☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)  (อ่าน 34516 ครั้ง)

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
น่ารักมากเลยค่ะ เอ็นดูศศิ
คือคุณแม่เหมือนเด็กน้อยเล่นซน

อาทิตย์สมควรแล้วที่ต้องเข้าใจนะ
ปลื้มมากที่รักแค่ศศิ ดีต่อใจค่ะ

ตลกทิชา ก็คนเค้ารักเค้าหวงอะเนาะ เข้าใจเค้าบ้าง

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
27
เจ้าแสบ
☼ ☽


ครั้งนี้ไม่ใช่ว่าจะไปไม่ลา


“ไปก่อนนะ”


“อื้ม”  ทั้งๆที่ก็ไม่มีใครอยากให้ไปหรือจากไปหรอก แต่หากมันจะเป็นการจากที่นำมาซึ่งความสบายใจที่ยั่งยืน เราก็อดทนรอคอยการกลับมาได้


แผ่นหลังของพระองค์นั้นหายไปลับสายตา คนที่มายืนส่งต่างพากันกลับไปทำหน้าที่ต่างๆของตน แม้แต่ท่านหมอน้อยเองก็ไม่รอช้าค่อยๆเดินกลับเข้าไปเช่นกัน ครั้งนี้ที่ทรงจากไป ก็เหมือนกับก่อนนี้ เดี๋ยวพระองค์ก็กลับมา ศศิเชื่อเช่นนั้น


ท่ามกลางความขัดแย้งของคนที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์นี้ ไม่มีใครที่ถูกที่สุดหรือผิดที่สุดหรอก มีแค่ว่าเราอยากจะอยู่ข้างไหนมากกว่า ในโลกสีเทาใบนี้ เราต่างถูกบีบบังคับให้เลือกสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วทั้งนั้น และศศิก็เลือกแล้ว ไม่ใช่เพราะความถูกต้องเสียทีเดียว แต่เพราะเขาที่ตนรักอยู่ตรงนั้นและกำลังต่อสู้เพื่อความถูกต้องที่ยึดถือ


ในความเป็นจริงเราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าเขาจะกลับมาไหม กลับมาเมื่อไหร่ แต่ศศิกลับไม่คิดร้ายไปก่อน ด้วยมั่นใจว่าพี่อาทิตย์ของตนนั้นเก่งที่สุดจึงวางใจ กิจวัตรประจำวันของศศินั้นคล้ายๆกันกับวันวานหากแต่เจ้าตัวกลับไม่เร่งรีบด้วยเพราะทิชากรเองก็กลับมาแล้ว ในเวลาที่ว่างๆเช่นนี้ก็มักจะอ่านหนังสือผ่อนคลาย รอเวลาที่ท่านน้าเลิกงานและเราก็มากินอาหารด้วยกัน


“วันนี้คุณพ่อไม่อยู่ดุ เจ้าแสบก็อย่าแกล้งแม่เยอะนะ”  สื่อสารกับลูกอย่างอ่อนโยน


ทว่าเจ้าแสบกลับไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย


“อื้อ…”  ไหนบอกว่าอย่าแกล้งไง…แล้วทำไมถึงทำให้เจ็บได้ขนาดนี้


“ศศิ”  ทิชากรที่เพิ่งมาถึงนั้นเดินมาหา ทว่าศศิกลับกึ่งนั่งกึ่งนอนเบ้หน้าไม่สามารถจะขยับกายลุกขึ้นมาได้


เจ้าแสบ…เล่นกันได้แสบมากมาย


“ข้าว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ”  ทิชากรนั้นพยายามบังคับตนเองให้มีสติและเร่งออกไปสั่งงานให้คนนำของมา ด้วยไม่อยากพาศศิไปยังสถานพยาบาลที่มีคนรู้เห็นอยู่เยอะ เมื่อสั่งให้ลูกศิษย์ที่ไว้ใจได้ไปช่วยเตรียมของก็รีบกลับเข้ามาดูคุณแม่กับเจ้าแสบที่กำลังดิ้นรนอยากจะออกมาอยู่ข้างนอก ภายในใจของศศิมีกำลังใจดี แต่การแสดงออกนั้นดูเจ็บปวดไม่น้อย เวลาเหมือนเดินช้าในความรู้สึกของคนตรงนั้น อะไรๆก็ดูจะไม่ทันไปเสียหมด


ทนหน่อยนะ…
อดทนอีกนิด….
เราสองคนจะได้เจอกันแล้ว….
.
.
.
.

แอ้ออออออออออออออออออออออออออออออออ



“แม่จ๋า…”


“อื้ม…”


“ไม่เป็นอะไรแล้วนะ”


“นั่นใครหรือ”


“พวกหนูเอง…”  เจ้าของเสียงใสนั้นตอบรับด้วยความยินดี  “เจ้าแสบของแม่ไง”  และคำตอบก็ทำให้ศศิลืมตาขึ้นมามอง


เด็กสองคนที่มายืนอยู่ข้างเตียงที่กำลังยิ้มให้กัน


“เจ้าแสบ…”  ทั้งๆที่ศศิเพิ่งจะคลอด แต่ทำไมลูกของตนถึงได้โตขึ้นมาขนาดนี้แล้วล่ะ มิหนำซ้ำ…


ยังมีตั้งสองคน…


“หนูอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่จะมาหาบ่อยๆนะ”  เด็กชายคนหนึ่งพูดออกมา


“กัษษากร”  และไม่รู้อะไรทำให้ศศิเรียกเด็กผู้ชายคนนี้เช่นนี้ ก่อนจะจ้องมองไปที่เด็กผู้หญิงอีกคนที่ยิ้มจนเต็มแก้ม  “รวิวัลย์”


“นั่นชื่อของหนูหรือ”


“พวกเจ้า…”


“พวกข้าเกิดมาจากดวงจิตที่รักกันของท่านพ่อและท่านแม่ในวันที่ท่านเลือกที่จะลงมาตามหาท่านพ่อที่โลกมนุษย์ แต่เพิ่งถือกำเนิดอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้”  รวิวัลย์พูดเจื้อยแจ้ว


“…”


“ต่อไปนี้ท่านไม่ต้องห่วงแล้ว ขอให้ใช้ชีวิตที่นี่กับท่านพ่อที่ท่านรักมาก แสดงความรักต่อเขาให้เต็มที่ให้สมกับที่พวกท่านรักและยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกัน”  กัษษากรนั้นพูดต่อ


“ต่อจากนี้ข้าจะดูแลพระอาทิตย์ และกัษษากรจะดูแลพระจันทร์ของท่านแม่ให้ดีที่สุด”  รวิวัลย์หันไปพูดกับน้องชาย กัษษากรยิ้มให้ก่อนจะหันกลับมามองและเดินเข้าไปโอบกอดศศิที่มึนงงในทุกๆอย่าง แต่เมื่อเด็กสองคนเข้ามากอดก็กอดตอบอย่างไม่มีเคอะเขิน มิหนำซ้ำ…ยังรู้สึกผูกพันราวกับรู้จักกันมานาน


“พวกเราจะลงมาเจอท่านแม่และน้องบ่อยๆนะ” 


น้อง…


“พวกเจ้าจะไปไหนกัน”  คนที่ถูกเรียกว่าแม่เอ่ยถาม รู้สึกใจหายทั้งๆที่เราเพิ่งได้พบกัน


“เราไม่ได้ไปไหนไกลหรอก”


“ไม่ไปไม่ได้หรือ”


“ไม่ได้”


“ข้าไม่ให้พวกเจ้าไป”


“หากท่านคิดถึงพวกเราก็แค่มองฟ้า”  รวิวัลย์เอ่ยก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนตักส่วนกัษษากรนั้นก็ปีนเตียงขึ้นมากอดและซบไหล่


“พวกเราก็จะมองหาท่านจากบนนั้นเหมือนกัน”


“จะมาเยี่ยมข้าบ่อยๆใช่ไหม”  ศศิเอ่ยย้ำ


“อื้อ” สองแฝดอาทิตย์และดวงจันทร์นั้นตอบรับ พวกเขาเกิดมาเพื่อรับผิดชอบหน้าที่ต่อจากเทพองค์เก่า มันไม่ได้ฝืนใจอะไรนักหรอกเพราะไม่ว่าอีกคนจะอยู่ตรงไหนของโลกก็มองเห็นได้ แต่กับคนที่รู้สึกผูกพันแต่ไม่อาจจะพบเจอกอดหอมได้ทุกวันคงไม่…รู้สึกใจหายที่ต้องจากทั้งๆที่เพิ่งได้เจอจริงๆ


“ข้ารักท่านแม่”  กัษษากรเอ่ย


“ถึงท่านพ่อก่อนนี้จะหัวแข็งไปเสียหน่อยแต่ตอนนี้ท่านน่ารักขึ้นแล้ว ต่อไปอาจจะต้องห่างกัน แต่หากท่านมีความกล้าหาญเพียงพอ ก็ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งท่านทั้งสองได้” รวิวัลย์ผู้รู้เห็นได้เอ่ยออกมา ถึงมันจะมีบางส่วนที่เป็นความลับแต่กับมารดา… พูดออกมานิดหน่อยก็คงไม่เป็นไร ใช่ว่าศศพินทุ์จะเข้าใจทุกอย่างที่เราสนทนากันนี่


“พวกเราต้องไปแล้ว”


“จะไปกันแล้วหรือ”


“อื้อ พวกเขาตามแล้ว”


“แล้วข้าจะได้เจอพวกเจ้าอีกใช่ไหม”


“ใช่…”  กัษษากรยิ้มออกมา  “เราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”  และสองแฝดก็ผละออกไป


ศศิมองตามอย่างใจหายก่อนจะหลับตาลงรับรู้ถึงบางอย่างที่กำลังจะจางหายไปจากข้างๆกาย ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
เพื่อพบว่าตนนั้นตื่นจากฝันแล้ว…


“…”  รวิวัลย์กับกัษษากร


กลับมาเยี่ยมหากันบ่อยๆนะ

☼ ☽


เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง…


“เจ้าเห็นไหมอคิราห์”  ธมลย์ดูจะตื่นเต้นไม่น้อยกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ ทว่าอคิราห์ไม่ตอบอะไร มันเกิดขึ้นมาและก็ผ่านไป ช่วงเวลานั้นเขาไม่ได้ยินคนพูดอะไร ราวกับว่าสติของตนได้หลุดลอยไปยังที่อื่นที่ไกลแสนไกลแล้ว


ศศิ…


“ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้เห็น สิ่งนั้นเรียกว่าสุริยุปราคาใช่ไหม”  พวกเรากำลังนั่งกินอาหารและพร้อมที่จะเดินทางต่อ กว่าพวกอลงกรณ์จะเดินทางมาถึงที่ด่านตะวันตกที่ 1 เราก็คงไปถึงทันที่จะช่วยและเผด็จศึกในทันที


“ประหลาดมาก เจ้าคิดเช่นนั้นไหม”


“องค์ชาย”


“องค์ชายอคิราห์!”


“อา...”


“เป็นอะไรหรือเปล่าพะยะค่ะ” 


“ไม่มีอะไร”  หลายสายตาที่จ้องมองกันอยู่นั้นดูเป็นห่วง แต่พระองค์ไม่เป็นไรจริงๆ ที่เป็นคงเพียงเหมือนถูกดึงดูด ไปยังจุดใดจุดหนึ่งที่ไม่แน่พระทัยนักว่าเป็นที่ไหน รู้แค่เพียงมันรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมา สุริยุปราคาที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบร้อยปีกลับเกิดมาในวันนี้


เพราะอะไรกันนะ?


“เจ้าเชื่อเรื่องลี้ลับหรือไม่ เราควรดูหมอกันก่อนไหมว่าไปนี่จะดีหรือเปล่า” ธมลย์เอ่ยออกมา แต่อคิราห์ทำเพียงส่ายหน้า


“ไปต่อกันเถิด”  จะไม่มีการถอยกลับและจะมีแต่สิ่งดีๆเกิดขึ้นเท่านั้น นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงเชื่อถือ


จะต้องนำพาชัยชนะกลับมาให้ได้


เราไม่ได้เร่งเดินทางจนเกินไป ด้วยเพราะยังพอมีเวลาจนกว่าจะถึงกำหนดการ เมื่อมาถึงใกล้จุดนัดหมายที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ทรงสั่งให้คนกระจัดกระจายกันไปดูลาดเลาตามจุดต่างๆ ด้วยเพราะคนที่มาด้วยกันนั้นถูกคัดมาให้เหมาะสมกับการทำงานแบบนี้จึงไม่ต้องคุยมากและทำการได้อย่างคล่องแคล่ว


เพื่อความปลอดภัย จึงทรงฉลองพระองค์แบบคนธรรมดาทั่วไปและฝากอาภรณ์พร้อมตราประจำพระองค์ไว้กับอชิระที่อยู่ดูแลค่ายตามหน้าที่เพื่อไม่ให้ใครสงสัยเรื่องการเคลื่อนไหวของทางนั้น ทรงสั่งคนให้แอบดูนายตรวจของด่านหากพบว่ามีความทุจริตจะได้ตามเล่นงานกันได้และกะจะรวบให้ครบหมดทั้งขบวนการ


ด้วยเพราะทรงส่งสายมาตั้งหลักปักฐานที่พื้นที่นานมากแล้ว จึงได้ทราบว่าช่วงหลังมานี้มีคนต่างถิ่นที่พยายามทำตัวให้กลมกลืนกันคนท้องถิ่นและยัดเงินให้กับข้าราชการเพื่อให้ช่วยปิดเรื่อง ด้วยเพราะไม่อาจจะแทรกแซงการทหารของชายแดนตรงนี้ได้ จึงเร่งส่งจดหมายเร็วให้ทางพระราชวังส่งคนมาเพิ่มเติม ภายในไม่เกินสามวันนี้เท่านั้นมันจะจบลงแล้ว


และพระองค์จะได้ไปทำอย่างอื่นเพื่อครอบครัวของตัวเองเสียที


☼ ☽


“ตื่นแล้วหรือ”  ทิชากรที่เดินเข้ามาหานั้นยิ้มให้ เมื่อวานนั้นเป็นวันที่หนักจริงๆ เป็นประสบการณ์ที่ตนไม่คิดว่าจะมีได้เพราะที่ผ่านคนที่เป็นอย่างศศินั้นแทบไม่มีให้เห็น แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดีท่ามกลางความเปรมปรีดิ์ ยกเว้นคนแม่…ที่แม้เสียงของเจ้าแสบจะแผ่ดดังแค่ไหนก็ไม่ยอมตื่น


คงจะเหนื่อยมากสินะเจ้าแสบของน้า


“อื้อ เจ้าแสบ”


“ตื่นมาก็ถามถึงเลยนะ ก็ยังดีที่จำได้ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น”ทิชากรเอ่ยแซวก่อนจะนั่งลงข้างๆและช่วยประคองขึ้นมา ศศิคงจะเจ็บแผล แม้ว่าสมุนไพรที่เรามีจะช่วยทำให้แผลและอาการเจ็บหายได้เร็ว แต่ว่ามันยังเร็วไป คุณแม่คนใหม่เบ้หน้าเมื่อรู้สึกเจ็บขึ้นมา ก่อนจะนั่งเบะปากมอง


“เจ้าแสบอยู่ที่ไหน”เอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้งจนต้องหาน้ำให้ดื่ม ก่อนจะเดินออกไปและพาเจ้าแสบที่ยังนอนหลับอยู่มาที่นี่ เด็กในวัยนี้…มีแค่ตื่นมากินและก็นอนเท่านั้นแล


“นี่ไงเจ้าแสบของเจ้า หน้าตาแสบนักแล”  ทิชากรนั้นส่งเจ้าแสบตัวน้อยให้เข้าสู่อ้อมอกของคนเป็นแม่


“หน้าตาน่าชังนัก”  และคนเห่อหลานอีกคนก็ตามเข้ามาด้วย ทั้งค่ายเกือบไม่เป็นอันทำงานทำการเพราะแม่ทัพเอาแต่ใจอย่างนี้นี่แล


“ใช่…น่าชังนัก”  ใบหน้าที่กำลังหลับใหลของเจ้าแสบที่หมดฤทธิ์นั้นสะกดให้มองอยู่อย่างนั้น นี่คือลูกของศศิหรือ นี่คือเด็กที่ตนได้คุยด้วยในทุกๆวันจริงๆหรือ เด็กคนนี้ใช่ไหมที่ชอบแกล้งกันมาตลอดหลายเดือน เด็กคนนี้ใช่ไหม


ที่เป็นลูกของตนกับพี่อาทิตย์…


“ตั้งชื่อให้เจ้าแสบเลยไหม”  นั่นสิ คิดมาตั้งนานว่าจะให้ชื่ออะไร จะให้เรียกว่าลูกหมาอย่างที่คุยกับคนพ่อไว้ก็คงจะไม่งามเท่าไหร่นัก แต่สองชื่อที่ศศิตั้ง…


มันก็เหมือนจะใช้ไม่ได้แล้ว


‘แม่จ๋า’


รวิวัลย์และกัษษากร


“รอพี่อาทิตย์ก่อนดีกว่า”  ในที่สุดก็ผลักภาระไปให้อีกคนที่ยังไม่รู้ถึงสถานการณ์ในค่ายตะวันตกที่ 1 แห่งนี้เพราะกำลังวุ่นวายกับสถานการณ์ที่อีกค่ายหนึ่งอย่างที่ได้บอกกันไว้


“งั้นเราจะเรียกว่าเจ้าแสบไปก่อนแล้วกัน”


“ข้านอนกับเจ้าแสบได้ไหม”  ศศิเอ่ยถาม


“เจ้ายังอ่อนเพลียและเจ็บแผลอยู่”


“เช่นนั้นท่านน้านอนค้างกับข้าได้ไหม”  ศศิถาม พลางช้อนตามองไปที่คนที่จะโวยวายอย่างรู้ทัน และเมื่ออชิระถูกดักถามไว้เช่นนั้น


“ก็ได้ๆ ข้าไม่แย่งน้าของเจ้าก็ได้”  จำต้องยอมจริงๆ หากศศิขอถึงขั้นนี้แล้วและยังดื้อรั้นไม่ให้ คิดหรือว่าทิชากรจะยอมกลับไปนอนด้วยกันกับเขา


“ขอบคุณท่านอชิระ”


“งั้นข้าไม่รบกวนเจ้า น้า ลูก และก็หลานแล้ว”  อชิระเอ่ยเช่นนั้นก่อนจะเดินจากมา จริงๆแล้วเขาเองก็มีงานที่จะต้องทำให้สำเร็จในวันนี้ ถึงแม้จะมีการป้องกันอย่างดีที่ค่ายและมีการส่งทหารไปตรวจตราพื้นที่รอบๆมาโดยตลอด ทว่าเรามิอาจจะไว้ใจได้ว่าสถานการณ์รุนแรงที่จะเกิดขึ้นจะไม่เกินเลยมาทางนี้ ทางอคิราห์นั้นก็น่าเป็นกังวลว่าจะต้านได้หรือไม่ แต่มีธวัลย์อยู่ด้วยก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก


แต่วันนี้เป็นวันของคุณพ่อ


“หากรู้คงเนื้อเต้นจนรีบจบปัญหาและมาทางนี้แน่”  แต่อชิระจะไม่ส่งคนไปพูดอะไรจนกว่าเรื่องราวจะจบด้วยกลัวว่าบางคนจะเสียสมาธิ หันไปสั่งงานทหารให้เรียบร้อยก็มองกลับไปยังเรือนที่สองน้าหลานคงกำลังพูดคุยกันอยู่


พวกเราปกป้องพวกเขากันมานานเพื่อแลกกับความช่วยเหลือทางการแพทย์ที่ไม่มีใครทางเมืองหลวงให้ความสนใจ หากไม่ได้ทิชากรในวันนั้นเรามิอาจจะเป็นเช่นวันนี้ในวันนี้ได้ และต่อจากนี้ทิชากรก็ได้ให้คำมั่นกับตนแล้วว่าจะอยู่ที่นี่แม้ว่าสิหราชนคราไม่ใช่บ้านเกิดของจันทราปราการ


“หากเจ้าหวังให้ที่นี่เป็นบ้าน ข้าก็จะไม่มีทางปล่อยให้ใครพรากเจ้าออกจากบ้านได้เด็ดขาด”  และนี่คือคำมั่นที่อชิระฝากบอกสายลมไว้ เรามิอาจจะเรียกได้ว่ารักกันเหมือนคนอื่น แต่ความรักของเรา…


ไม่จำเป็นต้องให้ใครเข้าใจอีกแล้ว


ทางด้านศศิกับทิชากรเมื่อได้อยู่ด้วยกัน จันทราปราการคนงามก็เริ่มที่จะพูดคุยเรื่องสำคัญที่ไม่ได้มีโอกาสก่อนหน้านี้ ทิชากรเองก็ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องรีบเร่งอะไรก็เลยไม่ได้บอกไปถึงการตัดสินใจของตน ในฐานะของผู้นำของจันทราปราการ ผู้สืบทอดสายตรงย่อมเป็นศศพินทุ์หลานเพียงคนเดียว แต่ถ้าหากอนาคตอันใกล้นี้เป็นไปอย่างที่คาดไว้ หลานรักก็คงไม่อาจจะมาสืบทอดตำแหน่งตรงนี้ได้ และที่สำคัญ…เจ้าแสบนี่ พ่อของเขาคงหมายมั่นตำแหน่งที่ใหญ่โตกว่านั้นเอาไว้ให้


ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้หลานของตนขึ้นมา แต่เพราะตนก็ไม่ได้ใจดำคับแคบขนาดไม่สนใจความต้องการของคนอื่นๆ  ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ใจที่มีและเคยผูกมัดกับตระกูลก็ยิ่งคลายออก แม้จะรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย แต่ก็คิดว่าตนได้เลือกทางที่ถูกต้องลงไปแล้ว และนั่นคือสาเหตุที่เดินทางไปคีรีธาราเมื่อถูกเชื้อเชิญมา ทั้งๆที่ก็เป็นไปได้ว่าศศิอาจจะคลอดในระหว่างนั้น


“ท่านแน่ใจแล้วหรือ”  ผู้ซึ่งเคยเป็นความหวังในการสืบทอดนั้นมองใบหน้าที่ติดจะนิ่งเฉยตลอดเวลาของผู้เป็นน้าอย่างไม่เชื่อหู ทั้งๆที่จันทราปราการคือทุกสิ่งทุกอย่างของทิชากรแท้ๆ


