บทที่ 11 - Canon in D โดยส่วนตัวแล้ว ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องโชคลางหรืออะไรสักเท่าไหร่ แต่ไหนแต่ไรมาก็คิดแต่เพียงว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นประกอบไปด้วยการกระทำของเราเสียเก้าสิบเก้าส่วน มีเรื่องของความบังเอิญเข้ามาเกี่ยวข้องแค่เพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น อะไรจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ สุดท้ายแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับความพยายามที่ตัวเองได้ทุ่มเทลงไปมากกว่าที่จะคอยพึ่งพาโชคลางที่มองไม่เห็น
ผมเชื่อแบบนั้นมาตลอด จนกระทั่งเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา...
“ไวท์ทานได้ไหมลูก ให้น้าทำกับข้าวเพิ่มให้อีกสักอย่างไหม”
น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานของผู้เป็นแม่ทำให้ผมที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ ‘แขก’ อดเงยหน้าขึ้นมองคนพูดไม่ได้
บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของแม่ปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งไหนที่เคยเห็น ดวงตาฝ้าฟางคู่นั้นฉายแววเอ็นดูคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างล้นเหลือ มากมากเสียจนผมแอบเบ้หน้าใส่คนข้างตัวอย่างอดไม่ได้
“ไม่ต้องหรอกครับ แค่คุณน้าอุตส่าห์ลุกขึ้นมาเตรียมให้ผมก็เกรงใจจะแย่แล้วครับ”
น้ำเสียงนอบน้อมมาพร้อมกับสีหน้าเกรงอกเกรงใจดูเหมือนจะยิ่งทำให้แม่ผมถูกอกถูกใจเจ้าเด็กตรงหน้ามากขึ้นไปอีก
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะลูก น้าเสียอีกที่ต้องขอบใจ ลำบากไวท์แท้ๆ เลยต้องพาเจ้าอีฟส์มาส่งแล้วมาพลอยติดฝนไปด้วยแบบนี้”
“ไม่ลำบากหรอกครับคุณน้า พี่อีฟส์ก็เป็นพี่ที่ผมเคารพคนนึง” เขาว่าพลางหันมามองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองหน้าคู่สนทนาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “แค่นี้เล็กน้อยครับ”
แหม อยากจะแหมให้ถึงดาวอังคารจริงๆ เลยเชียว
“ได้ยินแบบนี้แม่ก็โล่งใจแล้วล่ะลูก กังวลอยู่เชียวว่าเจ้าอีฟส์ทำงานแล้วจะเป็นยังไง ตอนเด็กๆ น่ะเขาเข้าสังคมไม่ค่อยเก่งหรอก วันๆ ก็เอาแต่...”
“แม่ครับ วันนี้พ่อไม่กลับมาบ้านเหรอครับ”
คำพูดที่โพล่งขัดขึ้นกลางคันอย่างไร้มารยาททำให้แม่ชะงักก่อนจะหันมาทำท่าจะเอ่ยปากดุ แต่เหมือนว่าแม่จะนึกถึง‘อดีต’ของผมขึ้นมาได้ สุดท้ายก็เลยยอมเปลี่ยนเรื่องตามที่ผมชักจูงในที่สุด
“ไม่กลับจ้ะ วันนี้พ่อเขาต้องไปดูของที่โรงงาน”
“อ๋อ อย่างนั้นเองเหรอครับ”
แล้วบทสนทนาก็จบลงตรงนั้น
มันควรจะจบลงตรงนั้น ถ้าไม่ติดว่า...
