เป็นหนี้ ครั้งที่ 11 “เช็คนี้พวกนายสามารถเอาไปขึ้นเงินได้ทันที รับรองว่าไม่มีเด้งแน่นอน”
อัมรินทร์ยืนตั๋วแลกเงินราคาแพงให้กับนักทวงหนี้ท่าทางสุภาพในชุดสูทแบบที่เคยพบเห็นเหมือนเมื่อคราวก่อน วันนี้เป็นวันที่ครบกำหนดเวลาที่นักทวงหนี้จะมาเอาเงินตามที่ได้บอกไว้เมื่อครั้งก่อนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเงินกับโฉนดที่ดินบ้านหลังน้อยแสนรักของเปลวอรุณตามสัญญา
เมื่อเช็คถูกยื่นส่งมาให้ตรงหน้าแล้วหนึ่งในนักทวงหนี้ที่ถูกส่งมาก็เอื้อมมือออกไปเอารับเช็คที่ว่านั้นจากมือของชายหนุ่มไปตรวจสอบดู เจ้าตั๋วกระดาษสี่เหลียมผืนผ้าถูกจับพลิกหน้าพลิกหลังไปมาอยู่สองสามรอบเพื่อให้แน่ใจก่อนที่นักทวงหนี้คนนั้นจะเหลือบสายตาที่อยู่หลังเลนส์สีทึบของแว่นตากันแดดขึ้นมามองหน้าก่อนจะหันไปหานักทวงหนี้อีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังพยักหน้าเป็นอันรู้กันบ้างอย่างให้เพื่อนที่มาด้วยกันนำซองเอกสารที่ถือติดมือมาด้วยส่งให้กับคนที่ดูร้อนรนจนแทบจะนั่งไม่ติด
เปลวอรุณรีบคว้าซองที่ว่ามาไว้กันตัวแทบจะทันทีเมื่อมันถูกส่งมาให้ตรงหน้าแล้วจัดการเปิดซองเอาสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาตรวจดูความสมบูรณ์จนมั่นใจแล้วว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ด้านในคือสิ่งที่ตนรักและมันก็ยังอยู่ดี รอยยิ้มดีใจฉีกกว้างเต็มใบหน้าสวยพร้อมกับเอามันมากอดไว้แนบอกอย่างหวงแหนซึ่งมันก็พลอยทำให้คนที่แอบมองอยู่ใกล้ๆอย่างอัมรินทร์และลูกตาลเผลอยิ้มตามรอยยิ้มนั้นไปด้วยอย่างเสียไม่ได้
มันนานแค่ไหนกันแล้วนะที่รอยยิ้มที่ว่าไม่ได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเปลวอรุณ...
อาจเป็นเมื่ออาทิตย์ก่อน สองอาทิตย์ก่อน หรืออาจไม่เคยมีใครที่เห็นมันเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง...
อัมรินทร์ยกยิ้มมุมปากก่อนจะละสายตาจากคนข้างกายไปยังนักทวงหนี้ทั้งสองที่หย่งฟางส่งมาอีกครั้งพร้อมกับปรับสีหน้าของตนให้ดูจริงจังมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“แล้วยังมีเหลืออะไรอีกไหม พวกดอกเบี้ยอะไรพวกนี้” ลูกตาลที่ยืนกอดอกดูเหตุการณ์ภายในห้องรับแขกเอ่ยทักขึ้นมาก่อนที่ชายหนุ่มจะได้ถามอะไร
“ไม่แล้วครับ ตอนนี้เราได้เงินครบตามจำนวนที่ต้องการแล้ว” นักทวงหนี้คนแรกพูด
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องหนี้ที่พิมพาทำเอาไว้ก็คือว่าหมดหมดแล้วใช่ไหม” อัมรินทร์ถามย้ำขึ้นเพื่อให้เปลวอรุณหันกลับมาสนใจสิ่งที่ยังอยู่ตรงหน้า
“ครับ”
นักทวงหนี้คนเดินตอบรับแน่นอนว่านั้นยิ่งทำให้รอยยิ้มของเปลวอรุณกว้างขึ้นและดูผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
การชำระหนี้และส่งคืนสิ่งที่ใช้ในการประกันชำระหนี้เสร็จสิ้นพร้อมกับตราประทับของคาสิโนที่ถูกประทับไว้เหนือลายเซ็นของเปลวอรุณพื่อแสดงให้รู้ว่าหนี้จำนวนที่ว่าถูกชำระเรียบร้อยแล้วก่อนถูกเก็บเข้าแฟ้มเอกสารสีดำที่นักทวงหนี้นำติดมาด้วยเป็นอย่างสุดท้ายก่อนที่นักทวงหนี้ทั้งสองจะขอตัวกลับ
และด้วยความเป็นเจ้าบ้านที่ดีเปลวอรุณจึงลุกเดินไปส่งแขกทั้งสองที่หน้าประตูรั้วพร้อมด้วยอัมรินทร์ที่เดินออกมาเป็นเพื่อน ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างๆเปลวอรุณตลอดเวลารอจนกระทั้งเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นพร้อมที่จะเคลื่อนตัวออกเขาถึงได้เอ่ยปากขึ้นมา
“สบายใจขึ้นแล้วสินะ”
เปลวอรุณละสายตาจากรถยนต์คันใหญ่ที่เพิ่งแล่นผ่านรั้วบ้านมามองเจ้าของน้ำเสียงทุ่มชวนฟังที่ยืนอยู่ข้างกายด้วยทาทีสบายๆ รอยยิ้มหวานอ่อนคลี่ออกมาเล็กน้อยแทนคำตอบส่งกลับไปให้คนถาม
ถึงจะวางใจได้แล้วว่าบ้านของเขาปลอดภัยแต่เงินที่ไถ่มันกลับมามันไม่ใช่เงินของเขา....