“ข้าคิดว่าข้าได้ทำให้จันทราปราการอย่างเต็มที่แล้ว แต่การที่ไม่สามารถพาทุกคนในตอนนั้นอพยพมาได้ก็ถือเป็นเรื่องที่กัดกินหัวใจไม่น้อย”  ทิชากรต้องจมกับความทุกข์นั้นมาตลอดยี่สิบปี  “ในระหว่างที่ข้าไม่อยู่ที่นั่น สายรองก็มิได้งอมืองอเท้ายอมแพ้ต่อโชคชะตา พวกเขาเหมาะสมที่จะขึ้นมาเป็นเจ้าตระกูลแทนข้า”


“แต่ท่านเป็นเจ้าตระกูลที่สืบทอดทางสายเลือดนะ”  มันก็ใช่ แต่แล้วอย่างไรล่ะ


“เดิมทีเราเป็นกลุ่มคนที่มารวมตัวกันเพื่อแสวงหาความรู้และเผยแผ่ ข้าเพียงสืบทอดสายเลือดจากหัวหน้ากลุ่มรุ่นแรก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราคือเจ้าปกครองใคร พวกเขามีอิสระที่จะได้เลือกว่าใครเหมาะสม”


“ท่านเหมาะสม”


“จันทราปราการนั้นยกย่องคนเก่ง”  ทิชากรยิ้ม “และใครที่ถูกยอมรับว่าเก่งก็สมควรเป็นผู้นำไม่ใช่หรือ”  พูดอีกก็ถูกอีก หากจุดเริ่มต้นของตระกูลคือการรวบรวมผู้ใฝ่รู้ทางการศึกษาและพัฒนาแล้วละก็ ระบบการขึ้นมาเป็นผู้นำทางสายเลือดก็ดูจะย้อนแย้งไม่น้อย


“หากนี่มันดีแล้ว ข้าก็ยินดีกับการตัดสินใจของท่านน้าจริงๆ”  เจ้ากระต่ายน้อยนั้นยิ้มให้อย่างจริงใจ ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยที่เจ้าแสบขยับตัวในอ้อมอก


“ข้ายินดีที่จะเป็นแค่อาจารย์หมอของคนที่นี่ เป็นตาของเจ้าแสบ และน้าของเจ้า…ศศิ เพียงแค่นี้ก็พอต่อใจแล้ว”


“ท่านลืมอีกตำแหน่งหนึ่งไปนะ”


“อะไรล่ะ”


“ถ้าท่านอชิระอยู่ตรงนี้ต้องโวยวายแน่ที่ไม่มีสถานะใดๆให้เขา”


“อืม”  ทิชากรเพียงยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร


เรารักกันแบบไหนไม่ต้องให้ใครเข้าใจ…ก็ได้กระมัง


ผ่านไปสองสัปดาห์แล้วที่พ่อของเจ้าแสบจากไป ไม่มีข่าวใดๆดังมาถึงหู ถึงแม้ว่าอชิระจะรู้อยู่บ้างแต่ก็ไม่ยอมบอกอะไรให้ศศิรู้ จากที่เคยวางใจก็เริ่มจะกังวลเพราะแม้แต่ทางนี้ก็ยังมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ ทว่าก็ไม่ได้เคยถามออกไป พยายามจะทำใจให้สบายและให้ความสนใจกับเจ้าแสบให้ได้มากที่สุด


“ถ้าพ่อของเจ้าไม่กลับมา เกรงว่าคงไม่มีคนตั้งชื่อให้จริงๆ”  ว่าไปเช่นนี้และก็จิ้มแก้ม เจ้าตัวแสบยังคงหลับใหล ตื่นมาร้องหงุดหงิด กิน และก็นอน นี่คือกิจวัตรของเด็กทารกที่เป็นลูกของศศิ เลี้ยงง่ายแต่น่ากลัวจะแฝงพิษภัยให้ปวดหัวในอนาคตอยู่มาก


เจ้าแสบตัวเหี่ยวนั้นขยับตัวอย่างรำคาญ ท่าทางเช่นนั้นทำให้คนที่วุ่นวายใจยิ้มออกมาได้ นี่คือการหลงรักใครคนหนึ่งอย่างบ้าบอหรือนี่ ทั้งๆที่ไม่ได้ออดอ้อนทำตัวน่ารักใส่กันเลยแต่ศศิกลับชอบไปหมด นี่คือภาวะหลงแบบไม่ลืมหูลืมตาใช่ไหม ขนาดศศิยังเป็นเช่นนี้ แล้วคนพ่อที่ยังไม่กลับมาตั้งชื่อลูกจะไม่ปลื้มจนตาปิดเชียวหรือ


“เดี๋ยวท่านพ่อก็กลับมาแล้ว ตอนนี้เป็นเจ้าแสบไปก่อนนะลูก”


ท่ามกลางความเงียบสงบของในเรือน เจ้าของเรือนกลับไม่รับรู้ถึงความวุ่นวายภายนอกแม้แต่น้อย จนกระทั่งเสียงโห่ร้องที่ดังขึ้นมันมากมายเกินกว่าจะทำให้คนที่เอาแต่หลงลูกนิ่งเฉยได้ จึงยอมผละจากเพื่อออกมาดูสถานการณ์ ผู้คนมากมายนั้นเดินบ้างวิ่งบ้างไปทางหน้าค่าย หน้าตาดูปิติยินดีกับบางอย่าง


“เกิดอะไรขึ้นนะ”  แม้จะอยากรู้อยากเห็น ทว่าเมื่อทราบได้ว่าสถานการณ์ไม่มีสิ่งใดที่เลวร้ายจนเกินไปจึงตัดใจไม่ไปเมียงมอง เจ้าตัวแสบยังหลับอยู่ และคนเป็นแม่ก็ไม่อยากจากเขาไปไกล


“ท่านพี่ศศิ ไม่ไปที่หน้าค่ายหรือ”  สายชลที่เดินผ่านมาร้องถาม แต่คนถูกถามกลับส่ายหน้า


“ข้าต้องดูเจ้าแสบ”


“งั้นให้ข้าดูแลแทนดีหรือไม่”


“ไม่เป็นไร”


“ท่านแม่ทัพคงอยากให้ท่านไป ปล่อยเจ้าแสบไว้กับข้าก่อนก็ได้ หากเกิดอะไรไม่ดีข้าจะร้องเรียก”  สายชลพูดให้เกิดความมั่นใจ เมื่อได้ยินว่าอชิระอยากให้ศศิไปที่หน้าค่ายก็คงจะนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ และเมื่อมีคนที่ไว้ใจมาอาสาดูแลให้ ศศิก็ยินยอม ร่างบางนั้นยอมที่จะจากเจ้าแสบที่ตื่นมาไม่เคยห่างอกไปยังหน้าค่ายด้วยใจที่หวั่นว่าหากลูกตื่นมาจะงอแงจนสายชลรับมือไม่ไหว รีบไปรีบกลับมาก็คงได้กระมัง


มันมีอะไรเกิดขึ้นหรือ?



“เราชนะแล้ว”


เรานี่ใคร?


“ชนะแล้ว!”


ชนะอะไร?


“มันเกิดอะไรขึ้น”


“ท่านศศิ!”  เสียงของธมลที่ไม่ได้ยินมานานนั้นดังขึ้น พลันหัวใจของคนฟังก็เต้นตึกตัก ท่ามกลางผู้คนมากมาย ม่านน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นนั้นทำให้ตนไม่เห็นใคร จะมีก็แค่เพียงหนึ่งบุรุษเท่านั้นที่เดินเข้ามา ใบหน้าของเขาก็ช่างเลือนลาง จนกระทั่งน้ำตาหนึ่งสายได้รินไหลระบาย จึงได้เห็นว่าใครนั้นที่เดินเข้ามาแต่ไกล


“เสียใจก็ร้องไห้ ตอนนี้ยังร้องไห้ เจ้านี่เป็นคนอย่างไรกันนะ”  ทรงแย้มพระสรวลออกมาเมื่อได้เห็นเด็กดีของพระองค์ที่ตามมารับเสด็จนั้นร้องไห้งอแง อยากจะโอบกอดไว้ทั้งตัวแต่ก็จำใจแค่โอบไหล่อีกฝ่ายไว้  “แดดร้อน เจ้าจะไม่สบายเอา” 


“ท่านกลับมาแล้ว”


“ดีใจไหม”


“ดีใจสิ”


“งั้นยิ้มหน่อย ยิ้มสวยๆ”  แต่คนขอกลับได้รับเพียงการทุบตีเบาๆเพื่อบอกกันว่าเจ้าของรอยยิ้มนั้นเขินแค่ไหน



เราเลือกที่จะหยุดหยอกล้อกันตรงนี้ ทรงหันไปโบกมือลาและรีบพาคนรักออกไปจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มาเข้าเฝ้ารับเสด็จ สิ่งที่พระองค์จากไปทำ ทรงทำมันสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว เหล่ากบฏของทั้งสองดินแดนนั้นถูกนำไปคุมขังอย่างเข้มงวด หน้าที่ของพระองค์ในส่วนของตอนนี้ได้จบลงแล้ว และต่อไปนี้กับคนๆนี้ พระองค์จะต้องพึงปฏิบัติหน้าที่ที่ควรกระทำยิ่งกว่า


“ท่านได้ไปคิดชื่อให้เจ้าแสบมาหรือยัง”


“ยังเลย เจ้ารีบหรือ”  ส่งเอ่ยออกมาด้วยหวังให้อีกฝ่ายขำขัน ทว่าศศิกลับมองค้อนกันและหยิกที่เอวโดยไม่ปราณี


“ไม่คิดตอนนี้ท่านจะไปคิดตอนไหน จะให้ลูกเราชื่อว่าลูกหมาจริงๆหรือ”


“ใจเย็นสิ เจ้าแสบแกล้งเจ้าหนักหรือวันนี้ถึงได้หงุดหงิดถึงเพียงนี้”


“ไม่ได้แกล้งหรอก ตื่นมาก็กินและก็นอนเพียงนั้น จริงสิข้าทิ้งเจ้าแสบไว้กับสายชลสักพักแล้วนี่นา”


“ทิ้งไว้กับสายชล…”


“ต้องรีบไปดูหน่อยแล้วล่ะ”


“ศศิอย่าวิ่ง!”  พระองค์จะร้องห้ามแต่ไม่ทันคุณแม่ที่ออกวิ่งไปแล้ว และเมื่อพระองค์พิศให้ดีจะรู้ได้ว่า…


หน้าท้องของคนรักกลับมาแบนราบอีกครั้ง


“อย่าบอกข้านะว่า!”  ท่านแม่ทัพอชิระ…


จะต้องเป็นท่านแน่ๆที่ตั้งใจแกล้งหลานแบบนี้!


ทรงวิ่งตามศศิที่กลับมายังเรือน พระองค์ยังคงคิดว่าอีกฝ่ายยังคงอุ้มท้องลูกของเราอยู่ แต่เมื่อพิจารณาให้ดีก็ขุ่นเคืองไม่น้อยที่ในขณะที่ทรงกำลังจัดการกับพวกกบฏ ลูกของพระองคก็ดื้อซนจนออกมาดูโลกโดยที่ไม่มีผู้เป็นพ่ออยู่เคียงใกล้ผู้เป็นแม่ ทรงรู้สึกผิดจริงๆ แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบหน้า


เขาจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกัน
เขาจะดูงดงามเหมือนแม่ หรือดูองอาจเหมือนพ่อนะ?


“เจ้าแสบ!”


“เบาๆหน่อยสิ”  ศศิหันมาทำตาขวางให้ ก็เพิ่งเคยเป็นพ่อคนนี่นา มันก็ย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา


ทรงก้าวเข้าไปในห้องนอนที่มีกองผ้าวางสุมอยู่บนเตียง สายชลที่เห็นก็ยอมจากไปเงียบๆให้พ่อแม่ลูกได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ศศิที่นั่งอยู่บนเตียงนั้นจ้องมองไปที่กองผ้าตรงนั้นด้วยแววตาอ่อนโยน อคิราห์ที่ตามเข้ามานั้นไม่รอช้า ทรงทรุดตัวลงประทับนั่งกับพื้นที่ข้างเตียงนั่น ดวงพระเนตรจดจ้องไปยังศูนย์กลางกองผ้า มนุษย์ตัวเล็กๆที่ยังคงหลับใหลราวเทวดาตัวน้อย ใครเล่าจะรู้ว่าตอนอยู่ในท้องแม่จะแสบจนต้องลุกมาดุกันอยู่บ่อยครั้ง


ในที่สุดเราก็ได้เจอกัน


“ข้าขอโทษนะ”


“ขอโทษเรื่องอะไรหรือ”  ศศิถาม


“ที่ไม่ได้อยู่ด้วยในตอนนั้น”


“ไม่เป็นไรหรอก ท่านไถ่โทษด้วยการไม่บาดเจ็บและทำสำเร็จแล้ว”  ทรงกุมมือเล็กของคนที่พูดจาน่าฟังไว้ก่อนจะบีบเบาๆ สื่อความหมายมากมายที่ไม่อาจจะถ่ายทอดเป็นคำพูดออกไปได้


“เราจะให้เจ้าแสบของเราชื่ออะไรดี”


“ท่านตั้งเลย”


“แล้วชื่อที่เจ้าตั้งไว้เล่า”


“ข้าอยากให้ท่านตั้งมากกว่า”  ศศิยิ้ม “ลูกเราหน้าเหมือนคนขนาดนี้ ให้ชื่อว่าลูกหมาไม่ได้แล้วนะพ่อหมา”  นั่นสินะ ก็น่าชังเสียขนาดนี้จะให้ชื่ออะไรดี


หากพ่อและแม่มีนามดั่งอาทิตย์และพระจันทร์


“ลูกเกิดในวันที่มีสุริยุปราคานั่นด้วยนะ”  ศศิบอก ตนก็ไม่ได้เห็นหรอกแต่มีคนบอกมา


“นภฉาย”


“…”


“พ่อตั้งชื่อให้จอมแสบของพ่อว่านภฉายนะลูก”  เขี่ยแก้มนิ่มเบาๆด้วยความเอ็นดู ทรงอ่อนโยนอย่างที่คิดไว้ ความสุขที่มากล้นนั้นทำให้น้ำตาเอ่อขึ้นมาอีกครั้งและครานี้ไม่ใช่แค่ศศิแล้ว เพราะองค์รัชทายาทก็ห้ามน้ำตาไม่ให้ร่วงไม่ได้เหมือนกัน


ในที่สุดเราก็ได้เจอกันสักทีนะ
เจ้าฉาย…


TALK
ตอนนี้ #เจนไม่นก จะเป็นเล่มแล้วคับ และงานราษฐ์หลวงเยอะเมิ่ก
เราก็จะยุ่งเว่อร์ มาทุกวันไม่ได้แต่จะพยายามมาให้บ่อยสุดนะคับ
ยังไงก็ฝากติดตามและเป็นกำลังใจโหน่ย ฮืออออ
#อาทิตย์ศศิ @reallyuri




















ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เจ้าตัวแสบลืมตาดูโลกแล้ว แถมท่านพ่อก็นำชัยชนะมาอีกด้วย :katai2-1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
พ่อแม่ ลูก อยู่กันพร้อมหน้าละ ดีๆๆ

ออฟไลน์ Caramel Syrup

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
น้องฉาย จะแสบขนาดไหน ป้าจะอดใจรอหนูนะ   :pig2:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
น้องแฝดมาพร้อมกับเจ้าแสบเลย คงสมชื่อที่แม่เรียกแน่
เอ็นดูน้องแฝด ไปทำหน้าที่แทนพ่อแม่ที่จากมา

ศศิน่ารักมาก ก็ยังซน ยังอ่อนหวานเหมือนเดิม และหลงลูกมาก
อาทิตย์คือพ่อคนแล้วนะ เอ็นดูคนไม่รู้ตัวว่าศศิคลอดแล้ว

ทิชาคือผู้นำที่ดี ไม่หวังความยิ่งใหญ่ แต่หวังความสุข
คือดีงามไปหมดเลยค่ะ สถานการณ์ตอนนี้

อชิระ ถูกหลานรักแย่งทิชา แล้วยังไปแกล้งอาทิตย์อีก
ระวังถูกเอาคืนบ้างนะ 55555

เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ เราจะรอเสมอจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-01-2019 22:04:08 โดย labelle »

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
 :pig4:

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
 :pig4:

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
28
นภฉาย
☼ ☽


นภฉาย…เจ้าฉาย


“ทำเจ้าแสบถึงได้เอาแต่นอนกันนะ”  อคิราห์ที่นึกสงสัยนั่นเอ่ยถาม เรานั้นกำลังนอนอยู่ในเรือนของศศิ โดยมีเจ้าตัวเล็กอยู่ตรงกลาง


“ลูกชื่อฉาย อนุญาตให้เรียกว่าเจ้าฉายได้ ห้ามเรียกว่าเจ้าแสบ”


“เป็นเด็กผู้ชายจะแสบหน่อยก็ไม่เป็นไร”


“แล้วใครกันที่เห็นหน้าลูกและบอกว่าเพราะเป็นผู้หญิงเลยให้ชื่อว่านภฉายน่าจะดี”


“ก็ข้าไม่รู้ เจ้าไม่ได้จับลูกแก้ผ้าให้ข้าดูแต่แรกนี่ ถึงจะได้รู้ว่าเจ้าแสบเป็นเด็กผู้ชาย”


“มีใครที่ไหนเขาจับลูกแก้ผ้าโชว์ก่อนเป็นอย่างแรกด้วยหรือ”  ยิ่งอคิราห์เป็นพ่อคน ก็ดูจะยิ่งพูดไม่รู้เรื่องมากกว่าเดิม


นอกจากจะคิดว่าลูกเป็นผู้หญิงเลยตั้งชื่อว่านภฉาย พอรู้ว่าเป็นผู้ชายก็บอกว่าไม่รู้จะเปลี่ยนเป็นอะไรเลยให้ชื่อนภฉายเช่นเดิม แต่ไม่เรียกว่าเจ้าฉาย…กลับเรียกว่าเจ้าแสบเหมือนเดิม


เจ้าฉายต้องรู้เรื่องนี้…


เมื่อไปบอกคนอื่นถึงชื่อที่ตั้งให้ลูก แน่นอนว่าคนเห่อหลานอย่างอชิระย่อมโวยวายกับรสนิยมของหลานชายที่ตั้งชื่อ แต่พอถูกตอกกลับไปว่าเป็นแค่ปู่อย่าได้หือก็เงียบไป เพิ่งจะรู้ซึ้งขึ้นมาได้ว่าตนเองนั้นได้เลื่อนขั้นเป็นปู่แล้ว ถึงแม้จะอายุมากกว่าพ่อของเจ้าฉายไม่เท่าไหร่ แต่หากนับญาติและก็เป็นเช่นนั้นจริง รวมถึงทิชากรที่รู้ตัวมานานดีแต่ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน


‘ชื่อเจ้าฉายก็น่ารัก’


ท่านตาทิชากรเอ่ยเช่นนั้นพลางจิ้มแก้มเจ้าตัวเล็กที่ตื่นขึ้นมามองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ได้ดูจะโวยวายอะไรเลยยิ่งหุบปากฉับก่อนจะกุมขมับอย่างหงุดหงิด


องค์รัชทายาทใช้ชีวิตเยี่ยงคนขี้เกียจอย่างมีความสุขที่นี่มาเกือบสัปดาห์ แต่มันไม่ยืนยงตลอดไป ไม่นานพระองค์ก็ทรงต้องเร่งเดินทางกลับเมืองหลวงเพื่อร่วมฟังการพิจารณาโทษของเหล่ากบฏที่กำลังจะมีขึ้น จริงๆพระองค์ควรจะกลับไปเร็วกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่เพราะลูกและเมียคือโอกาสที่หาทางใกล้ชิดได้ยากเหลือเกิน ต่อให้จะต้องเดินทางอย่างหามรุ่งค่ำอดหลับอดนอน ก็ทรงยอมแลกกับคืนวันที่จะได้อยู่ใกล้ชิดนานกว่านี้


ศศิมองแผ่นหลังของพระองค์ชายที่ตนรักที่สุด กำลังทรงฉลององค์อย่างเต็มยศและหันกลับมา แม้จะแสนเสียดายแต่นี่คือหน้าที่ เราไม่อาจจะหลีกหนีจากหน้าที่ได้หรอก อคิราห์ที่เห็นว่าศศิอุ้มลูกเดินเข้ามาหาก็ยิ้มรับ เจ้าฉายตัวเล็กนั้นเข้ามาอยู่ในอ้อมอกของพระองค์ น่าเสียดายที่เพียงได้พบไม่นานก็ต้องจากลา แต่หวังว่าในวันหน้า พระองค์จะได้กลับมาพบกับทั้งสองที่นี่


“พ่อจะรีบกลับมานะ”  ทรงเอ่ยบอกก่อนจะจุมพิตบนหน้าผากของเจ้าเด็กตัวเหี่ยวที่มองกันตาแป๋ว ยามใดที่ท้อ พระองค์ก็จะทรงคิดถึงภาพของเด็กคนนี้และผู้ใหญ่อีกคนที่รออยู่


“เดินทางให้ปลอดภัย และจงดูแลตัวเองให้ดีที่สุด”  ศศิบอก มันกลายเป็นคำพูดติดปากไปแล้วเพราะเขาช่างจากลากันเก่งเหลือเกิน


“หากเจ้าพร้อมเมื่อไหร่ขอให้บอก ข้าจะมารับ”แม้ไม่สามารถจะเอ่ยเร่งเร้าความพร้อมทางจิตใจของอีกฝ่ายได้ แต่ก็หวังว่าสักวันศศิจะยอมไปอยู่ด้วยกันให้สมกับเป็นครอบครัว แม้ที่นั่นอาจจะไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบที่แห่งนี้ แต่ทรงเชื่อมั่นว่าถ้าหากเราอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าที่ไหนก็จะให้ความอบอุ่นที่ดี


ทรงเอ่ยคำมั่นไว้แล้วว่าจะทรงทำให้ทุกคนยอมรับ ศศิอาจจะยังไม่สามารถตัดสินใจว่าตนจะขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งเคียงข้างกันได้หรือไม่ แต่พระองค์จะต้องทำให้มั่นใจให้ได้ว่าจะไม่มีใครทำอะไรอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้มันยังเร็วไป ทรงยังมีข้อบาดหมางใจมากมายกับคนรอบข้างอยู่ เพื่อที่จะมีอำนาจมากกว่านี้ จะต้องทำทุกอย่างเพื่อปูทางที่โรยกลีบกุหลาบให้กับศศิไว้ สักวันที่เรามั่นใจแล้ว พระองค์จะเป็นคนพาพวกเขาทั้งสองกลับไปยังสถานที่ที่เคยพรากจากแห่งนั้นอย่างเต็มภาคภูมิ


“รอข้านะ”