“คุณน้าครับ อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงเลยนะครับ แต่ผมติดใจเรื่องที่คุณน้าเล่าเมื่อกี้นี้นิดหน่อยน่ะครับ”
แทบไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดจบ ผมค่อยๆ เบนหน้าไปมองคนพูดช้าๆ ก่อนจะพบว่าเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าหล่อเหลานั้นถูกฉาบด้วยความกระตือรือร้นจนเกินพิกัด แววตาคมฉายแววอยากรู้อยากเห็นชัดเจนเสียจนปิดไม่มิด
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอยากจะถามเรื่องอะไร
เด็กหนุ่มข้างๆ ผมฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้ก่อนจะหันไปหาแม่ที่นั่งทำหน้ากระอักกระอ่วนอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ที่คุณน้าบอกว่าเมื่อก่อนพี่อีฟส์เขาเข้าสังคมไม่เก่งนี่ เพราะอะไรเหรอครับ”
นั่นไง คิดอะไรเคยผิดเสียทีไหน ถ้าซื้อหวย ป่านนี้คงรวยร้อยล้านไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ก็นะ ถ้าคิดว่าแม่ผมหลอกถามได้ง่ายแล้วล่ะก็...คิดผิดถนัด
ดวงตากลมโตของหญิงสูงวัยเหลือบตามามองผมชั่วอึดใจก่อนจะเบนกลับไปมองคนถามอย่างไร้พิรุธ ใบหน้าอ่อนหวานประดับด้วยรอยยิ้มเอ็นดูเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
“ก็เมื่อก่อนน่ะ อีฟส์เขาเป็นเด็กขี้อายน่ะสิ วันๆ ไม่ค่อยไปเล่นกับเพื่อนคนอื่นสักเท่าไหร่หรอก แม่ล่ะก็เป็นห่วง กลัวโตมาจะไม่มีเพื่อนกับใครเขา”
“แม่ก็ เผาผมเสียเละเลย อีฟส์ไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”
“ขนาดนั้นล่ะจ้ะเราน่ะ เราน่ะยังเด็ก จะจำอะไรได้ล่ะ แม่นี่สิจำได้แม่นเลย”
“ก็จริงครับ”
สิ้นคำของผม แม่และผมก็แสร้งหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างเป็นธรรมชาติราวกับเรื่องทั้งหมดที่พูดมาเป็นเรื่องจริง ถึงแม้ว่าปกติแล้วผมจะไม่ใช่คนที่โกหกเก่งสักเท่าไหร่ แต่ถ้ามีคนรู้ใจมาคอยโยนลูกรับลูกส่งให้แบบนี้ ต่อให้ต้องแต่งเรื่องยาวไปอีกสามสิบนาทีก็ไม่ใช่ปัญหา
คิดจะมาไล่ต้อนกันถึงถิ่นแบบนี้มันง่ายเกินไปนะไอ้น้อง
ผมหันไปมองหน้าคนที่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้มและรับฟังด้วยรอยยิ้มกว้างกว่าก่อนหน้านี้มาก
“ตอนแรกที่แม่เล่า ไวท์ติดใจอะไรเหรอ”
คำถามของผมเรียกให้เด็กหนุ่มหันมามองก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ
“เปล่าหรอกครับ แค่ผมเห็นว่าตอนนี้พี่อีฟส์พูดจาฉะฉาน ดูเข้าสังคมเก่งมากเหมือนคนเจนเวทีก็เลยไม่คิดว่าจะเคยเป็นคนขี้อายมาก่อนน่ะครับ”
เจนเวที...งั้นเหรอ
เสียงหัวเราะลอดผ่านริมฝีปากของผมออกมาเบาๆ
“คนเรามันเปลี่ยนกันไปได้ตามกาลเวลานะรู้ไหม ถ้าฝึกฝนบ่อยๆ เดี๋ยวก็ทำได้ ก็อย่างที่แกบอกนั่นล่ะ ถ้าได้ลองพูด ลองเข้าสังคมบ่อยๆ เดี๋ยวก็เจนสนามเอง”
สิ้นคำตอบของผม อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เด็กหนุ่มทำเพียงคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปสนใจอาหารในจานของตัวเองอีกครั้งหลังละมือมาพูดคุยเสียนาน ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมเองก็ตระหนักได้ว่าควรรีบกินข้าวให้เสร็จเสียทีจะได้รีบไปพักผ่อนและ...
พักผ่อนงั้นเหรอ...
สายตาของผมละจากจานข้าวตรงหน้าไปยังหน้าต่างที่อยู่ด้านข้างของห้อง
สายฝนที่ซาดซัดบริเวณด้านนอกไม่มีทีท่าว่าจะซาลงแม้แต่น้อย เสียงหยาดน้ำกระทบกับผืนดินมีแต่จะทวีความดังมากขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าแล้วคงไม่พ้นจะตกหนักแบบนี้ไปทั้งคืนแน่
แบบนี้ก็หมายความว่า...