เพราะความช่วยเหลือจากอัมรินทร์ที่หยิบยื่นมาให้ทำให้เขาสามารถหาเงินมาได้ทันเวลาก่อนที่หนี้จะถึงกำหนดและเขาก็ต้องหาเงินดังกล่าวมาใช้คืนอัมรินทร์
“ผมต้องขอบคุณคุณมาเลยนะครับคุณอัมรินทร์ ถ้าไม่ได้คุณผมคงไม่รู้จะหาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหนได้ทัน” คนพูดยิ้มขื่น เมื่อนึกไม่ถึงใครบางคนที่ตัดหางเขาอย่างเลือดเย็น
“อย่าคิดอย่างนั้นสิ” อัมรินทร์ยิ้ม “ฉันเต็มใจช่วย”
“แต่เงินขนาดนั้นยังไงผมก็จะพยายามหามาคืนคุณให้ได้ครับ คุณอัมรินทร์จะหักเงินเดือนผมออกไปด้วยก็ได้ผมยินดี” เปลวอรุณเสนอออกมาอย่างยินดี
จำนวนเงินไม่ใช่น้อยลำพังตัวเขาเองชาตินี้ยังไม่รู้เลยว่าจะหามาคืนอีกคนได้ยังไงหมดหรือบางทีเขาคงต้องหางานทำเพิ่ม...
“แต่เงินเยอะขนาดนั้นหักเงินเธอทุกเดือนเธอจะเหลือเงินที่ไหนใช่จ่ายกัน ไหนจะค่าเล่าเรียนของลูกตาลอีก” คนเจ้าเล่ห์ทำหน้าเห็นใจยกเอาเรื่องอนาคตของเด็กหนุ่มวัยอุดมศึกษาเข้ามาเป็นข้ออ้างเพราะรู้ดีว่ายังไงเสียเปลวอรุณก็ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการเรียนของลูกชายบุญธรรมคนนี้อยู่มาก
“ผมพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง” เปลวอรุณตอบกลับอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร
“เงินเก็บก็คือเงินเก็บสิเปลว เอาไว้ใช้ฉุกเฉิน” อีกคนแสร้งทำเป็นหวังดีเตือนด้วยความเป็นห่วงแม้ว่ามันจะมาจากใจจริงของคนพูดก็เถอะ
“แต่..”
“เอาน่า ค่อยๆคืนก็ได้”
อัมรินทร์ทำน้ำเสียงให้ดูใจดีที่สุดให้เข้ากับรู้ประโยคที่แสนจะเข้าอกเข้าใจอีกคนเป็นอย่างมากและแน่นอนว่าการที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือยามยากลำบากที่สุดย่อมซื้อความไว้ใจของคนสิ้นทางได้อย่างง่ายดาย
ไม่เว้นแม้แต่คนอย่างเปลวอรุณ...
