ครืด...ครืด...ครืด...
โทรศัพท์มือถือที่สั่นกราวอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงทำให้ธนิกสะดุ้งเล็กน้อย คงเพราะกำลังจ้องมองใบหน้ายามหลับใหลของขวัญพัฒน์ราวกับต้องมนต์สะกด เขาจึงตกใจแค่กับเสียงสั่นเบาๆ ของโทรศัพท์มือถือ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์โทรเข้า ก่อนจะรีบรับสายทันที
“ครับแม่ กลับมาเมื่อไหร่ครับ”
[เมื่ออาทิตย์ก่อน] น้ำเสียงของธนิษฐายังคงเย็นชาแม้ว่ากำลังพูดกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน [ลูกล่ะเป็นยังไงบ้าง ไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องเลยหรือไง]
“พรุ่งนี้จะเข้าไปครับ”
[แล้วเด็กนั่นเป็นยังไงบ้าง มันยอมทำตามข้อเสนอของลูกไหม]
เด็กนั่นที่ธนิษฐาถามถึงนั้นกำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอยู่ในตอนนี้
“รับครับ ขวัญไม่มีปัญหาอะไรเลยครับแม่ ขวัญพูดง่าย เป็นเด็กดีมากๆ ครับ”
[ตอนลูกเจอเขมินทราแรกๆ ก็พูดแบบนี้ แล้วเป็นยังไง ลูกของงูพิษก็ยังคงเป็นงูพิษ คราวนี้ถ้าลูกใจอ่อนอีก เราจะไม่เหลืออะไร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเขมรัตน์ให้เอาไปบริจาคการกุศลยังดีซะกว่ายกให้ลูกของนังนั่น แม่ไม่อยากให้สายเลือดชั่วๆ ได้ทุกอย่างที่แม่สร้างมากับมือไปง่ายๆ]
“ผมทราบครับแม่ ผมเข้าใจครับ” ธนิกบอกเสียงแผ่ว “งั้นเรื่องของขวัญพัฒน์ แม่ปล่อยให้ผมจัดการนะครับ ผมรับปากว่าขวัญจะไม่สร้างความยุ่งยากให้แม่แน่นอนครับ”
[แม่จะรอดู] น้ำเสียงของปลายสายนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง [แล้วแม่ก็หวังว่าลูกจะไม่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง รู้มั้ยว่าเวลาคนเรามีความรู้สึกมากเกินไป ความล้มเหลวจะตามมา ลูกคงจะไม่หลงรักขวัญพัฒน์เหมือนที่เคยรู้สึกกับเขมินทราหรอกนะ]
ธนิกนิ่งงันไปกับคำถาม มือที่ลูบศีรษะของคนขี้เซาก็หยุดชะงัก เขาชักมือกลับแล้วกำหมัดแน่น “ไม่หรอกครับ ต่อให้หน้าเหมือนกัน...แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ไม่เหมือน”
เขมินทราน่ะช่างอ้อนและเอาอกเอาใจ ทั้งฉลาด รู้ทันคน แต่ขวัญพัฒน์นั้นทั้งทึ่ม ทั้งซื่อบื้อ เอาใจก็ไม่เก่ง คำพูดคำจาก็ทื่อจนน่าขัน ทว่าหัวใจของเขากลับสั่นไหวทุกครั้งที่ถูกแววตาซื่อๆ นั้นมอง ถูกคำพูดทื่อๆ นั้นปลุกเร้า ขวัญพัฒน์ไม่เหมือนเขมินทราเลยสักนิด แต่คนที่เด่นชัดอยู่ในใจของเขาก็ยังคงเป็นเขมินทราอยู่ไม่จางหาย เป็นความเด่นชัดที่มีแต่ความร้ายกาจ ไม่มีแม้แต่ความเสน่หา ทั้งๆ ที่จำแทบไม่ได้แล้วว่ารูปร่างของเขมินทราเป็นอย่างไร เด็กคนนั้นไม่มาให้เจออีกเลย หายไปราวกับสลายตัวไปกับอากาศ