“คืนนี้ไวท์พักที่นี่นะลูก”
นั่นไง กะอะไรไว้ไม่เคยผิดเลยจริงๆ
“อย่าเลยครับคุณน้า แค่นี้ผมก็เกรงใจมากแล้ว”
“เกรงจงเกรงใจอะไรกันลูก หนูอุตส่าห์ช่วยมาส่งเจ้าอีฟส์ถึงบ้านจนต้องติดฝนกลับบ้านไม่ได้ แล้วจะให้น้าปล่อยหนูขับรถมอเตอร์ไซค์ฝ่าฝนออกไปได้ยังไง” แม่พูดพลางส่ายหน้ายิก “ไม่ได้เลยๆ”
แม่นะแม่
“นก นกเอ๊ย”
สิ้นเสียงตะโกนเรียกของแม่เพียงไม่กี่วินาที หญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งก็กุลีกุจอเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหารด้วยท่าทีนอบน้อมเหมือนอย่างทุกทีที่เคยเห็น
“มีอะไรเหรอคะคุณหญิง”
ผมเห็นแม่หันมามองหน้าแขกของบ้านชั่วอึดใจก่อนจะหันกลับไปพูดกับคนที่เพิ่งเดินเข้ามา
“ไปเตรียมห้องนอนแขกให้คุณเขาหน่อยไป”
“ได้ค่ะ”
พอรับคำเสร็จ เธอคนนั้นก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วเหมือนอย่างเคย
ความจริงแล้วผมเองก็ไม่ค่อยจะชอบท่าทีเหมือนหุ่นยนต์ทำงานนี่สักเท่าไหร่ แต่จู่ๆ จะมาบอกว่าไม่ชอบแล้วให้เปลี่ยนเลยก็คงไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียคนงานในบ้านทุกคนถูกอบรมมาให้ทำแบบนี้ ถ้าจะให้โทษใครสักคน ก็คงต้องโทษพ่อผมนั่นล่ะที่ร่างกฎระเบียบประหลาดๆ แล้วส่งให้บริษัทจัดหาแม่บ้านอบรมมาให้
พ่อ...งั้นเหรอ
ผมเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารของตัวเองก่อนจะเอ่ยปากถาม
“แม่ครับ พรุ่งนี้พ่อจะกลับมากี่โมงเหรอครับ”
“ก็คงเย็นๆ นั่นล่ะจ้ะ ทำไมเหรอลูก”
ผมส่ายหน้าช้าๆ
“เปล่าครับ ผมถามดูเฉยๆ”
ดีแล้ว ขืนให้พ่อมาเจอไวท์ ไม่รู้ว่าอะไรๆ จะผ่านไปได้ด้วยดีเหมือนวันนี้รึเปล่า รายนั้นยิ่งชอบย้ำปมว่าชีวิตผมพินาศเพราะทางที่เคยเลือกเดินในอดีตอยู่ด้วย เกิดได้มาเจอกันจริง น่ากลัวว่าความลับจะแตกหมด
ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดเรื่องของตัวเองอยู่นั้น คนที่นั่งข้างๆ ก็พลันพูดอะไรบางอย่างที่ผมคาดไม่ถึงขึ้นมาให้ได้ยิน
“น่าเสียดายนะครับ ผมก็เลยอดเจอคุณอาเลย”
ผมหันไปมองอีกคนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา รายนั้นเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจผมเท่าไหร่ เด็กหนุ่มยังคงจดจ่ออยู่กับการตักอาหารใส่ช้อนก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับแม่ผมที่นั่งตรงข้ามกับเขาพอดี
“มาอาศัยบ้านทั้งทีแต่ไม่ได้ทักทาย ดูจะเสียมารยาทไปหน่อยน่ะครับ”
“โธ่ลูก ไม่ต้องคิดมากหรอกจ้ะ พ่อเจ้าอีฟส์เขาไม่ว่าอะไรหรอก เชื่อน้าเถอะ”
“ครับ” เด็กคนนั้นพยักหน้าช้าๆ แล้วเงียบไป
ในตอนแรกผมก็นึกว่าเขาจะมีอะไรพูดขึ้นมาต่ออีกเหมือนอย่างทุกที แต่สุดท้ายแล้วก็กลับกลายเป็นว่าบทสนทนาทั้งหมดจบลงเพียงแค่นั้น ไม่มีคำถามเพิ่มเติม ไม่มีสีหน้าเจ้าเล่ห์อยากรู้อยากเห็นเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ ราวกับว่าจู่ๆ เจ้าตัวก็ถอดใจไม่อยากรู้เรื่องผมไปเสียเฉยๆ
อะไรกันล่ะเนี่ย
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ไขปริศนาเรื่องท่าทีของอีกฝ่ายได้ แม่ก็ดันช่วยหาปัญหาใหม่มาให้ผมช่วยแก้เพิ่มขึ้นไปอีก
“เดี๋ยวอีฟส์เอาชุดให้น้องยืมด้วยน่ะลูก”
ฮะ? แม่ ไม่นะแม่
“แต่น้องเขาตัวใหญ่กว่าอีฟส์นะแม่ จะใส่ได้ยังไงล่ะ”
“อ้าว แม่เห็นลูกมีเสื้อโอเวอร์ไซต์ตั้งหลายตัวไม่ใช่เหรอ ให้น้องเขายืมใส่นอนหน่อยเป็นไรไปล่ะลูก”
แม่ แม่พูดอะไรออกมาน่ะแม่
“แต่อีฟส์ไม่มีชั้นในให้น้อง...”
“ก็ตัวใหม่ที่ลูกซื้อมาผิดไซต์ไงลูก แม่จำได้นะ ตัวที่ซื้อมาเมื่อสองเดือนก่อนน่ะ ให้น้องไปสิ”
แม่!
