สวัสดีค่ะ ตอนที่ 32 มาแล้วนะคะ คู่หลักลงเอยแล้ว คงลุ้นว่าอีกคู่จะเป็นยังไงต่อใช่ไหมคะ จะมีความคืบหน้าหรือไม่ก๋็เข้าไปอ่านกันเลยดีกว่าเนอะ เช่นเคยค่ะ หากมีคำผิดหรือข้อผิดพลาดประการก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ รักค่ะ ไว้เจอกัน
++++++++++++++++++++++
Holler…เรียกฉันสิที่รัก
ตอนที่ 32 Magic spell.
One of these days maybe your magic won’t affect me
ไม่แน่สักวันหนึ่งเวทมนต์ของเธอจะไม่ได้ผลกับฉัน
And your kiss won’t make me weak
และจูบของเธอจะไม่ทำให้ฉันอ่อนระทวยอีก
But no one in this world knows me the way you know me
แต่จะไม่มีใครบนโลกนี้ที่รู้จักฉันในแบบที่เธอรู้จักหรอก
So you’ll probably always have a spell on me…
นี่เธอร่ายคาถาใส่ฉันมาตลอดใช่ไหม
เก้าเดินเข้าห้องตามไคมาด้วยความมึนงง คำว่าแฟนยังคงล่อยล่องอยู่ในหัวเต็มไปหมด ไม่คิดจริงๆว่าพิธานจะออกตัวแรงถึงขนาดนี้ และพระพายก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้เขาฟังเลยสักนิด
“ตกใจอะไร ไม่ดีใจเหรอที่แผนสำเร็จ” ไคถามขึ้นหลังจากวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ
“กูช็อคว่ะ ไม่คิดว่าเพื่อนมึงจะพูดออกมาเต็มปากเต็มคำขนาดนั้น”
“ก็ดีสิ นั่นแปลว่าพิธานจริงจังกับพระพายนะ”
“ก็รู้ แต่ก็ยังเหนือความคาดหมายสำหรับกูอยู่ดี” เก้ายังคงนั่นมึนๆอยู่
“เดี๋ยวรอพระพายมาก็ค่อยถามสิ” ไคว่าพลางเดินไปหยิบขวดน้ำมาสองขวดจากตู้เย็น ยื่นให้เก้าขวดหนึ่งซึ่งเก้าก็รับมันมา
“แผนเราสำเร็จว่ะ ต่อจากนี้ไปสองคนนั่นก็ไม่ต้องเจอกันเพราะเรื่องพวกนั้นแล้ว” เก้าที่เริ่มหายงงก็คิดได้มากขึ้น
“ใช่ แผนเราสำเร็จ ต่อไปนี้ก็เป็นเรื่องของพวกเขาแล้ว”
“มึงคิดว่าสองคนนั้นจะไปกันรอดไหมวะ?” เก้ารู้สึกเป็นห่วงพระพายเหมือนกัน เพราะเป็นครั้งของพระพายที่คบหาใครสักคนเป็นแฟน
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถึงดูพิธานเป็นแบบนั้นแต่ก็เป็นคนจริงจังมากนะ” ไคว่าหลังจากดื่มน้ำจนหมดขวดแล้ว
“ก็เพื่อนมึงน่ากลัวจะตายชัก จะไม่ให้ห่วงพายมันได้ไงวะ”
“เอาน่า นี่ก็จะเย็นแล้ว นั่งพักสักหน่อยเดี๋ยวไปส่ง” ไคบอกจากนั้นก็เดินไปหยิบรีโมทมาเปิดทีวี
เก้านั่งลงตรงโซฟาหน้าทีวี ซึ่งไคก็นั่งลงข้างๆเช่นกัน เก้าดื่มน้ำไปพลางดูทีวีไปด้วย เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาอีกครั้งเพราะนี่ก็เริ่มจะเย็นแล้ว
“มึง กูหิวว่ะ” เก้าบอก
“รอหน่อยได้ไหม เดี๋ยวจะได้กินพร้อมกัน”
“เออๆ รอก็ได้” เก้าว่า
นั่งดูทีวีไปจู่ๆก็เกิดคำถามขึ้นมา เรื่องราวส่วนตัวของพิธานและไคนั้นทั้งตัวเขาและพระพายไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ทำงานอะไร ที่ไหนอย่างไร แทบจะไม่รู้จักกันดีเสียด้วยซ้ำไป เมื่อคิดได้อย่างนั้นก็ถึงเวลาที่ต้องถามเจ้าตัวแล้ว อย่างน้อยก็พอจะได้รู้อะไรมากขึ้น
“กูถามอะไรหน่อย” เก้าจั่วหัวขึ้นมา ในขณะที่ไคนั้นก็กำลังเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่
“ถามเรื่องอะไร?” ไคหยุดทุกอย่างแล้วหันมองหน้าคนที่กำลังตั้งคำถามอยู่
“มึงกับพิธานทำงานอะไร?”
