ระบบอุปถัมภ์
By: Dezair
…………………….
ตอนพิเศษ ห่วง
ภาพเบื้องหน้าขมุกขมัวราวกับเป็นกลุ่มควันหนา คุณกอบกุลพยายามเพ่งมองอยู่นานราวกับมีสังหรณ์ประหลาดว่าในกลุ่มควันนั้นจะมีใครสักคนยืนอยู่ ควันสีเทาจางลงอย่างช้าๆ เผยให้เห็นเป็นเงาร่างของชายผู้หนึ่ง
ทีแรก หล่อนยังขมวดคิ้วมุ่น จนกระทั่งเงาร่างนั้นชัดขึ้นทีละน้อยพร้อมๆกับที่ควันจางลง
จาง...จนเห็นว่าเจ้าของร่างนั้นคือคนที่จากหล่อนไปหลายสิบปี
คุณกอบกุลนิ่งงัน ทว่าหัวใจเต้นถี่เสียจนแทบจะทะลุออกมานอกอก ชายร่างสูงผู้นั้นเคลื่อนเข้ามาหาหล่อนอย่างช้าๆ
เขาไม่ได้เดิน...
หล่อนไม่กล้ามองลงเบื้องล่างว่าเขามีขาหรือไม่ แต่การที่เขาเคลื่อนเข้ามา แทนที่จะก้าวก็พอจะบอกให้รู้ว่าเขา...ไม่ใช่คน
ใช่...เพราะโรคร้ายพรากชีวิตเขาไปจากหล่อนนานแล้ว
“กอบ...” เสียงของเขาแหบพร่า ทว่ายังเป็นเสียงเดิมที่อยู่ในความทรงจำของคุณกอบกุล หล่อนได้แต่เม้มปากแน่นกลั้นเสียงสะอื้นและความรู้สึกบางอย่างที่พวยพุ่งขึ้นมาในอก
“กอบ...” เสียงของเขาดังขึ้นอีก
“พี่มารับฉันหรือ...” คุณกอบกุลถาม หางเสียงสั่นเล็กน้อย
“กอบเหนื่อยมามากแล้ว” ชายคนนั้นตอบกลับมา ยิ่งเขาขยับเข้ามาใกล้ ก็ยิ่งพบว่าเขาไม่ได้ขยับปากเลยสักนิด ทว่าเสียงของเขากลับดังอยู่รอบตัวของหล่อน
“พี่เป็นห่วง...ไปอยู่ด้วยกันเถอะนะ...”
คำชวนนั้นทำให้ใจสั่น ความว้าเหว่ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาถูกฝังลึกทว่ามันไม่เคยจางหาย คุณกอบกุลยังคิดถึงรักแรกและรักเดียวของหล่อนเสมอ แม้ว่าสุดท้ายเขาจะทิ้งให้หล่อนโดดเดี่ยวและดิ้นรนต่อสู้เพียงลำพัง
...ลำพัง...
ใช่...หล่อนสู้ตัวคนเดียว เพื่อลูกอีกสามชีวิตที่เป็นมรดกจากสามีผู้วายชนม์
จนกระทั่ง วันนี้หล่อนมีทุกอย่าง เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ บารมี และลูกหลานสุขสบายบนกองเงินกองทองที่หล่อนหามาทั้งชีวิต
ในวันที่หล่อนมีทุกอย่าง ขาดเพียงแค่ ‘เขา’
แต่วันนี้... ‘เขา’ กลับมาแล้ว
กลับมา...เพื่อพาหล่อนไปอยู่ด้วยกัน
“ไปด้วยกันนะ...กอบ” ไม่เพียงแค่เสียงที่เพรียกหา แต่ฝ่ามือยังยื่นมาตรงหน้า มือที่หล่อนคิดถึง มือที่คุณกอบกุลเคยคิดว่าจะกอบกุมมือของหล่อนแล้วผ่านพ้นวัยหนุ่มสาวไปสู่ยามแก่เฒ่าด้วยกัน
แต่...ไม่เลย....
วัยหนุ่มสาวที่หล่อนและเขาได้เคียงข้างกันช่างสั้นนัก เรา...แทบไม่ได้จับมือกันก้าวข้ามอุปสรรคใดเลย
เขาทิ้งหล่อนไป แม้ไม่ตั้งใจ แม้ไม่เต็มใจ แต่ในวันที่เขาจากไป หล่อนไม่เหลืออะไรเลย
วันนี้... ชายที่หล่อนรัก...กลับมา...
กลับมาในวันที่หล่อนมีทุกอย่าง
“ฉัน...ฉันยังไปกับพี่ไม่ได้”
“ทำไม...”
