+ G A M E R L O V E R +
แฟนผมเป็นโอตาคุเกมครับ!
9
..ของขวัญที่ดีที่สุดจากพระเจ้า...ก็คือตู้เกมเครื่องนี้นี่แหละ..
…....
….ปัญญาอ่อนเป็นบ้า ...ถ้าจะขอบคุณล่ะก็..ต้องขอบคุณบริษัทนัมโค ประเทศญี่ปุ่นต่างหาก... ข้าวโอ้ตอยากจะร่ายประวัติเกม 'ไทโกะโนะทัตสึจิน' ออกมาเสียแล้วถ้าไม่ติดว่าได้ยินเสียงเดินดังมาจากด้านหลัง และไม่ต้องเดา...จากมุมที่เขายืนอยู่แทบไม่มีใครผ่านไปผ่านมาด้วยซ้ำ เพราะงั้นทันทีที่หันไปเขาถึงได้พูดเต็มปากเต็มคำเลยว่า..
“ช้า.." แต่ยังไม่ทันจะสิ้นหางเสียง อีกฝ่ายกลับยื่นมือมาตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
นั่นทำให้ต้องเลิกคิ้วมอง ก่อนเด็กตัวสูงกว่าจะเอ่ยขึ้นมา
“แบมือสิครับ" “อะไร?”
“น่า แบมือหน่อย"
“ก็บอกมาก่อนสิว่าอะไร?"
ชายหนุ่มไม่มีทางยอมแพ้เป็นแน่ ความจริงข้อนั้นทำให้คนมองต้องหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วถือวิสาสะดึงมือของอีกฝ่ายให้หลุดออกจากการกอดอก บังคับแบมือเสร็จสรรพก่อนจะวางของร้อนดังกล่าวลงไป
เจ้าตุ๊กตารูปกลองสีแดงขนาดเท่าหัวแม่โป้งกลิ้งอยู่กลางฝ่ามือ ไม่ต้องมองดูดีๆก็รู้ว่าช่างคล้ายกับเจ้าตัวละครในเครื่องเกมที่อยู่ข้างๆเสียเหลือเกิน หรือพูดให้ถูกก็คือเป็นตัวเดียวกันด้วยซ้ำ...คนรับขมวดคิ้วหมุ่นราวกับไม่เข้าใจ คนให้เลยต้องแบสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองออกมาให้ดูตาม เจ้าตุ๊กตารูปกลองสีฟ้าที่เป็นฝาแฝดกันนั่นเอง..
และสิ่งแรกที่ร่างผอมบางถามก็คือประโยคที่ว่า
"ทำไมต้องคู่กันด้วย?" กอล์ฟเลือกที่จะไม่ตอบ "ติดเป็นมั้ยครับ?”
“ทำไมต้องติด เห็นคนอื่นห้อยกันเป็นพวง...เกะกะจะตาย"
“แต่นี่มีแค่ตัวเดียว ไม่ได้เป็นพวงสักหน่อยนะ" ร่างสูงกว่าแจง "อีกอย่าง..ที่เค้าห้อยไว้น่ะเพื่อที่โทรศัพท์ของเราจะได้ไม่ไปซ้ำกับคนอื่นไงครับ พี่โอ้ตไม่ได้ใส่เคสด้วยนี่"
“ก็พอใส่เคสแล้วมันหนาเกินไปนี่หว่า...”
“มา ผมติดให้ครับ"
คนถูกสั่งส่งเสียง
'จิ๊' ในลำคอ แต่ก็ยอมล้วงกระเป๋าหยิบมือถือของตัวเองออกมาให้อยู่ดี
เด็กหนุ่มใช้เวลาไม่นานที่จะสวมมันลงไป และติดให้โทรศัพท์ของตัวเองเช่นเดียวกัน...เสร็จสรรพจึงได้ยกทั้งสองเครื่องขึ้นมาโชว์ด้วยรอยยิ้มกว้าง
ขณะที่คนมองจ้องตาเขียวปั๊ด แต่น่าแปลกที่ไม่อาละวาด
“...เอามาจากไหน?”
“ฝากพ่อซื้อมาครับ"
“ซื้อมาให้พี่ด้วยน่ะนะ?”
“ฝากซื้อมาสองอันครับ ลิมิตเต็ดอีดิทชั่นด้วย พ่อเค้าเพิ่งกลับจากญี่ปุ่น..ของฝากเยอะแยะเลย"
น้ำเสียงที่เล่าผ่านนั้นดูเรื่อยๆไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นนัก และคนฟังก็รู้ได้ว่าผู้พูดไม่ค่อยอยากอธิบายอะไรเท่าไหร่ ข้าวโอ้ตถอนหายใจ..มองเจ้ากลองสีแดงที่แกว่งไปแกว่งมาอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วจึงพูด
“เออ ขอบใจ" คู่สนทนายกหลังมือเช็ดแก้ม
“.....ครับ" “หน้าแดง'ไมวะ?”