“อ้อ แล้วห้องน้ำที่ห้องนอนแขกน้ำมันไหลเบา ถ้ายังไงพาน้องไปอาบน้ำที่ห้องนอนลูกหน่อยนะ”
แม่เดี๋ยวแม่
“แม่ง่วงละ ขอตัวไปนอนก่อนนะจ๊ะเด็กๆ”
แม่เดี๋ยว แม่จะมาวางระเบิดแล้วทิ้งกันไปแบบนี้ไม่ได้นะ!
ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดค้านอะไรมากไปกว่า ‘แต่อีฟส์ไม่มีชั้นในให้น้อง...’ คุณแม่สุดที่รักของผมก็พลันลุกขึ้นแล้วเดินลิ่วๆ จากไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
แม่นะแม่ รู้ทั้งรู้ว่าอีฟส์ไม่ชอบให้ใครยืมเสื้อผ้าไปใส่อะ!
“ถ้าพี่ไม่โอเค ผมใส่ชุดนี้นอนก็ได้นะพี่ ไม่เป็นไร”
คงเพราะสีหน้าไม่พอใจของผมมันออกชัดไปหน่อย เจ้าเด็กข้างๆ นี่ถึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงหงอยๆ ขนาดนั้น พอหันไปมองก็ดันเป็นจริงอย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด
ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยทำสีหน้าเจ้าเล่ห์อย่างนักล่าที่โรงพยาบาล มาตอนนี้กลับเหลือเพียงความเจียมเนื้อเจียมตัวและสีหน้าหมองๆ ที่ใครเห็นแล้วไม่สงสารก็คงจะใจร้ายใจดำเกินไปแล้ว
บ้าเอ๊ย พระเจ้าเกลียดผมชัดๆ
เอาวะ
“ไม่หรอก พี่แค่ไม่แน่ใจว่าจะมีเสื้อผ้าที่เราใส่ได้ไหมน่ะ ถ้ายังไงเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วไปเลือกเสื้อผ้าที่ห้องพี่แล้วกัน”
“ขอบคุณนะครับพี่!”
แล้วใบหน้าหม่นหมองนั้นก็ถูกฉาบด้วยความดีใจเสียจนผมเองยังเผลอยิ้มตามไปด้วยอย่างไม่มีสาเหตุ
เด็กคนนี้นี่ประหลาดจริง เวลาดีใจก็ดีใจสุด เวลาเสียใจก็เห็นได้ชัดจนไม่ต้องเดา ดูเผินๆ แล้วเหมือนเป็นเด็กซื่อๆ ไม่มีพิษมีภัยอะไร
แต่ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่...
‘บอกความจริงกับผมมาได้ไหมครับ’
‘สาบานกับผมสิครับว่าที่พี่พูดมาทั้งหมดคือความจริง’ท่าทางประหลาดพวกนั้นผมยังจำมันได้ขึ้นใจ อารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาพวกนั้นดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลจนคล้ายว่าอีกฝ่ายจะมีอาการทางจิตด้านการแสดงอารมณ์ก็จริง แต่ลึกๆ แล้วผมรู้ดีว่ามันมีอะไรบางอย่างมากกว่านั้น
แม้จะไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าแท้จริงแล้วอารมณ์ของเขา ณ ขณะนั้นมีเพียงอย่างเดียวที่เป็นของจริง ส่วนที่เหลือนั้นเป็นเพียงหน้ากากที่อีกคนเลือกจะหยิบมาสวมเพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีเสียมากกว่า ถ้าจะให้ผมเดา ตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาลนั้น อาการยิ้มแย้ม ใจดีทั้งหลายหลังจากพูดคำประหลาดเหล่านั้นออกมาคงเป็นการแสดงทั้งหมด แต่เรื่องสาเหตุที่ว่าทำไมน้องมันต้องทำแบบนั้น...
...ผมเองก็จนปัญญาจะเข้าใจ...