“แต่ถ้ามีอะไรที่พอจะให้ผมทำเพื่อเป็นการจ่ายหนี้พวกนั้นคืนคุณได้ บอกผมได้เลยนะครับผมพร้อมทำทุกอย่าง” อัมรินทร์กรีดยิ้มร้าย
“ทุกอย่างเลยหรอ” เขาแกล้งทำเสียงเย้าถามบ่นกั้นขำเพื่อลองเชิง
“ครับ ขอแค่คุณบอกมาก็พอถ้าผมทำได้ผมทำให้คุณได้ทุกอย่างเลย” และเปลวอรุณก็ตอบกลับอย่างใส่ซื่ออย่างไม่รู้เลยว่าคำพูดที่ออกมาจะทำให้ตัวเองลำบากในอีกช้านี้
“พูดแล้วนะ”
อัมรินทร์ถามอีกครั้งเพื่อยืนยันคำมั่น
“ครับ”
และเปลวอรุณก็ตอบรับคำมั่นที่ว่านั้นจากใจ
ความยินดีปรากฏชัดเต็มแววตาของอัมรินทร์แม้ว่าตอนนี้เปลวอรุณอาจตอบรับให้คำมั่นอย่างเต็มใจด้วยความปิติแต่อีกไม่นานเรื่องที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้หลังม่านน้ำใจถูกแหวกออกและเขาเองก็คิดที่จะปิดบังเรื่องที่ว่านี้กับเปลวอรุณนานนักหรอกเพราะเขาเองก็เชื่อว่าไม่ว่าความลับไม่มีบนโลกและเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอย่างเปลวอรุณจะรู้สึกผิดหวังกับคนอย่างเขามากน้อยขนาดไหน...?
“แล้วถ้าฉันจะขอเลยละจะได้ไหม” คำถามที่แลดูมีเล่ห์นัยของอัมรินทร์ดังขึ้นงพร้อมใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้เล็กน้อย
“คุณอัมรินทร์อยากให้ผมทำอะไรหรอครับ” เปลวอรุณถามกลับอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรว่าควรจะรู้คำตอบดีหรือไม่พลางย่นคอขยับตัวหนีอีกคน
อัมรินทร์ไม่คิดตอบคำถามอะไรนอกจากยิ้มที่เขามั่นใจว่าใครเห็นก็คงจะต้องหลงพร้อมกับเลื่อนใบหน้าเข้าหาอีกคนใกล้ขึ้นเรื่อยๆแม้เปลวอรุณจะหลบหน้าหนีก็ตาม
“ถ้ายังไม่กลับก็เข้ามาในบ้านก่อนไหม ข้างนอกมันร้อน”
แต่เหมือนว่าอัมรินทร์จะเผลอลืมเรื่องสำคัญอีกสักข้อสองข้อไปว่าตอนนี้พวกเขายังยืนกันอยู่ที่หน้าบ้านตรงประตูรั้วที่แน่นอนว่าต้องมีคนสันจรไปมาหรือเพื่อนบ้านที่ออกมารดน้ำต้นไม้สามารถหันมาเห็นได้ว่าพวกเขากำลังที่จะทำอะไรกันและที่สำคัญที่สุดคือเขาลืมไปว่าลูกตาลยังอยู่ในบ้าน
แน่นอนว่าเสียงเข้มที่ไม่คิดจริงจังอะไรของเด็กหนุ่มนั้นทำเอาเปลวอรุณที่เผลอปล่อยตัวไปครู่หนึ่งสะดุ้งตกใจกับจนแอบคิดไปไกลต่อจากนั้นว่าหากลูกตาลไม่ทักขึ่นมมามันจะเกิดอะไรขึ้นแม้จะไม่มีใครผ่านไปมาให้หวั่นใจว่าจะมาเห็นภาพเมื่อครู่แต่ความกระด้างอายที่มีอยู่มันก็มากพอที่จะทำใบหน้าขาวของเขาก็รู้สึกเห่อร้อนแดงเป็นลูกตำลึงสุกก้มหน้าหลบสายตาเด็กหนุ่มพลิกายแล้วรีบก้างฉับๆเข้าบ้านไปทันทีไม่หันมองกลับผิดกับอีกคนที่ดูจะไม่สะทกสะท้านอะไรกับสิ่งที่จะทำเมื่อครู่ที่เอาแต่มองตามแผ่นหลังของเขาไปอย่างเศร้าเสียดายแต่พอร่างลสูงสมส่วนของเด็กหนุ่มเข้ามาอยู่ในระดับการมองอัมรินทร์เท่านั้นสายตาที่ว่าก็เปลี่ยนเป็นความไม่พอใจพร้อมทั้งยังทำเสียงจิ๊จ๊ะใส่อย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไร แต่มีหรือที่ลูกตาลจะสำนึกใดๆ
ไม่เลย...