“เปล่าครับ พี่โอ้ตทานไรมายัง?”
“......ยังเลย.....เปลี่ยนเรื่องลื่นยังกะปลาไหลเลยนะมึง"
“ผมเปล่าเปลี่ยนเรื่องนะ ฮะๆ งั้นไปทานไรกันก่อนมั้ยครับ? กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะ"
แรกทีเดียวข้าวโอ้ตคิดจะหาเรื่องต่อเหมือนกัน แต่พอมองเวลาเลยรู้ว่าไม่ได้เร่งร้อนอะไร...กว่าเกมเซ็นเตอร์จะปิดก็อีกสองชั่วโมง ถือเป็นเวลาปกติของการรับประทานอาหารเย็นซะด้วย อีกอย่าง..เหตุผลที่อ้างมาก็ดูมีเค้ามูลอยู่ไม่น้อย ถือว่าสกิลตอแหลมันอัพเกรดขึ้นเยอะ
..ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ “ได้" คนฟังยังไม่ทันจะร้องดีใจ คนพูดรีบยื่นข้อเสนอ
"คราวนี้แกเลือกร้านนะ" ..ชะงักเพราะเดจาวูเลยทีเดียว.. คู่สนทนาอึกอัก คิดได้ว่าถ้าหากพูดอะไรออกไปคงจะโดนอ้างว่า 'ไม่อยากกินเส้นๆ' 'เบื่ออาหารญี่ปุ่น' หรือสารพัดอะไรเทือกนั้นเหมือนครั้งที่แล้วเป็นแน่ ที่สำคัญ...สิ่งที่เขาอยาก 'พา' ไปกินน่ะดูท่าว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมตกลงด้วยง่ายๆ
ดังนั้น...เหลืออยู่เพียงตัวเลือกเดียว...
“ผมว่า...ให้พี่โอ้ตเลือกดีกว่านะ" “อะไร? พี่บอกให้แกเลือก แกก็เลือกดิวะ"
“เผื่อว่าพี่โอ้ตอยากกินอะไรไง..."
“เออน่า วันนี้กูไม่ได้มีอะไรอยากกินเป็นพิเศษสักหน่อย....อะไรก็ได้ เบาๆหน่อยล่ะกัน"
..นี่ขนาดบอกว่าไม่ได้อยากกินอะไรเป็นพิเศษ ยังอุตส่าห์มีข้อกำกับมาอีกนะ.. “ไม่หิวเหรอครับ?”
“เปล่า" คนถูกถามสั่นศีรษะ "เมื่อคืนไม่ได้นอน...เลยกินอะไรไม่ค่อยลงฟ่ะ..."
“งานเยอะเหรอครับ?”
“อื้อก็..นะ...อะไรวะ เมื่อคืนก็ถามแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ไม่เบื่อบ้างรึไง แกก็โทรมาตอนพี่ทำงานอยู่น่ะแหละ"
อีกฝ่ายยิ้มอ่อน
“ผม...รบกวนรึเปล่า?” “ไอ้นี่...” ผู้สูงวัยกว่ายกมือกอดอก
"พี่ไม่เคยพูดคำนั้นนะ แต่ถ้าคิดเองเออเองว่ารบกวน...คราวหลังก็ไม่ต้องโทร!”
การพูดแบบนั้นทำให้กอล์ฟหัวเราะ นึกไม่ออกว่าจะขำเพราะมันน่าขันดีหรือเพราะดีใจกันแน่...เทคนิคการพูดของคนตรงหน้าช่างมีความสามารถที่จะอ้อมค้อมได้เหลือเกินประดา แถมยังวางท่าจัดซะไม่มี...สรุปสุดท้ายก็เป็นแค่คนขี้เขิน ไม่กล้าพูดอะไรออกมาตรงๆเท่านั้นเอง
..ปากร้าย..แต่ไม่ใช่ว่าไม่ตรงกับใจ..
...เพราะฉะนั้นเรื่องตีความจากคำพูดดังกล่าวจึงไม่ได้ยากเลย.. “หัวเราะหาหอกไรวะ แล้วตกลงจะกินร้านไรเนี่ย?"
คำนั้นทำให้คู่สนทนายกมือปิดปากยอมแพ้ ดวงตาคมพราวระยับขณะก้มมองคนตรงหน้า...ที่ทำท่าพร้อมจะต่อยเขาทันทีถ้าเผลอพูดอะไรไม่เข้าหูออกไป...
“พี่โอ้ต...ชอบของหวานมั้ยครับ?”