“อื้ม”  เอ่ยลากันเสร็จเราก็ออกจากเรือนเพื่อไปยังขบวนเดินทางที่กำลังจะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงแห่งสิหราชนครา เราไม่ได้เอ่ยประโยคใดอีกเพราะได้กล่าวไปหมดแล้ว ทว่าอคิราห์ยังคงอุ้มเจ้าฉาย เขาตัวเล็กแค่นี้เองและยังขี้เซามากๆด้วย สัมผัสที่เรามอบให้กันนั้นช่างแตกต่างและไม่คุ้นเคย พระองค์จะจดจำไว้ให้ได้ยามที่ต้องจาก ว่าการอุ้มลูกมันให้ความรู้สึกเช่นใด


เมื่อมาถึงที่ประตูหลักของค่ายก็หันมาหาศศพินทุ์ที่เดินเคียงข้างกันมา แววพระเนตรที่ทอดมองนั้นเต็มไปด้วยถ้อยคำมากมาย ยังไม่ทันจากก็คิดถึงเสียแล้วหรือคนเรา ความรักนี่ช่างวุ่นวายใจนัก ทรงจุมพิตบนหน้าผากของเจ้าฉายอีกครั้งก่อนส่งคืนให้แม่ของเขา เจ้ากระต่ายของพระองค์ยิ้มน้อยๆรับมาอุ้มไว้ก่อนจะกดจูบลงไปบนจุดเดียวกัน หัวใจคนมองนั้นอุ่นวาบขึ้นมา ทรงชื่นชอบไปหมด ทั้งแม่ของเจ้าฉายและตัวเจ้าฉายเอง


“อย่าได้บาดเจ็บป่วยไข้อะไรมาอีก”


“ข้าทราบแล้ว”  นี่คือคำบอกลาในแบบของเรา ท่ามกลางสายตาของคนมากมาย เราไม่อาจจะแสดงท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมด้วยต้องรักษาหน้า แต่ว่าแค่คำพูดนี้ก็สื่อความหมายได้มากมายแล้ว ทรงสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะหันหลังให้ทั้งแม่และลูก พยายามตัดทุกการรับรู้และนึกถึงสิ่งที่ต้องทำต่อไป เสียงผู้คนจอแจมากมายอาจจะช่วยกลบตัวตนของศศิที่อยู่ห่างไปไม่ไกล แต่เมื่อหันหลังให้แล้วก็หมายความว่าได้เลือกที่จะจากลา ศศิ…จงรอพี่หน่อย พี่จะทำให้เจ้ามั่นใจ…


ว่ารักของเรานั้นเป็นไปได้จริงๆ

☼ ☽


จะบอกว่าเพราะเราพบเพื่อจากกันบ่อยเกินไปเช่นนั้นหรือ
ศศพินทุ์จึงไม่ได้ดูจะทุกข์ร้อนอะไร


“พี่ศศิไม่คิดถึงองค์รัชทายาทเลยหรือ”  สายชลถาม ด้วยเพราะเห็นคนพี่สามารถใช้ชีวิตได้ปกติราวกับว่าไม่ได้ลาจากจากคนรัก


“คิดถึงสิ”  มากๆด้วย แต่คนเราต้องใช้ชีวิตอย่างที่ควรเป็น


“รักทางไกล มีแค่จดหมายที่นานๆทีจะมีคนถือมาส่งให้นี่เพียงพอหรือ”


“ไม่พอ แต่ก็ต้องพอให้ได้”  ศศิพูดไปพลางเก็บสมุนไพรตัวที่หยิบมาไปใส่โหลเหมือนเดิม ตอนนี้เจ้าฉายนั้นนอนอยู่ ตนจึงมาทำอย่างอื่นได้บ้าง


“ท่านไม่กลัวว่าองค์ชายจะนอกใจหรือ”


“ไม่เลย ข้ากลับกลัวว่าเขาจะเจออันตรายเสียอีก”  เพราะตั้งแต่พานพบรู้จัก ไม่เคยมีเรื่องมือที่สามใดๆที่ทำให้ขุ่นเคืองใจได้จริงๆ แม้จะเคยมีเรื่องอภิชญามาทำให้หึงหวงอยู่บ้างแต่คนรักของตนก็ชี้แจงทุกข้อชัดเจนดี มิหนำซ้ำก่อนจาก ก็ทรงบอกกันไว้ว่าจะไม่ยอมให้ใครมาจับคู่ให้กันอีกแล้ว คุณงามความดีเรื่องปราบกบฏคงพอเอาไปต่อรองได้บ้าง


และทรงโหมงานหนักขนาดนั้น จะมีเวลาไปเจอใครไหนให้ใจเต้นได้ คาดว่าปัญหาที่จะทรงเจอน่าจะเป็นเรื่องสุขภาพเสียมากกว่า อย่าว่าแต่จะไปเสวยอาหารร่วมกับสาวงามที่ไหน เสวยกับตนเองให้ตรงเวลาให้ได้ก็ถือว่าเยี่ยมยอดมากแล้ว


“แล้วได้คุยกันไหมว่าจะมาหาอีกเมื่อไหร่”


“ไม่ได้คุย”


“อ้าว…ไม่ใช่เจอกันอีกทีเขามีลูกและเมียใหม่ไปแล้วนะ”


“…”


“เอ่อ…ข้าขอโทษ”


“หากมันจะเป็นเช่นนั้นจริงข้าก็จะคิดว่ามันเป็นความจำเป็น”


“แล้วไม่โกรธหรือ”


“โกรธ”


“ก็ไปแย่งกลับมาสิ”


“ไม่ต้องแย่งหรอก”


“…”


“ข้าก็แค่ไม่ยกเจ้าฉายให้ หนักเข้าก็งอนหนีไปคีรีธารามันเสียเลย!” ยิ่งพูดก็ยิ่งจะหงุดหงิด ไหนใครบอกว่าตนช่างใจเย็น ที่แสดงออกมานั้น…ใจไม่ได้เย็นเลย


แต่ใจร้อนไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาสักนิด…


ทว่ายิ่งเวลาล่วงเลยไปและจดหมายที่เดินทางมาบ่อยๆก็น้อยลงตาม คนรับก็ยิ่งเงียบขรึมลง ศศิยังคงเลี้ยงเจ้าฉายได้ดี แต่ก็ย่อมมีคิดถึงบ้าง ยิ่งยามเจ้าฉายดื้อซนก็ยิ่งคิดถึง เพราะคนๆเดียวที่ดุแล้วยอมหยุดตั้งแต่อยู่ในท้อง เห็นทีจะมีก็แค่พ่ออาทิตย์ของเขาเท่านั้น ทว่าก็เข้าใจดีว่าทำไม แค่คิดถึงไม่ได้หึงหวงอะไร เพราะคนพี่ก็บอกอยู่แล้วว่าเขานั้น…


จำต้องไปทำงานในที่ที่ไกลกว่าเดิม


การสร้างเขื่อน…ดูเหมือนจะเป็นผลงานใหญ่ขององค์รัชทายาทในตอนนี้ที่ทรงหมายมั่นเอาไว้มาก หากทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ก็คงจะได้รับความนับถือเพิ่มขึ้น ศศิเชื่อว่าอคิราห์นั้นเป็นที่รักอยู่แล้วแต่ก็มีนิสัยที่ดื้อเสียหน่อยจนอาจจะทำให้คนอื่นไม่พอใจ แน่นอนว่าต่อให้สร้างผลงานแค่ไหน ก็ไม่อาจจะทำให้คนที่เกลียดชังหันมารัก แต่คนที่ไม่ได้รักและไม่ได้รู้สึกอะไรก็อาจจะชื่นชอบมากขึ้น


และที่เขาเหนื่อยขนาดนี้ก็เพื่อจะได้ปูทางให้คนที่ไม่มีอะไรเลยอย่างศศพินทุ์ได้เข้าไปในวังโดยรับแรงปะทะจากความกดดันให้น้อยที่สุด แต่ทั้งนี้มันไม่มีทางหรอกที่เส้นทางของคนนอกเช่นตนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ทว่านี่ก็เป็นทางเดียวที่เขาจะทำให้กันได้และมันไม่มีทางไหนอีกแล้วที่จะช่วยกันได้มากขึ้น ในเมื่อศศิไม่ได้มีความมั่นใจว่าตนจะอยู่เคียงข้างเขาอย่างสมฐานะได้จริงๆ


มันเป็นไปไม่ได้จริงๆหรือที่เราจะรักกันเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครรู้


“พี่ศศิ”  สายชลที่เดินย้อนกลับมานั้นเรียก  “ท่านทิชากรให้ตาม”


มีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ…


แต่ศศิก็ไม่ถามตัวเองนาน เมื่ออยากเจอก็ต้องรีบไปหา ฝากฝังเจ้าแสบให้คนอื่นดูแลและก็รีบไปพบเผื่อว่าอีกฝ่ายอาจจะมีเหตุด่วนอะไร ทว่าเมื่อมาพบที่สถานพยาบาลก็กลับพบว่าท่านแม่ทัพก็อยู่ที่นี่ กำลังหารืออะไรบางอย่างกันอยู่ด้วย


“มีอะไรหรือท่านน้า”


“ข้าได้รับข่าวไม่ค่อยดีเท่าไหร่”


“มีอะไรหรือ”


“แม่ของธวัลย์ นางป่วยหนักมาก ทราบว่าหมอในเมืองหลวงก็ไม่อาจจะช่วยได้แล้ว”  เป็นอชิระที่อธิบายให้ฟัง และศศิก็เพียงพยักหน้ารับทราบ


“เป็นอะไรหรือ อยากจะให้ข้าไปช่วยจัดหาสมุนไพรใดๆก็บอกได้เลย”


“ข้าเกรงว่าไม่ข้าก็เจ้าที่ต้องเข้าไปตรวจดู”


“…”


“เห็นแก่ธวัลย์ ข้าก็อยากจะให้การรักษาแม่ของท่านรองแม่ทัพให้เต็มที่”  แต่ว่าตอนนี้ทิชากรไม่สามารถไปจากค่ายนี้ได้ด้วยเพราะอาจจะต้องไปคีรีธาราทุกเมื่อ ทางนั้นก็ต้องการความช่วยเหลืออยู่บ้าง และศศิไม่มีประโยชน์อะไรทางนั้น


“แต่ว่าเจ้า…เจ้าฉาย”  แต่เจ้าฉายยังเด็ก เขายังไม่หย่านมแม่ และที่แห่งนี้เราก็ไม่สามารถหาอย่างอื่นให้เขากินได้ แม้ตอนนี้เจ้าฉายจะเข้าแปดเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจจะวางใจหากไม่มีคนดูแล


“ข้าจะดูแลเจ้าฉายให้เอง อย่างไรซะเราก็หาแม่นมให้ลูกของเจ้าได้”  ศศิไม่ได้อยากห่างลูกไปไหนไกลเลย ทว่ามันเป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนที่สำคัญคนหนึ่ง  “ไม่ต้องห่วงเจ้าฉายนะ ข้าจะดูแลอย่างดี”  ศศิก็รู้ว่าไว้ใจทิชากรได้


แต่นอกเหนือจากความคิดถึงก็ไม่มีเหตุผลใดอื่น


“ข้าจะรีบไปจัดเตรียมของ ขอให้พวกท่านเตรียมคณะเดินทางให้เร็วที่สุด”


หลังจากรับใบสั่งยามาจากทิชากร ก็จัดการให้ลูกศิษย์ไปจัดเตรียมของใช้จำเป็นมาให้ และตัวศศิก็ไปจัดการกับของใช้ส่วนตัวรวมถึงข้าวของของเจ้าฉายที่นอนมองคนเป็นแม่เดินวุ่นไปวุ่นมาในห้อง ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็ถูกจัดเตรียมเล็กน้อยพร้อมให้คนมารับไปเก็บในรถม้า เมื่อหันกลับมาหาเจ้าฉายก็ยิ้มบางๆให้ ลูกคือขุมพลังแห่งความสุขในทุกยามจริงๆ น่าสงสารคนหลงลูกอีกคนที่อยู่ไกล คงได้แต่จินตนาการว่าตอนนี้เขาจะหน้าตาเป็นอย่างไรเพราะไม่ได้เจอกันนาน ตอนนี้เจ้าฉายไม่ได้เป็นเจ้าหนูตัวเหี่ยวอีกต่อไปแล้ว


แต่เป็นเจ้าอ้วนที่กินเก่ง นอนเก่ง และงอแงเก่งเป็นที่สุด


“เจ้าอ้วนเจ้าแสบ มานี่มา”  ว่าแล้วก็ยกลูกขึ้นมาอุ้มและฟัดแก้มนุ่มเบาๆ ศศิไม่อยู่จะคิดถึงกันบ้างไหม หรือเขาจะยังเด็กเกินไปกว่าจะผูกพันกับใคร ศศิกอดรัดลูกด้วยแสนรัก ก่อนจะพาเขาออกมาจากเรือนด้วยหมายจะอยู่ด้วยกันให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้


“เตรียมทุกอย่างครบแล้วใช่ไหม ไม่ลืมอะไรแล้วใช่ไหม”  ทิชากรเอ่ยเตือน มือนั้นยื่นไปจะรับเจ้าฉายมาอุ้ม ศศิกำลังจะส่งให้แม้ไม่เต็มใจนัก แต่เจ้าฉายที่มองคนเป็นตาแป๋วนั้นกลับหันไปกอดแม่แน่น


“เจ้าฉาย”


“ฮึก”


“ไปอยู่กับท่านตาก่อนนะ”


เจ้าฉายไม่เข้าใจ….
และเจ้าฉายก็ไม่ยอมด้วย!


เสียงร้องไห้ที่ดังจนแสบหูและแรงกอดรัดที่แน่นเกินกว่าจะเป็นแค่เด็กคนหนึ่งทำให้ศศิแทบจะล้มไปตามแรงดึงของคนที่พยายามจะพรากเจ้าฉายออกจากอก กอดก็แล้ว ปลอบก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดร้องหรือไม่แม้แต่จะโอนอ่อนให้ใคร ทิชากรเองก็ถึงกับยอมแพ้ในความดื้อแพ่งนี่ ทั้งดุทั้งว่าทั้งปลอบทั้งเอาใจ แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าจะยอมห่างจากคนแม่แม้สักนิดเดียว


“หรือข้าจะต้องไปแทน”  ทิชากรเอ่ยเสียงเครียด


“ท่านไปไม่ได้ หากคีรีธาราตามตัวแล้วใครจะไป” 


“แต่เจ้าฉาย…”


“…”


“หากช้ากว่านี้ก็เกรงว่าจะไม่ทัน”


“จะเป็นไปได้ไหมที่จะให้เจ้าฉายไปกับเรา”  คำถามนี้แม้จะเอ่ยเสียงเบาแต่คนฟังก็ยังได้ยินอยู่ดี เจ้าฉายน้อยนั้นสะอื้นฮักน่าสงสารนัก คนเป็นแม่ย่อมรู้สึกไม่วางใจหากลูกร้องไห้หนักเช่นนี้ ต่อให้แยกกันออกมาได้ ก็คงเป็นห่วงไปตลอดการเดินทาง ทิชากรที่มองดูสถานการณ์แล้วต่อให้ไม่อยากหรือไม่ยอมก็จำต้องโอนอ่อน


“สายชลรีบไปเก็บของมาอย่างไว”


“ข้าหรือ”


“ตามไปดูแลพี่ศศิและเจ้าฉายของเจ้าซะ จะออกเดินทางกันแล้ว รีบไปรีบมา”  ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่าจะทำเช่นไร แม้จะไม่พอใจในการตัดสินใจของตนเองนัก แต่ทิชากรก็จำยอม สายชลที่ไม่เคยได้ไปไหนไกลก็จะได้มีประสบการณ์บ้าง อย่างไรซะจันทราปราการก็จำต้องมีคนเก่งๆเพื่อการใช้งาน แต่เก่งอย่างเดียวมันไม่พอ จะอย่างไรประสบการณ์ในการใช้ชีวิตก็สำคัญ


เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว แม้การเดินทางจะไม่สะดวกสบาย เจ้าฉายอาจจะงอแงหรือว่าพบเจออะไรไม่คาดฝันระหว่างนี้ แต่ศศิที่รักและคิดถึงลูกมากก็จะได้มั่นใจว่ามีเจ้าฉายอยู่ข้างกาย หากไม่มีเรื่องให้ห่วง จะได้ทำการรักษาให้เต็มที่โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ทิชากรเมื่อตัดสินใจแล้วก็หันไปหาอชิระ อีกฝ่ายทำเพียงแค่ยิ้มบางๆมาให้


“ขอบคุณมากนะ เจ้าดีกับทางเรามากจริงๆ”  สำหรับธวัลย์ที่ไม่อาจจะไปดูแลแม่ตัวเองได้ การส่งคนที่ไว้ใจได้ไปช่วยดูอาจจะทำให้อีกฝ่ายมีขวัญและกำลังใจ อชิระอาจจะไม่ได้เป็นนักปกครองของอาณาจักร แต่สวัสดิภาพและความสุขของคนในค่าย แม่ทัพก็ควรจะดูแลให้ดีอย่างที่พวกเขาตั้งใจทำงานให้กัน


“ท่านคงลืมไปว่าเลี้ยงเด็กหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายให้เติบใหญ่จนมีลูกแล้วกระมัง”  หากอชิระขับไล่จันทราปราการที่อพยพมาตั้งแต่วันนั้น บางทีชีวิตของเราก็อาจจะไม่ได้เดินทางมาไกลถึงจุดๆนี้ ในเมื่อผ่านความยากลำบากมากมายมาได้จนถึงป่านนี้แล้ว


กับแค่ปล่อยเจ้าแสบฉายไปกับแม่คงไม่หนักหนาอะไรกระมัง


เมื่อได้อยู่กับแม่ เจ้าแสบก็ไม่ฉายแววแสบอีกเช่นเคย การเดินทางเป็นไปอย่างง่ายดายราวกับว่ามีใครได้มาโรยกลีบกุหลาบไว้ตรงนี้ ศศิเพียงแค่ปูผ้าหนาๆไว้ให้ก่อนจะวางเจ้าตัวดีที่แผลงฤทธิ์จนหลับใหลให้นอนสบาย จ้องมองใบหน้าของจอมมารตัวน้อยและพิจารณาซ้ำไปซ้ำมา ว่าเขาเหมือนใคร


“ข้าบอกแล้วว่าเขาเหมือนท่าน”


“เหมือนแค่ปากกับใบหูนะสิ” แต่ดวงตาคู่นั้นช่างเหมือนคนพ่อเหลือเกิน อคิราห์จะรู้หรือไม่ ว่านภฉายเองก็เป็นเหมือนภาพจำลองของเขาให้กอดหอมอย่างห่างไกลเช่นนี้


“ท่านจะได้เจอกับองค์รัชทายาทไหม”


“ไม่หรอก กำลังทำงานอย่างหนักที่อีกเมืองอยู่”


“แล้วถ้าได้เจอล่ะ”


“ข้าคงต้องสงสัยก่อนว่าที่ได้เจอนี่ความบังเอิญหรือตั้งใจ ฮึๆ”  ถ้าได้เจอก็คงคิดว่าเพราะอะไรเราถึงได้มาเจอกัน หากบังเอิญเดินตลาดและได้พบเห็นก็คงจะอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเขาโกหกกันหรือเกี่ยวกับเรื่องไปทำงาน แต่อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ศศิไม่อยากยอมแพ้ในตัวเขา แต่ก็คิดว่าที่ได้มาครอบครองนี้ก็คุ้มเกินพอแล้ว ทว่าเมื่อเอาเข้าจริงๆจะรู้สึกอย่างไร รับได้หรือไม่ ก็ยังจินตนาการไม่ได้ว่าตนจะเป็นเช่นไรต่อไป


การเดินทางมาถึงยังเมืองหลวงของสิหราชนครานั้นเป็นไปได้ด้วยดี เรามาถึงในช่วงค่ำ ด้วยเพราะไม่อยากไปรบกวนคนที่บ้านของท่านธวัลย์ เราจึงเลือกที่จะพักที่คฤหาสน์ปิติชาญก่อน แล้วจึงเดินทางไปในช่วงเช้าอีกวัน เมื่อได้มาพักผ่อนที่ห้องที่ตนเคยอยู่ ภาพบรรยากาศเก่าๆก็หวนกลับมาให้คิดถึง เหมือนมันเพิ่งผ่านไปไม่นาน แต่เมื่อมองหน้าเจ้าฉายก็คิดได้ว่ามันก็สักพักแล้วที่หลงรักกันและกัน น่าเสียดายที่วันนี้ คงไม่มีใครปีนเข้าห้องแล้ววันนี้


ก็ไม่รู้ว่าอคิราห์จะรับรู้ไหมว่าศศิได้มาอยู่ที่นี่ แม้จะไม่นานแต่ก็เป็นห่วงว่าอีกฝ่ายจะติดต่อไปที่ค่ายในช่วงนี้และตนจะไม่ได้ติดต่อกลับ ทว่าใครสักคนคงช่วยส่งข่าวบอกกระมัง เจ้าฉายหลับไปแล้ว ตั้งแต่เดินทางมานี้เป็นเด็กดีไม่ก่อกวนอะไรน่ารักเสียจนอยากอวดให้ทุกคนได้เห็น ศศิที่นอนข้างๆนั้นลูบไล้มือเล็กแผ่วเบา ความสุขใจที่ได้รับช่วยปัดเป่าความกังวลออกไปได้จนในที่สุดก็เข้าสู่นิทรา


และตื่นขึ้นมาเดินทางไปยังจุดหมายที่ตั้งไว้


ที่คฤหาสน์วัชรวราภรณ์ในเมืองที่เป็นบ้านเกิดของท่านรองแม่ทัพธวัลย์นั้นใหญ่โต รู้จักกันตั้งแต่เขาเริ่มรับราชการและถูกส่งตัวมาช่วยเหลือแม่ทัพอชิระตามคำแนะนำขององค์ชายอคิราห์ ทว่าศศพินทุ์กลับไม่เคยรู้เลยว่าพี่ชายคนนั้นจะมีฐานะดั้งเดิมที่ร่ำรวยขนาดนี้


นอกจากจะมีบ้านอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังของสิหราชนคราแล้ว พื้นที่และตัวบ้านยังดูโอ่อ่าจนแทบไม่เชื่อว่านี่คือบ้านของคนที่ศศิรู้จักจริงๆ กับองค์รัชทายาทนั้นยิ่งแล้วใหญ่ มานึกๆไปก็ได้ใกล้ชิดคนใหญ่คนโตเกินคาดมามากมาย แต่พวกเขาก็เหมือนคนทั่วไป โดยเฉพาะพ่อของเจ้าฉายนี่