“จริงด้วย ไม่เคยคุยกันถึงเรื่องนี้เลย”
“ก็นั่นแหละ กูเลยมาถามอยู่นี่ไง”
“พวกเรารับช่วงต่อธุรกิจของที่บ้าน” ไคตอบ
“ธุรกิจอะไร?”
“ของฉันเป็นธุรกิจส่งออกพวกเครื่องหนัง ส่วนของพิธานเป็นธุรกิจโรงแรม” ไคตอบ
“พวกมึงนี่คัดเพื่อนเข้ากลุ่มจากหน้าตาและฐานะการเงินรึไง?” เก้าอดไม่ได้ที่จะสงสัย ยังจำพวกเพื่อนๆของไคและพิธานได้ จัดว่าหน้าตาดียกกลุ่มเลยทีเดียว
“ไม่หรอก มันเป็นเรื่องบังเอิญ อีกอย่างมันเป็นสังคมที่เราเรียนเราอยู่เลยมาเป็นเพื่อนกัน”
“แปลว่าพวกมึงก็ว่างงานลอยชายได้เพราะเป็นงานของที่บ้านว่างั้น?”
“ไม่จริงเลย เหนื่อยกว่าพนักงานปกติเสียอีก” ไคบอก
“ตรงไหน กูเห็นพวกมึงเที่ยวกันตลอด” เก้าไม่เชื่อ
“จริงสิ เวลาทำงานก็หนัก แต่พอได้พักก็เลยเต็มที่”
“ชีวิตพวกมึงนี่ดีเนอะ เกิดมาก็มาต้นทุนชีวิตกันเลย” เก้าว่า
“อย่าคิดอย่างนั้นสิ คนเราความรับผิดชอบมากน้อยก็ตามต้นทุนชีวิตนั่นแหละ อีกอย่างพ่อแม่ก็คาดหวังเยอะตามไปด้วย” นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ฟังไคพูดถึงเรื่องราวเช่นนี้
“ลำบากกันขนาดนั้นเลย?”
