ตอนที่ 5
ซีรีส์ตอนแรกกับการเปิดตัว
เช้าวันต่อมา ผมต้องทนฟังจิตรินพล่ามอีกครึ่งชั่วโมงก่อนจะเริ่มเข้าสู่การฝึกซ้อมโดยมีบอดี้การ์ดหน้าโหดตามคุมเข้ม ถ้าจำไม่ผิด...เขาชื่อเบิ้ม เป็นเลขาอีกคนหนึ่งของเสี่ยผู้รับหน้าที่ดูแลความปลอดภัย
หลังคลายกล้ามเนื้อป้องกันอาการบาดเจ็บจิตรินก็ถือเป้าซ้อมให้ลองต่อยหมัดใส่เขา แต่ผมจะไปชกจิตรินลงได้ยังไง ชกไปชกมาเขาก็หัวเราะ เข้ามาจับแขนผมช่วยตั้งท่าอย่างถูกต้อง
...ผมถึงกับตัวแข็งทื่อไปเลย
“อ๊ะ ขอโทษนะ จิระไม่ชอบให้โดนตัวใช่มั้ย คุณสันเตือนผมแล้วแต่ชอบลืมทุกที...เฮ้อ ที่คุณสันเรียกผมมาช่วยสอนก็เพราะกลัวว่าจิระจะเกร็งน่ะ ก็การฝึกทักษะต่อสู้มันต้องโดนตัวเป็นเรื่องธรรมดานี่นา”
ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง...ยอมยกโทษให้คนสันอีกครั้งก็ได้ ชิ
หลังต่อยหมัดไม่รอด จิตรินก็ลองให้ผมลองจับปืน สตั้นท์แมนเก่าค่อนคุ้นเคยกับอาวุธพวกนี้ดีทีเดียว แถมยังอ้อมหลังผม เข้ามาช่วยประคองมือราวกับโอบกอดจากด้านหลังอีกต่างหาก...
“ตั้งท่าอย่างนี้นะ เวลาจะถอดกระสุนก็...” เสียงจิตรินดังข้างหู จั๊กจี้เหมือนถูกเป่าลมใส่เป็นระยะ
จิระโดนแช่แข็งอีกครั้ง
“อะแฮ่ม”
“อ๊ะ โทษที ผมลืมอีกแล้ว จิระอย่าโกรธกันนะ ผมขอโทษ ขอโทษๆ”
ดูจิตรินที่ยกมือไหว้ปลกๆ แล้วจะไปทำตาดุได้ยังไง ความอ่อยระดับสิบริกเตอร์นี้...ถ้าไม่เพราะมีชนักติดหลังผมคงเผลอใจเต้นกับคนคนนี้ไปแล้ว ดีนะที่เบิ้มมาช่วยคุมช่วยกระแอมไอเรียกสติคนไม่คิดอะไรมากอย่างจิตริน หารู้ไม่ว่าไอ้การกระทำหลายๆ อย่างเนี่ยช่างส่อให้คนอื่นเขาคิดซะเหลือเกิน
“จิระลองทำตามผมแล้วกัน”
จิตรินหยิบปืนอีกกระบอกแล้วทำเป็นตัวอย่างให้ผมเลียนแบบ
“คุณสันบอกว่าไม่ต้องเก่งแบบมืออาชีพมากก็ได้ แต่ต้องจับปืนเป็น วิ่งหนีได้ พอรับส่งบทกับสตั้นท์แมนได้ กระโดดสูงได้ เอ๊ะ จิระกลัวความสูงรึเปล่า ”
อยู่กับจิตรินโปรดอย่าหวังความสงบ
“ก็พอไหว...” ผมตอบ พยายามเพ่งสมาธิกับการฝึกถอดกระสุนปืนปลอมให้คล่องแคล่ว