“แต่ท่านตาทิชากรบอกว่าฐานะของจันทราปราการของฝั่งเราก็ไม่ได้ย่ำแย่ เจ้าไม่ต้องอายนะเจ้าฉาย”  ศศพินทุ์นั้นก้มลงไปประทับจูบลงบนกระหม่อมของลูกชายที่นั่งอยู่บนตัก เรามาที่นี่ด้วยกันทั้งหมด เพราะเมื่อเช้าพอจะฝากเจ้าแสบไว้ที่คฤหาสน์ปิติชาญ ก็แผลงฤทธิ์ซะจนต้องยอมพามาด้วย


นี่เราไม่ได้เป็นแม่ที่ตามใจลูกจนทำให้เขาเสียคนใช่ไหม


“เดี๋ยวให้พ่อเจ้ามาดุละกัน”  ก็ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ปรามกันได้ เมื่อคิดถึงตอนที่เจ้าตัวเล็กยังอยู่ในท้องและคนพ่อต้องปลอมตัวมาหา รอยยิ้มบางๆก็จุดขึ้นที่ริมฝีปาก


ไม่นานจากนั้นก็ถูกเรียกให้เข้าไปด้านใน คงจะเพราะมีการติดต่อมาทางนี้แล้วว่าอชิระจะส่งคนมารักษาให้จึงมีการเตรียมต้อนรับในระดับหนึ่ง เท่าที่ศศิทราบ เจ้าของบ้านนั้นป่วยเรื้อรังมานาน แต่ช่วงนี้อาการกลับทรุดลงจนตามหมอรักษากันให้วุ่นทั่วอาณาจักร ตำหรับเดียวที่ยังไม่ได้ลอง คือตำหรับแพทย์ของจันทราปราการนี่แล


ศศินั้นส่งลูกของตนให้พ่อบ้านของคฤหาสน์ปิติชาญที่ถูกส่งมาประสานงานช่วยดูแล ทีเช่นนี้ไม่ร้องไห้งอแงนะเจ้าอ้วน ตนนั้นเข้าไปในห้องนอนของคุณนายเจ้าของบ้านที่ดูมืดทึบ สภาพเช่นนี้ไม่เหมาะให้คนป่วยอยู่เสียเท่าไหร่ ถ้ายังไงได้คุยกันแล้ว ก็จะลองพูดๆดูเผื่อว่าจะมีอะไรที่มากมายกว่านั้น


สายชลนั้นตามเข้ามาในฐานะผู้ช่วย แม้จะไม่ได้เรียนวิชาแพทย์ แต่ก็ถือเป็นเด็กที่มีความคล่องแคล่วและเรียนรู้ได้ไว ยามคับขันก็ช่วยกันอยู่บ้าง จนได้รับการพิจารณาให้เข้าเรียนได้หากเจ้าตัวมีความสนใจ เราสองคนเข้ามาในห้องนอนซึ่งมีเตียงใหญ่ตั้งวางอยู่มุมหนึ่งซึ่งไกลจากหน้าต่าง ที่ข้างๆเตียงนั้นมีสตรีแลดูมีอายุแต่ยังงดงามนั่งอยู่ กับคนที่ดูเหมือนจะเป็นบ่าวรับใช้ที่สนิมสนิมกันนั่งอยู่ที่พื้นข้างๆ


“ข้าคือหมอที่ท่านอชิระส่งให้มาดูอาการ” ศศินั้นได้เอ่ยแนะนำตัวไปก่อน รู้สึกได้ถึงภาวะกดดันบางอย่างที่ไม่ทราบที่มา เกิดความเงียบเข้าครอบงำไปทั่วห้อง ก่อนที่ร่างซึ่งนอนอยู่จะพยายามลุกขึ้นมานั่ง บ่าวที่เห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นไปช่วยพยุง


ทว่ามันก็ยังเงียบอยู่อย่างนั้นจนคนที่กุมมือยืนอยู่เฉยๆอยากจะพูดอะไรขึ้นมาแทน แต่คนป่วยได้หันไปกระซิบกระซาบกับบ่าวรับใช้ น่าเสียดายที่คนซึ่งยืนอยู่อย่างประหม่านั้นไม่ได้ยินอะไร แต่ไม่ต้องสงสัยนาน บ่าวรับใช้คนนั้นก็พูดถึงความต้องการของนายตนให้รับฟัง


“ขอบคุณท่านหมอที่เดินทางกันมาไกลอย่างยากลำบาก ขอให้พวกท่านได้พักผ่อนที่นี่ตามอัธยาศัยขาดเหลือสิ่งใดให้แจ้งบอก”


“ขอบคุณในความกรุณาขอรับ”


“แต่ว่าต้องขอโทษด้วยที่ไม่อาจจะรับการรักษาใดๆอีก”


“…”


“ฝากบอกท่านอชิระด้วยว่าท่านหญิงซึ้งน้ำใจมาก”  ต้องเป็นคนป่วยที่เจ็บปวดทรมานแบบไหน


ที่จะปฏิเสธการรักษาของหมอที่ยินดีจะยื่นมือมาช่วยเช่นนี้?




TALK
เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของเรื่องอย่างเป็นทางการท่ามกลางหมอกฝุ่นหนาที่ทำเราป่วย แต่พายุงานที่ไม่พัดพาหมอกออกไป
ฮือออออ ขอโทษที่ไม่สามารถมาแบบสม่ำเสมอได้ในช่วงนี้นะคะ ช่วยรอกันหน่อยน้า

ในส่วนของชื่อหลาน น้องชื่อ นภฉาย (อ่านว่านะภะฉาย) ที่มาจากคำว่า นภา กับคำว่า ฉาย หรือน้องฟ้าฉายนั้นเอง
ได้รับแรงบันดาลใจ ในเมื่อชื่อที่แปลว่าพระอาทิตย์กับพระจันทร์นั้นเรายกให้แฝดไปแล้ว
งั้นเจ้าแสบก็จะให้ชื่ออะไรที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองอย่างแต่อยู่ตรงกลาง ท้องฟ้าคือสิ่งแรกที่เรานึกถึง
และคิดว่าเป็นชื่อที่เป็นกลางในหลายๆด้าน
ส่วนเจ้าแฝดนั้นหลายคนเข้าใจแต่หลายคนก็ไม่เข้าใจ
ที่น้องไม่มาเกิดนั้นเพราะน้องมีภาระต้องรับช่วงต่อจากพ่อและแม่บนสวรรค์
ดังนั้นเจ้าฉายจึงมีฐานะเป็นมักเน่หรือน้องเล็กนั่นเองค่ะ


ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
หรือว่าท่านหญิงคนนี้จะเป็นแม่พี่อาทิตย์?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 28 : 19/1/2019 P.5
« ตอบ #129 เมื่อ: 19-01-2019 14:18:42 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
 :pig4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ทำไมปฎิเสธกันอย่างนี้ล่ะ  :hao5:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ยังไงนะๆ

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ขออย่ามีม่าอีกเลยค่ะ  :hao5:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เจ้าฉายลูก จะฉลาดเกินไปละนะ อยากไปกับแม่ แล้วอยากเจอพ่อด้วยใช่ไหม
น่ารักจังเลยค่ะ ดูแล้วซนจริง มาหาให้พ่อดุถึงถิ่นเลย

ศศิน่ารัก แม่ก็ห่วงลูกอะนะ พอเจ้าฉายเกาะติดเลยปล่อยไว้ไม่ได้

ไม่ให้ว่าวางแผนให้มาเจออาทิตย์หรอกนะ แบบให้มาอยู่ใกล้ๆ กัน ก็ยังดี

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
29
ขวัญใจ
☼ ☽

ณ.คฤหาสน์วัชรวราภรณ์ในยามใกล้เที่ยง
กับคำปฏิเสธน้ำใจอย่างถนอมน้ำใจ


“เอ่อ…ข้าเกรงว่า”


“ท่านหญิงไม่โปรดจะรับการรักษาใดๆอีก ได้โปรดช่วยเข้าใจด้วย”


“…อย่างน้อยให้พวกเราได้ตรวจดูอาการก่อนได้หรือไม่”


“ก็รังแต่จะให้ความหวังกันเปล่า”  คราวนี้คนพูดกลับเป็นเจ้าตัวคนป่วยเอง น้ำเสียงที่ดูอ่อนแรงนั้นทำให้รู้ว่าผู้พูดไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีเท่าไหร่ แต่ ‘ท่านหญิงชยาภา’ ก็คิดว่าตนควรบอกกับท่านหมอด้วยตัวเองมากกว่า


“…”


“ต้องขอโทษและขอบคุณพวกท่านมาก” 


“เป็นเช่นนั้นแล้วข้าก็คงจะไม่สามารถทำอะไรได้ แต่หากเป็นไปได้ ก็หวังที่จะดูอาการสักครั้ง หากเสนอทางรักษาแล้วท่านยังไม่สนใจ เช่นนั้นจึงขอยอมแพ้”


“เช่นนั้นก็ไม่ต่างกับการมาพูดเพื่อให้ความหวังอะไร”


“แต่ข้าก็คิดว่าท่านยังมีหวัง”  ศศิก้มหน้าลงนิดๆ  “ท่านธวัลย์คงเสียใจ”


“เด็กคนนั้นเขาคงยุ่งเกินกว่าจะมาสนใจอะไรอยู่แล้ว”


“…”


“ข้าอยากพักผ่อนแล้ว ท่านหมอช่วยออกไปก่อนเถิด”  น่าผิดหวังเหลือเกิน


ทั้งๆที่มันเป็นความเต็มใจของคนไข้ แต่ศศิ…กลับรู้สึกไม่ดีที่จะปล่อยไปสักนิด ทว่าเมื่อทางเจ้าตัวต้องการพักผ่อน ชวนคุยต่อไปตอนนี้คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ศศิกับสายชลจึงจำใจเดินตามบ่าวรับใช้ออกมาจากห้องเงียบๆ ในหัวเก็บงำเรื่องบางเรื่องเอาไว้ จนกระทั่งสายชลนั้นพูดขึ้นมา


“ท่านเห็นเหมือนข้าหรือเปล่า”  ศศินั้นเงียบไป ก่อนจะมองไปที่แผ่นหลังของบ่าวรับใช้ที่เดินนำอยู่ ระยะห่างนั้นพอมี


“ต้นชาดห้าแฉกนั่นนะหรือ”


“เป็นไปได้ไหมที่ว่าท่านหญิงจะป่วยก็เพราะ…”


“เป็นไปได้”


“แล้วมีทางรักษาไหม”


“มีสิ”  ศศิมั่นใจ “ง่ายกว่ารักษาชาดสีดำเสียอีก” แต่ถ้าคนป่วยไม่ยินยอมให้รักษา ก็เกรงว่าผู้เป็นหมอจะทำอะไรไม่ได้ หากอย่างน้อยให้ตรวจอาการ ก็อาจจะให้ความมั่นใจได้ และถ้ามันเป็นเพราะชาดห้าแฉกนั้นแล้ว ศศิก็ยิ่งละอายใจที่ไม่อาจจะรักษาชีพของท่านแม่ของธวัลย์ได้


เรากลับมาที่ห้องรับแขกของคฤหาสน์ ที่ที่เจ้าฉายกำลังคลานเล่น คาดว่าคงพยศจนท่านพ่อบ้านเอาไม่อยู่ แต่เมื่อเห็นว่าผู้คนที่นี่ดูจะเอ็นดูเจ้าฉายกันดีก็สบายใจ ถึงจะน่ารักในสายตาศศิที่สุด แต่ก็อาจจะไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคนเสมอไป เจ้าฉายที่เห็นแม่ของตนกลับมาก็รีบคลานมาหา แต่ไม่ต้องรอให้เหนื่อยเลย ศศิก็ปรี่เข้าไปอุ้มขึ้นมา


“เจ้าอ้วนนี่แสบนักใช่ไหม นี่มันบ้านคนอื่นนะลูก”  คิดจะทำอะไรก็ได้ดั่งใจหรือ ความเกรงใจไม่มีเหมือนใครกัน


“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คุณหนูน่ารักเหลือเกิน ลูกของท่านหมอหรือเจ้าคะ”


“ขอรับ เจ้าแสบนี่ชื่อฉาย เป็นลูกของข้าเอง” ศศิยิ้มบางๆให้กับบ่าวรับใช้ส่วนตัวของท่านหญิง ทั้งๆที่เพิ่งได้พบหน้าเจ้าฉาย แต่ก็ดูจะเอ็นดูกันเสียแล้ว เสน่ห์แรงเหมือนใครกัน


“ที่คฤหาสน์วัชรวราภรณ์นั้นไม่ได้มีเด็กๆมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายคือตอนที่คุณชายธวัลย์ยังเด็กๆอยู่ หากออกเรือนและมีบุตรสักคนก็คงจะดี อา…เกรงว่าข้าจะพูดมากเกินไปแล้ว เชิญท่านหมอพักผ่อนให้สบายกาย ท่านคงหิว เดี๋ยวทางเราจะจัดโต๊ะให้ ตอนกลางวันเช่นนี้ท่านหญิงเหนื่อยก็อาจจะทานที่ห้อง แต่ตอนเย็นอาจจะประสงค์อยากมาร่วมโต๊ะด้วย”


“ถ้าเช่นนั้นขอรบกวนด้วย”  ท่านหมอที่อุ้มเจ้าแสบอยู่ยิ้มให้บางๆ เมื่อนางจะเดินจากไป เจ้าฉายก็โบกมือให้ตาแป๋ว ช่างรู้ดีเสียจริงลูกใคร


พ่อบ้านของคฤหาสน์ได้นำทางเหล่าแขกผู้มาเยือนให้ไปรับประทานอาหารกลางวันที่ค่อนข้างจะช้ากว่ากำหนดการ และได้พาให้ทั้งศศิ สายชล ไปยังห้องพักที่จัดเตรียมแยกไว้ให้ แต่เดิมไม่มีใครรู้ว่าจะมีเด็กทารกมาด้วย ทว่าก็ให้การต้อนรับขับสู้ดีมากๆ เพราะการเดินทางที่ทำให้ค่อนข้างเหนื่อยหล้าเราจึงแยกกันไปพักผ่อนในห้องของตนเอง จนกระทั่งถูกเชิญมาทานมื้อเย็น


ศศพินทุ์นั้นอุ้มเจ้าฉายที่เพราะให้นมไปแล้วตอนนี้จึงอิ่มอยู่เลยไม่มีวี่แววจะงอแงอะไรให้หนักใจออกมา เราสามคนมาถึงที่ห้องทานอาหารของคฤหาสน์ที่ในมื้อนี้ดูจะพิเศษเสียหน่อยเพราะนอกจากอาหารจะถูกวางไว้เต็มโต๊ะ ยังมีเจ้าบ้านและแขกผู้สนิทสนมมาร่วมด้วย


“ต้องขอโทษที่มารบกวนด้วยนะขอรับ”  เจ้าของร่างบางนั้นเอ่ยอย่างสุภาพและได้รับรอยยิ้มตอบกลับมาจากผู้ใหญ่ทั้งสอง


“อย่าได้กังวลไปเลย แล้วนั่น ลูกของเจ้าหรือ”


“อา…นี่เจ้าฉายลูกของข้าเอง เจ้าฉาย…ทักทายท่านหญิงทั้งสองสิ” ว่าแล้วก็จับเจ้าแสบให้หันไปก้มหัวให้กับสตรีทั้งสอง ดวงตาแป๋วนั้นมองไม่วางตาก่อนจะยื่นมือออกไปโบกให้


“น่ารักเสียจริงเลยนะ”  ท่านหญิงนั้นเอ่ยชมและหันไปยิ้มให้กับท่านหญิงอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ


“ทั้งแสบซนและหนักมาก แต่หากทั้งสองท่านจะเอ็นดู ก็ถือว่าเป็นโชคดีของเจ้าฉายนี่”


“ชื่อเจ้าฉายงั้นหรือ ไหนข้าขอดูหน้าใกล้ๆหน่อยได้ไหม”  เมื่อท่านหญิงที่ป่วยอยู่นั้นร้องขอ คนเป็นหมอก็เห็นเป็นโอกาสดีที่จะเข้าใกล้ เจ้าของอ้อมแขนเล็กแต่อบอุ่นนั้นอุ้มลูกชายเดินเข้าไปหา ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยองๆ พร้อมจับเจ้าอ้วนให้นั่งบนตักนาง


“หากเจ้าอ้วนนี่หนักเกินไปก็บอกได้นะขอรับ”


“ไม่หรอก…เด็กๆน่ะอ้วนๆดีแล้ว น่ารัก”  ดูเหมือนท่านจะชอบเด็กจริงๆ  “พอเห็นเช่นนี้แล้วคิดถึงธวัลย์ตอนยังเล็กๆ ตอนนั้นก็ติดแม่น่าดู”


“ท่านธวัลย์ตอนนี่คงดูต่างจากตอนนั้นมาก แต่เขามักบอกทุกคนในค่ายว่าไม่มีน้ำแกงดอกไม้ที่ไหนอร่อยเท่าที่นี่”


“อย่างนั้นหรือ”  ท่านผู้หญิงเผยยิ้มอ่อนโยน


“ข้านับว่าโชคดีนักที่ได้มาลอง”


“เจ้าสนิทกับธวัลย์หรือไม่”


“เขาเปรียบเหมือนพี่ชายที่สอนข้าในหลายๆเรื่อง แต่โชคร้ายที่ข้าไม่ได้เอาดีด้านการต่อสู้เสียเลย”  เมื่อนึกถึงความหลัง ภาพต่างๆก็ย้อนกลับเข้ามา


“ได้ยินว่าเขาเป็นที่พึ่งพาได้ ข้าก็สบายใจแล้ว”


“ข้าได้ยินว่าท่านธวัลย์จะแวะมาที่นี่ในอาทิตย์หน้า”


“งั้นหรือ เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงหรือเปล่า”


“….”


“ตอนนี้ผิวหนังของข้าเต็มไปด้วยรอยแดงเป็นปื้นแถมยังมีตุ่มน้ำผุดทั้งกายลามมาถึงคอเช่นนี้ ตกดึกก็มีไข้สูง คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน”  เมื่อคนป่วยพูดเช่นนั้น ท่านหมอก็ฉวยโอกาสวิเคราะห์ ใบหน้าของท่านหญิงมีรอยแดงปื้นๆไปทั่วแต่ไม่ปรากฏตุ่มน้ำ ทว่าที่ลำคอกลับมีให้เห็น



“อย่าได้กังวลไปเลย”  เมื่อได้โอกาสจึงเอ่ยไปพลางแสร้งทำเป็นจับมือ แต่หารู้ไม่ว่าศศิกำลังเร่งตรวจเช็คบางอย่างจากภายในอยู่ เมื่อมั่นใจในสาเหตุในระดับหนึ่งก็ยิ้มออกมา  “หากท่านทานแต่อาหารดีๆที่ร่างกายคุ้นเคยและได้รับการขับพิษที่ถูกต้อง พิษชาดห้าแฉกนั้นไม่อาจจะทำอะไรท่านได้หรอก”  และเมื่อสองสตรีได้ยินดังนั้นแทนที่จะรู้สึกเสียรู้ให้กับท่านหมอจอมเจ้าเล่ห์ที่หลอกลวงกันด้วยความน่าเอ็นดู แต่กลับรู้สึกประหลาดใจในคำตอบมากกว่า


“ชาดห้าแฉก ต้นไม้ที่วางอยู่ที่ระเบียงห้องนอนนั่นรึ”  ท่านหญิงผู้เป็นดั่งเพื่อนสนิทของคนป่วยนั้นเอ่ยถาม ศศิไม่รอช้า พยักหน้าออกมา


“ข้าเห็นเป็นเพียงต้นไม้สวยงามที่เห็นค้าขายกัน มันมีพิษหรอกรึ”


“มันจะมีพิษร้ายแรงหากได้รับการสกัดอย่างถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญ เดิมทีต้นไม้นั้นพบได้ในป่าลึกของคีรีธาราเท่านั้น ข้าก็ไม่ทราบได้ว่าทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่”  ศศินั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง  “อันตรายเหลือเกิน หากมีใครที่นี่นำมันไปสกัดชาดสีดำแล้วล่ะก็…”  ประโยคหลังนั้นเหมือนจะรำพึงรำพัน ทว่าคนที่สนทนาอยู่กลับได้ยินชัดเจน


ชาดสีดำงั้นรึ…


“หากมันมีพิษร้ายแรง เหตุใดผู้อื่นในบ้านถึงไม่เป็นอะไรเลยเล่า” 


“ข้าเองก็ไม่แน่ใจถึงการทำงานที่นี่ ทว่าต้องเป็นผู้ใกล้ชิดกับมันตลอดเวลาและยังสัมผัสบ่อยๆเท่านั้นถึงจะรับพิษเข้าไป แต่ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรร้ายแรงหากช่วงที่อาการกำเริบไม่ได้ไปทานหรือทำอะไรให้ร่างกายรู้สึกผิดสำแดง”


“อา…ข้าเป็นคนเดียวที่ดูแลเลี้ยงดูมัน มิหนำซ้ำยังชอบจับใบของมันเล่นด้วยเพราะเห็นว่ามีขนฟูๆนุ่มนิ่ม”  หารู้ไม่ถึงพิษอันตราย


“เจ้าพูดถึงชาดสีดำเมื่อครู่ หมายความว่าอาการที่เพื่อนของข้าเป็นอยู่นั้นเพราะชาดสีดำนะหรือ”  ท่านหญิงที่เป็นแขกอีกคนนั้นเอ่ยถาม ทว่าศศิกลับส่ายหน้า


“มันก็ไม่ถูกต้องนักทีเดียว พืชชนิดนี้เป็นหนึ่งในสารสกัดสำคัญก็จริง แต่หากเลี้ยงดูอย่างถูกวิธีก็ไม่ได้ทำให้เกิดพิษภัยอะไร ข้าคาดว่าร่างกายของคุณหญิงคงแพ้ด้วย”


“ข้าเคยได้พบเจอคนที่ต้องพิษชาดสีดำมาก่อน ได้ยินมาว่ามันทำให้ตายได้และไม่มีทางรักษา”  ท่านหญิงผู้ที่ให้ความสนใจกับชาดสีดำนั้นเอ่ยถาม ศศิก็ยินดีที่จะทำให้สบายใจ


“แม้แต่ชาดสีดำข้าก็ปรุงยารักษาได้ กับโรคนี้ข้าก็รักษาได้เช่นกัน”


“เจ้ามั่นใจหรือ ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะดูถูก แต่แม้แต่หมอหลวงของที่นี่ที่เข้ามาช่วยดูอาการก็ยังไม่อาจจะรักษาได้ เพื่อนของข้านั้นได้พบกับความทรมานมากมายจากการรักษามานักต่อนักแล้ว โปรดอย่าให้ความหวังถ้าไม่มั่นใจ”


“ข้าย่อมมั่นใจอยู่แล้ว”  ศศินั้นเอ่ยคำมั่นด้วยรอยยิ้ม  “ข้านั้นมาจากตระกูลที่ศึกษาชาดสีดำและพืชที่เกี่ยวข้อง หากไม่ใช่ตำรับของจันทราปราการ ก็เกรงว่าไม่มีที่ไหนจะทำได้อีกแล้ว”


“อา…”


“วิธีรักษาก็ไม่ยาก หากทานอาหารเสร็จแล้ว ขอให้ข้าได้มีโอกาสอธิบาย ตอนนั้นหากไม่ยอมรับหรืออย่างไร ข้าก็จะไม่ขัดใจเลย”  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่าทางเป็นกันเอง รอยยิ้มหรืออะไรก็ตามที่ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเอ็นดูทั้งเจ้าฉายบนตัก และศศิคนงาม ทว่าตอนนี้คนป่วยก็เชื่อใจกันบ้างแล้ว


บางทีรับฟังข้อเสนอบ้างก็ไม่เลวร้ายนักหรอก


☼ ☽


ในที่สุด…อุปสรรคแรกก็ผ่านพ้นไปจนได้


“โล่งใจจัง”  หลังจากที่อธิบายถึงการรักษาและได้รับคำตอบรับกลับมา ศศิก็กลับมาที่ห้องพักเพื่อพักผ่อนเตรียมความพร้อมต่อไป เจ้าฉายนั้นกำลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาให้ต้องตามจับด้วยกลัวว่าจะตกเตียง เวลาอันแสนสงบมาเยือน และพรุ่งนี้จะได้เริ่มงานการสักที


การรักษาทำได้ไม่ยากเย็นเลย หากพ้นผ่านสักอาทิตย์ไปก็คงจะไม่เป็นอะไรแล้ว เมื่อคิดเช่นนั้นตนก็พบว่ามันอาจจะพอดีที่ได้เจอกับท่านรองแม่ทัพที่ส่งข่าวว่าจะรีบรุดมาเยี่ยมท่านแม่ที่บ้าน บางที…อาจจะแอบถามเรื่องของคนไกลที่ไปด้วยกันได้บ้าง


“เจ้าฉาย…คิดถึงท่านพ่อไหม”  คำตอบที่ได้กลับมามีเพียงตาใสแจ๋ว  “แล้วท่านพ่อจะคิดถึงข้าและเจ้าฉายไหมนะ” และคำตอบนี้ไม่อาจจะได้รับจากใคร หากไม่ใช่เจ้าตัวเอง ศศพินทุ์ชักจะเพ้อไปใหญ่แล้ว หากเจ้าฉายรับรู้คงหัวเราะกันจนฟันไม่ขึ้นเป็นแน่ อะไรมันจะเกิด มันก็คงต้องเกินนั่นแล…แต่ขอแค่ว่า….