นอกจากจะไม่สำนึกใดๆหรือรู้สึกผิดที่เข้ามาขัดจังหวะเวลาผู้ใหญ่คุยกันแล้วเด็กหนุ่มยังทำเป็นลอยหน้าลอยตาเมินเฉยต่อสายตาตำหนิของคนที่ยืนอยู่แถมยังยิ้มสะใจที่ได้ขัดจังหวะสำคัญที่ว่านั้นใส่ให้คนมองเจ็บใจเล่นอีกด้วย
“อะไรลุง มองแบบนี้คือ?” ลูกตาลหันมาถามคล้ายจะเย้ย
“แกตั้งใจ”
“หื้อ ตั้งใจ? ตั้งใจอะไรกันลุง”
“อย่างมาทำไขสือไอ้ตาล แกตั้งใจเข้ามาขัดจังหวะฉันกับเปลวก็เห็นๆอยู่” อัมรินทร์สะบัดเสียงใส่
“ผมเปล่า” ลูกตาลทำเสียงสูง
“หรอ” เขาหรี่ตามองอย่างคิดจับผิด
“เออสิ ผมเป็นเด็กดีจะตาย”
อัมรินทร์แบะปากให้กับคำสรรเสริญตัวเองที่ว่านั้น
“ แต่ว่านะลุง”
“อะไร”
“ถึงลุงจะไม่ค่อยมียางอายเท่าไรถึงได้อยากจะทำอะไรมันกลางวันแสกๆแถมยังทำมันหน้าบ้านแบบนี้ด้วยแต่ผมอยากให้ลุงเห็นใจแม่ผมหน่อย แม่เปลวเขาหน้าบางไม่เหมือนลุงหรอกนะ" ลูกตาลพูดเหมือนปลงใจกับนิสัยที่ว่านั้น แต่ทว่าเนื้อความที่ออกมาจากปากของเด็กหนุ่มนั้นทำเอาอัมรินทร์รู้สึกทะแม่งๆ
“นี้หลอกด่า”
“เปล่า” ลูกตาลทำเสียงสูงก่อนหันหลังกลับเตรียมเดินเข้าบ้าน แต่เสียงของอัมรินทร์กลับดังแทรกขึ้นมาก่อน
“ไปเก็บของสะให้เรียบร้อยละ”
ลูกตาลหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวกลับแล้วหันกายกลับมามองหน้าคนพูดอย่างสงสัย อัมรินทร์ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างไม่คิดตอบหรือขยายความที่ตนนพูดแล้วเดินผ่านเด็กหนุ่มเข้าบ้านไปอย่างสบายอารมณ์
หลังจากเดินหนีความเขินอายเข้ามาในบ้านแล้วมุ่งตรงขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองแล้ว เปลวอรุณรีบยกมือขึ้นทาบแก้มทั้งสองข้างของตัวเองไปมาเหมือนคนที่พยายามที่จะวัดไข้ให้ตัวเองดูว่าตอนนี้มีไข้หรือไม่ แต่สำหรับเขาตอนนี้คงบอกได้แค่ว่าหน้าของเขานั้นร้อนจริงจนรู้สึกได้แต่มันไม่ได้มาจากพิษไข้อะไรนั้นเลยแม้แต่น้อย
แต่เป็นเพราะ....
จะเพราะอะไรก็ชั่ง เปลวอรุณรีบสะบัดหัวไร้ความคิดฟุ้งซ่านนั้นออกไปจากหัวพยายามอย่างยิ่งที่จะสั่งตัวเองไม่ให้หันมองดูหน้าของตัวในกระจกว่าตอนนี้มันมีสีเป็นเช่นไร
ไม่งั้นหน้าของเขาคงระเบิดด้วยความอาย...
คนตัวขาวสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเดินตรงไปยังชั้นวางของข้างโต๊ะทำงานลิ้นชักตู้เก็บของข้างโต๊ะทำงานในห้องของเขาถูกเปิดออกซองเอกสารที่เก็บโฉนดที่ดินที่เขาเพิ่งได้กลับคืนมาถูกว่างลงอย่างเบามือลงด้านในข้างๆซากของโทรศัพท์มือถือเครื่องเดิมที่ถูกเขาปาทิ้งไปเมื่อหลายวันก่อนตอนนี้ทั้งเศษซากกระจกหรือกรอบตัวเครื่องที่แตกถูกจับใส่ในถุงซิปล็อคพร้อมกับซิมการ์ดของมันที่เปลวอรุณถือโอกาสนี้เปลี่ยนเบอร์มือถือไปในตัวเพราะตนไม่คิดจะแตะต้องเบอร์นี้อีกและไม่คิดที่จะแตะต้องมันอีกหรือคิดจะนำมันมาใส่กับโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่อัมรินทร์พาไปซื้อตอนออกจากโรงพยาบาล
นัยน์ตาสีเข้มกลับมาฉายแววเรียบนิ่งอย่างยากที่จะอ่านออกว่าตอนนี้คนที่มองมองมันด้วยแววตาของความรู้สึกแบบใดยามที่จ้องมองเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่แตกละเอียดตรงหน้า
เปลวอรุณจ้องมันอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะเลื่อนลิ้นชักกลับเข้าที่เดิมแล้วล็อคกุญแจด้วยความเคยชินยามที่มีพิมพาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ในบ้านการลงกรล็อคกุญแจจึงเป็นอะไรที่เคยชินมือของเปลวอรุณไปเสียทุกครั้งแต่การปิดล็อคครั้งนี้คงจะต่างเหตุผลออกไปจากทุกครั้งที่เขาทำเพราะตอนนี้สามารถวางใจได้แล้วว่าจะไม่มีใครเข้ามาขโมยของสำคัญของเขาได้อีก
แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะล็อคบางสิ่งเอาไว้แทน...