“ฉันปล่อยไม่ได้” คุณกอบกุลตอบแล้วก้าวถอยหลังราวกับเป็นสัญญานว่าหล่อนไม่พร้อมจะไปไหนทั้งนั้น
“กอบ...พวกเขา...อยู่กันเองได้...อย่าห่วงอีกเลย”
“แต่ฉันห่วง! ฉันไม่อยากไป!”
“กอบ...ไม่อยากอยู่กับพี่หรือ...”
คุณกอบกุลนิ่งงัน จับจ้องใบหน้าของชายผู้เป็นที่รัก ชายผู้หล่อนเคยวาดหวังว่าจะฝากชีวิต จะฝากหัวใจเอาไว้กับเขา
“ทำไมจะไม่อยาก...”
วันนี้มีกินมีใช้ขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะคุณกอบกุลต้องการชดเชยความยากจนที่หล่อนประสบในอดีต ในยามที่หล่อนไม่มี วันนั้นโชคชะตาเล่นตลกพรากคนรักของหล่อนไป วันนี้หล่อนมีทุกอย่าง หากโชคชะตาจะพรากลูกพรากหลานอย่างที่เคยทำกับสามีของหล่อน คุณกอบกุลก็จะสู้ด้วยเม็ดเงินและอำนาจบารมี
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปอยู่ด้วยกัน...”
“ไม่” คุณกอบกุลตอบเรียบ ดวงตาที่เมื่อครู่ทอดแววรักและคิดถึงกลายเป็นเย็นเยียบในบัดดล หล่อนก้าวเท้าถอยหลังให้ห่างจากชายผู้เป็นที่รัก
“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันลำบากมาทั้งชีวิต วันนี้ฉันสุขสบายจะให้ฉันไปหรือ”
“...อีกอย่าง...ฉันต้องแน่ใจว่าวงศ์กีรติจะอยู่ได้ถ้าฉันไม่อยู่ ฉันถึงจะไป”
เงินทองที่สะสมไว้ แน่นอนว่ามันเพียงพอสำหรับลูกหลานทุกคน แต่อำนาจบารมีอาจตายไปพร้อมกับคุณกอบกุล หล่อนต้องการให้แน่ใจว่าวงศ์กีรติจะไม่มีอันล่มสลาย หากหล่อนจากโลกนี้ไป
ห่วง…ผลประโยชน์ทั้งหลายคือบ่วงบาศ เมื่อคล้องคอใครแล้วก็ยากจะแก้
ห่วง…ลูกหลานเชื้อสายและวงศ์ตระกูล หากหมดสิ้นหัวเรือใหญ่จะอยู่กันเช่นไร
“ได้ยินที่ฉันพูดไหม ฉันไม่ไปกับพี่” พูดได้เพียงเท่านั้น ชายเบื้องหน้าก็กลายเป็นเพียงภาพจาง ก่อนจะหายไปท่ามกลางกลุ่มควัน คุณกอบกุลกะพริบตาถี่ๆ แล้วกวาดตามองไปรอบตัว ทว่ากลับพบเพียงความมืดมิด
ไม่มีกลุ่มควันใดๆ ไม่มีร่องรอยการมีอยู่ของใคร ไม่มีแม้แต่ลางสังหรณ์ว่ามีคนอยู่ที่นี่กับหล่อน
...เขา...จากไปแล้ว…
…จากไปอีกแล้ว…
หัวใจโหวงเหวงจนได้แต่เม้มปากแน่น
หล่อน...เสียชายผู้เป็นที่รักไปอีกครั้ง
...ช่างทรมานเหลือเกิน...
………………
จิณณะสับเท้าไวจนแทบกลายเป็นวิ่ง เลี้ยวพ้นโถงลิฟต์แล้วก็ก้าวยาวๆอีกอึดใจหนึ่งจึงมาถึงหน้าห้องพักผู้ป่วย แค่มองผ่านช่องกระจกเข้าไปภายในเห็นบิดานั่งอยู่ที่โซฟาในส่วนรับแขกเขาก็รีบผลักประตูเข้าไปอย่างไว
“พ่อ!” ชายหนุ่มเรียก โกศลเงยหน้ามองทันที
บุตรชายคนโตก้าวเท้าเข้าไปหา ไม่ทันได้ออกปากถามก็หันไปเห็นร่างของหญิงชราที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงในห้องพักด้านใน
หลานนอกคอกถึงกับกลืนน้ำลายไม่ลงคอ เขากะพริบตาช้าๆ แล้วเบี่ยงปลายเท้าเดินเข้าไปหาเตียงคนไข้แทน
คุณกอบกุลเป็นหญิงชราร่างเล็ก แผ่อำนาจบารมียามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นอย่างสม่ำเสมอ ทว่ายามหล่อนนอนนิ่งอยู่บนเตียง กลับดูบอบบางใกล้แตกร้าวด้วยวันเวลาที่ล่วงเลย
จิณณะพูดไม่ออกว่าเขารู้สึกเช่นไร ยามพบหน้า แทบจะไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาได้พินิจพิจารณาผู้เป็นต้นตระกูลของเขาเลย
“จิณ...” เสียงของบิดาดังขึ้นข้างหลัง ทำเอาเจ้าของชื่อหันมอง โกศลยืนอยู่ข้างหลังเขา และคล้อยหลังไปเล็กน้อยคือชายในชุดเสื้อกาวน์สีขาว
...หมอ...