“อืม เหนื่อยเหมือนกัน พวกเราเลยพยายามหาความสุขในแบบที่ตัวเองต้องการ” ไคตอบพร้อมกับมองหน้าเก้า
“ถ้ากูไม่เพ้อเจ้อจนเกินไป ตอนนี้พิธานเพื่อนมึงคงจะมีความสุข”
“ใช่ พิธานดูมีความสุขมาก”
“แล้วมึงล่ะ มึงยังหาความสุขไม่เจอเหรอ?” เก้าถามขึ้น เพราะสีหน้าของไคนั้นราวกับยังตามหาสิ่งที่เรียกว่าความสุขไม่เจอ
“จริงๆก็เจอแล้วนะ” ไคตอบ
“เจอก็ดีแล้วนี่” เก้ายักไหล่พลางพูด
“จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าความสุขของฉันที่เจอคืออะไร?” ไคว่าพลางขยับตัวเข้ามาใกล้เก้าทีละนิด
“จำเป็นต้องถามด้วยเหรอ?” เก้าพูด พลางขยับตัวอออกห่าง รู้สึกถึงอะไรสักอย่างเมื่อไคขยับเข้ามา
“ถามสิ จะได้ตอบ”
“เออๆ ถามก็ถาม แล้วความสุขมึงคืออะไรล่ะ?” เก้าเบ้หน้าอย่างรำคาญใจแต่ก็ถามตามที่ไคอยากให้ถาม
“ก็นายไง”
เป็นคำตอบที่เหมือนจะตรงกับที่เก้าคิดว่าเขาคือความสุขของไคตามประสาคนตามหยอดตามจีบ แต่ใจหนึ่งก็อดจะคิดไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องคิดคำตอบออกมาเช่นนั้น แปลว่ายอมรับและรู้ตัวดีใช่หรือไม่ว่าไคกำลังรุกจีบแบบเต็มตัว อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ที่คิดถูกเกินไปแล้ว
“กูน่าจะซื้อหวยนะ ถ้าจะทายแม่นขนาดนี้” เก้าว่า ไม่ได้รู้สึกเขินกับคำพูดของไคเลยสักนิด
“ไม่หน้าแดงเลยเหรอ?” ไคถามพลางจ้องหน้าเก้า
“กูไม่ใช่สาวน้อยตาหวานนะมึง ที่จะได้เขินกับคำเสี่ยวๆของมึงน่ะ”
“แต่เห็นพระพายหน้าแดงบ่อยจะตายไปเวลาอยู่กับพิธาน”
“คนละคนกันสิวะ นั่นเพื่อนกู นี่กู” เก้าแย้งทันที
“ต้องทำยังไงให้นายเขินได้ล่ะนี่” ไคว่าพลางใช้ความคิด
“มึงทำอะไรก็ไม่สะเทือนกูหรอก” เก้าพูดอย่างมั่นใจ
“จะจริงเหรอ?” ไคว่าพลางขยับตัวเข้ามา
“กะ...ก็จริงนะสิ” เก้าพูดเสียงดังขึ้น เมื่อรู้สึกถึงไคที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็มาลองกัน”
เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่พูดจบ ไคก็พุ่งเข้าหาเก้าแล้วจับข้อมือเก้าไว้ รู้สึกถึงแรงบีบที่ไม่ได้แรงมากนักแต่ก็ขยับบิดหรือกระชากออกไม่ได้ เก้าดิ้นพล่านทันทีที่ถูกไคจับตัวไว้
“ปล่อยกูนะไอ้ไค มึงเล่นอะไรของมึงเนี่ยะ” เก้าร้องเสียงดัง
“ก็จะทำให้หน้าแดงไง”
ไคว่าก่อนที่จะดันเก้าให้นอนลงบนโซฟา ใช้หัวเข่ากดขาของเก้าไว้ไม่ให้ได้มีโอกาสขยับหนีหรือให้ออกแรงถีบได้ เป็นเมื่อเหมือนคืนอีกแล้ว การใช้กำลังเช่นนี้ เก้าฮึดฮัดพยายามขยับตัวให้หลุดพ้นจากการแกล้งของไคให้ได้
“มึงเป็นบ้าหรือว่าโรคจิตวะ” เก้าว่าอย่างโมโห
“คนเราก็มีสิ่งที่ชอบทำต่างกัน จริงไหม?”