“กินได้ ทำไม?”
“...ถ้าผมเลือก...ครั้งนี้พี่ห้ามปฏิเสธแล้วนะ"
คำพูดนั้นทำให้คนฟังชะงักด้วยความชอบกล แล้วหันไปมอง "แกเลือกร้านไหนล่ะ?”
“บอกมาก่อนว่าห้ามปฏิเสธ"
“แกจะกินร้านไหน?”
“พี่โอ้ตให้ผมเลือกแล้วนะ ห้ามปฏิเสธไง"
“ไม่ได้ กูต้องรู้ก่อนว่าร้านไหน"
“มันไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นหรอกครับ ผมก็เคยกินกับ...
เพื่อน...ใช้ได้เลยนะ!”
ชายหนุ่มนึกลังเลอยู่นาน มันเป็นความลังเลที่ค่อยๆคล้อยตามด้วยตาเป็นประกายของคนตรงหน้า...และคิดได้ว่าร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้คงไม่มีการวางยาพิษเกิดขึ้นเป็นแน่ ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธ
เพียงแต่มองท่าทางเจ้าเล่ห์เกินพอดีแบบนั้นมันก็อดวิตกจริตไปเองไม่ได้ ดังนั้นคนจะตอบตกลงก็ได้แต่สองจิตสองใจอยู่นาน...นานพอที่ริมฝีปากหยักตรงหน้าจะขยับยิ้มกว้าง นานมากพอที่จะเบือนสายตามองไปทางอื่น แต่แน่นอนว่าคนอย่างข้าวโอ้ตไม่มีทางยอมแพ้ใคร
“ถ้าไม่บอกมาก่อนก็ไม่กิน" ..นั่นไง..
..เอาแล้วครับ..หนุ่มน้อยเอาแต่ใจ.. กอล์ฟสันนิษฐานอยู่แล้วว่าตัวเองคงเล่นลิ้นแบบนั้นอยู่ได้เพียงไม่นาน และมันก็จริง...เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจุดจบของเกมจะมาถึงเร็วปานฉะนี้ แต่สิ่งเดียวที่ควรทำคือห้ามหุบยิ้ม..ซึ่งเป็นหลักฐานของความพ่ายแพ้ชัดเจน
อย่างน้อยเด็กหนุ่มก็ยังคงยิ้มอยู่ ขณะชี้นิ้วลงไปที่ร้านอาหารร้านหนึ่งด้านล่าง
อีกฝ่ายมองตาม ก่อนจะทำหน้าตะลึงจนตาเบิกโพลง
“ฮ...”
ยังไม่ทันจะอุทานออกมา38ภาษา...ปลายนิ้วเรียวยาวก็แตะลงบนกลีบปากสีส้มให้ชะงักคำพูด
พร้อมประโยคคำสั่งที่เผด็จการน้อยกว่าฮิตเลอร์นิดหน่อย...
“...ห้ามปฏิเสธเด็ดขาดนะครับ"+ G A M E R L O V E R +
โทนส่วนใหญ่คือวินเทจสไตล์ สีชมพูไล่โทนตั้งแต่บานเย็นยันนมเย็น ขลิบขอบครีมลายลูกไม้กุ๊กกิ๊กแทบทุกระแหง โซฟาสีน้ำตาลแก่ไล่เรียงไปตามโต๊ะเข้ากับเครื่องประดับร้าน จะมีก็แต่เก้าอี้เดี่ยวที่หุ้มด้วยผ้าลายเดียวกับผนังเพียงเท่านั้น พนักงานส่วนใหญ่เป็นสาวสวยไม่ก็หนุ่มรูปงามผอมบางละม้ายคล้าย..เพศที่สาม แต่ไคลแมกซ์ที่ดูเหมือนจะเป็นจุดเด่นมากที่สุดคือท่ามกลางบรรดาคู่รักวัยรุ่นที่นั่งกระจายไปตามมุมต่างๆของร้านนั้นเองที่มี...ผู้ชายหน้าตาจัดไปทางดีสองคนนั่งอยู่ด้วยกัน
คนนึงตัวแข็งโป๊กปล่อยรังสีอำมหิตออกมา...พร้อมฆ่าทุกคนที่ปรายสายตามามองโดยตั้งใจ..
อีกคนกลับทำท่าเหมือนกลั้นขำอย่างทรมาน ขณะเลือกเมนูอาหารให้ตามที่ตนได้อาสามา..