หลังจากกินข้าวเรียบร้อย ผมและ’แขก’จำเป็นของบ้านก็พากันเดินขึ้นมาที่ชั้นสองเพื่อจะได้แยกย้ายกันไปพักผ่อน แม้จะไม่อยากยอมรับสักเท่าไหร่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมถูกเด็กคนนี้ช่วยเอาไว้มากโข ถ้าไม่มีเขาป่านนี้ชีวิตผมจะเป็นยังไงก็ไม่อาจจะรู้ได้เลย
ถึงจะเป็นอย่างงั้นก็เถอะ ยังไงเสียการให้ยืมเสื้อผ้ามันก็เป็นคนละเรื่องกันอยู่ดี
“ไวท์นั่งรอพี่ตรงโซฟาริมหน้าต่างก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่หาชุดนอนให้”
ผมตะโกนบอกเด็กหนุ่มที่ยืนห่างออกไปพอสมควรโดยไม่ได้หันไปมอง ในตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของผมถูกทุ่มเทให้กับการควานหาเสื้อผ้าที่ผมซื้อมาและไม่เคยใส่เพื่อยกให้อีกคนไปเสียให้จบๆ ส่วนตัวแล้วผมเป็นคนไม่ชอบให้ใครมายืมใช้ของใช้ส่วนตัวของผมทั้งนั้น แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่ได้ เพราะแบบนั้น ถ้าสามารถหาเสื้อที่พอจะตัดใจยกให้อีกคนไปเลยได้ก็คงดี
ที่สำคัญก็คืออยากรีบๆ ไล่เจ้าเด็กนี่ออกไปจากห้องนอนของผมด้วย
ในขณะที่ผมกำลังค้นหาของที่ต้องการอย่างเร่งรีบอยู่นั้น เด็กคนนั้นก็ดันโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจเสียจนผมต้องละมือไปจากตะกร้าผ้าตรงหน้าเพื่อหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้
“โห มีชุดโซฟาในห้องนอนด้วยอะพี่ บ้านพี่โคตรรวยเลยอะ”
น้ำเสียงตื่นเต้นขนาดนั้น....หรือจะเพิ่งรู้จริงๆ นะ
ผมลอบมองใบหน้าคนพูดอยู่อึดใจก่อนจะเบนกลับมาแล้วแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำถามนั้นมากนัก
“ธุรกิจพ่อแม่น่ะ ไม่ใช่ของพี่หรอก”
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะพี่ ของๆ พ่อแม่ สักวันก็ต้องเป็นของเราไม่ใช่เหรอ”
คำถามที่ทิ่มแทงลงมากลางใจพอดิบพอดีราวกับนกรู้ทำให้มือผมเผลอหยุดการค้นหาไปหลายวินาทีกว่าจะสามารถคืนสติกลับมาได้
สักวันก็ต้องเป็นของเรางั้นเหรอ...
“เรื่องแบบนั้นน่ะ ไม่มีทางหรอก”
“อะไรนะพี่”
คำเอ่ยทักที่ดังมาจากอีกฝ่ายทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรต่อมิอะไรออกมามากเกินไปแล้ว โชคยังดีที่อีกฝ่ายไม่ทันจะได้ยินอะไรไปมากมายก็เลยยังพอเฉไฉเปลี่ยนประโยคไปได้
“เปล่า พี่ก็แค่ไม่ได้คิดว่าจะต้องกลับมารับช่วงต่อเท่านั้นเอง งานที่ทำอยู่ตอนนี้ก็มีความสุขดี”
“แต่งานที่พี่ทำอยู่ตอนนี้มันไม่ดีพอที่จะทำให้สามารถเข้ารักษาในโรงพยาบาลระดับนั้นได้บ่อยๆ หรอกนะครับ”
มาแล้วสินะ
ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาจากตะกร้าผ้าตรงหน้าอย่างช้าๆ แม้จะไม่ได้หันหน้าไปมอง แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงคิดว่าตัวเองพอจะเดาสีหน้าของอีกคนได้อยู่
ตอนนี้อีกฝ่ายคงกำลังทำหน้านิ่งๆ น่ากลัวๆ อยู่แน่
“ตอนที่ผมถามว่าพี่เคยมาที่โรงพยาบาลนั้นแค่ครั้งเดียวจริงหรือเปล่า พี่ตอบผมว่าแค่ครั้งเดียวจริงๆ ใช่ไหมครับ”
เสียงซวบซาบของฝีเท้าที่ย้ำลงบนพื้นพรมใกล้เข้ามาหาผมทีละก้าว – ทีละก้าว
“ผมรู้นะว่าพี่โกหก เพราะตอนที่ผมเอาเรื่องพี่ไปดำเนินการที่ห้องระเบียนที่โรงพยาบาล มันขึ้นว่าพี่เป็นไวท์แพลตตินั่มเมมเบอร์ของที่นั่น ผมรู้จักโรงพยาบาลนั้นดีครับพี่ ที่นั่นแบ่งระดับผู้ป่วยออกเป็นสี่ระดับใหญ่ๆ กับอีกหนึ่งระดับพิเศษ พี่ก็น่าจะรู้ดีนะครับ”
เสียงนุ่มทุ้มนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ – เรื่อยๆ
“ไวท์เมมเบอร์ สำหรับผู้ป่วยที่มาใช้บริการไม่ถึงสิบครั้ง ซิลเวอร์เมมเบอร์ สำหรับผู้ใช้บริการสิบครั้งขึ้นไป โกลด์เมมเบอร์ สำหรับผู้ใช้บริการมากกว่าห้าสิบครั้ง แพลตตินั่มเมมเบอร์ สำหรับผู้ใช้บริการมากกว่าหนึ่งร้อยครั้งขึ้นไป และระดับสุดท้าย...”
ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดลงข้างหูผม
“ไวท์แพลตตินั่มเมมเบอร์ สำหรับผู้ใช้บริการที่เกิดที่โรงพยาบาลนี้และรักษาที่โรงพยาบาลนี้มาอย่างสม่ำเสมอเกินสิบปี โดยต้องใช้บริการอย่างต่ำปีละยี่สิบครั้ง หรือเสียค่าต่อสมาชิกในรูปแบบของเงินบริจาคแล้วแต่ศรัทธา แต่เท่าที่ผมรู้มา สมาชิกระดับนี้จำกัดสิทธิอยู่แค่สองร้อยคนเท่านั้น ไม่เคยมีโควตาเพิ่มมาหลายสิบปีแล้ว ถ้ายอดบริจาคไม่ถึง ก็จะหลุดไปอยู่แพลตตินั่ม ผมพูดถูกไหมครับ”
น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย หากเย็นเยียบจนชวนให้รู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ
“สิทธิประโยชน์ของสมาชิกระดับนี้นั้นล้นเหลือ ถ้าเป็นผู้ป่วยในก็จะได้ห้องที่ดีที่สุด ถ้ามาตรวจอาการก็จะได้หมอที่เก่งที่สุดเท่าที่โรงพยาบาลจะหามาให้ได้ ณ เวลานั้น หรือถ้าอยากไปรักษาต่อที่ต่างประเทศ โรงพยาบาลก็ยินดีรับจัดการธุระให้อย่างรวดเร็ว อยากได้อะไรก็จะได้ อยากทำอะไรก็ได้ทำ เงื่อนไขของระดับนี้ทั้งจุกจิกและน่ารำคาญ แต่ผลที่ได้กลับมาก็คุ้มค่าใช่ไหมครับพี่”
ฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่ายค่อยๆ ไล่จากต้นคอไปยังหัวไหล่ข้างของผมช้าๆ สัมผัสอุ่นร้อนนั้นคลอเคลียอยู่ที่ต้นแขนผมไม่ห่าง แม้มือของอีกคนจะไม่ได้จับลงมาแต่ผมกลับรู้สึกราวกับถูกรัดตรึงร่างเอาไว้ด้วยโซ่เส้นใหญ่ที่มองไม่เห็น
ความรู้สึกราวกับกำลังจมน้ำแบบนี้...ไม่ชอบเลย
“ทำไมพี่ต้องโกหกผมด้วยเหรอครับ”
แม้ว่าคำถามที่เปล่งออกมานั้นจะฟังดูปกติราวกับกำลังพูดถึงเรื่องลมฟ้าอากาศ แต่ผมกลับสัมผัสถึงความปกตินั้นไม่ได้เลย น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแม้จะเรียบเฉยแต่กลับเจือปนไปด้วยความขุ่นเคืองบางอย่างที่สื่อผ่านออกมาถึงผมอย่างชัดเจน
ทั้งที่ควรจะทำให้รู้สึกกลัวแท้ๆ แต่ทำไมผมถึงได้...รู้สึกผิดขนาดนี้กันนะ...
“ตอบผมมาสิครับพี่ ตอบมาสิครับว่าพี่โกหกผมทำไม”
ผมรู้ดีว่าเขาพยายามบังคับให้เสียงของตัวเองฟังดูนิ่งและสงบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมรู้ว่าเขาพยายามจะจริงจังและขึงขังโดยไม่ร้องไห้ ผมรู้เพราะผมจับความสั่นเครือในน้ำเสียงของเขาได้
แม้จะไม่ชัดเจน แต่ก็มากพอให้หัวใจทั้งดวงของผมสั่นไหว
“ตอบมาสิครับพี่ ว่าพี่จะปิดบังเรื่องฐานะของตัวเองไปทำไม”
ในที่สุดประโยคนี้ก็หลุดออกมาจากปากของเขาจนได้
“พี่อีฟส์ครับ ผม...สำคัญกับพี่มากพอที่จะได้ยินความจริงจากปากพี่ไหมครับ”
ความน้อยใจที่พรั่งพรูผ่านมากับคำพูดของอีกคนทำให้ผมต้องหลับตาลงอย่างรู้สึกผิด
ที่โรงพยาบาลนั่น น้องดูแปลกไปก็เพราะความจริงที่ได้รับรู้มาสินะ ในตอนนั้นเขาคงทั้งผิดหวังและน้อยใจ แต่ก็ยังสู้อุตส่าห์ไม่พรั่งพรูความเสียใจออกมาแล้วทิ้งผมไว้กลางทาง ซ้ำยังช่วยพามาส่งถึงบ้านทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้
รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจดีว่าผมเป็นคนโกหก แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือผมไปไหน ซ้ำยังจับแน่นขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
...คนแบบนี้ เห็นจะมีแค่คนเดียวในโลกล่ะมั้ง...
