้าหินกับเมสเซ็นเจอร์แล้ว แต่เปลี่ยนเป็นนักแสดงหนุ่มรูปหล่อแทน
“จะรีบไปเปลี่ยนครับ”
คนไม่มีคิวถ่ายวันนี้แล้วรีบลุก ก่อนจะหันไปยิ้มจางขอตัวจากชายหนุ่มรุ่นน้องแล้วเดินกลับไปยังห้องแต่งตัว เป็นฝ่ายรินฤดีที่เข้ามาตรวจตราว่ามีของส่วนตัวของร่มธรรมตกหล่นหรือไม่ แน่นอนว่าต่อให้ทำงานในวงการมายาวนาน พบเจอดาราหนุ่มรูปหล่อมามากมาย ร่างกายมีภูมิคุ้มกันกับความหล่อเหลาของครองภพจนไม่กระโตกกระตากออกนอกหน้า แต่ถึงอย่างนั้น ในใจก็หวีดร้องกับทุกองศาบนเบ้าหน้าของเขาไม่เปลี่ยน
แต่ครองภพไม่ใช่คนเปิดโอกาสให้คนอื่นใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าร่มธรรมจากไปแล้ว และบริเวณนี้เหลือเพียงเขาและหญิงสาวซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงรุ่นพี่ ชายหนุ่มจึงหมุนตัวจะเดินหนีทันที
“เอ๊ย! น้องครองคะ” รินฤดีรีบร้องเรียก ทำเอาเจ้าของชื่อหันกลับมามอง
ครองภพไม่ขานรับ แค่เพียงมองหน้าคนเรียกด้วยสายตาเรียบเฉย
“อ...เอ่อ...น้องครองเห็น...เห็นกล่องข้าวตรงนี้มั้ยคะ ของร่มน่ะ พี่เห็นร่มถือมาด้วยตอนจะมาเซ็นเอกสาร” รินฤดีจำได้ว่าหล่อนเห็นร่มธรรมหยิบเอากล่องข้าวติดมือมาด้วย ตอนแรกคิดเอาเองว่าคงจะเซ็นเอกสารไปทานไปด้วย แต่ตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่กล่องด้วยซ้ำ
ครองภพเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเหมือนสีหน้า
“เห็นเขาให้แมสเซ็นเจอร์ไป”
รินฤดีทำตาโต ก่อนจะกลายเป็นถอนหายใจห่อไหล่แล้วส่ายศีรษะ
“เอาอีกแล้ว พี่อุตส่าห์ซื้อมาเพราะจะให้ร่มกินรองท้อง ดันให้คนอื่นแล้วตัวเองจะกินอะไร”
ครองภพนิ่งไป เห็นเขาไม่หมุนตัวทำท่าจะเดินออก รินฤดีเลยรีบสร้างความน่าเอ็นดูให้น้องชาย
“เป็นแบบนี้ประจำเลย แล้วเดี๋ยวโรคกระเพาะก็ถามหา” หล่อนทำเป็นเปรยกับตัวเอง แต่หวังให้อีกฝ่ายที่ยืนอยู่ได้ยิน อย่างน้อยหากครองภพนึกเอ็นดูร่มธรรมสักนิด จะได้ไม่จิกตาเขียวเหมือนทุกวันนี้
“เขาบอกว่าเขามีอาหารมาจากบ้าน”
แล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่ออย่างที่สองก็เกิดขึ้น นอกจากครองภพจะไม่มีทีท่าเดินหนีแล้ว ยังเอ่ยปากในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเองแต่อย่างใด รินฤดีทำตาโตก่อนจะรีบสำรวมท่าที
“เพราะกลัวว่าพี่หนุ่ยแกจะไม่รับน่ะสิคะ เมสเซ็นเจอร์น่ะ รายนี้เป็นเจ้าประจำรับงานของออฟฟิศ แกมีลูกเล็กที่ไม่สบาย เมียก็ตาย ร่มสงสารก็เลยจ้างรายเดือนแต่ให้วิ่งเอกสารอย่างเดียว ถ้าไม่มีงานก็ไม่ต้องเข้ามารอที่บริษัท จะได้มีเวลาไปรับงานที่อื่นด้วย นี่ยังไม่นับที่ช่วยหาโรงพยา...” ยังไม่ทันจะแจกแจงความดีของร่มธรรมได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย คนที่ถูกพูดถึงก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ก้าวเท้าตรงดิ่งกลับมาหาผู้จัดการส่วนตัวของตนเองแล้ว
ร่มธรรมอยู่ในชุดสูทเป็นทางการ ดูแล้วไม่ต่างจากคอสตูมจากในเรื่องเท่าไร แต่สีหน้าของเขาไม่ได้เคร่งเครียดถมึงทึง แต่กลับมีรอยยิ้มจางที่ดูสุภาพและใจดี
“เสร็จแล้ว พี่ริน ไปเถอะ พี่ไปก่อนนะน้องครอง” นักแสดงหนุ่มรุ่นพี่หันมาพูดกับครองภพก่อนที่ทั้งเขาและผู้จัดการสาวจะออกจากกองถ่ายไป โดยไม่ทันรู้ตัวว่ามีสายตาของคนที่ยืนนิ่งอยู่กับที่มองตาม
ทั้งๆที่อยากถอยห่าง แต่ทำไม...
ครองภพไม่เข้าใจตนเองเลย
...สุดท้าย กลับกลายเป็นเขาที่เดินเข้าหาร่มธรรมเสียเอง...
ติดตามตอนต่อไป (พฤหัสหน้าค่ะ)
คอนเซ็ปต์ของเรื่องคือปัจจุบันสำคัญค่ะ จริงๆเรื่องนี้ไม่ได้มีทริคอะไรเลย ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรด้วย แค่ตัวละครเยอะอย่างเดียวค่ะ สายสุขนิยมอย่างเราๆ จะมีทริคอะไรได้ยังไง ฮ่าฮ่า
เดี๋ยวบัวทำผังความเกี่ยวพัน แล้วจะเอามาแปะอีกทีนะคะ จะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้นค่ะ
ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ คนติดตามและพื้นที่ค่ะ
เจอกันพฤหัสหน้า
แก้ไข: เพิ่มผังความสัมพันธ์ของตัวละคร (สำหรับตัวละครหลักจะคงไว้ ส่วนตัวละครที่หลักน้อยลงมาหน่อยจะปรากฏในผังบ้างหรือถูกลบออกไปบ้างนะคะ)