“แก เห็นโต๊ะนั้นมั้ย? น่ารักดีเนอะ"
“มาด้วยกันไง สงสัยเป็นแบบ...อ่ะนะ~”
“อกหักตั้งแต่ยังไม่ทันจะเริ่มเลยแก"
“โอย แค่ได้เห็นก็ฟินล่ะ"
“เคะอายุมากกว่าเหรอ? น่ารักดีนะ"
“ส่วนรุกก็แบบ...หล่ออ่ะ ขาวน่าเจี๊ยะสุดๆ"
“เฮ้ยๆ ชั้นเคยเห็นบ่อยๆ...อยู่ข้างบนไงแก ที่ตีกลองเล่นเกมเก่งๆอ่ะ"
“ชั้นก็เคย มาตีด้วยกันบ่อยจะตาย...เห็นแมนๆเท่ๆทั้งคู่ไม่นึกว่า....ว้ายยย~"
“จริงป่ะ ทำไมชั้นไม่เคยรู้เลยวะ"
“แกเคยขึ้นไปข้างบนที่ไหนเล่า นั่น! ดูสิ! สบตากันแล้ว!”
“โอ้ยยย ฟินมรั่กมรั่ก!”
บทสนทนานั้นไม่ได้ดังนัก แต่คนประสาทสัมผัสดีทั้งสองก็กระแทกเข้าไปเต็มสองรูหู
ข้าวโอ้ตทำท่าเหมือนจะแดกหัวพนักงานเสิร์ฟจอมอู้พวกนั้นให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ต้องคุมอารมณ์สั่นขาดิกๆ...ราวกับว่าจะรอให้คนตรงหน้าสั่งอาหารเสร็จก่อนค่อยกระโดดข้ามไปขย้ำให้ตายอย่างไงอย่างงั้น..!
ผิดกับอีกฝ่าย...ที่ขยับยิ้มพอเป็นพิธีให้คนรับออเดอร์...ที่ดูยังไงก็รู้ว่ากำลังโปรยสเน่ห์(!?)แบบไม่ได้ตั้งใจ แถมยังทำตัวสบายๆเหมือนอยู่บ้านตัวเองซะอย่างนั้น ยังมีหน้ามายิ้มหน้าบานให้อีกนะ...
“เกิดมาทั้งชีวิต...กูยังไม่เคยเข้าร้านแบบนี้เลยเหอะให้ตาย!” ผู้สูงวัยกว่ากร่นออกมาจากลำคอ น้ำเสียงกลั่นจากความคั่งแค้นล้วนๆจนคนฟังแทบจะขำตาย
“ไม่เห็นต้องเกร็งขนาดนั้นเลยนี่ครับ"
“จะไม่ให้เกร็งยังไงไหววะ ดู..ดูสิ ไอ้พวกนั้นก็นินทาเราอยู่เมื่อกี้น่ะ!”
“อ้อ? เรื่องที่เค้าบอกว่าพี่หน้าตาดีน่ะหรือครับ?”
“......ประเด็นมันอยู่ตรงนั้นที่ไหนล่ะไอ้บ้า!!”
“ไม่เห็นต้องแคร์สายตาคนอื่นเลยนี่ครับ เรามาทานข้าวเฉยๆนี่" กอล์ฟระบายยิ้มหวาน ฉวยกระดานเมนูที่แทบจะถูกย่อยสลายเป็นผุยผงออกมาจากมือคนตรงหน้าโยนไว้ที่โต๊ะข้างๆ "คนทั่วไปเค้าก็ทำกันทั้งนั้น..."
“แต่ไม่ใช่ในร้านแบบนี้!” “พี่โอ้ตจะบอกว่าคนอื่นที่นั่งทานในร้านแบบนี้ทุกคนประหลาดเหรอครับ? ไม่ใช่สักหน่อย"
“อย่ามากวนประสาทว้อย!! เดี๋ยวปั๊ดเจอสองทีสี่รู!!”
คำขู่พร้อมอาวุธในมือนั้นไม่ได้ทำให้กลัวเลยสักนิด ติดจะใจเต้นตูมตามเสียมากกว่า
เด็กหนุ่มนั่งสงบจิตทำสมาธิอยู่พักใหญ่ แล้วเอ่ยถามออกไป
“แล้วเวลาพี่กับแฟนมาทานข้าวกันเนี่ย...นั่งร้านไหนกันน่ะครับ?” …...ไม่มีคำตอบ ความเงียบนั้นทำให้คนพูดประหม่าขึ้นมาดื้อๆ ยิ่งสายตาคู่นั้นเงยขึ้นมาสบแบบไร้ประกายใดๆมันทำให้คิดแล้วคิดอีกว่าตนละลาบละล้วงมากเกินไปรึเปล่า คำถามแบบนี้เขาเข้าใจว่ามันค่อนข้างส่วนตัว...แต่ทั้งคู่ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันเท่าไหร่นักถ้านับจากจำนวนชั่วโมงที่ได้คุยกันมา...