ให้มันเกิดขึ้นมาเป็นเรื่องดีๆได้หรือไม่…


☼ ☽


หลังจากที่คนป่วยตกลงรับการรักษาแล้ว วันนี้ก็เป็นวันที่เจ็ดที่ได้มาอยู่ที่คฤหาสน์วัชรวราภรณ์การรักษาให้คนไข้หลักเป็นไปได้ดีและมีความก้าวหน้า ทว่านอกเหนือจากนั้นคือการที่ศศิได้มีคนไข้รองๆลงมาด้วย


มันเริ่มจากการที่คนงานในบ้านคนหนึ่งป่วยและเริ่มแพร่เชื้อ ศศิจึงจับรักษาทั้งคู่ด้วยกลัวว่าจะทำให้ท่านหญิงได้รับเชื้อตาม ทำไปทำมาก็ลามไปลามมา และคนในหมู่บ้านก็ตามมา ช่วงนี้ไข้หวัดระบาดรุนแรง หากไม่ดูแลสุขภาพให้ดีก็เกรงว่าจะพากันป่วยไปหมด เดิมทีก็คิดว่าเป็นเพราะอากาศ ทว่าตรวจสอบไปมากลับพบว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น…


มันเกิดจากการแพร่เชื้อจากอาหารที่กิน ในฤดูนี้ชาวเมืองสิหราชนคราจะเฉลิมฉลองด้วยเนื้อหมูป่าที่จับมาได้และจะย่างกินกัน ทว่าเจ้าหมูตัวนั้นน่าจะมีเชื้อโรคบางตัวที่เมื่อเข้าไปสู่ร่างกายมนุษย์จะก่อให้เกิดไข้ขึ้นสูงและสามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ผ่านทางอากาศ ดังนั้นเชื้อจึงแผ่ขยายไปยังกลุ่มคนที่ไม่ได้ร่วมทานหมูป่าตัวนั้นด้วย


วิธีรักษานั้นก็แค่เพียงให้ทานยาขับเชื้อออกมา ทว่ายานี้นั้นจะต้องถูกผสมขึ้นจากพืชพันธุ์ที่หาไม่ยากแต่หลายชนิดโดยการควบคุมจากผู้มีประสบการณ์ ลำพังคนมีเงินก็ไปหาซื้อกันมาจนขาดตลาดเร่งผลิตกันอยู่ คนจนก็ต้องรอต่อไปด้วยหวังว่าทางการจะดำเนินการช่วยแต่ก็ยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการเพราะตำหรับยาของสิหราชนครานั้นมีความยุ่งยากซับซ้อนจนไม่อาจจะทำเสร็จได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ ด้วยความสงสาร ศศิจึงนำเรื่องไปปรึกษากับท่านพ่อบ้านของคฤหาสน์ว่าด้วยการขอพื้นที่เล็กน้อยในการบดยาหลังจากทำการรักษาให้ท่านเจ้าบ้านเสร็จแล้ว


ทว่าพ่อบ้านของที่นี่ได้นำเรื่องไปบอกท่านหญิงเพื่อการขออนุญาต และด้วยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมจึงได้รับกำลังทรัพย์และกำลังคนส่วนตัวให้มาช่วยเหลือ จนตอนนี้ภารกิจของท่านหมอได้เพิ่มขึ้น แต่มันก็เต็มไปด้วยความตั้งใจและเต็มใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน


“ข้ารู้สึกขอบคุณในความมีน้ำใจของเจ้าเหลือเกิน ทั้งๆที่นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวหรือไม่ใช่แม้แต่แผ่นดินเกิดของเจ้าด้วยซ้ำ”  ท่านหญิง ‘รัญชิดา’ ผู้เป็นเพื่อนของท่านหญิงชยาภานั้นเอ่ยจากใจจริง แม้ตอนแรกจะตั้งแง่ใส่อยู่บ้างด้วยความเยาว์วัยนี่ แต่ตอนนี้ก็ยอมรับในความสามารถและให้ความนับถือในน้ำใจไม่น้อย


“ข้านั้นแม้จะมีสายเลือดคีรีธาราแต่ก็เติบโตมาในแผ่นดินนี้ หาได้สนใจว่าที่นี่เมืองอะไรมีความเกี่ยวข้องไหม ไม่ว่าที่ไหนหากไปพบคนลำบากที่ช่วยได้ย่อมต้องช่วยเหลือ” 


“ช่างเป็นคนดีเหลือเกิน”  นางเอ่ยชื่นชม “ใครได้เป็นลูกหลานต้องภูมิใจมากแน่ๆ”

     
“ข้าก็หวังให้พ่อแม่ภูมิใจ”  ทว่าพวกท่านล้วนล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว หากพวกเขาอยู่ไม่ไกลและรับรู้ได้ก็คงจะดี แต่จริงๆแล้วที่ทำไปก็ไม่ได้เพื่อใคร


ล้วนเป็นเพื่อความสบายใจของเจ้าตัวเองทั้งนั้น


“อืม…ตัวยาที่รับไปเหมือนจะใช้ได้ผลนะ” 


“ขอบคุณท่านหมอ หากไม่ได้ทันป่านนี้พวกเราคงตายไปแล้ว”


“ไม่เป็นไรนะ มีอะไรก็ช่วยๆกัน ดูแลตัวเองให้ดีด้วย”


นี่คือบทสนทนาที่นางได้ยินมาตลอดทั้งวัน ท่านหญิงรัญชิดานั้นรู้สึกนับถือท่านหมอตัวเล็กผู้นี้มากขึ้นมากขึ้นในทุกๆวัน จะด้วยเพราะความอารีมันก็ด้วยส่วนหนึ่ง แต่การแสดงออกและความสามารถในการดึงดูดให้คนมาหลงรักนั้นก็มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ชื่นชอบ


เป็นลูกเต้าเล่าใครกัน ทำไมถึงได้เลี้ยงมาดีเช่นนี้


“ท่านหญิงรัญชิดา”  เมื่อมีโอกาสว่างก็ไม่รอช้าที่จะหันมาหา ด้วยเพราะวันนี้ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการตรวจรักษาผู้ป่วยในเมือง ยิ่งมีชื่อเสียงคนก็ยิ่งเข้าหา แม้จะบอกว่าไม่รับเงินทองอะไร แต่เจ้าตัวก็ได้ใจจนดึงดูดข้าวของมากมายทั้งมีราคาและไม่มีราคา และแน่นอนเมื่อได้รับมาจนเกินอิ่ม ก็ส่งต่อให้กับคนที่ไม่มีเพื่อให้เขาได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป


“ยังหลับไม่ตื่นเลย” นางพูดถึงเจ้าฉายด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร เพราะนางนั้นมักจะมาอยู่เป็นเพื่อนเพื่อนของตนที่ป่วยอยู่ ในตอนนี้แม้อาการจะดีขึ้นแล้วแต่ก็ยังคอยให้กำลังใจใกล้ชิด ทำไปทำมาก็เข้ามาช่วยศศิด้วยเห็นว่าตนอาจจะพอมีประโยชน์อะไรบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าท่านหมอคนดีมีเรื่องให้ช่วย…


นั่นก็คือช่วยเอาเจ้าฉายไปดูให้หน่อย


ในตอนนี้แม้แต่คนงานในคฤหาสน์วัชรวราภรณ์ก็ต้องรับคำสั่งมาช่วยท่านหมอให้ช่วยเหลือชาวบ้านที่กำลังตกทุกข์ได้ยากจึงไม่ค่อยมีเวลาดูแลบ้านช่องตามหน้าที่ดั้งเดิม ทว่านี่คือคำสั่งของนายหญิงโดยตรงพวกเขาจึงย่อมต้องกระทำตาม และทุกคนต่างก็ทำด้วยความเต็มใจ


เมื่อสถานการณ์ภายในวุ่นวายเช่นนี้ คนที่จะช่วยดูแขกตัวน้อยของบ้านจึงกลายเป็นผู้ใหญ่สองคนที่ทำอะไรไม่ค่อยจะได้มาก ด้วยศศิมั่นใจนักว่าเจ้าบ้านนั้นไม่ได้เป็นโรคติคต่อและเพื่อให้เกิดความสุขเล็กๆน้อยๆจึงยินดีที่จะฝากลูกไว้ ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็สดใสร่าเริง ซนบ้างตามประสาเด็ก แต่น่าเอ็นดูเกินกว่าจะกล่าวโทษ


นางรู้สึกรักและเอ็นดูเจ้าฉายมากจริงๆ


“เจ้าก็พักเสียบ้างเถิด หนักเกินไปตนเองจะป่วยเอา” 


“ข้ายังไหว ได้เห็นทุกคนอาการดีขึ้นก็ยิ่งต้องรีบรักษาให้หายขาด โอกาสเป็นของเราแล้ว” แม้จะดูเหนื่อยล้า แต่ท่านหมอที่ตนทราบว่ามีนามว่า ‘ศศพินทุ์’ นั้นยิ้มออกมาก็ยิ่งรู้สึกปลื้มใจ ต้องเติบโตมาแบบไหนถึงได้เป็นคนดีเช่นนี้ และคนที่ได้ครองคู่กับคนๆนี้


จะต้องเป็นคนที่โชคดีเพียงไหนกันนะ


“มาทานอาหารกับข้าก่อนเถิด ปล่อยให้ท่านหมอคนอื่นๆที่ข้าพามาได้รักษาต่อ”  ด้วยเพราะนางพอจะมีเส้นสายอยู่บ้างจึงได้ว่าจ้างหมอคนอื่นมาช่วย ซึ่งอีกฝ่ายก็เต็มใจดที่จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆไปกับท่านหมอที่เก่งฉกาจคนนี้
 

ศศพินทุ์นั้นฉายแววไม่มั่นใจในคราแรกแต่เมื่อเห็นแววตาของคนอื่นที่ดูจะเต็มใจเข้าขั้นไปถึงผลักไสให้ไปพักเลยยินดีที่จะตามไป ในห้องทานอาหารที่เงียบสงบ ท่านหญิงรัญชิดานั้นพาให้ท่านหมอคนดีมาทานข้าวด้วยกัน ค้นพบว่าเด็กคนนี้น่าสนใจไม่น้อย หากยังไม่มีคู่หมายครอบครองก็น่าสนใจที่จะแนะนำให้กับลูกของตนอยู่เหมือนกัน


ติดเสียแต่ว่านางไม่มีลูกสาว…


“คนรักของท่านอยู่ที่ไหนรึ เขาไม่ว่าหรือที่ท่านมานานขนาดนี้”  มิหนำซ้ำยังให้คนเป็นพ่อพาลูกมาถึงไหนต่อไหน จะไม่คิดว่าแปลกก็จะเพิกเฉยเกินไปเสียแล้ว


“เราต่างแยกกันไปทำงานไม่ได้อยู่ด้วยกันในตอนนี้”


“พวกท่านเลิกกันหรือ”


“เปล่าหรอก เราแค่แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพ ไม่ใช่ว่าเลิกรากันแต่อย่างใด”


“ต้องขอโทษด้วยที่ละลาบละล้วง”


“ไม่เป็นไรหรอก”


“เช่นนี้หากเสร็จธุระแล้วท่านจะรีบกลับไปหรือไม่ หากยินดีจะให้พาเที่ยวชมเมืองหลวงดีไหม”


“เกรงใจท่านแล้ว แต่ข้าจำต้องรีบกลับ คนรักอาจจะส่งข่าวสารมาหา” 


“ท่านคงรักคนๆนั้นมาก”


“อืม…”  ศศิยิ้ม  “ข้ารักเขาเหลือเกิน”  และต้องรักขนาดไหน


ที่ต้องทนกับสภาพที่คลุมเครือและห่างไกลเช่นนี้ได้โดยไม่ปริปากบ่นแต่อย่างใด


☼ ☽


ไม่ว่าจะเป็นเมืองไหนๆก็มีปัญหาการเข้าถึงทางการแพทย์ทั้งนั้น


อาจจะเพราะนโยบายหรืออะไรก็ตามทำให้จำนวนหมอมีน้อย โรงเรียนแพทย์ที่มีเพียงแห่งเดียวซึ่งขึ้นตรงกับสำนักพระราชวังนั้นไม่สามารถผลิตหมอได้ในจำนวนที่พอใช้ ทั่วดินแดนนั้นมีหมอกระจายไปทำงานน้อยมาก แทบจะไม่เพียงพอกับความต้องการจริงๆ


“สูตรสมุนไพรนี่ ท่านพอจะจดให้เรานำไปทำการวิจัยได้หรือไม่”  ท่านหมอที่ถูกจ้างมาให้ช่วยนั้นเอ่ยถาม จริงๆแล้วไม่ได้หมายความว่าหมอของที่นี่ไม่เก่งหรอก แต่การได้แลกเปลี่ยนความรู้นั้นจะช่วยทำให้เราพัฒนาตำรับยาที่ดียิ่งขึ้นไปได้อีก ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นสิหราชนคราหรือจันทราปราการต่างก็มีตำรับของตนเองแต่ไม่เคยแลกเปลี่ยนกันจริงจัง หากได้มีการหารือเพื่อพัฒนาไปในสิ่งที่ดีกว่าก็คงจะดี


อาการของท่านหญิงชยาภานั้นดีขึ้นจนร่องรอยต่างๆบนร่างนั้นหายไปหมดแล้ว ที่ศศิยังอยู่ก็เพื่อดูอาการและรักษาคนไข้ในเมืองนี้ไปเพราะจำนวนหมอที่สำนักพระราชวังส่งมานั้นไม่เพียงพอ แต่ตอนนี้แนวทางของโรคก็ดูเป็นไปในทางที่ดีขึ้นแล้วอีกไม่นานก็ได้กลับจริงๆ


แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครส่งข่าวเกี่ยวกับองค์รัชทายาทมาเลย


“พ่อทิ้งเราสองคนแล้วหรือเปล่านะเจ้าฉาย”  หลังจากที่แลกเปลี่ยนสูตรตำรับยาที่ถูกขอมาก็กลับมาหาลูก ในตอนนี้เป็นเวลาอาหารกลางวันของเขา เจ้าฉายที่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนและทุกวัยนั้นมองหน้าตาแป๋วก่อนจะยิ้มกว้างโชว์เหงือกให้ ดูท่าแล้ว…สำหรับลูกนั้น องค์ชายอคิราห์ก็ดูจะไม่จำเป็นจริงๆนั่นแล


เจ้าฉายโตขนาดนี้แล้ว พ่อของเขายังไม่มาพบเจอมาอุ้ม เกรงว่าถ้าได้เจอกันอีกครั้งลูกคงไม่รู้สึกคุ้นเคย แต่เจ้าฉายนั้นอัธยาศัยดี ขี้โวยวายอยู่บ้างแต่ว่าติดผู้คนนัก อ้อนไปหมด อ้อนเก่งเหลือเกิน ถ้าคนๆนั้นได้มาเจอ ไม่มีหรอกที่จะไม่หลง แต่ก็ไม่รู้เลยว่าจะได้เจอเมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าตอนที่เจอกัน….จะหมดใจไปหมดแล้วหรือ


ไม่หรอก รักเรายังคงมีอยู่



TALK
มาลงติดกันสองวันในฐานะวันหยุดสุดสัปดาห์ได้หรือเปล่า จากนี้ไปเหลืออีกไม่กี่ตอนจบแล้วค่ะ

แต่ว่า…เรายังไม่ตรวจทานตอนที่เหลือเลย จึงคิดว่ายังไม่น่าจะมาพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้หรอกนะคะ55

เมื่อวานแอบมาสอบถามกะทันหันถึงความสนใจในการรวมเล่ม

ต้องขอขอบคุณที่สนใจนะคะ แต่ด้วยเพราะจำนวนที่น้อยและกิจส่วนตัวของเราจึงคิดว่าคงไม่ได้เปิดแน่เลยค่ะ555

จริงๆก็แอบโล่งใจไม่น้อยเหมือนกัน555 อาทิตย์ศศิเป็นอะไรที่หืดขึ้นคอมากๆ ไม่แต่งล้าวววววว /ซบเก้าอี้

ต้องขอโทษคนที่สนใจแต่เราไม่สามารถสานต่อได้เหมือนกันนะคะ และไม่ต้องห่วงนะที่ลงไว้นี่ก็จะลงต่อไปแหละ

ไม่ปิดตอนไม่หายไปไหน แต่จะแต่งเรื่องใหม่ รบกวนติดตามกันต่อๆไปด้วยนะคะ J

 




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2019 20:42:29 โดย skylover☁ »

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่อาทิตย์รีบกลับมาหาลูกหาเมียนะ นานกว่านี้เดี๋ยวลูกจะลืมพ่อล่ะ 555555

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ท่านหญิงอีกคนนี่ให้ความรู้สึกเหมือนว่าจะเป็นแม่พี่อาทิตย์เลย

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ยังไม่กลับมาอีกยังงงงงงง
ถ้ากลับมาแล้วลูกไม่ให้อุ้มนี่รู้เรื่องเลยนะ  :ling2:

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 30 : 26/1/2019 P.5
«ตอบ #139 เมื่อ26-01-2019 13:17:29 »

Finding the twilight
30
ท่านหญิงรัญชิดา

“ท่านหมอขอรับ”  ในขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆนั้น เสียงเรียกของพ่อบ้านประจำคฤหาสน์ก็เรียกให้สนใจ ทั้งศศิและเจ้าฉายนั้นหันไปมอง


และก็พบกับคนที่รู้จักที่เดินตามมา


“ท่านรองแม่ทัพ”  ได้ยินว่าจะมาเยี่ยมท่านแม่ แต่ก็มาเสียช้าเลย อาจจะเพราะมีคนส่งข่าวไปบอกว่าศศิอยู่ที่นี่และการรักษากำลังเป็นไปได้ดีเลยชะล่าใจสินะ ช่างน่าน้อยใจแทนท่านหญิงชยาภาเสียจริง


“ไงศศิน้องข้า นั่นเจ้าแสบหลานข้าใช่ไหมนั่น”  ธวัลย์ที่ไม่ได้เจอมานานดูซูบผอมไปบ้าง คนที่มีศักดิ์เป็นลุงนั้นปรี่เข้ามาจะมาอุ้มเจ้าตัวดี แต่จอมแสบรู้ตัว หันหนีไปกอดแม่แน่น  “แสบนักนะ”


“ตอนนี้ไม่ใช่แค่เป็นเจ้าแสบด้วย หนักมาก ต้องเรียกว่าเจ้าอ้วนด้วย” 


“เดี๋ยวบ่าของแม่เจ้าจะหักเอาได้นะเจ้าฉาย มาหาลุงมา”


“ฮึก”


“อา…ท่านอย่าแกล้งลูกของข้าสิ”  เจ้าฉายเริ่มจะงอแงเสียแล้ว และงอแงเก่งมากๆ ใครง้อง่ายได้เสียทีไหน สุดท้ายธวัลย์ผู้เก่งกาจและดื้อด้านก็จำต้องยอมแพ้


“อาการของแม่ข้าเป็นเช่นไรบ้าง”


“ฝีมือศศิเสียอย่าง ท่านเพียงแพ้ต้นไม้ที่ซื้อมา แต่ที่น่ากลัวคือการนำเข้าพืชชนิดนี้มันไม่ผิดกฎหมายหรือ คงต้องรบกวนท่านไปตรวจสอบต่อด้วย”


“ต้องให้ท่านหมอชี้แนะแล้ว ไปเถิด…ข้าอยากไปพบท่านแม่เสียหน่อย”  ธวัลย์นั้นบอกความต้องการของตนไป ศศิเห็นดังนั้นจึงพยักหน้าและส่งเจ้าแสบให้กับพ่อบ้านที่เจ้าตัวชื่นชอบอยู่บ้าง โชคดีที่ท่านลุงผู้ชั่วร้ายไม่แกล้งอะไรจึงยอมผละจากอกแม่แต่โดยดี


เราสองได้เข้าไปพบกับท่านหญิงชยาภาที่เพิ่งทานอาหารเสร็จ ท่านหมอที่เป็นคนปรุงยาบำรุงให้นั้นใช้ให้ลูกชายตัวแสบของนางเป็นคนถือเข้าไป เมื่อได้พบกันก็ไม่ได้แสดงอาการน้อยอกน้อยใจ โผเข้าหาด้วยแสนคิดถึง ธวัลย์นั้นทำงานอยู่ที่แสนไกล ทิ้งบ้านไว้ให้แม่อยู่คนเดียวจนเกือบจะตรอมใจลาจาก ไม่มียาใดๆในตำรับที่ศศิปรุงให้แล้วดีเท่าความรักของลูกที่แสดงให้เห็นจริงๆ


ยืนปลื้มอกปลื้มใจตอบทุกข้อสงสัยของคนลูกที่เร่งทำงานให้เสร็จและกลับมาเพื่อจะใช้วันพักผ่อนนานๆที่บ้านจนหมดแล้วก็ขอตัว เจ้าฉายนั้นไม่มีอะไรต้องให้ห่วงเพราะกินอิ่มแล้ว อีกไม่นานก็อาจจะงอแงขอหลับนอนตามประสา คิดได้ดังนั้นตนก็คิดว่าจะไปขอคืนมากล่อมนอนเสียหน่อย จะได้ไปทานอาหารและทำงานต่ออีกนิดเสียที


“เจ้าฉาย”  ทว่าเสียงเรียกของตนกลับทำให้ชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนหันหลังให้นั้นสะดุ้ง ในยามปกติศศิคงเอ่ยขออภัยในความเสียงดังไร้มารยาทของตนแล้ว ทว่าเมื่อตระหนักรู้ได้ว่าเขาเป็นใคร ร่างกายก็หยุดชะงักแข็งทื่อไปหมด


แม้ว่าอยากจะก้าวไปกอดจูบแค่ไหน แต่ก็ทำได้แค่ยืนมองนิ่งๆจนไม่แน่ใจว่ายังหายใจอยู่หรือเปล่า


“ศศิ…”


“พี่อาทิตย์”  เป็นเขาจริงๆ นี่ไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม  เป็นเขาจริงๆหรือ?