“ขอโทษนะ”
ในที่สุดก็พูดออกมาจนได้ ทั้งที่ตอนแรกกะเอาไว้ว่าต่อให้โดนต้อนจนจนมุมแค่ไหนก็จะพยายามโกหกต่อไปแท้ๆ
ทำไมถึงใจอ่อนเอาเสียได้นะอีฟส์
“พี่ขอโทษนะไวท์ ขอโทษจริงๆ ที่โกหก”
ผมลืมตาขึ้นช้าๆ พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมเอี้ยวหัวเล็กน้อยเพื่อมองหน้าคนที่กำลังทำสีหน้าใกล้จะร้องไห้แหล่ไม่ร้องไห้แหล่อยู่ทางด้านหลัง นัยน์ตาคมคู่นั้นรื้นน้ำเสียจนน่าสงสาร ถ้าปล่อยไว้อีกนิดน่ากลัวจะได้ร้องไห้ออกมาจริงๆ
ทำเด็กร้องได้เข้าจนได้ เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลยนะอีฟส์
“เหตุผลที่ทำให้พี่ต้องโกหกคนอื่นเรื่องฐานะทางบ้านมันมีอยู่หลายอย่าง บางอย่างก็อาจฟังดูไร้สาระสำหรับคนอื่น แต่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพี่”
มือสองข้างของผมค้ำยันเข้ากับตู้เสื้อผ้าเพื่อช่วยพยุงตัวเองให้หันไปเผชิญหน้ากับอีกคน แม้จะทุลักทุเลไปบ้าง แต่เพราะได้ความช่วยเหลือจากคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ผมจึงทำสำเร็จได้ในที่สุด
จนป่านนี้ก็ยังจะอุตส่าห์ช่วยกันอยู่ได้
บ้า...จริงๆ เลย...
“ถึงตอนนี้พี่อาจจะยังเล่าเหตุผลให้ไวท์ฟังไม่ได้ แต่สักวันหนึ่งเมื่อพี่พร้อม พี่จะเล่าให้ฟังนะ”
ดวงตาของผมสบลึกเข้าไปในตาของเขา
“พี่จะไม่ขอให้ไวท์ยกโทษให้ในฐานที่พี่โกหก แต่ขออย่าได้เกลียดกันเลยได้ไหม”
ผมถือวิสาสะเอื้อมมือไปแตะไหล่เขาเบาๆ
“นะไวท์นะ”
“แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะครับ”
หัวใจของผมกระตุกวาบให้กับสิ่งที่ได้ยิน แม้จะเคยเตรียมใจเรื่องโดนจับโกหกได้ไว้บ้างแล้ว แต่พอมาโดนเข้าจริงๆ มันกลับรุนแรงมากกว่าที่คิดเอาไว้ชนิดที่เทียบกันไม่ติด
เจ็บ...เจ็บหัวใจจังเลย
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเศร้าได้นาน ประโยคที่ตามมาก็พลันช่วยเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของผมขึ้นมาได้อย่างทันท่วงที
“ใจผมก็อยากจะพูดอย่างนั้นอยู่หรอกนะพี่ แต่ผมทำไม่ได้หรอก แค่เรื่องแค่นี้เอง ผมเกลียดพี่ไม่ลงหรอก”
คำพูดที่เอ่ยออกมาด้วยท่าทางกระเง้ากระงอดของอีกคนทำให้ผมถอนหายใจพลางคลี่ยิ้มได้อย่างโล่งอก ความดีใจที่เอ่อล้นขึ้นมาทำให้ผมเผลอโถมเข้ากอดอีกคนไปเสียยกใหญ่ กว่าจะรู้ตัวแล้วถอยออกมาได้ก็ผ่านไปหลายนาที
“โทษทีนะ พี่ดีใจไปหน่อยน่ะ”
“ไม่เป็นไรครับพี่” ใบหน้าหล่อเหลานั้นประดับด้วยรอยยิ้มทะเล้นเหมือนอย่างเก่า “เผลอบ่อยๆ ก็ดีนะครับ”
อ๊ะ!