จิณณะมีคำถามมากมายดังขึ้นในใจ แต่ขยับปากพูดไม่ออกสักคำ
“คุณกอบกุลหลับหรือครับ” ทว่าคำถามแรกเป็นของแพทย์สูงวัยที่เหลือบไปเห็นร่างของหญิงชรานอนบนเตียง
“ตื่นแล้ว แค่พักสายตาเท่านั้น” แล้วเสียงจากคนบนเตียงก็ดังกลับมา จิณณะกะพริบตาปริบๆ หันไปมองผู้เป็นย่าที่ลืมตาขึ้น
“จิณถอยออกมาก่อน คุณหมอจะได้คุยกับคุณย่า”
จิณณะยังเหมือนไม่มีสติ ถูกบิดาดึงออกมาหลบอยู่มุมห้อง ให้แพทย์ประจำตัวคุณกอบกุลได้เข้าไปยืนข้างเตียง
“เห็นว่าคุณกอบเพลียๆ แต่ผลตรวจร่างกายออกมาปกติดีทุกอย่าง แข็งแรงกว่าคนรุ่นเดียวกันเยอะนะครับ”
“ตรวจร่างกาย?” จิณณะทวนคำพลางหันมองบิดา
“ใช่ คุณย่ามาตรวจร่างกาย แต่บ่นว่าเพลียก็เลยให้แอดมิด”
โรงพยาบาลเอกชนแสนหรูหราที่ตอบสนองความต้องการของคนไข้ประดุจลูกค้า ยิ่งโดยเฉพาะกับลูกค้าที่ชื่อกอบกุล วงศ์กีรตินั้น ไม่ว่าจะต้องการอะไร เป็นต้องได้เสมอ
เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ ทำเอาจิณณะที่กำลังนิ่งงันได้สติหันมองตามเสียง แล้วก็ถึงได้เห็นน้องชายตัวดียืนหัวเราะอยู่ที่กรอบประตู
จารีต...คนที่โทรไปบอกเขาว่าคุณกอบกุลเข้าโรงพยาบาล เพียงเท่านั้นจิณณะก็ทิ้งทุกอย่างขับรถมาที่โรงพยาบาลทันที
...โดนหลอกแล้วไง!...
คนพี่ยังไม่ทันเฉ่งคนน้อง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น จิณณะหยิบขึ้นมาเห็นเป็นชื่อของน้องชายของพิทักษ์ซึ่งเป็นหมอ เขาจึงกดรับสาย
‘พี่ทิศบอกว่าคุณกอบกุลแอดมิดหรือ’
ก่อนจะมาที่นี่เพียงลำพัง จิณณะอยู่ในกรุงเทพฯพอดี พอรู้จากจารีตว่าคุณกอบกุลเข้าโรงพยาบาล เขาจึงรีบทิ้งงานโทร.หาพิทักษ์แล้วตรงดิ่งมาที่โรงพยาบาล พิทักษ์คงบอกน้องชาย ทิวากรจึงโทร.มาสอบถามกับเขาเช่นนี้
จิณณะเหลือบมองน้องชายตัวแสบของตนเองที่ทำหน้าตาหยอกเย้า
“โดนหลอกน่ะ”
‘ใครหลอก’
“ไอ้จา คุณย่าแค่มาตรวจร่างกายแล้วเพลียเลยแอดมิด”
‘เล่นไม่เข้าท่า’
“ยังไงก็ขอบคุณที่โทร.มานะทิว”
‘ไม่เป็นไร ถ้ามีอะไรก็บอกผมได้’
ปลายสายตัดไปแล้ว จิณณะอยากจะเอาเรื่องน้องชายอยู่หรอก แต่ติดที่หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจจารีตก็ดูจะวุ่นวายอยู่กับการรับโทรศัพท์จนต้องหลบออกจากห้องไป เขาไม่รู้จะทำอะไร จะกลับเลยก็น่าเกลียด จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับหมอและคนไข้ก็ไม่ใช่หน้าที่หลานนอกคอกเช่นเขาเสียด้วย สุดท้ายจึงได้แต่ยืนอยู่ที่กับที่ แล้วส่งแต่สายตาเข้าไปมองแทน