“รู้มั้ยว่าจริงๆ แล้วอัครเดชกลัวความสูงล่ะ เวลาถ่ายฉากกระโดดสูงต้องใช้สตั้นท์แมนช่วยตลอด ผมเองก็เคยเป็นสตั้นท์แมนให้เขา ทั้งกระโดดทั้งปีนผาเลย แต่ตอนนี้ต่อให้อยากเป็นก็ทำไม่ได้เพราะกล้ามลีบหมดแล้ว เสียดายจังเนอะ อดเจอจิระในกองเลย”
ผมเพิ่งรู้ก็ตอนนี้เนี่ยแหละว่าอัครเดชกลัวความสูง
“แล้วจิระเจอนัทรึยัง ก่อนหน้านี้เขาเข้าใจผิดมาหาเรื่องผมด้วยล่ะ บอกว่าผมไปแย่งเสี่ยมาจากจิระเพื่อนสนิทของเขา พูดแล้วก็ปลื้ม ก่อนหน้านี้เขาเคยโกรธเกลียดผม แต่สุดท้ายก็ยอมรับผมเป็นเพื่อน เฮ้อ...นัทอารมณ์ร้อนไปหน่อยก็จริงแต่เป็นคนดีใช้ได้เลย แถมยังเคยบอกอีกต่างหากว่าถ้าผมไม่คบกับเสี่ยก่อนก็คงดี นัทคงอยากเห็นผมแต่งงานมีครอบครัวมีลูกน่ารักๆ ละมั้ง เห็นมั้ยว่าเขาเป็นคนดีขนาดไหน”
จิตรินโว้ย โดนคิดไม่ซื่อยังไม่รู้ตัวอีก!ผมเผลอทำกระสุนตกพื้น ถึงคราวซวยต้องรับกรรมที่ตัวเองก่อไม่พอ ยังต้องมารับผลบุญที่จิตรินไปหว่านเสน่ห์ในร่างของผมอีก
“แล้วพายล่ะ นายไปทำอะไรเขา” ผมถามอย่างอดไม่ได้
“ผมเปล่าทำอะไรสักหน่อย”
“ทำครับ” เบิ้มที่เฝ้าอยู่ริมห้องเอ่ยแทรกขึ้นมา
“ผมเปล่านะ!”
“ทำครับ” เบิ้มยืนยันเสียงแข็ง ส่วนผมแสร้งทำเป็นก้มเก็บกระสุนปืน นึกในใจว่าต้องระวังพายหน่อยแล้ว เห็นหงิมๆ อย่างนั้นแต่ความจริงแอบคิดเคลมกันรึเปล่าก็ไม่รู้ ช่างน่ากลัวจริงๆ
“ผมไม่ได้ทำอะไรพายจริงๆ นะ นัทก็เปล่า เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น แต่ถ้าพูดถึงเรื่องนี้แล้วละก็ เมื่อก่อนอัครเดชเคยแอบชอบผมด้วยล่ะ”
“อะไรนะ!” ตกใจจนเผลอปัดกระสุนกลิ้งขลุกไปไกลกว่าเดิม จิตรินนายจะเหมายกกองไม่ได้เข้าใจมั้ย!
“แต่ตอนนั้นผมเป็นเด็กเสี่ย คบกับเสี่ยอยู่เขาเลยตัดใจ สุดท้ายเราก็ชนหมัดกันแบบแมนๆ ลูกผู้ชาย ฉะนั้นจิระไม่ต้องกังวลหรอกนะ”
แต่ตอนนี้ฉันไม่ใช่เด็กเสี่ย! และยังโสดด้วย!!นึกถึงตอนเข้ากองซีรีส์เช็กเมทแล้วผมก็หนาวสั่นขึ้นมาทันที จิตริน ทองคำดี นายมันตัวหายนะ!
-----
เย็นนั้นผมกลับถึงห้องพร้อมหิ้วถุงน้ำพริกกะปิ...