ไม่ใช่ว่าเขาโกรธที่ทางนั้นปฏิเสธความช่วยเหลือ แต่เพราะคำพูดบาดหัวใจที่ทำราวกับว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้นเขารับไม่ได้ ยิ่งมันออกมาจากปากของคนที่เขายังเคารพและรักอย่างนั้นด้วยแล้ว
เจ็บ ผิดหวัง น้อยใจ ....
ความรู้สึกมันผสมกันไปหมดแต่ที่แน่ๆเลยเขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจของเขาที่ทำให้เขาเลือกที่จะไม่หยิบเอาซิมการ์ดนั้นออกมาใช้อีก
“เป็นอะไรหรือเปล่า” อัมรินทร์เอ่ยขึ้นมาทามกลางความเงียบของห้อง เรียกรั้งสติของเจ้าของชื่อที่นั่งซึมอยู่บนเก้าอี้โต๊ะทำงานตรงมุมห้อง
เปลวอรุณหันหน้ามามองก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆแทนการปฏิเสธ
“แล้วทำไมทำหน้าอย่างนั้น” ชายหนุ่มถามอีกครั้ง
“เรื่องไร้สาระนะครับ” เขาตอบพร้อมกับยืนขึ้นเต็มความสูง “คุณอัมรินทร์มีอะไรหรือเปล่าครับ” ก่อนจะเป็นฝ่ายถามกลับไปบ้าง
“พอดีฉันมีเรื่องจะคุยกับเปลวหน่อยนะ” อัมรินทร์หรี่ตามมองอีกคนก่อนแล้วพูดออกมา
“เรื่องอะไรหรอครับ ลงไปคุยกันข้างล่างดีไหมครับ”
“คุยกันบนนี้แหละ จะได้ไม่เสียเวลา”
“เสียเวลา? เสียเวลาอะไรหรอครับ” เปลวอรุณถามอย่างนึกฉงน
“ไม่มีอะไรมากหรอก คุยไปเก็บของไปแล้วกันเนอะ” อัมรินทร์ยิ้มแย้ม แต่นั้นไม่ได้ทำให้เปลวอรุณรู้สึกเบาใจได้เลยสักนิดเดียวตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำไป
“เดี๋ยวก่อนนะครับ หมายความว่ายังไง แล้วทำไมต้องเก็บด้วย” เปลวอรุณรัวคำถามใส่อย่างไม่เข้าใจ
อัมรินทร์ส่งยิ้มพิมพ์ใจกลับพร้อมสาวเท้าเข้ามาใกล้จนอยู่ในระยะที่ท่อนแขนยาวแข็งแรงของตนสามารถตวัดรั้งให้คนตัวขาวเข้ากอดได้ง่าย คางมนเกยอยู่ที่ลานไหล่พร้อมกระชับแขนที่กอดให้แน่นขึ้นก่อนจะกดจูบเบาๆที่หัวไหล่ของเปลวอรุณ
“ไปอยู่กันฉันนะเปลว”
!!
ม่านตาสีอ่อนเบิกขึ้นอย่างตกใจกับคำที่ออกมาจากริมฝีปากของอัมรินทร์ เปลวอรุณรีบขื่นผละตัวออกจากแผ่นอกกว้างของอีกคนทันที
“หมายความว่ายังไงกันครับ”
ทำไมต้องไปอยู่ด้วยกัน...? “ก็เธอพูดเองไม่ใช่หรอว่าไม่ว่าฉันจะขอให้ทำอะไรเธอก็พร้อมที่จะทำให้ฉันทุกอย่าง” อัมรินทร์ยิ้มกริมโอบรอบช่วงเอวของอีกคนไว้หลวมๆ ขณะพูดลื้อฟื้นสิ่งที่เคยออกมาจากปากของเปลวอรุณก่อนหน้า
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่ไว้ใจเปลวนะ” เขาว่าดัก
“แล้วทำไม” ถ้าไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจว่าเขาจะสามารหาเงินมาจ่ายได้แล้วทำไมต้องพาเขาไปอยู่ด้วยด้วยละ....