“พูดอะไรของมึง?” เก้าถามอย่างไม่เข้าใจ
“รู้ใช่ไหมว่าพิธานมีรสนิยมแบบไหน?” ไคถาม
“ก็พอรู้” จากที่พระพายเล่าแม้จะไม่ละเอียดแบบทุกฉาก แต่ก็พอรู้ว่าพิธานนั้นจัดอยู่ในประเภทไหน
“ฉันไม่ใช่แนวพิธานที่มักจะใช้อุปกรณ์ แต่ชอบแนวนี้ต้องใช้กำลัง นี่แหละที่ฉันเป็น” ไคว่า
ไคออกแรงกดอีกครั้ง คราวนี้เก้าดิ้นได้ยากกว่าเดิม ไคโน้มใบหน้าลงแล้วจูบริมฝีปากของเก้าอย่างรวดเร็ว เก้าหลับตาแน่นเพราะไม่อยากเห็นใบหน้าของไคที่อยู่ใกล้จนเกินไป จากการที่พยายามดิ้นนั้นก็เริ่มหยุดลงเพราะหวังว่าหากไม่ต่อต้านไคคงจะยอมปล่อย
“ไม่ดิ้นแล้วเหรอ?” ไคละใบหน้าขึ้นมาถามเก้าที่หลับตาแน่น
“มึงชอบให้กูขัดขืนใช่ไหม ถ้ากูไม่ดิ้น มึงก็จะไม่ชอบ” เก้าเลือกที่จะพูดออกไปตรงๆ
“คิดผิดแล้วล่ะ ถึงนายจะดิ้นหรือไม่ดิ้น ฉันก็จะทำอยู่ดี”
พูดจบไคก็จูบริมฝีปากของเก้าอีกครั้ง เก้าเม้มปากอย่างสุดชีวิตเพราะหวั่นใจว่าจะสอดลิ้นเข้าไป เมื่อรับรู้ได้ว่าเก้าไม่ยอม ไคจึงยึดข้อมือของเก้าทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะข้างด้วยมือเพียงข้างเดียว อีกมือที่ว่างก็สอดมือเข้าไปในเสื้อ ลูบตรงหน้าท้องของเก้าเบาๆจากนั้นก็จูบอีกครั้ง ฝ่ามือที่ลูบไล้นั้นเลื่อนไปโดนแถวหน้าอกของเก้า อารามตกใจเพราะไม่เคยถูกสัมผัสเช่นนั้นมาก่อนทำให้เก้าร้องออกมา ริมฝีปากที่เปิดขึ้นจึงทำให้ไคใช้โอกาสนี้สอดลิ้นเข้าไป
เก้าเบิกตากว้าง พยายามดิ้นพล่านแต่ก็ไม่ทำให้ไคหยุดแต่อย่างใด รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ไคอย่างที่เคยเห็นตอนปกติ ดูดุดัน น่ากลัวและไม่น่าเข้าใกล้เลยสักนิด ผิดกับไคที่ชอบยิ้มแย้มและหัวเราะอย่างที่ผ่านๆมา
“อื้อๆ” เก้าพยายามร้องประท้วง น้ำตาซึมตรงหางตาเพราะความโมโหที่ไม่สามารถสู้แรงไคได้ เมื่อไคเห็นเช่นนั้นจึงยอมหยุดและปล่อยเก้าให้เป็นอิสระทันที
“มึงแกล้งกูทำไมวะ” เก้ารีบลุกขึ้นนั่งทันทีพลางขยี้หน้าขยี้ตาเพราะดันโมโหจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
“ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ไคบอก
“ไม่ตั้งใจอะไรของมึง มึงตั้งใจชัดๆ”
“ขอโทษจริงๆ” ไคว่าก่อนที่จะขยับเข้ามาใกล้แล้วลูบผมเก้าเบาๆ
“ไม่ต้องมาตบหัวแล้วลูบหลังกูเลย” เก้าเบี่ยงตัวหนี
“อย่างอนกันสิ” ไคพูด ตอนนี้เจ้าตัวเริ่มยิ้มออกมาเหมือนอย่างเคย
“มึงเป็นโรคจิตเหมือนเพื่อนมึง” เก้าขึงตาใส่ไค ไคเงียบไปเพียงครู่ก่อนพูด
“พิธานไม่ใช่โรคจิต แต่เป็นรสนิยม” ไคแก้ไขคำพูดนั้น
“ถ้าพิธานมันมีรสนิยมแบบนั้น แล้วมึงก็มีรสนิยมชอบบังคับเหรอวะ?” เก้าถามอย่างรู้สึกหวั่นๆเมื่อนึกถึงตอนที่ไคใช้กำลังเมื่อครู่นี้
“ก็แค่แกล้งหรอก อยากให้นายเห็นว่าถ้าฉันจะทำอะไรนายจริงๆฉันก็ทำได้ จำที่เคยบอกได้ไหมว่าถ้านายไม่สมยอม ฉันก็จะไม่ทำ” ไคพูด เก้าเองก็จำได้ลางๆว่าไคเองก็เคยพูดเช่นนั้นมาก่อน
“เออ แล้ววันนี้ทำทำไมวะ?”