[ดีแล้วล่ะ] เสียงจากปลายสายเรียกสติของธนิกให้กลับคืน [ถ้าลูกบอกแบบนั้นแม่ก็สบายใจ ลูกน่ะยังต้องแต่งงาน มีหลานให้แม่]
“ครับแม่”
[ลูกเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่แม่รักและพอจะตั้งความหวังได้ อย่าทำให้แม่ผิดหวังนะธนิก]
“ไม่ครับ ผมไม่มีทางทำให้แม่ผิดหวัง”
ตั้งแต่เล็กจนโต เขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มของมารดา ภาพที่เห็นจนชินตาคือภาพที่มารดานั่งร้องไห้เงียบๆ คนเดียวในห้องนอน ความเจ็บช้ำจากผู้ชายที่รักทำให้มารดาของเขาตั้งแง่กับผู้ชายทุกคนบนโลกใบนี้ ยกเว้นก็เพียงลูกชายเพียงคนเดียว
[แล้วตอนนี้ลูกพาเด็กนั่นไปอยู่ที่ไหน]
“คอนโดฯ ของผมครับ”
[อ้อ…บ้านเช่านั่นอยู่ไม่ได้แล้วเหรอ]
“อยู่ไม่ได้แล้วครับ เอ่อ...แม่ครับ ผมมีเรื่องอยากถาม” ความลังเลเกิดขึ้นในใจแค่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจถามสิ่งที่อยากรู้ “แม่ได้ส่งคนไปที่บ้านเช่าของขวัญพัฒน์หรือเปล่าครับ”
[แม่ไม่ได้ทำ] ธนิษฐาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่แฝงความจริงจังอยู่ในนั้น [ลูกขอให้ไม่ต้องยุ่ง แม่ก็ทำตามสัญญา]
“เป็นคนของอาแขรึเปล่าครับ”
[ไม่น่าใช่ แขไขคงอยากเจอหลานของมันที่ยังใช้มือเซ็นเอกสารได้ คงไม่โง่ส่งมือปืนไปหรอก อีกอย่างเขมรัตน์ก็อาจจะยังอยู่ไปจนถึงกลางปีหน้า ขืนฆ่าเด็กนั่นตายตอนนี้ มันก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี แต่ถ้าเขมรัตน์อยู่ได้อีกไม่เกินสามเดือนก็ไม่แน่นักหรอก]
“แม่จะทำอะไรเหรอครับ” ธนิกถามด้วยอย่างร้อนใจ “ผมว่าพ่อยังอยู่ก็ดีแล้วนะครับ ยังไงตอนนี้บริษัทก็ยังเป็นของเรา เพราะแม่เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าพ่อยังไม่ตาย พินัยกรรมนั่นก็ไม่มีความหมายอะไรเลย”
[ธนิก...อย่าห่วงเลยลูก แม่ไม่ทำอะไรหรอก ลูกคิดว่าแม่จะใจร้ายใจดำฆ่าคนได้ลงคอเลยหรือ]
“ผม…”
[ลูกน่ะแค่จัดการลูกของนังขวัญข้าวก็พอแล้ว เรื่องอื่นอย่าคิดเลย ปล่อยให้แม่จัดการเอง แต่จำไว้นะลูก ลูกของงูพิษต่อให้มันทำเชื่องแค่ไหน ยังไงก็ยังเป็นงูอยู่ดี ระวังด้วยนะ]
“ครับ”
ธนิษฐาขอตัววางสายไปแล้ว โดยทิ้งถ้อยคำให้ลูกชายได้ขบคิด ธนิกจ้องมองคนที่เป็นลูกของงูพิษ มองอย่างไรก็ไม่เห็นความร้ายกาจจากใบหน้าที่กำลังหลับใหลนี้ได้เลย