อย่างอื่นน่ะทำเองได้ แต่น้ำพริกกะปิน่ะขอทีเถอะ ให้มานั่งตำครกโขลกน้ำพริกก็เกินไปหน่อยมั้ย ผมบ่นอุบอิบกับตัวเองในใจขณะทำอาหารตามใบสั่ง ก่อนจะไปกดกริ่งเรียกเตโชหลังทำอาหารตามเมนูที่เขาเรียกร้อง ไม่ใช่ว่าอยากเอาใจหรอกนะ แต่ผมขี้เกียจคิดไง เคยเป็นรึเปล่ากับการนั่งถามตัวเองว่าวันนี้จะกินอะไรดี นั่นแหละปัญหา ในเมื่อเตโชช่วยทำหน้าที่แทนเลยสบายเฮ เสียอย่างเดียว ท่าทางตอนเขาพูดมันน่าโมโหสุดๆ จนอดเกรี้ยวกราดไม่ได้
ยืนรอจนเริ่มเมื่อยเตโชก็ไม่เปิดประตูสักที ผมเลยเก็บอารมณ์ฟึดฟัดกลับห้อง นี่เขาออกไปข้างนอกโดยไม่บอกก่อนงั้นเหรอ ปล่อยให้ผมทำแกงส้มชะอมไข่กับปลาทูทอดเก้องั้นเหรอ ผมนั่งกินข้าวอย่างหงุดหงิด แต่กินคนเดียวไม่หมดเลยเก็บเข้าตู้เย็น พอดีกับผ้าที่ซักไว้เสร็จพอดี แม้จะปั่นแห้งแล้วแต่ยังเปียกหมาดๆ เลยต้องลากตะกร้าไปตากตรงระเบียง
ทันทีที่เปิดประตูบานเลื่อนออกก็ได้ยินเสียงร้องเพลงดังแว่ว
“ดูสิ ดูดวงจันทร์นั้นสิ เธอเห็นดวงเดียวกับฉันมั้ย
ดวงจันทร์นั้นอาจเป็นของใคร แต่ดวงใจฉันนี้มีแค่เธอ”ผมหลุดหัวเราะพรืด เพลงอะไรทำไมเสี่ยวขนาดนี้ พอหันไปมองก็เจอกับเตโชที่นั่งดีดกีตาร์อยู่ระเบียงข้างๆ กัน เขาหยุดร้องทันทีเมื่อถูกขัดจังหวะ ก่อนจะเริ่มดีดเพลงใหม่ในทำนองเดิมแต่เปลี่ยนเนื้อร้อง
“หิวจังหิวเหลือเกิน ดวงจันทร์ดวงนั้นกินได้มั้ย จะเหมือนข้าวที่เธอทำรึเปล่า
รสชาติจะคล้ายแกงส้มชะอมไข่หรือไม่นะ แล้วมีปลาทูทอดมั้ย น้ำพริกกะปิล่ะมีรึเปล่า”“พอได้แล้วเตโช ฉันหัวเราะจนเหนื่อยแล้ว” ผมหันไปเหวใส่เขา ปกติพูดเป็นคำๆ เรียบเรียงไม่เป็นประโยค พอร้องเพลงล่ะใส่เอาๆ เชียวนะ “เสียใจด้วย ฉันกดกริ่งเรียกนายตั้งนานไม่ได้ยินเลยกินมื้อเย็นคนเดียวหมดเกลี้ยง”
พลันเตโชทำหน้าคล้ายโลกถล่มดินทลาย
“แกงส้มใช่มั้ย ปลาทูทอดตัวนั้นใช่หรือเปล่า ที่เธอกินลงไปไม่แบ่งกัน หรือฉันไม่สำคัญ จึงไม่ได้นั่งกินด้วยกันกับเธอ”“ไม่ได้ยินเองมาโทษกันได้ไงล่ะ” ผมว่าเขาขณะตากผ้าไปด้วย “อดไปซะเจ้าตูบ หมดเวลาอาหารเย็นแล้ว”
“กริ่งดังตอนไหน กริ่งดังเมื่อไหร่ กดแล้วทำไมไม่ได้ยิน หรือเพราะเสียงหัวใจสื่อไม่ถึงกัน หรือเพราะเรานั้นไม่รักกันมากพอ”“เตโช นายแต่งแต่เพลงอกหักเพราะเป็นคนเพ้อแบบนี้ใช่มั้ย” ผมกลั้นขำจนตัวสั่นไปหมด ยิ้มแก้มปริแล้วเนี่ย
“เสียใจเหลือเกิน เสียใจเหลือเกิน ทำไมถึงถูกทิ้งซ้ำๆ ให้ทนหิวคนเดียว”“น่าสงสารจริงจริ้ง” ผมแกล้งแซว เตโชเห็นผมไม่ยอมลงให้สักทีก็วางกีต้าร์ ก่อนจะเดินเอื่อยๆ มาเกาะหนึบอยู่ริมระเบียง จ้องหน้าผมไม่ละสายตา
“หิว”
“เหรอ”
“หิว”
“แล้วไง”
“หิว”
“แต่ฉันอิ่มมากเลย”
ตากผ้าเสร็จ ผมเตรียมเก็บตะกร้าเข้าห้อง แต่เตโชยังเกาะอยู่ที่เดิมทำหน้าตายแต่สายตาหงอยเหงาเศร้าซึม
“ถ้านายมาห้องฉันภายในห้านาทีฉันจะเนรมิตแกงส้มชะอมไข่ ปลาทูทอด กับน้ำพริกกะปิให้”
เตโชพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะทำท่าปีนระเบียง...