เป็นเขาที่กำลังอุ้มเจ้าฉายไว้จริงๆหรือ


“…”


“…”


“ท่านกลับมาแล้ว”


“ใช่…”


“…”


มันก็เนิ่นนานมาแล้ว ตั้งแต่วันที่เจ้าฉายยังตัวใหญ่กว่าฝ่ามือไม่เท่าไหร่
วันนี้ที่ได้เจอกันเจ้าฉายนั้นฉายแววสูงใหญ่อย่างคนพ่อเสียแล้ว


“คิดถึงเหลือเกิน”


“…”


“โกรธข้าหรือไม่…คนดี”  ไม่โกรธ แต่ศศิไม่อยากจะดีใจจนเกินไป


เพราะตอนนี้น่ากลัวว่าตนจะใช้ความปิติหัวใจทั้งหมดทั้งชีวิตไปแล้ว!


“คนบ้า ท่านไม่ส่งข่าวมาเลย”  เป็นตายร้ายดีได้เมียใหม่ไปแล้วอย่างไรทำไมไม่ส่งข่าวมาบอก เมื่อขยับเขยื้อนได้ก็ปรี่เข้าไปทุบไหล่หนานั่น แต่ไม่แรงนักเพราะเจ้าฉายอยู่ในอ้อมอกของเขา และคนเรานี่ต้องนิสัยเสียแค่ไหนถึงมาแย่งลูกของศศิไปอุ้มโดยไม่ขออนุญาต!


“ข้าส่งมาแล้วว่าให้รอหน่อยจะไปหา แต่เกรงว่าจดหมายคงส่งไปที่ค่ายแทน”  จริงๆแล้วพระองค์ที่ได้รับทราบการมาเมืองหลวงของศศิก็ไม่รอช้าคิดหาแผนการที่จะไปพบหาที่นั่น ทรงส่งจดหมายมาเพียงหนึ่งฉบับว่าด้วยการนัดหมายและทรงกลับไปรีบเร่งทำงานทำการเพียงเพื่อจะได้กลับมาพร้อมธวัลย์ โดยที่ไม่รู้เลย...ว่าข่าวสารจะไม่ได้เดินทางมาถึงคนรัก


แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคที่ดีอยู่ จดหมายนั้นตีกลับไปหาพระองค์ในวันที่กำลังจะเสด็จกลับมาพอดี จึงได้รีบเร่งมาหาด้วยหมายว่าจะมาพบเจอให้ทันก่อนที่เด็กดีของพระองค์จะจากไป และผลของความเพียรพยายามนั้นทำให้เราได้มาเจอกันที่นี่…สามคนแบบนี้ แบบที่เฝ้าคอยมาเนิ่นนาน


คิดถึงเหลือเกินเป็นเช่นไร และมันคุ้มค่าไหมเมื่อได้มาพบกันเสียที


ทรงรับฟังคำตัดพ้อ ตอบคำถามที่เจ้าของใบหน้าอันเป็นที่รักเอ่ยถาม ทั้งที่เจ้าฉายยังอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์อย่างนี้ แต่ความสนใจทั้งหมดได้ถูกถ่ายโอนไปให้กับคนแม่หมดแล้ว ไม่คิดจะรำคาญคนถามมากแม้แต่น้อย และทรงยินดีอย่างยิ่ง…ที่จะตอบคำถามไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่นี่


“โดยรวมแล้วข้าเคืองท่านมาตลอด”


“ได้โปรดอย่าเคืองโกรธอีกเลย พี่มาแล้ว ไม่ได้กินไม่ได้นอนก็เพื่อเจ้า”  ทรงเดินทางกลับด้วยม้าเร็ว การคุ้มกันไม่แน่นหนานัก ทรงทำทุกอย่างด้วยความคะนึงหา และเมื่อคนถามมากได้พินิจใบหน้าให้ชัดเจนก็ค้นพบว่าเป็นจริงตามนั้น องค์รัชทายาทที่รักของตนนั้นซูบโทรมไม่ต่างจากเพื่อนสนิท แต่สภาพของเขาทำให้หัวใจกระตุกเสียยิ่งกว่า


“ข้าไม่น่าโวยวายมากมายใส่ท่านเลย”  การเป็นอยู่ของพระองค์ที่นั่น ทราบได้ว่าทุรกันดารกว่ามาก การสร้างเขื่อนก็เป็นงานที่หนัก พระองค์ชายของศศพินทุ์คงไม่ได้เป็นอยู่อย่างสุขสบายเท่าตน คิดเช่นนั้นความรู้สึกสงสารจึงแล่นขึ้นมาดับความไม่พอใจที่เคยมีทั้งหมด พลันให้เกิดแต่ความรู้สึกผิดขึ้นมาแทน


“ไม่เป็นไรหรอก”  ทรงเอ่ยอภัย  “เพราะรักมาก ต่อให้เจ้าพูดจาชวนขมข้าก็รู้สึกหวานไปหมดแล้ว”


“…”


“ใช่ไหมเจ้าฉาย”  ทรงหันไปถามความเห็นจอมแสบที่อมมือตัวเองจนน้ำลายย้อย ก่อนจะเบี่ยงตัวหนียามที่ตอหนวดแข็งของคนพ่อนั้นทิ่มแก้มของตน นึกขำอยู่ไม่น้อยที่ทรงไม่ดูแลตัวเองถึงขั้นนี้จนทำให้ลูกเบือนหน้านี้ อยากจะกอดจะหอมก็เข้าใจ แต่เกรงว่าต้องจับอาบน้ำแปลงโฉมเสียใหม่เพื่อให้ได้รับการยอมรับจริงๆ


ความคิดถึงของเราถูกถ่ายทอดออกมาในลักษณะของการกอด ในขณะที่เจ้าฉายอยู่กับอ้อมอกพ่อ คนแม่ก็เข้ามาและกอดพระองค์ไว้ด้วยคะนึงหา ใบหน้าหวานนั้นซบลงกับไหล่ด้วยอยากจะซึมซับซึ่งไออุ่นตลอดตัว ดวงตากลมโตหลับพริ้ม ปล่อยให้ความรู้สึกได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา รักไม่ใช่คำเอ่ยยาก แต่การแสดงออกที่ชัดเจนมีความหมายกว่าสิ่งใด


หนึ่งครอบครัวที่ได้มาพบกันในวันนี้กำลังตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอก ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยว่าจุดที่เราอยู่นั้นไม่ได้เป็นส่วนตัวอย่างที่ควร แต่สุดท้ายแล้วคนมองก็ต้องยิ้มออกมา ทั้งๆที่ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย พวกเขาหาได้รับทราบถึงบทสนทนา ทว่าการกระทำล้วนอยู่ในสายตา


ท่านหญิงรัญชิดาก็เหมือนกัน


“…”  มีคำถามมากมายเป็นหมื่นล้านที่ไม่ได้เอ่ยและเกรงว่าจะเอ่ยคำใดไปไม่ได้ในตอนนี้ ทว่าสุดท้ายก็ยิ้มออกมาเมื่อพอปะติดปะต่อทุกอย่างได้ดี เกรงว่าท่านหมอศศพินทุ์ที่ตนเพิ่งได้รู้จักจะเป็นคนเดียวกับคนๆนั้น


คนเดียวในใจขององค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครา…


ในห้องนอนที่ใช้รับรองท่านหมอจากแดนไกลนั้น วันนี้มีอีกคนเข้ามายึดครองพื้นที่ร่วม เพราะเดินทางมาเนิ่นนานและหักโหมงานในช่วงนี้ทำให้ทรงพักผ่อนน้อย เมื่อได้พบกับยอดรักที่นำพาความอิ่มใจมาให้ จึงมีสภาพไม่ต่างจากคนตายสักเท่าไหร่ในความรู้สึกคนมอง พ่อลูกที่ไม่เหมือนแต่คล้ายกำลังนอนหลับอยู่ข้างกันในห้องของศศินี่


ก็เตือนแล้ว ว่าแล้ว ว่ามันไม่สมควร แต่คนที่เหนื่อยและคิดถึงกันมากก็งอแงดึงดันจะนอนตรงนี้เสียให้ได้ เหมือนใครกันนะเจ้าฉาย….พ่อของเจ้านี่เหมือนใครกัน?!


“หากไม่ตื่นตอนนี้ จะนอนไม่หลับกันนะ”  ศศพินทุ์ที่ระลึกได้ว่านี่ก็ผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้วจึงเดินกลับมาที่ห้องและกระซิบเรียก แต่คนขี้เซาก็ยังเพิกเฉยจนถอนหายใจออกมา ทว่าเมื่อจะผละออกกลับยกมือมาจับชายเสื้อกันอย่างนั้น


พ่อของเจ้าเหมือนเจ้านั่นเองเจ้าฉาย…


“คิดมาหลายเดือนว่าเจ้าฉายเหมือนใครกัน ตอนนี้ข้าว่าข้าได้คำตอบแล้ว”  ศศิยิ้มร่าให้กับภาพของคนพ่อที่กำลังขยี้ตางัวเงียอย่างนั้น ยังคงบรรทมไม่พอหรอก แต่อย่างที่บอกว่าจะนอนไม่หลับตอนกลางคืน พระองค์ไม่ควรทำให้ร่างกายรวนเรไปมากกว่านี้อีก


“กี่ยามแล้วนี่”


“บ่ายกว่าแล้ว ต้องปลุกเจ้าฉายแล้ว”


“อื้ม”


“ลุกเลยทั้งพ่อและลูก เดี๋ยวเจ้าแสบงอแงเป็นภาระข้า ส่วนท่านก็ไปจัดการตัวเองเถิด เดี๋ยวอีกสักพักคงต้องกลับตำหนักแล้วไม่ใช่หรือไร”


“…”


“เจ้าฉายตื่นลูก อ๊ะ! พี่อาทิตย์!”  กำลังจะปลุกลูกอยู่แท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าพ่อคนโตกว่ากลับดึงศศิให้ลงมานอนทับอกแกร่งเช่นนั้น ก็บอกแล้วไงว่าให้ตื่นไปแต่งตัวให้เรียบร้อย เป็นองค์รัชทายาทแท้ๆ ทำไมทำตัวเกกมะเหรกเกเรเช่นนี้!


“ลูกเมียอยู่ที่นี่ก็ยังจะไล่กันอีกหรือ เจ้าของคฤหาสน์วัชรวราภรณ์คงไม่ใจร้ายกับคนอาภัพเช่นข้าไปมากกว่านี้กระมัง”


“ท่านต้องกลับบ้าน!”


“บ้านของพี่อยู่กับเจ้าและลูกนี่”


“…”


“จะไล่พี่ไปไหนกัน”


“ศศิก็ไม่อยากไล่”  ใครเล่าอยากจะไปห่างจากดวงใจ  “แต่มันหาได้เหมาะสมไม่”


“อะไรกันที่ไม่เหมาะสม นอนกับลูกกับเมียหรือไง”


“องค์รัชทายาท!” 


“…”  ศศิเริ่มจะโกรธแล้ว แต่แววตาคมคู่นั้นไม่ได้ฉายแววการยอมความแม้แต่น้อย วันนี้ต้องมีขาดเป็นขาดนั่นแหละ และเพราะประสบการณ์ที่สั่งสมมา การจะปราบพยศคนในสถานการณ์แบบนี้ จะมีแต่เสียและเสียเท่านั้น


“ลูกเมียท่านไม่ไปไหนหรอก”


“…”


“ที่ข้าทำเช่นนี้เพราะคนจะเอาไปพูดได้ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่ามีคนมากมายแค่ไหนที่เห็นเรากอดกันเมื่อครู่”


“เจ้าเดินมาทุบและกอดพี่เองนะ”


“ก็มันคิดถึงไหมเล่า”


“อา…คิดถึงพี่มากนี่เอง”


“เพราะฉะนั้นกลับไปก่อนเถิด”


“…”


“และแอบมาเยี่ยมศศิ…กับเจ้าฉายบ่อยๆนะ”


“สรุปเจ้าจะให้ข้าเป็นแค่แขกที่มาเยี่ยมเจ้ากับลูกเท่านั้นหรือ”


“เฉพาะตอนนี้เท่านั้นแล”


“ไม่ใจอ่อนให้พี่ หรือให้กับสิหราชนคราบ้างเลยหรือ”


“…”


“ก็ได้ พี่ย่อมกลับไปวันนี้ แต่อย่าคิดว่าพี่ยอมแพ้”  เพราะพระองค์ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะยอมแพ้ได้มาก่อน “แล้วพี่จะมาหาใหม่ ไม่นานจากนี้”  เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดี เมื่อมาเยือนถึงหน้าถ้ำเสือ ก็อย่าได้หวังจะได้ห่าง


ชายแดนตะวันตกที่ 2 นะหรือ…ก็อย่าได้หวังจะกลับไป


☼ ☽


ช่างดื้อด้านหาตัวจับได้ยากจริงๆสำหรับองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราเมื่อไล่ให้กลับก็ยอมกลับไปให้อยู่หรอก ทว่าไม่พ้นคืนนั้นก็ทรงกลับมาในลักษณะที่เห็นได้ชัดว่าลักลอบ


นี่ท่านจะเล่นแอบปีนเข้าบ้านคนอื่นทุกบ้านไปไม่ได้นะ!


แต่ศศพินทุ์เองก็ใจง่ายด้วยคร้านจะไล่ออกไป นี่ก็ดึกดื่นแล้ว เจ้าฉายเด็กกินเก่งนอนเก่งก็หลับแล้ว กล่อมยากนอนยากเสียด้วยวันนี้ หากทำเสียงดังจนเกินไปอาจจะไม่แคล้วได้กล่อมกันยันเช้า แถมมีแนวโน้มจะสลัดคนเอาแต่ใจที่ลักลอบเข้ามาไม่ออกอยู่ดี จึงจำต้องปล่อยเลยตามเลย


และเจ้าตัวก็ลำบากกลับไปแต่เช้ามืด ฝากจุมพิตที่ข้างแก้มแรงๆไว้ทีและรีบเร่งเดินออก
ลำบากท่านแล้วองค์รัชทายาท


“เมื่อคืนวานพ่อเจ้าฉายมันแอบมาหาใช่ไหมเล่า”  เมื่อเจอธวัลย์ก่อนจะไปรับประทานอาหารเช้า เจ้าตัวก็ทักทายมาเป็นคำแรก ศศิหน้าแดงพลันก่นด่าไปถึงคนที่ทำตัวไม่เนียนจนอาจจะตายได้คนนั้นก่อนจะทำใจกล้าพยักหน้ากลับไป


“ต้องขอโทษแทนด้วย”


“ห้ามมันได้ที่ไหนเล่า ดื้อด้านที่สุด” 


“อันนี้น่าเห็นด้วยเป็นที่สุด”


“แต่ยังไงถ้ายังตกลงกันไม่ได้ มันมาอีกก็บอกให้เข้าผ่านเวรยามประตูหลังมาละกัน จะจัดคนนำทางให้ เช่นนี้มันอันตรายอาจจะโดนสอยตายก่อนมาถึงห้องของเจ้า”  ว่าแล้วศศิก็ทั้งโกรธทั้งอาย สมแล้วที่เป็นเพื่อนกัน เรื่องชั่วๆแบบนี้ก็ยังจะสนับสนุนกันได้อีกนะ ศีลเสมอที่แท้จริงมันเป็นเช่นไรก็เพิ่งได้ประจักษ์กับตนเอง


และเราก็ไม่ได้พูดคุยกันในเรื่องนี้อีกเลยเมื่อท่านหญิงเจ้าของบ้านเข้ามา แม้จะไม่ได้รับประทานอาหารเช้ากับผู้อื่นบ่อยๆด้วยไม่อยากให้คนในบ้านมาเห็นสภาพที่น่าเกลียดก่อนนี้ แต่เพราะการรักษาเป็นไปด้วยดีและเพราะธวัลย์กลับมา ต่อไปเราคงได้เห็นแนวโน้มที่ดีขึ้น


แต่ถึงจะดีขึ้น ท่านหญิงรัญชิดาก็ยังคงมาอยู่เป็นเพื่อน เมื่อนึกขึ้นมาได้ ท่านหมอน้อยก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนนั้นแทบจะไม่รู้จักเรื่องส่วนตัวของท่านหญิงเลย บ้านอยู่แถวนี้หรืออย่างไร ทำไมถึงมาได้บ่อยครั้ง แต่คงสนิทกับท่านแม่ของธวัลย์ไม่น้อยเพราะก็คอยสนับสนุนดูแลกันมา ช่างดีจังนะมิตรภาพ


“ขอบคุณท่านหมอสำหรับสมุนไพรนะ ข้านำไปต้มกินบำรุงแล้ว รู้สึกระบบขับถ่ายดีขึ้นจริงๆ”  เพราะได้มาปรึกษาเรื่องปัญหาสุขภาพ จึงได้แนะนำกลับไปให้ น่าดีใจที่ได้ผลดีเยี่ยม


“หากมีอะไรช่วยเหลือได้ ข้าก็ยินดี”


“คงต้องฝากตัวกับท่านหมอแล้ว ว่าแต่…ท่านคงไม่ได้กลับไปที่ชายแดนเร็วๆนี้หรอกใช่ไหม”


“อา…”  นั่นสิ ตอนนี้เมื่อได้เจอกับคนรัก ความรู้สึกที่อยากจะกลับก็ไม่มีหลงเหลืออยู่เลย


“อยู่ที่นี่นานๆเถิดนะ ยังมีอีกหลายอย่างที่น่าเรียนรู้”  แต่ดูเหมือนเจ้าถิ่นจะอยากให้อยู่ต่อ คนร่างบางยิ้มรับ ก่อนจะยินดีส่งเจ้าฉายที่อุ้มอยู่ให้  “เจ้าฉายก็น่าเอ็นดูเหลือเกินลูก ขี้อ้อนเกินไปแล้วน้า”


“เจ้าฉายคงชอบท่านหญิงไม่น้อย ข้าขอบคุณที่เอ็นดูลูกของข้า”


“ขอบคุณอะไรกันเล่า ลูกของเจ้าน่ารักถึงเพียงนี้”


“งั้นก็คงต้องขอบคุณเจ้าฉายสินะที่ทำให้คนอื่นเอ็นดูแม่ตามไปด้วย”  ศศิที่พลั้งเผลอพูดคำต้องห้ามไปนั้นไม่ได้สะกิดใจบางเลย คนร่างบางนั้นทำเพียงแค่ยิ้มและหยอกล้อกับลูกที่อยู่ในอ้อมแขนนาง


“แม่…ท่านหมอเป็นแม่ของเจ้าฉายหรือ”  เพราะนางคิดมาตลอดว่าศศิคือพ่อ


“อา…มันคงดูประหลาดเสียหน่อย แต่ข้านั้นเป็นคนตั้งครรภ์เอง”  อาจจะเป็นกรณีที่หายากแต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี และทั้งนี้…ศศิก็ไม่คิดจะปกปิดอะไร ทว่าส่วนประกอบต่างๆที่ท่านหญิงรัญชิดาคิดไว้ มันกลับเปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่างไปอีกครั้ง และในที่สุด


นางก็ตัดสินใจถามออกไป


“ท่านหมอ ข้าขอเสียมารยาท”


“หืม”


“พ่อของเจ้าฉาย”


“…”


“คือองค์ชายอคิราห์อย่างนั้นหรือ”  ความจริงเป็นเช่นใดนั้นคนเป็นแม่ย่อมตอบตัวเองได้ดี แต่ในกรณีที่กำลังเผชิญอยู่นี้


ศศิจะทำเช่นไรที่จะตอบไป
ทั้งๆที่หัวใจก็ไม่ได้อยากปิดบัง…


“…”


“ข้าคงไม่ได้ทำให้ท่านหมอลำบากใจจนเกินไป”


“อืม..ก็…”  หากเลี่ยงได้ศศิก็ไม่อยากตอบ เพราะการตอบ…ไม่มีทางเลยที่จะโกหกได้แนบเนียน หัวใจของคนตอบได้มอบให้เขาไปหมดจนไม่อาจจะละเลยพูดปดไปได้  “เจ้าฉายเป็นลูกของพระองค์จริงๆ”  และสิ่งเหล่านี้ที่นางสงสัย ก็ได้รับการยืนยัน


“นั้นก็หมายความว่าท่านคือ”  ท่านหญิงที่ได้ยินคำตอบนั้นยกมือขึ้นมาปิดปาก ดูท่าจะตกใจไม่น้อย แต่ศศิไม่ใช่อย่างที่นางคิด