...อืม..การนับค่าความสนิทแบบนั้นคงแปลกน่าดู... กอล์ฟกำลังทบทวนคำพูดเมื่อครู่ และคิดว่าควรจะเอ่ย 'ขอโทษ' ออกไปดีรึเปล่า...วินาทีนั้นเองที่อีกฝ่ายเบือนสายตาออกไป แล้วตอบคำถามนั้นด้วยจังหวะพูดเนิบๆ
“....เคยมีที่ไหนล่ะ...แฟนน่ะ"
...เจ๋งเป้งที่สุด!!! เด็กหนุ่มใช้พลังทั้งหมดในการหักห้ามใจไม่ให้ชูมือขึ้นแล้วหมุนๆ ก่อนจะกระแอมกระไอแล้วถามต่อ
“จริงเหรอครับ?”
“...เออ จริง"
“อย่างพี่โอ้ตเนี่ยนะจะไม่เคยมีแฟน?”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องมีนี่หว่า แกดูพี่ดิ...ผู้หญิงที่ไหนทนคนอย่างพี่ได้แม่งไปเกิดเป็นนางฟ้าแล้ว!”
พอพูดประโยคติดตลกด้วยหน้าเหยเกแบบนั้นทำเอาอยากจะขำก็ต้องสะอึก คนฟังรู้ตัวเองว่ายังไม่พร้อมจะไปเกิดเป็นนางฟ้าที่ไหนในตอนนี้ แล้วจึงคิดจะถามไปว่า
'ถ้าเป็นผู้ชายที่ทนได้..จะไปเกิดเป็นเทวดารึเปล่า?' แต่ไม่เอาดีกว่า...
...มันดูจะ...รุก...มากเกินไปหน่อย... ร่างสูงกลัดกลุ้มได้ไม่นานนัก พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอดวงตากลมโตของอีกฝ่ายจ้องเป๋ง
“.....ครับพี่?”
“แกมีเยอะแล้วอ่ะดิ...หน้าอย่างงี้อ่ะ?" ทั้งสองจ้องหน้ากันอีกครั้ง กอล์ฟกำลังใคร่ครวญว่ารูปประโยคและน้ำเสียงเมื่อครู่หมายถึงอะไร จะตีความอย่างเข้าข้างตัวเองว่า 'หึง' ก็คงจะไม่ใช่ที่ ดูจากนิสัยแล้วน่าจะถามแบบขอไปที..แต่แววตาจริงจังนั่นมันอะไรกัน..
….ให้ตายเถอะ....
จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็เถอะ...แต่เวลาทำหน้าเหมือนจับผิดแบบนี้มันช่างน่า...............เป็นบ้า! ตอนนั้นเขารู้ตัวแล้วว่าจะตอบอะไรตอนนี้ก็ดูเหมือนจะช้าไป เรื่องที่ว่าต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนพูดมันเป็นไปแทบไม่ได้เลยในชีวิตจริง ในเมื่อเรามีคู่สนทนาอยู่ตรงหน้า...และเขาก็รอที่จะฟังคำตอบจากเราโดยไม่ต้องการการเสแสร้ง...
ดังนั้นไม่แปลกที่ดวงตาคู่นั้นจะก้มหลบ แล้วไหวไหล่
“ช่างมันเหอะ ก็พอเดาได้อยู่"
“...พี่...สนใจด้วยเหรอครับ?”
“เปล่านี่ ก็แค่ถาม......ไม่อยากเปลี่ยนบทสนทนาเนียนๆแบบแกหรอกโว้ย"
ไม่ว่าคนตรงหน้าจะพูดแบบนั้นด้วยสาเหตุอะไร แต่คนฟังกลับดีใจอยู่ลึกๆ
..ใช้ชีวิตมาเกือบ18ปี กอล์ฟเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นว่าตัวเองเป็นอะไรที่คล้ายๆกับมาโซคิสต์.. “ผมก็ไม่เคยเหมือนกันครับ แฟนน่ะ" ในที่สุด..เขาก็พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ส่วนคนฟังน่ะถึงกับเลิกคิ้วสูงคล้ายอยากจะถาม แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปาก...ออเดิร์ฟที่สั่งไว้ก็ยกมาเสิร์ฟขัดจังหวะเสียแล้ว
กลิ่นเห็ดเข็มทองจนอดไม่ได้ที่จะหยิบตะเกียบพร้อม แรกทีเดียวข้าวโอ้ตยังติดใจอยู่ แต่ก็ตระหนักว่ามันจะจาบจ้วงเกินไปหน่อยมั้ยถ้าเขาจะยิงคำถามอะไรออกไปเดี๋ยวนั้น.....