“เป็นอะไรไปเหรอครับพี่ สีหน้าดูแปลกๆ นะครับ”
“อ๋อ เปล่าๆ ไม่มีอะไร เราน่ะไปอาบน้ำเถอะ พี่เตรียมเสื้อผ้าไว้ให้แล้ว ห้องน้ำอยู่ตรงนั้นนะ”
ผมว่าพลางเอี้ยวตัวไปหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ส่งให้อีกฝ่ายก่อนจะชี้ทางนิ้วบอกตำแหน่งของห้องน้ำให้อีกคนรู้ คนตัวสูงกว่ารับกองผ้าในมือไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักน่าเอ็นดู
ให้ตายสิเด็กคนนี้
“ส่วนเดี๋ยวเสื้อผ้าชุดเก่านี่ก็ถอดออกมาไว้กับพี่ก็ได้นะ เดี๋ยวพี่เรียกแม่บ้านไปซักอบให้ จะได้แห้งทันพรุ่งนี้”
“ได้ครับผม”
ท่าทางรับคำอย่างร่าเริงก่อนจะเดินดิ่งหายเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็วนั้นทำให้ผมเผลอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ทำไมถึงได้เป็นเด็กที่ร่าเริงและน่ารักขนาดนี้กันนะ...
อ๊ะ! อีกแล้ว...
ผมยกมือขึ้นนาบบริเวณกลางอกของตัวเองพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นสองครั้งในเวลาไล่เลี่ยกันเมื่อครู่
ทำไมหัวใจถึงได้เต้นแรกขนาดนี้กันล่ะ ครั้งแรกที่รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมาจากอกก็ตอนที่...
‘โทษทีนะ พี่ดีใจไปหน่อยน่ะ’
‘ไม่เป็นไรครับพี่ เผลอบ่อยๆ ก็ดีนะครับ’กับเมื่อครู่นี้ที่...
ทำไมถึงได้เป็นเด็กที่ร่าเริงและน่ารักขนาดนี้กันนะบ้าน่า...ไม่จริงใช่ไหม...
นัยน์ตาของผมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นอย่างหนักเมื่อตระหนักได้ถึงความจริงข้อหนึ่งขึ้นมาได้
นี่ผม...ชอบน้องมัน...อย่างงั้นเหรอ
บ้าน่าๆ บ้าแล้วอีฟส์ น้องมันห่างกับเราตั้งกี่ปี เด็กขนาดนั้นยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำ ไม่เอาน่า บ้าแล้ว
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระของตัวเองแรงๆ พลางเดินกะโผลกกะเผลกไปทิ้งตัวซุกหน้าลงกับหมอนบนเตียงนอนนุ่มหวังให้ใจสงบลงไปฟุ้งซ่าน แต่ไม่ว่าจะซุกหน้าลงไปมากแค่ไหน เสียงในห้องก็ยังคงสะท้อนแต่คำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ
ชอบเขางั้นเหรอ ชอบเด็กงั้นเหรอ บ้าน่าอีฟส์
เปลือกตาของผมปิดแน่นสนิทเข้าหากันหวังตัดความว้าวุ่นทั้งหมดออกจากหัว ลมหายใจเข้าออกถูกควบคุมตามหลักการนั่งสมาธิที่เคยเรียนมาแต่เล็กแต่น้อยหวังใจว่าจะช่วยให้จิตใจสงบลงได้บ้าง
ใช่แล้ว ใจเย็นไว้อีฟส์ เราไม่ได้ชอบน้องเขาหรอก เราแค่ไม่ได้สนใจใครมานานมากแล้วก็เลยเผลอหวั่นไหวไปกับคำหยอดหวานๆ ก็แค่นั้นเอง
ใช่แล้ว ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ
ผมไม่ได้ชอบเขาหรอก ผมก็แค่สนใจเขาเพราะเขาหน้าเหมือนกับคนในความทรงจำก็แค่นั้นเอง
ใช่...ต้องใช่แน่ๆ เลย...
*******************************************************************************
[เกร็ดความรู้]กานอง เอิง ดี (Kanon und Gigue für 3 Violinen mit Generalbaß) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ
แคนอนของพาเคลเบล (Pachelbel's Canon) หรือ
แคนอน ในบันไดเสียง ดี เมเจอร์(Canon in D major) เป็นผลงานประพันธ์ดนตรีบาโรกที่มีชื่อเสียงที่สุดของ
โยฮันน์ พาเคลเบล คีตกวีชาวเยอรมัน สกอร์ดนตรีดั้งเดิมแต่งขึ้นสำหรับบรรเลงแบบแคนอน (Kanon) ด้วยไวโอลินสามตัว โดยมีการเดินเสียงเบสด้วยเครื่องดนตรีเช่นเชลโล ดับเบิลเบส หรือบาซซูน ไวโอลินทั้งสามตัวเล่นด้วยโน้ตและจังหวะเดียวกัน แต่เริ่มต้นบรรเลงไม่พร้อมกัน โดยห่างกัน 4 ห้องเสียงไล่ตามกันไป และประสานออกมาเป็นเพลง
ที่มา:
แคนอนของพาเคลเบล