ขวัญพัฒน์น่ะเป็นเด็กดี แม้จะดื้อไปบ้าง แต่ก็จริงใจเปิดเผย เขาไม่เคยรู้จักมารดาของขวัญพัฒน์ ผู้หญิงที่ชื่อขวัญข้าวคนนั้นจะมีนิสัยอย่างไรก็ยากจะคาดเดา เขารู้แต่เพียงว่าหล่อนเป็นผู้หญิงที่ทำให้มารดาของเขาต้องเจ็บช้ำใจ มารยาที่เจ้าหล่อนมีก็ใช้หลอกล่อเขมรัตน์ พ่อเลี้ยงของเขาให้เผลอมีสัมพันธ์ด้วย แต่เขาไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เขายังเด็กมากในตอนนั้นและรับฟังทุกอย่างจากมารดาที่มักจะร้องไห้แล้วพร่ำสาปแช่งหล่อนกับลูกในท้อง เขาจึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมารดาของขวัญพัฒน์คืองูพิษหรือไม่ หากตัดสินจากขวัญพัฒน์แล้วก็มีแต่ความลังเล เพราะเด็กคนนี้เป็นลูกแกะไม่ใช่งูพิษ
“ขวัญครับ” เขาปัดปรอยผมที่ปรกหน้าผากให้พ้นทางก่อนจะบรรจงประทับริมฝีปากลงไป
“อื้อ...” เสียงของคนนอนที่ถูกกวนใจร้องท้วงเล็กน้อย แต่ตายังคงหลับพริ้ม
“พี่ทำเรื่องไม่ดีตั้งหลายเรื่อง แต่ทำไมยังมองพี่ด้วยสายตาแบบนั้น”
ขวัญพัฒน์เป็นคนที่รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกทางสีหน้าให้ได้เห็นจนหมด ยิ่งแววตาของเจ้าตัวยิ่งสื่อความหมาย ธนิกทำเรื่องไม่ดี ทำเรื่องที่อภัยให้ไม่ได้ไปตั้งหลายครั้งแต่ขวัญพัฒน์ก็ยังมองมาด้วยแววตาที่ไร้ความเกลียดชัง
“ขวัญต้องเกลียดพี่รู้มั้ยครับ ต้องเกลียดพี่นะ ต้องเกลียดพี่ให้มากๆ”
“ไอ้...หลง” ขวัญพัฒน์ครางงึมงำ น้ำตาซึมชื้นออกทางหางตา ธนิกใช้นิ้วโป้งเกลี่ยออกให้อย่างเบามือ
“ฝันร้ายอยู่สินะ”
แม้จะสงสารมากเพียงใดที่ก็ช่วยเหลือมากไปกว่านี้ไม่ได้ ธนิกรู้ดีว่าต่อจากนี้คงไม่มีคืนใดที่ขวัญพัฒน์จะได้นอนหลับฝันดีเลยสักคืน แต่เขาจะจับมือไว้อย่างนี้ ลูบศีรษะปลอบโยนไปจนกว่าฝันร้ายนี้จะหายไป หวังว่าคงจะช่วยบรรเทาความทุกข์ใจของลูกแกะตัวนี้ลงได้บ้าง
“คุณธนิกครับ ขอบคุณนะครับ เค้กอร่อยจังเลยครับ ผมชอบครับ เค้กที่คุณธนิกเลือกให้อร่อยที่สุดในโลกเลยครับ”
เพราะความใจดีมีแค่ในความฝัน ความจริงในบางครั้งก็ยังมีเรื่องที่โหดร้ายจนยากจะรับไหว ในความฝันของขวัญพัฒน์ที่หมุนเวียนเปลี่ยนเรื่องสลับไปมา กลับมีอยู่หลายครั้งที่ได้ไปนั่งดื่มกาแฟหอมๆ และทานเค้กแสนอร่อยกับคุณธนิกที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งท่ามกลางธรรมชาติ ได้ยินเสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล คุณธนิกในฝันนั้นยิ้มแย้มอ่อนโยน คอยเอาอกเอาใจและมักจะมอบจูบที่แสนหวานให้ไม่รู้เบื่อ
ทว่าคุณธนิกคนนั้นไม่ได้มีอยู่บนโลกแห่งความจริง