“แต่ว่าข้าไม่ใช่พระชายาหรืออะไรเช่นนั้นนะ ได้โปรดอย่ามองกันผิดไป”


“แต่ท่านเป็นคนรักของพระองค์”


“อา…อันนั้นก็น่าจะจริงอยู่ แต่ว่าข้าไม่ได้มีบรรดาศักดิ์อะไรเช่นนั้น โปรดเอ็นดูข้าเยี่ยงแม่ของเจ้าฉายดังเดิมเถิดนะ”  รอยยิ้มพิมพ์ใจของคนที่ได้พูดไปนั้นทำให้คนมองต้องย่นคิ้ว ศศิทั้งเจียมตัวแต่ไม่เจียมใจ ไม่ต้องการเป็นอะไรของเขา ที่ต้องการมีเพียงได้รักและรับความรักเท่านั้น แต่นั่นคือความรักขององค์รัชทายาทเลยทีเดียวที่ตนได้เรียกร้อง


“เหตุใดกันเล่า”


“องค์รัชทายาททรงยุ่งอยู่แล้ว ข้าเองก็ไม่ยากจะวุ่นวายนะ” ท่านหญิงรัญชิดาคงไม่เข้าใจ แต่สำหรับท่านหมอที่มาจากสถานที่อันไกลโพ้นและทุรกันดาร ชีวิตง่ายๆที่ตนมีมาตลอดนั้นเพียงพอแล้ว ศศิไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าที่เป็นอยู่ หรือจะให้เรียกง่ายๆก็คือสมถะนั่นแล แต่ถ้ามองให้ดีไปยังแววตาคู่นั้นที่หลุบต่ำมองพื้น คนที่มีประสบการณ์ชีวิตมามากเช่นท่านหญิงรัญชิดาย่อมรู้ดีว่าแท้จริงแล้วเบื้องลึกจิตใจของคนที่ควรจะรับตำแหน่งอันสมฐานะนั้นคิดเช่นไร


ท่านหมอน้อยก็แค่กลัวการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่พอที่จะพรากความสุขทั้งหมดที่ครอบครองในตอนนี้ไป


“โธ่ เด็กน้อย เจ้านั้นคิดมากมายนัก แต่จริงอยู่ว่าชีวิตตรงนั้นมันไม่ได้ง่ายเลย”  ท่านหญิงผู้ใจดีและเอ็นดูกันไม่น้อยไปกว่าเจ้าฉายนั้นยิ้มให้ ก่อนจะส่งเจ้าแสบกลับไปอยู่กับอกแม่ และประคองเอวบางให้เดินตามไปนั่งในสวนของคฤหาสน์ที่งดงามเพราะได้นักออกแบบจากในวังมาทำให้ นางรู้ดีกว่าใครถึงความกลัวนี่ และก็คงรู้ดีว่าควรจะทำอย่างไรถึงจะสามารถช่วยให้ศศิได้กำจัดความกลัว


เมื่อได้มานั่งในศาลาอันร่มรื่น นางก็พิศมองใบหน้าของท่านหมอ ความงดงามที่มองแล้วสบายตาไม่เบื่อหน่ายนี้ได้ประจักษ์ตั้งแต่วันแรกที่พบเจอแล้ว ท่านหมอผู้อ่อนโยนคงไม่รู้ว่าตนก็มีความดื้อแพ่งบางอย่างอยู่ เช่นตอนที่ยืนยันจะรักษาคนป่วยแม้เจ้าตัวเพียรปฏิเสธแค่ไหนก็ตามนั่นแล น่าเสียดายที่ความทะเยอทะยานดื้อแพ่งที่มีอยู่นั้นไม่ได้ถูกนำมาใช้กับเรื่องนี้ ดังนั้นคนที่น่าสงสารที่สุดก็คือคนที่ร้ายกาจที่สุด


แต่ก็เป็นคนที่ยอมศศิมากที่สุดอย่างองค์รัชทายาทคนนั้น


“เจ้าคงไม่รู้ว่าตำแหน่งพระชายาหรือพระมเหสีในองค์รัชทายาทนั้นมีแต่คนอยากจะคว้าไว้”


“อันที่จริงแล้วข้ารู้ดี แต่เชื่อใจ หรือหากสุดท้ายแล้วเขาไม่อาจจะต้านทานได้ อะไรจะเกิด…ก็คงต้องยอมให้มันเกิดไป” 


“ยอมแพ้ง่ายเกินไปแล้วเด็กน้อย ไม่ได้รักอคิราห์เสียหน่อยเลยหรือ”


“…รักสิ”  แล้วตอบเสียงเบาเช่นนี้จะเชื่อถือได้หรือ  “แต่ข้าไม่คู่ควร”


“ในสายตาของข้า เขารักเจ้าที่สุด จึงเป็นเจ้าที่คู่ควรที่สุด”


“….”


“แต่ก็แล้วแต่เจ้าจะพิจารณา บนบัลลังก์นั้นทั้งยากและง่ายในคราเดียว หากเจ้านั้นแข็งและอ่อนให้เป็น”


“…”


“คงจะคิดว่าหญิงแก่คนนี้พล่ามอะไรมากมายสินะ”  ศศิส่ายหน้าหวือ น่าเอ็นดูจริงๆนั่นแล  “หากเจ้ากังวลว่ามันไม่เหมาะสม หรือกังวลว่าตนไม่อาจจะอยู่รอดเคียงบัลลังก์ได้ ใยไม่ปรึกษาผู้ใหญ่หน่อยเล่า เก็บไว้คิดกับตัวเอง วันใดกันจะมีความสุขเสียที”


“แต่ข้า”


“เชื่อข้าเถิด”  เพราะนางปรารถนาดีอยากให้ศศิกับองค์ชายได้ครองคู่ เพื่อความสุขของศศพินทุ์ที่เสียสละมากมายขนาดนี้ก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วน…


นางปรารถนาให้ลูกชายของนางมีความสุขยิ่งกว่าสิ่งใด


“ธวัลย์กับอคิราห์เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเด็ก เจ้าไม่คิดหน่อยหรือว่าความใกล้ชิดนั้นเป็นเพราะแม่ของพวกเขานั้นสนิทสนมกัน”


“…”  ซึ่งนั่นก็หมายความ


“เด็กบื้อเอ๋ย ยังไม่เข้าใจอีกหรือ”  ศศิช่างหัวช้าเกินไปแล้ว  “ข้าอยากได้เจ้ามาเป็นลูกสะใภ้แทนอภิชญาจะแย่อยู่แล้วนี่!”


TALK
สัปดาห์ที่ผ่านมาคือยุ่งไม่หวายแล้ววววว
ต้องขอโทษที่ไม่ได้ลงเรื่องนี้เลยเพราะเรายังไม่ได้ตรวจทานอะไร
วันเสาร์มีเวลาแล้วเลยนั่งอ่านและเอามาลงค่ะ
เรื่องนี้ก็ใกล้จบแล้ว ต้องขอบคุณทุกคนมากที่สนับสนุนนะคะ
อดทนรอกันสักหน่อยนะคะ เราจะรีบมาลงต่อค่ะ
@reallyuri #อาทิตย์ศศิ



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 30 : 26/1/2019 P.5
« ตอบ #139 เมื่อ: 26-01-2019 13:17:29 »





ออฟไลน์ Caramel Syrup

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
ยกตำแหน่งสุดยอดคุณแม่ ให้องค์ราชินีเลยค่ะ เย้ เย้ เย้  o13  :mc3: :mc2:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เย้ๆ ทายถูก

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
 :pig4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ว่าแล้วเชียว เป็นท่านแม่ของพี่อาทิตย์จริงๆด้วย

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
31
สุริยะเทพและดวงจันทรา
☼ ☽

ใช่…ก็ควรจะสงสัยหรืออะไรยังไงบ้าง
แต่ท่านหมอน้อยกลับไม่ได้คิดอะไรบ้างเลย


“ขอประทานอภัยพะยะค่ะ”  ว่าแล้วเมื่อรู้ตัว ลูกสะใภ้ที่พระนางอยากได้ก็รีบจะทรุดตัวลงไปทำความเคารพ จนพระนางเองนั่นแลที่ต้องลงไปหาพิธีรีตรองเหล่านั้น


ท่านหญิงรัญชิดาหรือพระราชินีรัญชิดานั้นได้มาแวะเวียนบ้านนี้อยู่บ่อยครั้ง พระนางไม่ได้มีเพื่อนมาก เรียกว่าท่านหญิงชยาภาผู้เป็นเจ้าของบ้านนี้คือเพื่อนคนเดียวที่ทรงไว้วางพระทัยมากที่สุด จึงไปมาหาสู่กันเรื่อยๆตั้งแต่ยังเด็ก โตเป็นสาว และแก่เฒ่า ในช่วงหลังที่เจ้าตัวป่วยเช่นนี้ก็จะมาเยี่ยมให้กำลังใจกันบ่อยหน่อย จนได้พบกับท่านหมอคนนี้


ศศพินทุ์คือนามที่นางทราบแต่ตอนนั้นเองก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่มีกรณี นางไม่เคยพบหน้าคนงามของลูกชายมาก่อนจึงไม่อาจจะทราบได้ รู้เพียงแค่คนเรียกกันว่าศศิๆเลยไม่สงสัยอะไร แต่มามั่นใจเมื่อวันก่อนที่อคิราห์มาที่นี่และทั้งสองก็กอดกัน คนเป็นแม่นั้นอยากออกไปแสดงตัวจะแย่แต่ก็ต้องหลบซ่อนไว้เพื่อครุ่นคิดถึงสิ่งที่ไม่เคยรับทราบ ไหนว่าเลิกรากันไปแล้วอย่างไร


แล้วทำไมการแสดงออกยังเต็มเปี่ยมไปด้วยรักเช่นนี้


“ข้าเคยได้ยินว่าพวกเขาสงสัยว่าเจ้าจะท้องได้แต่ได้ล้มเลิกความคิดไปหมดแล้ว ไม่นึกเลย”  คาดว่าคงโดนตบตา แต่สมน้ำหน้า พวกที่ไม่คิดถึงจิตใจของคนอื่นควรจะโดนเช่นนี้


“กระหม่อมมิอาจ…”


“ข้าดีใจยิ่งนักที่คนที่ชื่อศศิเป็นคนดีเยี่ยงท่านหมอ และเจ้าฉายก็น่ารักเหลือเกิน”  พระนางหลงรักศศิได้ไม่ยาก ไม่แปลกใจเลยที่อคิราห์จะหลงจนหัวปักหัวปำ เมื่อเห็นสายตาของลูกชายเมื่อวาน ย่อมรู้ได้ทั้งหมดว่าที่ยอมปล่อยไปนั้นล้วนไม่จริงใจทั้งสิ้น อย่างไรอคิราห์ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ท่านหมอกลับคืนไปอยู่แล้ว แค่สถานการณ์ตอนนั้นไม่อำนวย


“….”


“ทำไมทำหน้าเช่นนั้นเล่า เจ้ายิ้มนั้นงดงามกว่าจริงๆ”


“ข้า…”


“อย่าคิดมากไปเลย”


“แต่ว่ากระหม่อมนั้น ทำไม่ดีไปก็มาก”


“เจ้าทำไม่ดีตรงไหน ที่เห็นก็มีแต่ช่วยเหลือผู้คน อ่อนน้อมถ่อมตน และทำตัวน่ารักจนเกินไปก็เท่านั้น”


“เอ่ยชมเกินไปแล้วพะยะค่ะ”


“น้อยไปเถิด หากอคิราห์พาเจ้ามาแนะนำตั้งแต่ตอนขังไว้ที่ตำหนักนั่นนะ ข้าคงไม่ให้ลูกปล่อยเจ้าไปได้ง่ายๆ”


“ตอนนั้นหม่อมฉันไม่รู้ว่าตนเองจะมีเจ้าฉายได้”


“อา…ข้าก็พูดเกินไป ข้าย่อมกีดกันบ้างอยู่แล้วเพราะอยากให้ลูกชายมีทายาทไว้สืบต่อ”  ดูเหมือนพระนางจะยิ่งทำให้กังวลใจ  “อภัยให้ความใจดำนี้ของข้าหรือไม่ หากอคิราห์ไปต่อไม่ได้ ข้าเกรงว่าเขาจะสูญสิ้นอำนาจและเป็นภัยแก่ตัวเขาเอง”


“กระหม่อมเข้าใจดี”


“หากเข้าใจก็มองหน้ากันหน่อยเถิด”  พระนางว่าพลางเชยคางคนงามขึ้นมามองหน้า เห็นเพียงแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนของเจ้ากระต่าย“ข้าต้องขอโทษเจ้าที่พวกเราทำไม่ดีด้วย หากเป็นไปได้โปรดให้โอกาสสิหราชวงศ์ และให้โอกาสอคิราห์เถิด”  พระนางว่าพลางน้ำตาคลอ


“…”


“เขาไม่อาจจะรักใครได้อีกแล้วจริงๆ”  และในตอนนั้นแววตาของศศิก็ค่อยเปลี่ยนไป จากที่ไม่แน่ใจก็ค่อยๆจางหายไป อย่างน้อยต่อจากนี้


คนดีของพี่อาทิตย์ก็พร้อมที่จะฟังเรื่องราวจากแม่ของเขาแล้ว…


เรื่องราวประสบการณ์ต่างๆในรั้ววังถูกถ่ายทอด มีบ้างที่ท่านหมอน้อยถามคำถาม แต่พระนางก็ให้คำแนะนำกลับมาดี อย่างไรก็ตามทรงโน้มน้าวให้ว่าที่ลูกสะใภ้ได้เห็นว่าตำแหน่งพระราชินีใครก็เป็นได้ แต่คนๆนั้นต้องทำความดีให้มีความเหมาะสม ซึ่งเท่าที่นางดูมา ศศิเองก็ดีพอที่จะเป็นได้ ทั้งนี้เจตนารมณ์ที่เจ้าตัวถ่ายทอดโดยการให้เห็นนั้นยิ่งตอกย้ำว่าเด็กคนนี้มีจิตใจเอื้อเฟื้อจริงๆ ไม่ใช่ทำเพราะต้องทำ แต่ทำเพราะอยากทำ และนั่นอาจจะทำให้แม่ของเจ้าฉายเหมาะสมกว่าใครในโลกใบนี้ที่จะเคียงข้างองค์ชายอคิราห์


เมื่อเพชรอยู่ในมือพระองค์ไม่อาจจะปล่อยละเลยไปได้อีก


“แต่ข้านั้นไม่ได้มียศถาอะไร”


“สมัยนี้มันสมัยไหนแล้ว ตั้งแต่เจ้ามาที่นี่ เห็นใครเกลียดชังเจ้าบ้างไหม”


“…”


“จงมั่นใจเถิดว่าเจ้าจะเป็นที่รัก”


“แต่ข้ามาจากป่าเขา ไฉนเลยจะเหมาะสม”  ความกังวลที่ไม่สิ้นสุดของเจ้ากระต่ายทำให้พระนางส่ายพระพักต์  ความดีไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่กิริยามารยาทย่อมสอนกันได้จริงๆ


“อย่าได้กลัวไปเลยศศิ”  อคิราห์รักหลงขนาดนี้มีหรือเขาจะให้ลำบาก หากเป็นเด็กคนนี้จะต้องทำได้แน่นอน ทรงเชื่อเช่นนั้นอยู่เต็มพระทัย แต่หากจะพูดไปก็คงจะไม่เห็นพ้องตรงกันจริงๆ ฉะนั้นคงมีวิธีเดียว  “หากไม่รังเกียจ ตำหนักชลธิชาของข้าเปิดรอรับเจ้าอยู่”


“ตะ..แต่ว่า”


“ไปเห็นด้วยตาตนเองเถิดท่านหมอน้อย”  ศศิก็เหมือนกระต่ายขี้กลัวตนหนึ่ง การมีความรักกับองค์รัชทายาทต้องการความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ และต่อจากนี้ศศิก็ต้องไปพบเจอมันทั้งหมดด้วยตนเองแล้ว  “โลก…ไม่ได้น่ากลัวเช่นนั้นหรอก”


เมื่อมาถึงตรงนี้หากจะปฏิเสธไปก็ดูจะขี้ขลาดเสียหน่อย ริมฝีปากอิ่มบดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อตั้งสติ ใช่…โลกไม่น่ากลัวหรอก ศศิอยู่มาตั้งยี่สิบกว่าปี จนตอนนี้มีเจ้าฉายขึ้นมาดูโลกด้วยคนแล้ว ดวงตาหวานของท่านหมอผู้อารีย์นั้นดูคงมั่น ก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับคำเชิญ โลกไม่น่ากลัวหรอก ไม่น่ากลัวจริง


โดยเฉพาะโลกที่มีอาทิตย์ของพระจันทร์อยู่…
มันยิ่งงดงามจนไม่อาจจะถอนสายตาได้จริงๆ


ทว่าก็ยังไม่ได้ตัดสินใจพูดไปให้ชัดเจน ศศิได้ขอเวลากับพระนางเพื่อกลับมาคิดทบทวน ในใจยังเกิดความหวาดกลัวอยู่มากแต่ก็รับรู้ได้ว่าหากตนยังขลาดอยู่เช่นนี้ก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน องค์ชายอคิราห์หรือพี่อาทิตย์ของตนนั้น เขาพยายามพิสูจน์ตนเองมาตั้งเท่าไหร่เพื่อปูทางให้ไปเคียงข้างอย่างสบายใจ


และศศิ…ไม่คิดจะทำอะไรบ้างหรือ?


“เจ้าฉาย…เช่นนั้นแม่ควรจะทำเช่นไรดี” แต่พูดไปกับเจ้าตัวเล็กที่หลับอยู่ ก็คงไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา สุดท้ายก็ยิ้มเศร้าๆและล้มตัวลงนอนข้างๆ แม้จะให้นอนในเปลบ้าง แต่บางคืนที่งอแงเสียหน่อย ก็ให้มานอนข้างๆกันเช่นนี้ หลับตาคิดนั่นนี่ไป สุดท้ายแล้วก็หลับลงไปจริงๆ


เพราะโลกที่เห็นอยู่ช่างไม่คุ้นตา…
ที่ไหน?


“ท่านแม่”  เสียงเรียกที่เหมือนจะไม่คุ้นเคยหากแต่คุ้นใจนั้นดังขึ้นที่ด้านหลัง เมื่อได้เห็นว่าใครเรียก รอยยิ้มเต็มแก้มก็ผุดขึ้นมา


“รวิวัลย์ กัษษกร”  แม้จะเป็นแค่ฝันและสองคนนั้นไม่มีตัวตนในความเป็นจริง แต่ศศพินทุ์ก็รู้สึกถึงการมีอยู่และเชื่ออย่างสนิทใจว่าทั้งสองคือลูก ถึงแม้ไม่ได้พบเห็นแต่รับรู้ว่ามีอยู่ข้างกาย


เหมือนกับที่อาทิตย์และดวงจันทร์ไม่หายไปไหน


เด็กทั้งสองจูงมือของแม่คนละข้างและพาเดินไปนั่งบนศาลาทอแสงจันทร์ส่องสว่าง บรรยากาศรอบกายนั้นงดงามด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ที่ไม่เคยเห็น แต่คุ้นเคยราวกับว่าตนได้ดอมดมมันอยู่บ่อยครั้ง


“ศาลาแห่งนี้ ท่านพ่อเป็นคนสร้าง ส่วนดอกไม้…ท่านแม่เป็นคนปลูก”  กัษษกรที่ดูจะขี้อายกว่ารวิวัลย์คนพี่เอ่ยขึ้น ศศิกระชับกอดลูกที่เข้ามาซุกด้วยความรัก


“ข้านะหรือที่ปลูกพวกมัน”


“ในตอนที่ท่านยังไม่ยอมรับตนเองนั้น ท่านพ่อทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ได้เข้าใกล้”


“พ่อ…พ่อของพวกเจ้า”


“เทพแห่งดวงอาทิตย์อย่างไรเล่า”  รวิวัลย์นั้นเอ่ยย้ำ ก็รู้ว่าศศิผู้เป็นแม่ไม่ได้มีความทรงจำของตอนนั้นอยู่เลย แต่เพราะความไม่มั่นใจที่เป็นนิสัยติดตัวมาตั้งแต่ชาติปางก่อนนั่นแล


ที่ทำให้ทำอะไรช้าไปเสียหมดจนต้องพลัดพรากให้มาตามหากันแบบนี้


“เราสองคนเกิดขึ้นจากดวงจิตปฏิพัทธ์ของสองเทพสวรรค์”  แม้ไม่รู้ว่าผู้เป็นแม่จะเชื่อหรือไม่ แต่รวิวัลย์ก็อยากจะเล่าให้เกิดความมั่นใจ อย่างไรนี่ก็เป็นโลกในความฝัน คงไม่ถือว่าผิดกฎอะไรจนเกินไปกระมัง


สองเทพรวิวัลย์ผู้ดูแลดวงตะวันและกัษษกรผู้ปกครองพระจันทร์นั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่เกิดด้วยดวงจิตที่รักใคร่ของเทพอคิราห์กับเทพศศพินทุ์ผู้ทำหน้าที่ดูแลอาทิตย์และดวงจันทร์องค์ก่อนที่เดิมทีนั้นการกำเนิดของสองเทพคือการมาจุติของสองสัตว์ป่าที่บำเพ็ญเพียร สิงโตหนุ่มผู้สันโดด กับกระต่ายป่าผู้เงียบขรึม

.
.
.
.