“ไอ้บ้า! เข้าทางประตูสิวะ ตกลงไปตายฉันไม่ไปงานศพนายหรอกนะ!”
เตโชที่หิวจนตาลายพยักหน้าหงึกหงักอีกครั้ง ก่อนจะเดินโซเซเข้าห้องโดยทิ้งกีต้าร์ตากน้ำค้างซะงั้น ผมส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ ก่อนจะเดินไปเวฟอาหารเตรียมให้เจ้าตูบผู้หิวโหย
แค่หนึ่งนาทีเท่านั้นเขาก็กดกริ่งเรียกผม พอเปิดประตูก็ไม่มองหน้าเจ้าของห้องกันเลย มองแต่โต๊ะที่ยังว่างเปล่าราวกับจะเสกอาหารออกมายังไงยังงั้น พอมั่นใจว่าไม่มีจริงๆ ก็หันมาส่งสายตาตัดพ้อใส่
“ยังไม่ครบห้านาทีเลย รอก่อนสิ”
ผมชี้นิ้วไล่เขาไปนั่งรอ เตโชไม่พูดไม่จาประหนึ่งใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายในการพาตัวเองมาห้องผม เพราะพอทิ้งตัวนั่งปุ๊บก็พังพาบไหลไปกับเก้าอี้ ทำตัวเหลวเหมือนคนไม่มีกระดูก
“แล้วเมื่อกี้ร้องเพลงได้ตั้งนานนะนาย” ผมแซะเขาอย่างหมั่นไส้พร้อมเอาเท้าเขี่ย ปรากฏเตโชไม่หือไม่อือไม่ตอบสนอง แต่พอได้ยินเสียงไมโครเวฟร้องเท่านั้นแหละ หูกระดิก มองผมเหมือนไล่ให้ไปยกกับข้าวมาเสิร์ฟ เฮ้ๆ ผมไม่ใช่ลูกน้องเขานะ
แต่เห็นเขาหิวจนหมดแรงก็สงสาร ยอมยกแกงส้มชะอมไข่ ปลาทูทอด กับน้ำพริกกะปิออกมา ส่วนข้าวยังเหลือในหม้อ ก็เลยตักออกมาให้เขากินได้ทันที
จากนั้นก็เตโชก็สวาปามคำโตเคี้ยวแก้มตุ่ย ขนาดปลาหายไปครึ่งตัวเพราะผมกินไปแล้วก็ไม่บ่น จัดการแทะซะสะอาดหมดจดจนแทบจะเลียจาน
“รอดูเช็กเมทด้วยกันมั้ย”
มองเขาที่เก็บจานชามเรียบร้อยอย่างรู้หน้าที่แล้วไม่รู้นึกพิเรนทร์อะไรถึงได้หาเพื่อนดูด้วยกัน
เตโชพยักหน้ารับ เขาเข้าไปล้างจานในครัว ส่วนผมไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พอออกมาก็นั่งกอดเข่าตรงโซฟา ชี้นิ้วให้เขานั่งห่างๆ เพราะผมเป็นคนขี้ร้อน
ฉากเปิดตัวของซีซันสองเริ่มจากการหายตัวไปของมิสเตอร์เอส
อัครเดชกับธนัทพยายามสุดความสามารถในการตามหาเพื่อนสนิทนับหลายเดือน แต่กลับถูกขัดขวางจากองค์กรใต้ดินที่เป็นศัตรูคู่แค้นกันมาก่อน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ถูกแฮกเกอร์ปริศนาตามดักทุกทาง สุดท้ายจึงไปลากตัวพายมาร่วมก๊วน บีบบังคับให้มาช่วยรับมือพ่วงตามหามิสเตอร์เอสที่หายไป
ฉากสุดท้ายคือพายที่พ่ายแพ้แฮกเกอร์คนนั้นยับเยินไม่เหลือมาด ทั้งที่ถูกลากมาอย่างไม่เต็มใจแท้ๆ แต่ตอนนี้รับปากเป็นมั่นเหมาะ หึ แพ้ราบคาบขนาดนี้จะชิ่งหนีได้ยังไง!