ผมมีนัดกับเขมินทราตอนบ่ายโมง แต่คุณธนิกต้องเข้าบริษัทตอนเช้าเพราะมีประชุม ผมจึงต้องติดรถเขาไปด้วย เพราะจะให้เขาวนไปวนมาระหว่างบ้านกับบริษัทก็คงไม่ดี เสียเวลาและเสียค่าน้ำมัน
“หลับสบายมั้ย” เขายื่นนมมาให้ผม แทนที่จะเป็นกาแฟ
“สบายครับ” ผมตอบ รับแก้วนมมาจากเขา “ผมอยากดื่มกาแฟบ้าง เอาแบบทรีอินวันน่ะครับ อร่อยแล้วก็ถูกด้วย”
“มันเรียกว่ากาแฟเหรอ หรือแค่ใส่กลิ่นกาแฟลงไปเฉยๆ”
“กาแฟสิครับ มันมีหลายสูตรนะ บางซองก็ขม บางซองก็หวาน”
คุณธนิกคงเติบโตมาโดยไม่รู้รสชาติของกาแฟแบบซองทรีอินวันสินะ เพราะคนอย่างเขาคงเคยกินแต่กาแฟสด ถ้าถึงขนาดมีเครื่องชงกาแฟอยู่ในบ้านก็คงไม่ใช่เล่นแล้ว ส่วนไอ้เครื่องนั่นน่ะผมใช้ไม่เป็นหรอกครับ มีแต่อุปกรณ์ทรงแปลกๆ ก็เลยไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
“น้ำตาลเยอะ ไม่ดีต่อสุขภาพ ดื่มนมน่ะดีแล้ว”
ผมย่นจมูกใส่เขา “นมก็มีน้ำตาลนะ ผมเคยเรียนมา”
“งั้นมานี่มา มาดื่มนมพี่ นมพี่ไม่มีน้ำตาล สูตรหวานแต่น้ำตาลน้อยมาก” เขายิ้มกรุ้มกริ่ม ล็อกคอผมเข้าใกล้
“ไม่เอาครับไม่เอา ผมดื่มแค่นมนี่ก็พอครับ” ผมปฏิเสธ รีบขืนตัวออก “เล่นอะไรก็ไม่รู้”
เขาหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเดินไปจัดการปิ้งขนมปังแล้วก็ทอดไข่ดาว ไม่นานนักอาหารเช้าของเราสองคนก็พร้อมเสิร์ฟ เรายืนกินกันที่เคาน์เตอร์ในครัวอย่างไม่พิถีพิถัน เขากินเร็วมาก กัดแค่สองคำขนมปังก็หมดแล้ว คงชินกับชั่วโมงเร่งด่วน ไม่เหมือนกับผมที่เช้าๆ อย่างนี้ต้องเขาไปซื้อซาลาเปาในเซเว่นแล้วก็จะนั่งชิวกินบนรถมอเตอร์ไซค์เพื่อรอรับลูกค้า
“คุณธนิกครับ ถ้าให้ผมไปด้วยจะให้ผมไปรอที่ไหนครับ คือผมจะไปกินกาแฟกับไอ้แนนตอนบ่ายโมง” ผมกำลังกังวลกับเรื่องนี้ เพราะเขาไม่ให้ไปรอที่ซุ้มวิน ทั้งที่ผมยืนยันแล้วว่าจะไปรอกับไอ้แนน พอบ่ายโมงก็จะไปที่ร้านกาแฟกันเลย แต่เขาไม่ยอม เขาให้เหตุผลง่ายๆ ว่าเขาเป็นห่วงเวลาผมไม่อยู่ในสายตา คำพูดน่ะหวานมากๆ ครับ แต่พอมาจากคุณธนิกแล้วผมก็เชื่อไม่ลง
“ห้องทำงานพี่ไง ขวัญไปรอที่นั่นได้”
“ไม่เอาหรอกครับ ผมไม่อยากเดินเข้าบริษัทของคุณธนิก คนคงสงสัยกันใหญ่ถ้าผมไปรอที่นั่น งั้นผมนั่งรอที่ป้อมยามกับพี่เปี๊ยกก็ได้นะครับ”
“ร้อนจะตาย” เขาเริ่มขมวดคิ้ว คงระเบิดออกมาแน่ถ้าผมยังยึกยักไม่ทำตาม “ไปรอที่ห้องทำงานของพี่นั่นแหละ ใครจะสงสัยก็ช่างหัวมัน บอกไปเลยว่าเป็นเด็กพี่”
“เด็กคุณธนิก” ผมทวนคำ เลิกคิ้วขึ้นสูง “หมายถึงเด็กที่แบบ...”