“ผู้หญิงทนไม่ได้หรอกครับ ถ้าผู้ชายเล่นแต่เกม"
และคนตรงหน้าก็เป็นฝ่ายอธิบายมาก่อน..
“ผมเรียนโรงเรียนชายล้วนด้วยแหละครับ ไม่ค่อยมีผู้หญิงผ่านเข้ามาในชีวิตสักเท่าไหร่"
เรื่องนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่.. “เดินห้างบ่อย...มันก็ต้องมีบ้างแหละ ใช่มะ?”
“ถูกครับ ก็มีบ้าง...แต่ผู้หญิงที่คุยด้วยเค้าก็ไม่ค่อยอยากจะมายืนรอดูผมเล่นเกมสักเท่าไหร่หรอก" กอล์ฟอธิบาย บรรจงแกะเห็ดเข็มทองผัดเนยออกเป็นคำๆไว้พอดี..แล้วจัดการมันเข้าปาก "...สุดท้ายยังไม่ทันจะเป็นแฟน ก็เบื่อๆเลิกๆกันไปเอง"
..อาหารจานหลักถูกยกมาเสิร์ฟ.. ข้าวโอ้ตรู้สึกดีกับสถานการณ์ขัดจังหวะแบบนั้น เพราะน้ำเสียงที่แทบจะไร้ความรู้สึกของคนตรงหน้ามันอ่านไม่ออกเลยว่าอยู่ในอารมณ์ใด และควรจะตอบรับแบบไหนออกไป..
ทั้งๆที่ค่อนข้างจะสนิทกันแล้ว..แต่ก็ยังมีระยะห่าง..เหมือนเส้นบางๆกั้นอยู่
ชายหนุ่มรู้สึกแบบนั้น และคิดว่าไม่ควรจะพูดอะไรละลาบละ....
“แล้วตอนนี้พี่โอ้ต 'คุย' กับใครอยู่บ้างรึเปล่าครับ?” ….ล้วง... คำถามนั้นทำให้คนฟังเงยหน้าขึ้นมาอีกรอบ จึงได้พบว่าคนตรงหน้าไม่ได้มีท่าทีปิดกั้นอย่างที่ตัวเองคิดเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย ละลาบละล้วงกว่าที่ตัวเองคิดเสียอีก!! ..แถมยังคลี่ยิ้มน้อยๆกับการท้าวคางตั้งใจฟัง เรียวคิ้วคมเข้มเลิกขึ้นข้างหนึ่งจากการรอคำตอบ..มันทำให้คนมองเผลอหลุบสายตาลงอย่างช่วยไม่ได้ แล้วประเดิมกินคำแรกเข้าไปก่อน
“จะไปมีได้ยังไงกันล่ะ"
ทิ้งจังหวะ..มันเป็นจังหวะที่นานจนหัวใจเต้นขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
“...ก็มีแต่แกเนี่ยแหละ" “จริงเหรอครับ?”
คำสวนควับประหนึ่งรอพูดอยู่ก็มิปานแบบนี้ทำให้คู่สนทนาชะงักทันควัน แล้วต่อ
“ก็จริงดิ ตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตขนาดนี้จะมีเวลาที่ไหนไปคุยกะใครวะ"
“แล้ว...ไลน์?”
ข้าวโอ้ตชูนิ้วขึ้นมา "ไอ้โจ้ รุ่นน้องที่ออฟฟิศสองคน หลานชาย หลานสาว แล้วก็แก...หกคนไม่ขาดไม่เกิน"
ไม่รู้ทำไม..คนพูดถึงแอบสะกิดใจกับมุมปากที่กระดกขึ้นมากกว่าปกติของคนตรงหน้านั่นจังนะ..แต่ชายหนุ่มก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ เมื่อคู่กรณีตั้งคำถามต่อ
“แล้วโทรศัพท์..ล่ะครับ?”
“ก็มีแต่แก"
“แค่นั้นเหรอครับ?”
"อืม...แล้วก็คุยเรื่องงานไง ทั่วๆไป"
“แล้วเมสเซสล่ะครับ?"
“.......ถามมากงี้เอามือถือกูไปเช็คเลยดีกว่าป่ะ? เอาป่ะ?” คำพูดพร้อมท่าทางจริงจังอยากจะควักออกมาปาใส่หน้าแบบนั้นทำให้กอล์ฟหัวเราะหน้าแทบหงาย ก่อนจะยกมือโบกปัดเป็นเชิงปฏิเสธ...แล้วลงมือจัดการเจ้าอาหารชุดตรงหน้าอย่างอ้อยอิ่ง...ไม่ได้มีท่าทีเร่งร้อนสักนิด
คนมองขมวดคิ้วอย่างนึกสงสัย ยิ่งมองไอ้คนทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนแบบนี้ก็ยิ่งขัดใจ
...หรือมีแต่เขาที่คิดไปเองคนเดียวว่า 'คำถาม' เมื่อครู่มันแปลกๆ...?