“นั้นสิ” อัมรินทร์ทำหน้าคิด
“คุณอัมรินทร์” เปลวอรุณขึ้นเสียงแต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้คนที่ถูกเอ็ดหุบยิ้มแล้วหันมาจริงจังกับบทสนทนาที่ว่าเลยซ้ำยังรั้งตัวของเขากลับไปกอดเช่นเดิมอีกด้วย
“จริงๆแล้วเงินที่ฉันออกให้เปลวไปก่อนหน้ามันเป็นเงินที่ฉันจะเอาไว้สำหรับการเตรียมงานเปิดตัวเครื่องเพชรชุดใหม่ของซีซั่นนี้” อัมรินทร์ว่าอย่างเป็นเรื่องเล็กๆไร้สิ่งน่าสำคัญใดๆ แต่ไม่ใช่กับเปลวอรุณ ก็แน่ละมันเป็นเรื่องโกหกนิ...
“คุณว่าอะไรนะ” ครั้งนี้เปลวอรุณใช้แรงทั้งหมดผลักอกอัมรินทร์ออกอย่างแรงด้วยสายตาที่แทบไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มจะเป็นเรื่องจริงอย่างที่ได้ยิน
“ก็ตามนั้นไง” อัมรินทร์ตอบท่าทีสบายๆไม่นึกโกรธที่ถูกผลักจนเซถอยหลัง
“คุณทำแบบนี้ได้ยังไง นั้นมันเงินบริษัทนะ” เปลวอรุณตวาดกลับเสียงดังเหมือนคนสติแตก
เขาทำงานมานาน นานพอที่จะรู้ว่าเงินบริษัทถ้าหากถูกเอามาใช้ในเรื่องส่วนตัวเมื่อไรมันก็ถือเป็นความผิดที่ถึงขั้นไล่ออกได้หรือไม่ก็ต้องหาเงินมาใช้แทน แต่โปรแจคครั้งนี้เป็นการทำงานร่วมกันนักออกแบบเครื่องประดับอัญมณีระดับโลกอย่างลิลดาด้วยแบบนี้งานย่อมไม่ใช่เล็กๆ นั้นหมายถึงเม็ดเงินจำนวนไม่น้อยที่จะถูกใช้สำหรับงานนี้
อัมรินทร์คิดอะไรอยู่... “พอดีฉันเงินในบัญชีของฉันมันถูกระงับไว้ชั่วคราวนะ ฉันเลยออกเช็คในนามของบริษัทให้ไปแทนไปก่อนกะว่าพอเงินสามารถถอดได้เมื่อไรค่อยเอาออกมาโปะน่ะ”
“แต่เงินนั้นมันต้องใช้สำหรับเรื่องงานนะคุณอัมรินทร์ ทำไมทำแบบนี้” เปลวอรุณหวีดเสียงสูงตำหนิ ตอนนี้เขาทั้งกำลังสติแตกและโกรธที่เจ้านายของเขาทำราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่นๆ
“เพราะการจะได้ตัวเธอมามันไม่ใช่เรื่องง่ายไง”
“อะไรนะ” เขาชะงักแล้วถามซ้ำ
“ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน เปลวเองก็ไม่เคยที่จะไว้ใจฉัน” อัมรินทร์พูดจี้จุดอีกคนเสียงเรียบจ้องมองคนที่ยืนนิ่งไม่วางตา
เปลวอรุณไม่เคยไว้ใจอัมรินทร์เลย ไม่แม้แต่จะคิด เชื่อสิถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอัมรินทร์คงไม่มีทางที่จะได้รับความไว้ใจจากเปลวอรุณแน่...
“และฉันเชื่อว่าคนฉลาดๆอย่างเปลวคงดูออกว่าฉันต้องการอะไร” อัมรินทร์ย้ำความต้องการของตนเองที่อีกคนรู้อยู่เต็มอกให้ชัดขึ้นพร้อมสาวเท้าเข้าใกล้จนเปลวอรุณที่ถอยหนีจนแผ่นหลังติดกำแพงห้อง
“อย่าบอกนะว่าทั้งหมดนี้คือแผนของคุณ” น้ำเสียงสั่นที่เดาว่าน่าจะเป็นเพราะความโกรธดังออกมาตามไรฟัน
“แล้วถ้าฉันตอบว่า ใช่ ละ” คนทำยอมรับหน้านิ่ง
เพี๊ยะ! “คุณทำแบบนี้ทำไม!”