พายไม่สนใจมิสเตอร์เอส แต่อยากปะทะกับแฮกเกอร์ผู้เก่งกาจคนนี้อีกครั้ง!
และเรื่องราวในตอนที่หนึ่งก็จบลงด้วยการร่วมมือของสามหนุ่มสามมุม ดันบทของพายทดแทนบทมิสเตอร์เอสได้อย่างแนบเนียนไร้ข้อติติง
เมื่อขึ้นเพลงจบผมก็รีบดูผลตอบรับในโซเชียลทันที กระแสค่อนไปทางบวก ทุกคนชื่นชมที่การถอดบทของผมกลายเป็นปริศนาน่าติดตามในซีซันสอง และยินดีกับพายที่กลายเป็นนักแสดงหลัก แทบไม่มีใครฉุกใจคิดถึงแฮกเกอร์ปริศนาเลย
“มิสเตอร์เอส” ยกเว้นเตโช เขาชี้บอกว่าแฮกเกอร์คนนั้นเป็นมิสเตอร์เอสทันทีที่จบเรื่อง
“อย่ามาทำเป็นรู้ดี นายแอบอ่านบทฉันเถอะถึงรู้” ผมศอกใส่เอวคนหน้ามึนที่นั่งดูอย่างใจจดใจจ่อ “แล้วอย่าคาดหวังกับมิสเตอร์เอสมากนักล่ะ นายชอบเขาเพราะเหมือนนายใช่มั้ย แต่ซีซันนี้มิสเตอร์เอสจะเปลี่ยนโฉมใหม่ไฉไลกว่าเดิม ไม่ใช่คนที่นายปลื้มแน่”
“มิสเตอร์เอสที่ไม่ใช่...มิสเตอร์เอส?”
“ใช่” ผมยกยิ้มยั่วเขา ก่อนจะทาบนิ้วชี้บนริมฝีปาก “แต่ฉันไม่บอกหรอกนะ เพราะว่าเป็น...ความลับ (secret)”
------------------------
ในที่สุดซีรีส์เช็กเมทซีซันสองก็เริ่มฉาย อยากจะไปนั่งดูกับจิระและเตโชจังเลยน้า เรานี่ชูป้ายไฟมิสเตอร์เอสกับซีเคร็ทรัวๆ เลยค่า
แปะโป้งไว้ก่อนครึ่งนึง แล้วครึ่งหลังมาเข้ากองกันค่ะ สำหรับคู่ของเตโชกับจิระจะแนวเรื่อยๆ เอื่อยๆ เหมือนเสี่ยกับจิตริน เพราะคอนเซปของสองเรื่องนี้คือความสัมพันธ์แบบใกล้ชิด เจอหน้ากันบ่อยๆ จนสนิทสนม พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แล้วค่อยๆ กลายเป็นความรู้สึกรักค่ะ
อย่างน้อย...เตโชก็บทเยอะกว่าเสี่ยนะ!
#จิระผู้เกรี้ยวกราด