จะเรียกว่าอยากรู้อยากเห็น ภาษาปากว่าเสือก หรือมีความนัยแฝงอะไรรึเปล่าเขาก็ไม่รู้...แต่นั่นมันใช่บทสนทนาของลูกผู้ชายคุยกันที่ไหน..ถ้าคิดจากการที่เขาเป็นลูกผู้ชายมาทั้งชีวิตแล้วล่ะก็นะ...
….
...สงสัย..อยู่อย่างนึง...
มือเรียวผอมแบยื่นออกไปตรงหน้าด้วยจุดประสงค์หลัก อีกคนเงยหน้ามองกระพริบตาปริบๆ พยายามพิจารณาตีความหมายจากรูปการณ์ ทั้งตะเกียบทั้งส้อมก็วางเรียบร้อยคล้ายกับว่าไม่อยากทานต่อ ดวงตากลมโตนั่นก็กดดันอยู่ลางๆ พอสบตากันสักพัก...เรียวคิ้วดุก็ยักขึ้นทีนึง...ราวกับต้องการจะบอกอะไรสักอย่าง..
...ที่คนมองแม่งไม่เข้าใจ...
กอล์ฟกลืนน้ำลาย..เป็นวินาทีที่เขาตัดสินใจเก็บตะเกียบบ้าง แล้วยื่นมาไปแตะมือข้างนั้นแผ่วเบา...จึงได้รู้ว่าผิวสัมผัสนั้นหยาบกระด้างกว่าที่คิด...แต่อันที่จริงมันก็ไม่ได้น่าแปลกใจอะไรนัก ก็โหมเกมหนักขนาดนั้น..ไหนจะงานอีก......
“ทำเหี้ยอะไร กูให้เอามือถือมา" คำพูดนั้นทำให้เด็กหนุ่มชะงักทันที แล้วยิ้มแผล่
“ถ้าไม่บอกนี่จูบมือไปแล้วนะเนี่ย ฮะๆ"
คนตรงหน้าขมวดคิ้วหรี่ตา "...อะไรของแกวะ? มีความลับอะไรปกปิดไว้ใช่มั้ย?"
“ความลับอะไรกันครับ?”
“เอามือถือมา"
“พี่โอ้ตมีอะไรรึเปล่า?”
“เอามือถือมาเหอะน่า!"
ท่าทางคนตัวเล็กตรงหน้าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆหากไม่ได้รับของที่ต้องการเป็นแน่ กอล์ฟขำน้อยๆขณะล้วงกระเป๋ากางเกง...แล้วหยิบวัตถุร้อนดังกล่าวออกมาวางไว้ให้
“เช็คได้เลยครับ...ทั้งเครื่องมีแต่พี่โอ้ต" ...จริงของมัน... ข้าวโอ้ตเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอีเดียทซะเหลือเกินที่ทำอะไรแบบนี้ แต่ก็กดดูอะไรผ่านๆไปเรื่อย
นอกจากบันทึกการโทรออก ไลน์ แอพพลิเคชั่นเกมที่เล่นแล้ว....ที่เหลืออยู่ที่ทุกคนแม่งต้องเช็คก็คือรูปภาพในมือถือ ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นเหมือนวัยรุ่นทั่วไป มีรูปตัวเองประปราย ถ่ายกับเพื่อนฝูงประปราย แล้วก็ถ่ายแลคเชอร์ประปราย...และส่วนใหญ่จะเป็นรูปที่เหมือนเพื่อนหยิบไปถ่ายมากกว่าตั้งใจถ่ายด้วยตัวเอง..
เงามืดทอดลงมาใกล้ ทำให้ชายหนุ่มรู้ตัวว่าอีกฝ่ายชะโงกมามองจนหัวแทบจะชนกัน
..มันเป็นความใกล้ที่ทำเอานิ้วแข็ง ไม่กล้าขยับเขยื้อน..ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ความหมาย.. “คิมชอบเอาไปถ่ายครับ สาวๆพวกนี้ก็เด็กคิมมัน"
คนตรงหน้าอธิบาย คล้ายกับไม่ได้มีความรู้สึกแปลกๆปะทุอยู่ในอกแบบเดียวกัน
คนฟังจึงทำได้แต่พยายามลืมเรื่องนั้นไป
“...แล้ว...แฟนเก่าล่ะ?” “บอกไปแล้วไง..ว่ามีที่ไหนล่ะครับ แฟนเก่าน่ะ"
คู่สนทนากรอกตาเบ๊ปาก "คารมแบบนี้...สำเร็จไปกี่ครั้งแล้วล่ะ?”