“ก็นายพยศ น่าปราบ ยิ่งนายสู้ก็ยิ่งขึ้น” ไคว่าพลางยิ้มกว้าง
“โรคจิตขนานแท้เลยมึง”
“ถ้าไม่อยากให้บังคับก็ยอมกันซะสิ” ไคบอก
“ทำไมต้องยอมมึงล่ะ?” เก้าเถียงทันควัน
“ชอบขนาดนี้แล้ว ไม่ใจอ่อนกันบ้างเลยเหรอ?” ไคว่าก่อนที่จะเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ๆเก้า
“กูไม่ใจอ่อนหรอก” เก้าพูดเสียงเบาขึ้นเมื่อใบหน้าของไคขยับเข้ามาใกล้ๆ
“ถ้าไม่อยากให้ใช้กำลังก็ยอมให้จูบแบบดีๆสิ”
“ทำไมต้องยอมด้วยวะ?” เก้าถอยออกมาทีละนิด
“ขอเถอะ ขอให้ฉันจูบนายแบบดีๆได้ไหม ถ้านายไม่ชอบจะผลักฉันก็ได้” ไคว่า
“เรื่องอะไรต้องยอม?”
“แปลว่ากลัวจะชอบมันสินะ” ไคยักคิ้วข้างเดียวเชิงท้า แน่นอนว่าเก้าไม่ยอมอย่างแน่นอน
“หยามกูอีกแล้ว เอาสิ เก่งจริงก็ทำเลย”
เมื่อเก้าพูดเช่นนั้นไคก็ทำตามอย่างที่ขอจริงๆ ริมฝีปากประกบลงอย่างแผ่วเบา ก่อนที่แลบเลียมันอย่างช้าๆ ขยับปลายลิ้นให้เก้าเผยอริมฝีปาก แน่นอนว่าเก้าก็ยอมให้ทำเพราะอยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าตัวจะทำอย่างไรต่อไป
ลิ้นนั้นกวาดควานทั่วโพรงปาก ดูดดุนมันอย่างช้าๆ ต้องยอมรับว่าไคนั้นถือว่าช่ำชองจนน่ากลัวเพราะการจูบนี้ทำเอาเก้าเริ่มหวิวในอก เผลอจูบตอบกลับไปตามประสาคนกำลังเคลิ้ม จากที่ไคบุกจูบอยู่ฝ่ายเดียว กลับกลายเป็นว่าเก้าก็จูบสู้ไปด้วย
ความคิดจะผลักออกเริ่มเลื่อนหาย ตอนนี้ริมฝีปากของทั้งสองประกบติดกันพร้อมเสียงจูบดังขึ้นมาเป็นระยะ การจูบของไคนั้นนุ่มนวลและรุกอย่างเป็นจังหวะ ผิดกับจูบที่ใช้กำลังจากเมื่อครู่นี้มาก ทำเอาเก้าเผลอใจไปไกลพอควร แต่เมื่อฝ่ามือของไคลูบไล้ตรงแผ่นหลังแล้วเลื่อนมาบีบที่สะโพก เก้าจึงได้สติและดันไคออกทันที
ใบหน้าแดงก่ำนั้นเผยให้ไคได้เห็นว่าเก้าหวั่นไหวไปกับจูบของเขาเสียแล้ว ริมฝีปากวาวฉ่ำเพราะการถูกจูบที่ติดกันหลายนาที ความเห่อร้อนกระจายไปทั่วตัว เก้าจึงรีบหันหน้าหนีไคที่ส่งสายตาหวานๆจนใจเต้นตึกตักขึ้นมา
“เป็นยังไง ชอบไหม?” ไคถามขึ้น
“ก็..งั้นๆ” เก้าว่าพลางหันหน้าไปทางอื่น
“หน้าแดงเชียวนะ” ไคว่าก่อนที่จะนั่งพิงโซฟาและวาดแขนไปยังด้านหลังของเก้า
“กู..กูร้อน” เก้าว่าพลางกระพือเสื้อบ่งบอกว่าอากาศร้อนจริงๆ