แม้จะไม่มีส่วนใดบุบสลาย แต่ภาพที่คุณกอบกุลกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงคนไข้ก็ไม่ใช่ภาพที่เขาคุ้นตาเลยสักนิด ต้องเป็นภาพหญิงชราสวมชุดผ้าไหมราคาแพงและเพชรนิลจินดาที่ประโคมลงบนตัว นั่งเชิดเย่อหยิ่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่นั่นต่างหากถึงเป็นภาพจำ
วันเวลา...กำลังจะพัดพา ‘คนหัวแถว’ ในครอบครัวให้จากไปทีละคน
“แล้วนั่น...มาทำไม” เสียงจากบนเตียงคนไข้ดังขึ้น ทำเอาจิณณะได้สติ พอสบตากับผู้เป็นย่า เขาก็ทำหน้าตาเหรอหรา
“พอดีผ่านมาแถวนี้ครับ เลยแวะมา...หาพ่อ” ว่าแล้วก็โยนไปยังบิดาที่ยืนกะพริบตาปริบๆอยู่ไม่ไกลทันที โกศลเลิกคิ้วอย่างงุนงง
“พ่อ ผมขอคุยด้วยหน่อยสิ เรื่องงานน่ะ” แถสีข้างถลอกไหมไม่รู้ แต่ที่รู้คือจิณณะหน้าด้านเหลือทนสามารถตีหน้าเฉยไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น ทั้งๆที่เมื่อครู่นี้วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง
โกศลงุนงง แต่ก็ยอมเดินตามลูกชายออกไปยังชุดโซฟาด้านนอก คุณกอบกุลไม่ได้แสดงท่าทีอะไรนอกจากพ่นลมหายใจอย่างหมั่นไส้ ทว่าแพทย์ผู้ยืนอยู่ข้างเตียงกลับหัวเราะเบา
“คนหนุ่มๆนี่ก็นะ พูดอย่างทำอย่าง”
“คุณหมอหมายถึงใคร”
แพทย์ผู้นี้เป็นแพทย์ประจำตัวคุณกอบกุลมานาน ความบาดหมางระหว่างคุณย่าผู้บ้าอำนาจกับหลานนอกคอกผู้แตกแถว ย่อมเข้าหูเขา
“หมายถึงหลานคุณกอบคนนั้นน่ะสิครับ เมื่อกี้เขาวิ่งหน้าตั้งมาที่นี่ ยังหอบอยู่เลย”
ไม่ใช่แค่เพราะยังหอบถึงได้รู้ แต่จิณณะวิ่งผ่านหน้าเขาไปพอดี
“วิ่ง? มันวิ่งมาเยี่ยมฉันหรือ”
ชายในชุดกาวน์สีขาวไม่พูด ทว่าเพียงยิ้มจาง คำตอบนั้นแม้แต่คุณกอบกุลก็กระจ่างแก่ใจ ทว่า...ลูกไม้ที่ตกไม่ไกลต้น ต้นเป็นเช่นไร ลูกไม้ก็เป็นเช่นนั้น
“คงคิดว่าฉันใกล้ตาย จะมาขอมรดกสิท่า”
ว่าแล้วก็เลิกพูดเรื่องหลานอย่างจิณณะอีก หล่อนเป็นคนสอบถามเรื่องสุขภาพร่างกายของตนเองกับหมอ ผลการตรวจเป็นที่น่าพอใจ เพราะนอกจากจะแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกันแล้ว หากไม่มีใครคว้ามีดคว้าปืนจะมาเอาชีวิต โลกนี้ก็จะยังได้เห็นชื่อ ‘กอบกุล วงศ์กีรติ’ ไปอีกนาน
.................................