เด็กหนุ่มขยับยิ้มบาง ดวงตาเป็นประกาย
“แล้วครั้งนี้ล่ะ...สำเร็จมั้ยครับ?” เท่านั้นแหละคนฟังแทบทำมือถือหลุดจากมือ แต่ก็ตั้งสติไว้ได้ทัน...น่าเสียดายตรงที่ตนเป็นประเภทไม่หนีใคร เลยทำได้เพียงเงยหน้าสบตาโดยไม่ผละออก...ดวงหน้าของอีกฝ่ายอยู่ห่างออกไปไม่เกินหนึ่งช่วงไม่บรรทัด และจากระยะดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้เห็นความนัยจากนัยน์ตาคู่นั้นเลยสักนิด
ข้าวโอ้ตรู้สึกใจเต้นแรงจนแทบหายใจไม่ออก รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่อเอาซะเลย..จึงตัดสินใจตัดบท
“ตลกหรา?”
“ไม่ตลกครับ" อีกฝ่ายสั่นศีรษะ "...จริงจังเลยล่ะ"
...ไปต่อไม่ถูกเลยกู... “กิน...ข้าวเหอะ" ชายหนุ่มยัดมือถือกลับคืนไป "เดี๋ยวเย็นหมด"
“พี่โอ้ต"
“...อะไร?”
“อย่าเปลี่ยนเรื่องสิครับ" “อะไร? เปลี่ยนเรื่องอะไร? กูหมายถึงกินข้าวก่อนค่อยว่ากัน”
“นั่นแหละที่เรียกว่าเปลี่ยนเรื่อง"
“... 'เปลี่ยนเรื่อง' คือการกระทำของคนที่ทำได้แต่ 'หนีปัญหา' เฟ้ย แล้วมึงมองหน้ากูนะ...หน้ากูเหมือนเป็นคนแบบนั้นมั้ย?”
คนฟังยิ้มกว้าง "ไม่ครับ"
“...เออ เข้าใจก็ดี"
“พร้อมจะฟังต่อรึยังครับ?”
“ไอ้สัส! กูบอกกินข้าวก่อน!”
“พี่โอ้ตทานเสร็จผมก็ยังพูดไม่จบหรอกครับ เชื่อเถอะ"
ข้าวโอ้ตไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าเหตุการณ์อะไรกำลังจะเกิดขึ้น และชายหนุ่มก็กำลังจะพยายามทุกอย่างเพื่อไม่ให้ 'มัน' เกิดขึ้น อย่างน้อยก็คงพอจะลบความรู้สึกประหลาดแบบนี้ออกไปได้..ใช่..เขาหวังว่ามันควรจะเป็นเช่นนั้น..
..แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ช่วยอะไรเลย..
“ผม...”
“กู-ไม่-ฟัง" ..เล่นมันดื้อๆเนี่ยแหละ! หนทางการเอาตัวรอดเดียวของเขาดูเหมือนจะเป็นการยกมือขึ้นมาอุดหูตัวเอง ตั้งใจว่าจะใช้สายตาดุๆของตัวเองกดดันให้อีกฝ่ายหุบปากเงียบแต่ก็ดูจะไม่เป็นผล เมื่อพบว่าตนนั่นแหละที่เป็นฝ่ายหน้าร้อนผะผ่าว
เขาหลับตาปี๋ อยากจะปิดประสาทสัมผัสทั้งห้าได้ดั่งใจชอบกล
..ให้ตาย..ใครให้มันมองมาด้วยสายตาแบบนั้นกันวะ..! “โอเค โอเค"
หลังจากสงครามที่ไร้เสียงพูดผ่านไปสักระยะ น้ำเสียงที่ดูเหมือนจะยอมแพ้นั้นทำให้ข้าวโอ้ตเหลือบสายตามองข้างหนึ่ง เด็กหนุ่มยกมือสองข้างขึ้นด้วยรอยยิ้ม และยอมผละออกไปจนพิงพนักเก้าอี้เต็มหลัง
“พี่โอ้ตจะฟังหรือไม่ฟังก็ไม่มีผลอะไรมากหรอกครับ เพราะยังไงซะ...” ..มันไม่มีทางที่จะไม่ฟังอยู่แล้ว ต่อให้ไม่อยากได้ยินมากแค่ไหนก็เถอะ..
“...ผมก็ชอบพี่อยู่ดี" …....พระเจ้า...
..ลืมเรื่องไอ้เด็กโอตาคุบ้าแต่เกมนั่นไปได้เลย.. ….ไอ้หนุ่มปากหวานฟีโรโมนแผ่พุ่งตรงหน้า...มันเป็นใครกันวะ!?!TBC================
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่าา
ozaka*