“ชอบเวลานายปากแข็งแบบนี้แหละ” ไคว่า
“ไม่ได้ปากแข็ง” เก้าพูดเสียงดัง
“ชอบนายนะ ฉันจะรอวันที่นายใจอ่อนกว่านี้” ไคว่าก่อนที่จะจูบแก้มเก้าอย่างรวดเร็ว เพราะตอนนี้มีเสียงออดดังขึ้น น่าจะเป็นพิธานและพระพายที่เป็นคนมากด
เก้านั้นเริ่มหวั่นใจแล้วตอนนี้ว่าเพราะอะไรถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ ทุกครั้งที่โดนไคแหย่จะเลือดขึ้นหน้าและทำเรื่องบ้าๆลงไปตลอด แต่ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นทุกๆครั้งก็จะยิ่งทำตัวไม่ถูก ร้อนรนและหวั่นไหว หรือว่าสำนวนที่พูดว่าน้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนจะเป็นเรื่องจริง
ไม่เคยหวั่นไหวกับใครขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำเขาใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขนาดนี้มาก่อน ยิ่งเป็นผู้ชายยิ่งเป็นไปไม่ได้ แต่ทำไมกับไคถึงพิเศษกว่าคนอื่น ยามโดนมองหรือทำเรื่องบ้าๆเหล่านั้นแล้วเหมือนจะรู้สึกอ่อนแรงแบบแปลกๆและครั้งนี้ยิ่งกว่าครั้งไหนๆคือการจูบตอบ ไม่อยากโกหกตัวเองเลยจริงๆว่าเมื่อจูบครู่นี้ทำเอาจิตใจกระเจิดกระเจิงและอ่อนระทวยจริงๆ
ไคใช้วิธีอะไรถึงทำให้เก้าไม่เป็นตัวของตัวเองขนาดนี้ แน่นอนว่าเก้าไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน และคงจะไม่ยอมให้ใครมาเห็นสภาพนี้ได้ เพียงแค่ไคคนเดียวก็เกินพอแล้วกับสภาพเช่นนี้ จูบที่ปล้นเอาความรู้สึกและเรี่ยวแรงราวกับเป็นเวทมนต์ เก้านั่งคิดอยู่อย่างนั้นจนพระพายเดินมาหาเก้าที่นั่งนิ่งจนผิดสังเกต
“เก้า มึงเป็นไร?” พระพายถามขึ้นเมื่อเห็นเก้านั่งเหม่อๆ
“อ้าว มึง มาแล้วเหรอ?” เก้าหลุดออกจากความคิดของตัวเองทันที
“เออ มาแล้ว และตอนนี้สองคนนั่นก็ลงไปข้างล่างบอกว่าจะไปซื้อของมากินกัน” พระพายบอก
“ที่จริงโทรไปสั่งก็ได้นี่หว่า?” เก้าถามอย่างสงสัย
“คุณไคคงอยากให้มึงคุยกับกูนั่นแหละ” พระพายว่าพลางยิ้ม
“เออ ใช่สิ พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา สรุปพวกมึงเป็นแฟนกันแล้ว?” เก้าถามถึงเรื่องนี้ทันที พระพายยิ้มออกมาอย่างอายๆ จนเก้าถึงกับส่ายหน้า
“ทำตัวเป็นสายน้อยอีกแล้ว สรุปใช่ไหมวะ?”