ไม่ฝ่ามือที่ตบเข้าที่เสี่ยวหน้าคมฉากใหญ่ที่ทำให้อัมรินทร์รู้สึกเจ็บแต่น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวังนั้นต่างหากที่บาดลึกลงในความรู้สึกของเขา
ก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องโดนแบบนี้...
แต่...
เจ็บชะมัด...
“ทำไม”
“...”
“ทั้งๆที่ผมเชื่อใจไว้ใจคุณแล้ว ทำไมคุณถึงกับผมแบบนี้ ทำไม”
อาศัยช่วงที่เขาอ่อนแอที่สุด มาทำให้เขาเชื่อใจและไว้ใจเพื่อที่จะทำกับเขาแบบนี้หรอ....
น้ำตาสีใสไหลนองหน้ายิ่งกระตุกหัวใจของอัมรินทร์ให้ล่วงหล่นมากกว่าเดิม รอยยิ้มหยอกเย้าที่ตอนแรกยังประดับอยู่บนใบหน้ามาตั้งแต่แรกเดินเข้ามาในห้องหายวับไปหมดสิ้นเขายอมที่จะยืนอยู่เฉยๆอยู่ตรงนั้น ยืนนิ่งให้เปลวอรุณคว้าเสื้อของเขามากำแน่นแล้วเขย่าไปมายอมให้อีกคนตะคอกเสียงใส่
ยอมให้ทำ แต่เขาคงไม่หยุด...
“เพราะฉันรอเปลวมานานพอแล้ว”
มือหนาเอื้อมขึ้นมาจับข้อมือทั้งสองข้างของคนตรงหน้าให้ปล่อยเสื้อของเขาออก นัยน์ตานิ่งเรียบจ้องมองแววตาสั่นๆที่คล้ายจะตัดพ้อเขา
“...”
“สามปีที่ฉันรอเปลวมามันนานพอแล้วและฉันจะไม่รออีกแล้ว ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลหรือเพราะอะไรก็ตามฉันจะทำให้เปลวเป็นของฉันเหมือนอย่างที่ฉันกำลังจะทำอยู่ตอนนี้”
“...”
“และเปลวก็เป็นคนพูดเองว่าจะยอมทำตามที่ฉันพูดทุกอย่างไม่ใช่หรอ นี้ไงฉันกำลังจะบอกให้ฟังนี้ไง”
“ไม่!” เปลวอรุณปฏิเสธเสียงลั่น พยายามบิดข้อมือออกจากมือของอีกคนด้วยแต่ยิ่งบิดหนีอัมรินทร์ก็ยิ่งเพิ่มแรงให้จับแน่นขึ้นจนเริ่มแดง
“หรือเปลวมีเงินมาคืนฉันทัน”
!
“เปลวก็รู้นิว่าพองานมันเริ่มแล้ว เงินมันต้องหมุนต้องจ่ายเธอมีพอจะจ่ายคืนฉันทันหรอ” ไม่ได้อยากจะเหยียบซ้ำแต่ถ้าไม่ขยี้เขาคงไม่ได้สิ่งที่ต้องการ
“แต่..”
“บ้านของเธอคือสิ่งที่ฉันจะขอ”
“อะไรนะ”
“ถ้าเธอเอาเงินมาคืนไม่ทัน บ้านของเธอจะกลายเป็นเงินที่ฉันจะเอามาจ่ายให้กับพนักงานและคนงานต่างๆ”
“คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะคุณอัมรินทร์ ผมไม่ยอม” เปลวอรุณว่าเสียงกร้าว
“งั้นก็ยอมเป็นของฉันสิเปลว” คำเสนอที่ออกมาทำเอาคนฟังถึงกับชะงักค้าง ใครจะคิดกันละว่าอัมรินทร์จะมาไม้นี้
“ไหนๆนายก็ชอบบ่นฉันเรื่องเปลี่ยนคู่นอนไม่ซ้ำหน้าอยู่แล้วนายก็มาทำหน้าที่นี้ด้วยเป็นไง แค่นายยอมเป็นของฉันบ้านนายก็ยังปลอดภัย แถมเงินค่าหนี้ฉันก็ไม่เร่งรัดค่อยๆจ่ายเหมือนที่นายเสนอมาเผลอๆฉันอาจยกหนี้ให้เลยก็ได้” อัมรินทร์ว่าเหมือนใจดี
แต่นั้นไม่ใช่เลย...
ข้อเสนอที่ดูจะเป็นความหวังดีสุดท้ายมันก็แค่ข้อเสนอที่บีบให้เขายอมที่จะตบปากรับคำตามความต้องการของอีกคนมันก็เท่านั้น
เขาเสียรู้อัมรินทร์เข้าให้แล้ว...
“คุณไม่ควรทำแบบนี้คุณอัมรินทร์ คุณไม่น่าทำ” เปลวอรุณว่าเสียงสั่นไม่แม้จะเงยหน้าขึ้นมามองคนตรงหน้าแม้แต่น้อย
เพราะมันทำให้ผมผิดหวัง...
“ไม่ ฉันควรทำมันนานแล้วต่างหาก” อัมรินทร์ส่วน
“คุณมันเจ้าเล่ห์” เปลวอรุณกล่าวหา
“ฉันยอมเป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์ถ้ามันสามารถทำให้ฉันสามารถกินหนูน้อยหมวกแดงอย่างเธอเข้าไปได้ทั้งตัว” เขาว่าพลางเชยคางหนูน้อยหมวกแดงตรงหน้าขึ้นมาสบตา
“ไปล้างหน้าดีกว่า เปลวไม่เหมาะกับน้ำตาหรอกเชื่อฉันสิ”
ไม่ใช่ว่าไม่เหมาะหรอก...
สำหรับเปลวอรุณไม่ว่าจะยิ้มหรือหัวเราะเบาๆอย่างที่ชอบทำหรือยามที่ชอบตีหน้านิ่งไร้ความรู้สึกหรือแม้แต่ตอนนี้ที่ใบหน้าขาวเปื้อนไปด้วยคาบน้ำตาเขาก็มันว่าเหมาะกับเปลวอรุณอยู่ดี แต่เขาแต่ไม่อยากเห็นใบหน้าแบบนี้ของอีกคนมากกว่า
มือที่เชยคางอีกคนเลื่อยลงมาเป็นโอบที่ไหล่ออกแรงเล็กน้อยเพื่อดันให้อีกคนยอมเดินตามไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล เพราะเปลวอรุณดูจะเหมือนหมดอาลัยไม่แม้จะคิดขยับตัวหรือทำอะไรเอาแต่ยืนนิ่งอยู่หน้าอ่างล้างหน้าอัมรินทร์จึงเป็นฝ่ายที่เปิดก๊อกน้ำน้ำผ้าที่อยู่ไม่ไกลชุบแล้วเช็ดที่หน้าของเปลวอรุณแทนโดยไม่คิดปริปาก
และตั้งแต่ตอนนั้นเปลวอรุณก็ไม่เปิดปากพูดกับอัมรินทร์อีกเลยสักคำเดียว...
จะบอกว่าโกรธก็คงใช่แต่มันก็เจือปนไปด้วยความผิดหวัง เปลวอรุณยอมรับอยู่ลึกๆว่าตอนนี้เขาเองก็เปิดใจให้อัมรินทร์มาพอสมควรเลยกานเป็นว่านอกจากความโกรธแล้วเขาจึงรู้สึกผิดหวังกับการกระทำที่อีกคนคิดฉวยโอกาสทำให้เข้าไว้ใจแล้วตลบหลังกันแบบนี้
ทำไมใครต่อใครถึงเอาความเชื่อใจของเขาที่มองให้มาทำร้ายจิตใจของเขาแบบนี้ด้วย...
เปลวอรุณคิดอย่างตัดพ้อน้อยใจตัวเองจ้องมองเพดาห้องนอนผ่านความมืดมิดของเวลากลางคืน อัมรินทร์กลับไปแล้วแต่อีกไม่นานก็จะกลับมาใหม่กลับมารับเขากับลูกไปอยู่ด้วยที่บ้านของอีกฝ่ายข้าวของที่จำเป็นบางส่วนของเขาถูกเก็บใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่โดยลูกตาลเพราะตัวเขาเองไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรสักอย่างเลยในตอนนี้ ทั้งๆที่เขาเพิ่งได้บ้านกลับคืนมายังไม่ทันได้ดีใจหลับเต็มตาเขาก็ต้องกลับมานอนคิดมากอีก
ก็ได้แต่หวังว่าเรื่องร้ายๆมันจะผ่านไปจากชีวิตเขาเร็วๆก็เท่านั้น....
______________________________________________________________________________
แบบนี้เขาเรียกความพิมพาไม่ทันหายความอัมรินทร์ก็เข้ามาแทรก เอ๊ย ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก หรือเปล่า
ตอนนี้เปลวรู้แล้วว่าสิ่งแอบแฝงของอัมรินทร์คืออะไร
มาลุ้นกันต่อดีกว่าเปลวสิรู้เมื่อไรว่าทั้งนี้เป็นแผนของอิหนูอันอัน
บอกไว้ก่อนเลยว่าเส้นทางรักของหนูอันอันไม่ราบเรียบแน่นอน!!