เขาเหมือนจะรู้ความหมายที่ผมต้องการจะพูด จึงรีบบอก “แฟน...พูดคำว่าแฟนก็ได้”
“แต่คุณธนิกมีคู่หมั้นแล้ว” ขืนบอกไปว่าเป็นแฟน ผมก็กลายเป็นพวกหน้าด้านแย่งแฟนคนอื่นน่ะซี
“งั้นบอกไปเลยว่าเป็นเมียน้อย”
“หาาา”
เขาหัวเราะพลางโยกหัวผมไปมา “ล้อเล่นน่า...บอกไปว่าเป็นน้องชายคนสนิทก็แล้วกัน”
น้องชายคนสนิท...ใครฟังก็คงจะคิดว่าเป็นคู่นอนไม่ต่างจากคำอื่นหรอก หรือผมจะคิดมากไปคนเดียว เพราะคำว่าน้องชายคนสนิทอาจจะไม่ได้มีความหมายแฝง มีแต่คนที่ไม่บริสุทธิ์ใจต่างหากที่เอาแต่คิด แต่มันช่วยไม่ได้นี่...ก็ผมน่ะโดนเขาจูบ โดนเขากอด แล้วเราก็เคยทำกันมาแล้วด้วย
“จะดีเหรอครับ” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ แต่เขากลับยักไหล่สบายๆ
“ดีสิ แต่คงไม่มีใครกล้าถามหรอก ไปกับพี่จะกลัวอะไร” เขาคงเป็นเจ้านายที่ในเวลางานต้องดุมากแน่ๆ ถึงไม่มีใครกล้าหือกับเขา “พี่ไม่ให้ใครมากวนใจขวัญหรอกน่า”
“ผมไปรอกับพี่จอยได้มั้ย พี่จอยบัญชีน่ะครับ” ในบริษัทของเขาที่ทำงานอยู่ในตึกก็มีแค่พี่จอยเท่านั้นที่ผมรู้จัก อยากจะใช้โอกาสนี้ไปคุยกับพี่จอยด้วยที่คราวนั้นไม่ได้ไปส่งที่หน้าตึก ต่อให้ไอ้แนนจะอธิบายให้แล้ว แต่ผมก็กลัวว่าพี่จอยจะไม่เข้าใจ ผมรู้จักกับพี่จอยมานานก็ไม่อยากจะมีเรื่องหมางใจต่อกัน
“ก็ได้นะ คุณจอยเขามีห้องทำงานส่วนตัว ขวัญไปรอกับคุณจอยก็ได้”
“ดีจัง ขอบคุณครับ”
คุณธนิกยิ้มแล้วทำแก้มป่อง “ไหนรางวัล”
ผมลังเลเพียงครู่ จากนั้นก็เขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อหอมแก้มเขา ยังไม่ทันจะได้ยืนพื้นเต็มเท้า เขาก็หอมกลับมา หอมไม่พอยังจะให้จูบมาด้วย
“ผมต้องโดนคู่หมั้นของคุณธนิกแหกอกเข้าสักวันแน่ครับ”
“เขาไม่ทำหรอกน่า” คุณธนิกบอกเสียงกลั้วหัวเราะ “คนสวยน่ะใจดีทุกคน”
“สวยมากมั้ยครับ”
“อยู่ในระดับที่ไม่มีใครกล้าจีบ เพราะสวยเกินไปล่ะมั้ง”
เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินคุณธนิกพูดถึงคู่หมั้นของเขา “เธอชื่ออะไรเหรอครับ”
“ชื่อนิ่ม มาจากคำว่านุ่มนิ่ม แก่กว่าขวัญสักหกปีได้”
แก่กว่าผม งั้นเธอก็อายุ 27 ย่าง 28 ปี ผมอยากรู้จังเลยนะว่าเธอจะเป็นผู้หญิงแบบไหน หน้าตายังไง
“คุณนิ่มตรงสเปคของคุณธนิกมั้ยครับ”
“ก็ตรงนะ ค่อนข้างดีทีเดียว”
“แล้ว...เอ่อ แล้วจะแต่งงานกันเมื่อไหร่เหรอครับ”
คุณธนิกทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย “นั่นสินะ...รอฝ่ายหญิงเขาพร้อมล่ะมั้ง ตอนนี้เขาเรียนต่อ ปีหน้าก็คงจบแล้ว”
ถ้าตอนนั้นผมยังคงติดแหง็กอยู่กับเขา แล้วงานแต่งของเขาผมควรจะไปร่วมอวยพรหรือเปล่า ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ ผมจะยินดีกับเขาได้มั้ยนะ
“คุณธนิกบินไปหาบ้างมั้ยครับ แล้วเวลาคิดถึงทำยังไง”
“ก็บินไปบ้าง ส่วนเวลาคิดถึงก็โทรหา แต่ไม่ได้โทรหาเลย เพราะไม่คิดถึง” ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่น เพราะผมอ่านสีหน้าของเขาไม่ออก แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมก็ไม่เกี่ยวด้วยอยู่ดี
“อ๋อ...ครับ” ผมตอบได้แค่นั้น เพราะนึกคำพูดไม่ออก เขามองมาแล้วยกมือขึ้นลูบหัวผม
“ถ้ารู้ว่าเจ็บแล้วจะถามทำไมล่ะ” รอยยิ้มของเขาราวกับกำลังปลอบประโลม “เด็กโง่”
“ผมไม่เจ็บแล้วครับ ผมตัดใจจากคุณธนิกได้แล้ว”
“ดีๆ ทำได้ดีมาก”
เราต่างก็ยิ้มให้แก่กันแม้จะรู้แน่แก่ใจว่าไม่ได้พูดความจริง ผมโกหกตัวเองเพราะไม่อยากยอมรับ ส่วนเขาก็รู้ว่าผมโกหกแต่ก็ยังแกล้งเชื่อ
คุณธนิกครับ...ผมน่ะต่อให้ตัดใจไม่ได้ แต่ผมก็จะไม่ก้าวเข้าไปหาคุณธนิกหรอกครับ ผมอยากใช้สิทธิ์ของคนแอบรักโดยที่ไม่ไขว่คว้าหาโอกาสในการครอบครองและกำลังรอให้ความรักครั้งนี้มัันเลือนหายไปตามกาลเวลา ผมหวังว่าวันหนึ่งคุณธนิกจะกลายเป็นแค่ใครสักคนที่ผมไม่รู้จัก เป็นแค่เพียงเงาจางๆ ในเศษเสี้ยวของความทรงจำที่ผมไม่นึกจำ
...............To be continue...........