“อืม เขาขอกูเป็นแฟน แล้วก็ตกลงไปแล้ว” พระพายตอบ
“โอ๊ย สำเร็จแล้วโว้ย มึงได้มีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้วสิเนี่ยะ” เก้าว่าพลางหัวเราะออกมา
“เมื่อกี้มึงตกใจใช่ไหม ตอนที่เขาพูดแบบนั้นออกมาน่ะ”
“เออสิ ไม่คิดว่ามันจะพูดเต็มปากเต็มคำขนาดนั้น กูเลยตกใจ” เก้าว่า
“ก็ตามนั้นแหละ”
“ดีแล้ว ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว” เก้าว่า
“ถ้าไม่ได้มึงทำให้กูฮึดจะบอก ก็คงไม่เป็นอย่างนี้หรอก”
“ก็เพื่อนนางเอกดีเด่นสินะ” เก้าหัวเราะออกมา
“มึงแม่ง....เออ เรื่องกูจบแล้ว คราวนี้เรื่องมึง ไหนว่าจะเล่าให้กูฟังไง” พระพายยังไม่ลืมสัญญานั้น เก้าอึกอักขึ้นมาทันที
“มึงอย่านะ บอกกับกูว่าจะบอก อย่ามาเฉไฉนะ” พระพายสำทับขึ้นมาอีกรอบ
“เออๆ บอกก็ได้... อย่าตกใจล่ะ....คนที่มาจีบกูอยู่...คือเพื่อนของแฟนมึงนั่นแหละ” เก้าพูดจบพระพายนั่งประมวลผลทันที
“เพื่อนแฟนกู....เพื่อนคุณพิธาน..มีหลายคนนะมึง คนไหนวะ?” พระพายนั่งขบคิด
“เดี๋ยวนะ...คุณไคเหรอ?” พระพายร้องขึ้นมา เก้าเม้นปากพลางพยักหน้าเป็นคำตอบ
“คุณไค..จีบมึงเหรอ?” พระพายถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“ก็เออ มึงจะตกใจอะไรหนักหนา” เก้าว่า
“เมื่อไหร่กัน ยังไง ทำไม แล้วมึง..ใจอ่อนรึยัง?” พระพายรัวคำถามเป็นชุด
“โอ๊ย กูไม่รู้หรอก” เก้าตัดบทดื้อๆ
“เดี๋ยวสิมึง แล้วตอนนี้สรุปยังไงกันแน่?”
“มันก็ยังจีบกูอยู่ ก็เท่านั้นแหละ” เก้าบอก
“ทำไมกูโง่ขนาดนี้วะ ดูไม่ออกเลยว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้” พระพายขยี้ผมอย่างสับสน
“ไม่ใช่หรอก แค่มึงมองแต่แฟนหนุ่มสุดหล่อของมึงไง เลยไม่ได้สนใจอะไรเลย” เก้าว่า
“แล้วมึงทำไง หวั่นไหวรึยัง?” พระพายถาม
“มะ..ไม่” เก้าตอบอย่างไม่เต็มปากเต็มคำนัก แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรมากกว่านี้ พิธานและไคก็กลับเข้ามากันเสียก่อน
“ไปซื้อของกินจากเซเว่นมา มันเร็วกว่า กินได้ใช่ไหม?” ไคเป็นคนถาม มือนั้นหิ้วถุงมาพะรุงพะรัง
“เออ..กูกินหมดแหละ”
การสนทนาระหว่างพระพายและเก้าจึงยุติลง ทั้งสี่คนไปนั่งกันที่โต๊ะทานอาหาร พร้อมนั่งทานข้าวกล่องและอาหารต่างๆที่พิธานและไคซื้อมา พระพายนั่งทานไปพลางมองไคและเก้าสลับไปมาจนพิธานต้องหันไปถาม
“เป็นอะไร?”
“ปะ..เปล่า” พระพายตอบก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาทานอาหารอย่างรวดเร็ว
ใช้เวลาไม่นานนักทั้งสี่คนก็ทานอาหารกันเสร็จ จากนั้นไคจึงเตรียมตัวที่จะไปส่งพระพายและเก้าไปยังห้องพักเพราะตอนนี้เวลาเริ่มเย็นมากแล้ว...
Lyrics: Hate that I love you by Rihanna ft.Ne-Yo.