ไม่มีใครสร้างกฎที่ว่าห้ามเทพสององค์รักกันขึ้นมาหรอก แต่ก็ทราบกันดีในหมู่เทพว่ามันเป็นเรื่องไม่ควร ในรอบหลายพันหลายหมื่นปีนั้นก็ไม่มีใครรู้สึกเช่นนั้นต่อกัน ทว่าเทพหนุ่มสองตนกลับเกิดใจใฝ่รักเมื่อแรกพบสบตา


เดิมทีอาทิตย์และดวงจันทร์นั้นผลัดกันขึ้นฉายแสง สองเทพก็ไม่ค่อยได้พบเจอกันจนกระทั่งงานเลี้ยงในคืนเดือนดับของสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าอคิราห์หลงใหลศศพินทุ์จนไม่อาจจะห้ามใจได้ จากที่ไม่เคยได้พบเจอ เทพแห่งดวงอาทิตย์ก็เริ่มจะหาทางมาชิดใกล้ จนคนน้องที่ขึ้นมาจุติทีหลังก็เริ่มจะหวั่นไหวตาม


แต่นั่นไม่ใช่ความรักหรอก นี่มันคงเป็นแค่เพียงความอ่อนไหวครั้งคราว


เทพแห่งดวงจันทร์คิดเช่นนั้นและหาทางผลักไสคนที่ตนก็รักตอบอย่างเต็มความสามารถ ความเย็นชาที่กระทำลงไปทำร้ายหัวใจกันได้อย่างร้ายกาจ จนกระทั่งความเพียรพยายามของเทพอคิราห์ก็เหมือนจะสิ้นสุดลง แม้ว่าตัวเองจะนำทัพไปปราบมารมากเท่าไหร่ แต่หัวใจอันแสนพยศของคนงาม ก็ไม่สามารถปราบได้เลยทั้งๆที่พยายามแสดงให้สวรรค์ได้เห็นว่ารักของสองเทพนั้นเป็นไปได้จนเป็นที่กล่าวขานทั้งในหลายๆทาง ทว่าคำพูดของคนเดียวที่รักเท่านั้นก็ทำให้ตระหนักว่าบางทีควรจะถอดใจ


ในเมื่อรักกันที่นี่ไม่ได้และไม่ได้รับอนุญาตให้รักข้างเดียวก็เห็นว่าคงต้องไปรักที่อื่นแล้วกระมัง


ด้วยได้รับคำสั่งให้แบ่งภาคไปเกิดเป็นลูกหลานของกษัตริย์เมืองมนุษย์ อคิราห์ที่ชังกฎซึ่งไม่มีบัญญัติของสวรรค์ก็ได้ขอเปลี่ยนข้อเสนอใหม่เป็นการลงไปในวังวนของการเกิดดับเป็นการถาวร สำหรับเทพที่บำเพ็ญเพียรมานาน นั่นถือเป็นความกล้าบ้าบิ่นและโง่เขลาเสียมากกว่าการเสียสละอันใด ทว่านี่คือการตัดสินใจของเจ้าของตำแหน่งสุริยะเทพองค์ปัจจุบัน จึงไม่มีใครทัดทานได้ ส่วนคนที่มีอำนาจทัดทานกว่าใคร ก็เลือกที่จะปิดปากเงียบเก็บงำความรู้สึกไว้


‘แม้แต่กับตัวเอง เจ้ายังใจร้ายได้ลงคอเชียวหรือ’  เขานั้นตัดพ้อ


‘โลกนี้ไม่มีความปราณีนักหรอก’ ทั้งข้อติฉินนินทาว่าร้ายต่างๆ แม้เทพจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐ แต่ก็มีบ้างที่อิจฉาริษยาว่าร้ายกัน แม้จะไม่มีกฎห้าม แต่กฎทางสังคมก็ได้ขีดข้อจำกัดของเราไว้แล้ว เป็นเทพ…ก็ต้องไร้หัวใจเช่นนี้แล…


‘แล้วเราอยู่บนโลกกันหรือไง’


‘…’


‘โลกมนุษย์ ยังดูให้อิสระกับข้ามากกว่าที่นี่’ อย่างน้อยก็มีสิทธิ์ที่จะได้รักและได้มองพระจันทร์ แม้ที่ตรงนั้นจะไม่สามารถมองตรงมาด้านหน้า หากแต่ต้องมองให้สูงขึ้นมา


‘อาทิตย์’


‘ข้าคิดว่าข้านั้นให้คำตอบกับตนเองได้แล้ว’ รอยยิ้มของเขาที่มอบให้ ไม่ได้ทำให้คนรับนั้นรู้สึกดีได้เลย ด้วยสัญชาตญาณคนที่รับหัวใจของเขาไปนั้นรับรู้ได้ถึงการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวที่น่ากลัวบางอย่าง


และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆเมื่อได้ยินคำบอกสาส์น เกี่ยวกับการสละร่างทิพย์อย่างถาวรเพื่อกลับไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้งของคนที่ตนยึดครองหัวใจเอาไว้


‘แล้วเช่นนี้ใครจะมาทำหน้าที่แทน’


‘ก็คงต้องแต่งตั้งสักคน ตอนนี้ไม่มีใครเลยที่เหมาะสมจะขึ้นมาบนสวรรค์เพื่อรับตำแหน่งใหม่ กว่าจะถึงตอนนั้นเราคงต้องให้ใครสักคนที่มีพลังเท่าเทียมดูแลแทนไปก่อน’ โลกสวรรค์ที่ไร้หัวใจก็เป็นเช่นนี้นั่นแล


ศศินั้นคิดเช่นนั้นด้วยหัวใจเลื่อนลอย…


‘ศศิ เจ้าขนฟูนั้นวิ่งหายไปแล้ว’ เทพแห่งโชคชะตานั้นเอ่ยบอกหลังจากเห็นเพื่อนของตนเอาแต่เหม่อลอย


‘อา…เดี๋ยวมันก็คงกลับได้เอง’


‘เจ้าดูไม่ค่อยสบายนะ’


‘ข้าเป็นเทพนะ จะไม่สบายได้อย่างไร’  นี่คงเป็นข้อดีของเทพ อิ่มทิพย์ ไม่เจ็บป่วยมีไข้


‘แต่เป็นเทพก็ไม่มีความสุขได้’  เทพแห่งโชคชะตายิ้มให้ ‘ไม่ใช่ว่ามองเด็กคนนั้นอยู่หรือ’


‘…’


‘เขามองมาที่เจ้าทุกคืนเลย’ เป็นเช่นนั้นจริง องค์ชายอคิราห์หรือที่บนสวรรค์นั้นรู้ดีว่าในอดีตคือใครนั้นเป็นเด็กที่แปลก เขาอาจจะดูสดใสเหมือนเด็กทั่วไป ทว่าก็ติดนิสัยที่จะแหงนมองฟ้าเงียบๆครุ่นคิดอะไรบางอย่างผิดธรรมชาติเด็กไปบ้าง แต่ศศิก็เหมือนจะรู้ดีว่าเขานั้นคิดอะไร


เพราะบางทีเราอาจจะคิดถึงกันและกันอยู่


‘เลิกเถียงกันได้แล้ว!’  เสียงดังที่เต็มไปด้วยอำนาจของมหาเทพดังขึ้น เสียงจอแจเมื่อครู่พลันหายราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้น ศศิที่เหม่อลอยก็กลับมาสนใจการประชุมอีกครั้ง การจากไปของเทพอคิราห์นั้น นำพาความวุ่นวายมาทุกหมู่แห่งจริงๆ


นำพามาซึ่งความวุ่นวายใจไม่น้อยด้วย


‘ในอีกไม่กี่สิบปีมนุษย์จะมีเทพที่เหมาะสมจะดูแลดวงอาทิตย์ขึ้นมาเกิด’  ดวงตาอันทรงอำนาจกวาดมองไปทั่ว‘กว่าจะถึงตอนนั้นก็ขอให้ทุกคนแบ่งเวรกันทำหน้าที่แทนสุริยะเทพองค์ก่อน’  เสียงพูดคุยดังจอแจขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็เงียบลงโดยไวเมื่อรู้สึกถึงความร้อนที่ไร้ที่มา


บนโลกนี้ไม่มีอะไรไร้ที่มาหรอก สวรรค์ก็เช่นกัน


‘ส่วนคนที่รู้ถึงการมีอยู่ของเทพสองตนนั้น เจ้าจงไปคิดและกลับมาบอกกันซะว่าจะต้องทำเช่นไร’  พลันคำพูดนี้ขององค์มหาเทพจบลง ผู้อื่นก็เกิดความสงสัยมากมาย ทว่ามีอยู่คนที่ยังคงนิ่งอยู่เช่นกัน


แต่หัวใจที่ไม่ควรจะมีกลับพลันเต้นระรัว


เทพแห่งโชคชะตาไม่ได้มาเยือนตำหนักจันทรานานแล้ว ทว่าวันนี้เจ้าของตำหนักนั้นเป็นผู้เชิญมา เจ้าขนฟูนั้นวิ่งนำเข้าไป ผู้มาเยือนนั้นโค้งให้เจ้าของตำหนักตามมารยาทเพียงครั้งก่อนที่เจ้าตัวจะลุกเดินมาหา


‘ทราบว่าท่านมีเรื่องอยากปรึกษา’


‘…’


‘มีอะไรเช่นนั้นหรือ’


‘ข้าจะลงตามไปอยู่กับอคิราห์’


‘…’


‘หากความรักคือความผิดพลาดที่สวรรค์รับไม่ได้ เห็นทีข้าก็จำต้องรับผิดชอบเช่นกัน’  รับผิดชอบอะไร เทพแห่งดวงจันทร์นั้นทำผิดอะไร เทพแห่งโชคชะตาที่ไม่อาจจะรับรู้ชะตาของเทพสวรรค์ด้วยกันจะเอ่ยปากถาม ทว่าเจ้าตัวกลับเผยให้เห็นถึงความจริงบางอย่าง


ที่มือเล็กบางนั้นมีจิตวิญญาณที่สูงส่งสองวงส่องสว่างวนเวียนอยู่ด้วยกัน


‘ที่องค์มหาเทพพูด!’


‘นี่คือเทพ ที่ถือกำเนิดจากข้าและอคิราห์เป็นแน่แท้’


‘พวกท่านรักกันหรือ’  เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดมาก่อน แต่เทพสวรรค์ต่างทราบดีถึงความเป็นไปได้ เพราะจิตของเทพสวรรค์นั้นถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากคิดร้ายก็จะสร้างมารขึ้นมาได้เช่นกัน แต่กับกรณีที่เป็นจิตของสองเทพฝาแฝดที่เต็มไปด้วยความรักนั้น


สวรรค์…ท่านต้องไม่เคยเห็นสิ่งนี้แน่


‘ข้าพยายามปลุกพวกเขาแล้วแต่ทำไม่ได้’


‘ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน’


‘ข้าจึงไปขอเข้าเฝ้าองค์มหาเทพโดยตรงเพื่อให้ท่านโปรดชี้แนะ’


‘แล้วท่านว่าเช่นไร’


‘…’  ศศิเงียบไป ก่อนจะอ้าปากออกไป  ‘อคิราห์นั้นตัดขาดสัมพันธ์กับข้าทางนี้ลงไปเกิดเป็นมนุษย์แล้ว หากไม่มีเขา เด็กสองคนนี้ก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นมาได้’


‘ศศิ’


‘ข้าจำต้องไปชดเชยให้เขา’ นั่นเท่ากับว่าศศิจำต้องแบ่งภาคลงไปเป็นมนุษย์และครองรักกับอีกฝ่ายให้ได้เช่นนั้นหรือ เมื่อจิตได้ผูกสัมพันธ์อีกครั้งหรือคลอดเด็กสักคนหนึ่งออกมา เทพเด็กที่เป็นเพียงการผูกดวงจิตถึงจะถือกำเนิดขึ้นด้วย กระต่ายขี้กลัวของสุริยะเทพ…จะกล้าหาญและกล้าเสียสละเช่นนั้นจริงๆหรือ


‘การแบ่งภาคไม่น่ากลัวจนเกินไปหรอก’


‘ข้าไม่ได้คิดจะแบ่งภาคแต่อย่างใด’ นั่นหมายความว่า ‘ข้าจะลงไปอยู่กับเขา’ ไม่ใช่ว่าศศินั้นขโมยหัวใจเขามาฝ่ายเดียวหรอก หัวใจของตนก็เช่นกัน ไม่รู้ว่าถูกทิ้งขว้างไว้ที่ไหน


‘แต่ว่า’


‘ที่ข้าขอร้องให้มาพบเพราะไว้ใจอยากจะฝากทุกสิ่งที่นี่ไว้เพื่อรอคอยผู้ดูแลคนถัดไปให้มา’


‘…’


‘ข้าไม่อาจจะอยู่บนสวรรค์ได้ หากหัวใจได้ทำหล่นหายบนโลกมนุษย์หรอกนะ’ ถึงจะรู้ตัวช้าและทำผิดพลาดลงไปมากมาย แต่สุดท้ายแล้วความรู้สึกคาใจก็ถูกทำให้กระจ่างชัดเสียที เทพแห่งโชคชะตานั้นยิ้มให้ด้วยเข้าใจในความต้องการ น่าเสียดายเหมือนกันที่จะเสียเพื่อนดีๆที่นี่ไป แต่ไม่เป็นไรหรอก บางทีสุริยะเทพกับจันทราเทพองค์ใหม่ก็อาจจะเป็นเพื่อนที่ดีให้กันได้ เทพแห่งโชคชะตานั้นหลับตาและประทานพรให้


…เมื่อบุตรและธิดาของพวกเจ้าพร้อมขึ้นเป็นสุริยะเทพและจันทราเทพองค์ใหม่เมื่อไหร่
ปานบนใบหน้าและเจ้าขนฟูผู้พิทักษ์จะหายไป เพื่อให้ทราบว่าภารกิจสวรรค์ได้เสร็จสิ้น
ยามนั้นให้ไปทำตามภารกิจหัวใจได้อย่างอิสระ
และหากไปเกิดแล้ว ขอให้ระลึกถึงความผิดพลาดที่ทำไปและแก้ไขใหม่ให้จงได้…
‘ขอให้เจ้าจงโชคดี’
.
.
.


“รวิวัลย์ กัษษากร!” อยู่ๆก็หนักที่อก เกิดอะไรขึ้นกัน แล้วเด็กทั้งสองคนนั้นอยู่ที่ไหน  “อื้อ!”  อึดอัด…อึดอัดเหลือเกิน


“คิก”


“อื้อ…เจ้าแสบหรือ”  ในที่สุดดวงตาทั้งสองข้างก็สามารถมองเห็นภาพข้างหน้า ที่เข้าใจว่าอะไรมาทับอยู่ที่อกนั้นไม่ใช่อะไรเลยหากแต่เป็นใครต่างหาก “เจ้าอ้วน อ้วนใหญ่แล้ว”  แล้วคลานมานอนทับกัน ช่างขี้แกล้งอะไรเช่นนี้


ไม่ต้องสืบเลยว่าเจ้าได้ใครมา!


“เดี๋ยวข้าก็ไล่ไปอยู่กับพ่อเจ้าเสียเลย จอมแสบ!”  ว่าแล้วก็จับเจ้าแสบมาฟัดพุงเล่น แต่หากไม่ได้เจ้าอ้วนนี่ก็ไม่รู้ว่าศศิจะติดอยู่ในความฝันที่เป็นจริงเป็นจังนั่นเมื่อไหร่


และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนควรจะกลับมาทำให้มันถูกต้องเสียที


เสียงหัวเราะปนเสียงกรีดร้องของเจ้าฉายนั้นบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวอารมณ์ดีแค่ไหน นอนอิ่มแล้ว เลยก่อกวนคนอื่นให้ลุกขึ้นมาเล่นด้วยกันแบบนี้ เกรงว่าศศิคงจะเลี้ยงคนเดียวต่อไปไม่ไหวจริงๆ


จำต้องหาคนมาเลี้ยงช่วยแล้ว!


ไม่ว่าฝันนั้นจะเป็นความจริงหรือแค่เรื่องที่หมกหมุ่นอยู่ในหัว แต่จริงอยู่ว่าตนนั้นแม้จะดูเก่งกาจแค่ไหน พอเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นเคยหรือคิดว่าไม่เหมาะสมก็มักจะยอมแพ้และไม่สู้เพื่อแย่งชิงความสุขที่แท้จริงมา เทพจันทราผู้นั้นก็คงจะคิดไว้ว่าอย่างที่เป็นมันดีอยู่แล้ว กับความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย กระทำการไปก็อาจจะให้ผลที่ไม่พอใจในภายหลังได้ ตลอดหลายพันปีที่บำเพ็ญเพียรโดยไร้ความรัก ไม่แปลกหรอกที่จะไม่กล้ามั่นใจในสิ่งที่ไม่รู้จักหรือคุ้นเคย ทว่าเมื่อเสียไป กลับต้องแลกทุกอย่างเพื่อตามแก้ไขในสิ่งที่พลาด


เช่นนี้แล้วหากมันซ้ำรอยขึ้นมาเล่า?


“ศศพินทุ์”  ถึงศศพินทุ์คนนั้น  “ท่านเลือกถูกแล้ว”  ที่ตามลงมาที่นี่ เพื่อได้พบเจอและครองรักกับคนๆนั้น หากเจ้าตัวยังเพิกเฉยต่อความต้องการที่แท้จริงและยังดื้อแพ่งอยู่บนนั้นต่อไป เกรงว่าตนก็คงไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกดีๆที่คนมากมายโดยเฉพาะชายผู้นั้นให้กัน แม้แต่ความรักก็คงไม่มีวันได้รู้ว่ามันช่างสวยงามและสร้างปาฏิหารย์จนก่อให้เกิดความกล้าหาญมากมาย และต่อจากนี้ศศพินทุ์คนนี้


ก็จะไม่ทิ้งเขาไว้ให้เผชิญกับปัญหาเพื่อความรักของเราอีกแล้ว!


☼ ☽


“ข้าหวังว่าเจ้าจะให้คำตอบที่ไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วนให้กัน”  ในฐานะท่านหมอที่เป็นที่รัก องค์ราชินีก็อยากจะให้โอกาสให้ได้คิดให้ดี แต่ในฐานะคนที่อยากให้มาเป็นลูกสะใภ้ ก็อยากจะเร่งเร้าเอาคำตอบและรวบรับไปเสียเลย


“ต้องขอประทานอภัยที่ทำให้พระองค์ต้องทรงรอ”  ศศิเองก็คิดมาดีแล้วเช่นกัน  “กระหม่อมนั้นใคร่อยากจะเรียนรู้ถึงสิ่งที่จะทำได้ ขอทรงโปรดกรุณาสั่งสอนคนโง่งมเช่นกระหม่อมด้วยเถิดพะยะค่ะ”  เมื่อได้ยินคนที่ทรงคาดหวังตอบกลับมาเช่นนั้น แววตาของพระนางก็เต็มไปด้วยความเอ็นดู


“ข้าจะสอนเจ้าให้หมดเอง”  ด้วยความเต็มพระทัย  “แต่หากเจ้าเจอสิ่งที่ยากเย็นจนเกินไป เป็นไปได้ไหมว่าอยากจะยอมแพ้”  เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นพระองค์จะไม่ยอมสั่งสอนกันหรือ ก็ไม่ใช่…ทรงถามไว้เพื่อจะรับมือต่างหาก ท่านหมอมีความเมตตาอันเปี่ยมล้นเหมาะจะเคียงบัลลังก์เป็นอย่างยิ่ง แต่กระนั้นเรื่องจุกจิกที่ต้องเผชิญก็อาจจะทำให้คนที่ลำบากลำบนมามากรับไม่ได้จนยอมแพ้ ต่อให้มั่นใจว่าถ้าเป็นศศิจะต้องทำได้ แต่ถ้าเจ้าตัวยอมแพ้ก็ยากเช่นกัน


พระองค์ควรเตรียมรับมือเด็กที่อยากหนีออกจากวังไว้ด้วย!


“โปรดทรงวางพระทัยเถิด”  ท่านหมอน้อยเอ่ยด้วยแววตามุ่งมั่น เพราะตนได้ตัดสินใจไว้แล้ว หากเป็นศศพินทุ์ก่อนเจออคิราห์ ก็ไม่แน่ว่าตนจะมั่นใจในตนเองที่จะผ่านสิ่งเหล่านั้นไปได้ แต่ตอนนี้ต่อให้มันหนักแค่ไหนก็ยอมแพ้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าศศพินทุ์เสียสละสิ่งล้ำค่าเพื่อมาไขว่คว้าสิ่งที่ตนคิดว่ามันคุ้มค่าหรอกหรือ


“เจ้าคิดดีแล้วใช่ไหม”


“พะยะค่ะ” ศศิรับคำ “กระหม่อมจะไม่ยอมแพ้ในตัวขององค์รัชทายาทเด็ดขาด”  เหมือนที่เขาไม่เคยยอมแพ้ในตัวกัน คอยดูเถิด


ต่อแต่นี้ไปศศิจะไม่ทิ้งให้เขาต้องอยู่ลำพัง…อีกต่อไปแล้ว!



TALK
ไม่รู้อธิบายไปเข้าใจหรือเปล่า สงสัยทิ้งคำถามไว้ในคอมเมนท์ได้นะคะ
จริงๆเรื่องนี้อยากจะชูให้เห็นความกลัวของศศิไม่ว่าจะเป็นตอนเป็นเทพหรือตอนเป็นคนในเรื่องของความไม่คู่ควร
คนบางคนอยู่ในเซฟโซนก็รู้สึกสบายใจ บางเรื่องมันก็ดูน่าลองแต่ก็กลัวว่าจะสู้ไม่ไหวก็เลยล้มเลิก
ในขณะเดียวกันพี่อาทิตย์คือคนจริงเสมอต้นเสมอปลาย โอ้อวยน้องตลอดไปและพุ่งชนกับทุกสิ่ง
อย่างไรก็ตามมันก็จะมีโมเมนท์ที่พี่เขาเหนื่อยมากจนขอพัก แต่เขาก็ลุยต่อไม่รอแล้วนะอยู่ดี
Facebook : https://www.facebook.com/skyloverstories/
Twitter : https://twitter.com/reallyuri
#อาทิตย์ศศิ







   













































ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1086
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
เจ้าแสบน่ารัก

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เป็นกำลังใจให้ศศินะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
 :pig4:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สู้ๆ นะ ศศิ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ไม่สงสัยค่ะ แต่งงนิดนึงตอนที่ประโยคต่อกัน
เลยเกือบแยกไม่ออก ตรงไหนคือตอนเทพ ตรงไหนคือตอนนี้

ศศิเข้มแข็งและเด็ดขาดนะ แต่ยังไม่เคยเอามาใช้จริงจัง
น่าเอ็นจริงเลยคนเรา ศศิคนดี และเอื้ออารีตลอดเวลา
จะเสียใจที่ไม่ได้รักษาให้ ทั้งที่ทำได้ แล้วยังทำเนียนด้วย
ตลกศศิ ไม่รู้จะเรียกเจ้าฉายว่ายังไงเลย รวบเป็นเจ้าอ้วนแสบไหม

องค์ราชินีคือที่สุดแล้วค่ะ เรียกว่าโชคดีที่เจอกันตอนนี้
เพราะบางอย่างต้องมีเวลาของมัน

อาทิตย์หายไปนาน กลับมาถึงกับงอแงเลยหรอศศิ
แล้วดูสิ ลูกยอมให้พ่ออุ้ม ไม่ได้แย่งสักนิดเลยนะ 55555

ความรักนี้ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความเสียสละ
เทพองค์น้อยฝาแฝดเลยต้องไปทำหน้าที่แทนพ่อแม่เทพ
และมาได้ถูกจังหวะเสมอ เพราะบอกว่าจะอยู่เคียงข้าง



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด