ลมหายใจแห่งผืนทราย
บทที่ 14
แยกกับแอนนิสหลังจากที่สรุปข่าวและส่งไปให้สำนักข่าวเรียบร้อยแล้ววิกเตอร์จึงเดินทางมายังสถานทูตอังกฤษที่สมิธและ
รำไพพรรณพักอยู่ที่นี่ เขาเป็นห่วงความรู้สึกของทั้งสองคนเมื่อทั้งคู่กังวลกับความปลอดภัยของกวินท์ แต่เมื่อมาถึงวิกเตอร์ก็พบว่ามีใคร
บางคนนั่งพูดคุยกับบิดามารดาของกวินท์อยู่ก่อนแล้ว
“อ้าว วิกเตอร์”
รำไพพรรณเอ่ยทักขึ้นมา ทำให้บุรุษที่อยู่ในชุดสูทเรียบหรูหากแต่พันศีรษะด้วยผืนผ้าสีขาวและมีเชือกถักสีดำคาดทับผ้า
คลุมศีรษะไว้หันมามองเขา วิกเตอร์แปลกใจเมื่อเห็นว่าอาคันตุกะของสามีภรรยาแอนเดอร์สันคือคาลีล เลขานุการของกษัตริย์ราชิด
ดวงตาของคาลีลปราศจากอารมณ์ใดแสดงออกให้เห็นราวกับเป็นหุ่นยนต์ไร้ความรู้สึก วิกเตอร์รู้สึกไม่ถูกชะตาเลยสักนิด เขา
มองคาลีลอย่างไม่ไว้ใจพลางเหยียดยิ้มขณะก้าวไปนั่งบนเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งของชุดรับแขกในบ้านพักของเจ้าหน้าที่สถานทูต
“ไม่นึกว่าจะพบคนใหญ่คนโตที่นี่ งานคุณยุ่งมากไม่ใช่หรือมิสเตอร์มาอัซ แล้วทำไมสละเวลาอันมีค่าของคุณมาได้ล่ะ”
ดวงตาคมของชายชาวอาหรับตวัดใส่เขาแวบหนึ่งถึงความไม่ชอบใจนัก แต่เมื่อหันกลับไปเจรจากับคู่สามีภรรยาตรงหน้าเขา
กลับคลี่ยิ้มและเอ่ยอย่างมีมารยาทที่ฝึกฝนมาอย่างดี
“ผมขอรับรองความปลอดภัยของคุณกวินท์ด้วยเกียรติของผมครับท่าน บุตรชายของท่านทั้งสองจะต้องกลับมาโดยไม่ได้
รับบาดเจ็บ”
“รู้จักพวกโจรพวกนั้นหรือไงถึงได้รับรองขนาดนี้ได้”
“วิกเตอร์”
สมิธปรามเพื่อนสนิทของบุตรชายด้วยสายตาเพราะรู้ดีว่าวิกเตอร์ไม่ค่อยระวังคำพูดนักและยังเป็นชายหนุ่มเลือดร้อนอีกด้วย
“ขอบคุณมากที่มาให้กำลังใจครับ”
ผู้อาวุโสหันไปกล่าวตอบแม้จะยังมีความกังวลแต่สมิธก็ยังรักษากิริยาได้เป็นอย่างดี
“ขอให้เป็นอย่างที่คุณพูดเมื่อสักครู่นี้ ผมหวังให้โจรเหล่านั้นคืนกวินท์กลับมาด้วยร่างกายที่ยังมีชีวิต”
คาลีลค้อมศีรษะ สีหน้าของเขาจริงจังกว่าเคย
“อัลลอฮทราบดีว่าใครที่ควรจะมีลมหายใจต่อบนโลกใบนี้ ได้โปรดเชื่อมั่นเถอะครับ”
เขาลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่ามาเยือนเป็นเวลาพอสมควรแล้ว
“ผมรบกวนเพียงเท่านี้”
สมิธและรำไพพรรณลุกขึ้นยืนตาม คาลีลยื่นมือจับอำลาก่อนที่เขาจะหมุนกายแล้วเดินออกไปโดยไม่สนใจวิกเตอร์ที่เบ้ปาก
ตามหลัง
“หมั่นไส้ว่ะ”
“วิกเตอร์ ทำไมถึงจงเกลียดจงชังเขานักนะ มิสเตอร์มาอัซเขาก็น่ารักดี”
รำไพพรรณส่ายหน้าเมื่อเห็นท่าทางของวิกเตอร์ เจ้าตัวถึงกับกลอกตาขึ้นบนเมื่อฟังคำชมของรำไพพรรณ
“น้ำหน้าอย่างนี้คุณแม่เรียกว่าน่ารักหรือครับ คุณแม่เห็นเวลามันทำคอแข็งใส่ผมไหม แล้วเวลาปรายตามองผมอีกล่ะ แม่ง
โคตรหยิ่งยโสเลยไอ้หมอนี่”
อยู่ ๆ วิกเตอร์ก็นึกอยากลองดี เขาเดาะลิ้นก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินจ้ำอ้าวตามแผ่นหลังจนไปถึงรถยนต์ของคาลีลที่
จอดอยู่ด้านหน้าสถานทูต คาลีลก้าวขึ้นไปนั่งตำแหน่งคนขับแล้ววิกเตอร์จึงปรี่เข้าไปเปิดประตูฝั่งตรงข้ามและก้าวไปนั่งพร้อมปิดประตู
ทันที
คาลีลหันมามองด้วยใบหน้าเฉยเมย มีเพียงคิ้วเข้มที่เรียงตัวสวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแค่นั้นที่พอจะดูออกว่าเขาไม่
ชอบใจการกระทำของอีกฝ่ายนัก
“ไปส่งผมที่โรงแรมหน่อยสิ”
“รถของผมไม่ใช่รถรับจ้าง”
เสียงนั้นกระด้างกว่าเคย วิกเตอร์ยักไหล่แล้วกล่าวต่ออย่างไม่สนใจความขุ่นเคืองของคาลีล
“ไหนคุณบอกว่าจะดูแลพวกเราเป็นอย่างดี แค่นี้ก็ทำไม่ได้งั้นเหรอ พูดไม่จริงนี่หว่า”
คาลีลพยายามเก็บความโกรธไว้ เขาสะบัดหน้ากลับไปยังเบื้องหน้าและขับรถออกไป วิกเตอร์ยิ้มสมใจที่ได้แหย่ให้หุ่นยนต์
อย่างคาลีลแสดงอารมณ์ออกมาได้
“นี่คุณ ผมหิวแล้ว พาผมไปหาของกินอร่อยๆหน่อยสิ”
“ผมว่าคุณกำลังล้ำเส้น”
คาลีลเอ่ยเสียงแข็ง ใบหน้าของเขายังมองตรงไปเบื้องหน้า วิกเตอร์เหลียวไปมองด้านข้างของเขาก่อนจะยั่วให้คาลีลยิ่ง
อารมณ์เสีย
“อ้าว ผมนี่เป็นแขกบ้านแขกเมืองนะคุณ กษัตริย์ของคุณเชิญมาทำข่าวสำคัญ อย่าลืมสิ”
เจ้าของรถยนต์ที่ขับมาอาจจะตอบโต้มากกว่านี้ หากว่าเสียงโทรศัพท์มือถือจะไม่ดังขึ้นเสียก่อน คาลีลคว้ามันมารับสายด้วย
สีหน้าเคร่งเครียด วิกเตอร์นิ่งฟังเสียงเจรจาเป็นภาษาที่เขาฟังไม่ออกอย่างสนใจ คาลีลพูดคุยอยู่นานพร้อมกับขับรถไปด้วย จนกระทั่ง
เขาวางสายรถยนต์ที่คาลีลขับมาก็ใกล้ถึงเขตการค้าเข้าทุกที
“เกิดอะไรขึ้น!”
วิกเตอร์ขยับตัวนั่งพลางเบิกตามองไปเบื้องหน้า สัญชาตญาณของนักข่าวไหวตัวขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นความวุ่นวายโกลาหล
บนท้องถนน ประชาชนหัวรุนแรงกำลังรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่โดยมีทหารของรัฐบาลต้านทานไว้ด้วยโล่และกระบอง วิกเตอร์ดึงกล้อง
ถ่ายรูปจากกระเป๋าสะพายของเขาเมื่อเห็นแนวโน้มว่าจะเกิดความรุนแรงของการชุมนุมประท้วง
“จอด คาลีล”
เขาหันไปหาชายหนุ่มที่ยังนั่งหน้าเคร่งหลังพวงมาลัย
“จอดให้ผมลง ผมจะไปทำข่าว”
นอกจากไม่จอดวิกเตอร์ยังได้ยินเสียงล็อกประตูรถอีกด้วย คาลีลหมุนพวงมาลัยรถให้เลี้ยวไปอีกทางห่างจากความวุ่นวาย
ออกไปขณะที่วิกเตอร์มองอย่างเหลือเชื่อ
“จะบ้าหรือไง ผมบอกให้จอดและปล่อยผมลงไปทำงาน”
คาลีลหันมามองแวบหนึ่ง เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังทำให้วิกเตอร์รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
“นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ความปลอดภัยของคุณอยู่ในการคุ้มครองของผมแล้วมิสเตอร์คอร์นเนอร์”
วิกเตอร์อ้าปากค้างเมื่อคาลีลกล่าวคล้ายจะยึดอิสรภาพของเขาไปด้วย และคาลีลก็ไม่พูดอะไรให้กระจ่างอีกจนกระทั่ง
รถยนต์แล่นมาถึงหน้าประตูรั้วบ้านหลังหนึ่ง คาลีลขับรถเข้าไปทันทีที่ประตูอัตโนมัติทำงาน วิกเตอร์ถึงกับอึ้งในความใหญ่โตของตัว
บ้านที่ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่กว้างขวาง
คาลีลจอดรถยนต์หน้าตัวบ้านแล้วก้าวลงไปยืนเด่นขณะที่มีคนรับใช้วิ่งมาดูแล วิกเตอร์ก้าวตามลงไปด้วยความงุนงง
คาลีลหันมานัยน์ตาของเขาเจือร่องรอยขบขันไว้อยู่ลึกๆ
“คุณต้องมาอยู่ที่บ้านของผม สิ่งของเครื่องใช้ของคุณที่โรงแรมจะถูกส่งตามมาทีหลัง”
“เดี๋ยวนะ ไอ้ท่านเลขา”
วิกเตอร์ก้าวพรวดไปกระชากแขนคาลีลไว้แล้วตะคอกเสียงใส่อย่างก้าวร้าว
“ทำอย่างนี้เท่ากับว่าคุณกำลังควบคุมตัวผมอยู่นะ คุณไม่มีสิทธิ์จะทำแบบนั้น ผมไม่ใช่นักโทษหรือเชลยของคุณนะโว้ย”
“ถ้าคุณจะคิดแบบนั้นก็ตามที่คุณสบายใจ คุณจะทำอะไรก็ได้ในบ้านหลังนี้ยกเว้นเดินออกไปจากประตูรั้ว คนของผมรับคำสั่ง
ให้ดูแลคุณเป็นพิเศษจนกว่าเหตุการณ์วุ่นวายจะสงบลงและถ้าหากคุณฝ่าฝืนการดูแลความปลอดภัยนี้ คนของผมก็จะจัดการพาคุณกลับ
มา เข้าใจแล้วใช่ไหมคุณตากล้อง”
คาลีลเดินหนีเข้าไปในตัวบ้าน ทิ้งให้วิกเตอร์ยืนนิ่งราวกับสติหลุดออกจากร่าง เขาสะบัดหน้าไปมาก่อนจะวิ่งตามแผ่น
หลังของคาลีลไป
“เฮ้ย เดี๋ยวสิวะ ไอ้ท่านเลขา มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
มีต่ออีกนิด...