จิณณะขุดปัญหาหยุมหยิมมาปรึกษาบิดาตามที่กล่าวอ้าง เช่น พนักงานหยุดต่อเนื่องนานๆ ทำให้ขาดคน พนักงานไม่ร่วมกันประหยัดน้ำไฟสิ้นเปลืองทรัพยากรและค่าใช้จ่าย หรือไม่ก็ที่จอดรถไม่พอ สารพัดปัญหาเหล่านี้ล้วนพบเจอได้ในทุกรูปแบบองค์กร และไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดผลกระทบเร่งด่วนชนิดที่ลูกชายคนโตต้องรีบถลามาขอคำปรึกษาจากบิดาในโรงพยาบาลเช่นนี้เลย
ใครดูก็รู้ว่าจิณณะมาที่นี่ในเวลานี้เพราะ...ห่วง…
โกศลได้แต่อมยิ้ม ทว่าไม่กระโตกกระตาก เขาเป็นลูกชายของคุณกอบกุลมาห้าสิบกว่าปี เป็นพ่อของจิณณะมาเกือบสามสิบปี บวกจำนวนปีดูแล้ว เขารู้จักคนอย่างมารดาและลูกชายคนโตของเขามากกว่าแปดสิบปี
ปากแข็งใจอ่อน ปากร้ายใจดี แล้วอย่าได้เอ่ยปากอย่างรู้ทันเชียว มิเช่นนั้นจะได้เห็นท่าทางถมึงทึงซึ่งทำไปเพื่อกลบเกลื่อนทั้งสิ้น
“อ้าว คุณหมอออกมาแล้ว” โกศลเหลือบไปเห็นหมอออกมาจากห้องพักด้านในของคุณกอบกุลก็ลุกขึ้นทัก จิณณะเลยพลอยหยุดปากแล้วลุกขึ้นเช่นกัน
“ปีนี้คุณโกศลได้ตรวจร่างกายบ้างหรือยังครับ”
“ยังเลยคุณหมอ”
“ถ้าอย่างนั้นหาเวลามาตรวจได้แล้วนะครับ”
“ทำไมหรือครับ หรือว่า...คุณย่า...” จิณณะถามแทรก สีหน้าห่วงใยปิดไม่มิด แต่หากมีใครถามเขาว่าห่วงใคร เจ้าตัวคงตอบเสียงห้วนว่าห่วงบิดาซึ่งเป็นสายเลือดโดยตรงของคุณกอบกุลเท่านั้น
“คุณกอบท่านสบายดี แข็งแรงมากด้วยครับ ที่ผมชวนคุณโกศลมาตรวจร่างกายก็เพราะคราวก่อนเคยวูบ ถึงตรวจแล้วจะไม่เป็นอะไรมาก แต่ก็ควรเช็คสุขภาพทุกปี คุณจิณณะก็ด้วยนะครับ” คำตอบทำเอาหลานชายคุณกอบกุลคลายสีหน้ากังวลลง
พอพ้นหลังแพทย์ จิณณะก็หมดเรื่องที่จะต้องอยู่ที่นี่ต่อแล้ว อีกทั้งเรื่องที่นำมาอ้างเป็นปัญหาก็ไม่มีอะไรให้ขุดขึ้นมาอีก ยิ่งพอเหลือบตาไปเห็นหญิงชราที่นอนอยู่บนเตียงคนป่วยด้านในกำลังเอนกายสบาย ดูโทรทัศน์ เขาก็ยิ่งไม่เห็นความจำเป็นของตนเองที่นี่แต่อย่างใด
“เอ่อ...ถ้างั้น ผมกลับก่อนนะ พอดี...มีธุระต่อ”
โกศลพยักหน้ารับรู้ ยกมือรับไหว้จากบุตรชาย ทว่าก่อนที่ลูกชายคนโตจะออกจากห้อง อะไรบางอย่างดลใจให้ชายหนุ่มชะโงกหน้าเข้าไปในห้องพักคนป่วย
“ไปก่อนนะครับ”
บิดาของจิณณะถึงกับเหลือกตาโตอย่างคาดไม่ถึง แม้จะรับรู้ว่าปัจจุบันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสองย่าหลานไม่ได้ปะทะอารมณ์กันทุกครั้งเหมือนเก่าแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจิณณะจะเป็นฝ่ายบอกกล่าวลาไหว้ก่อนกลับ
“...หายแล้วก็ไม่ต้องอยู่นานนะครับ จะได้ให้คนป่วยหนักเขาแอดมิดต่อ”
ทว่า...ต่อให้ความสัมพันธ์ของคุณกอบกุลและจิณณะจะดีเด่นขึ้นเพียงไร นิสัยของจิณณะ วงศ์กีรติก็ยังเป็นจิณณะ วงศ์กีรติอยู่วันยังค่ำ
“ฉันจะอยู่นานเท่าไรมันก็เรื่องของฉัน!!!”
เสียงคุณกอบกุลดังไล่หลังก้องกังวาลสมกับที่ผลตรวจร่างกายออกมาดีเยี่ยม จิณณะทำเป็นยักไหล่หันมามองบิดา
“ถ้าเสียงดีขนาดนี้ ก็ไม่ควรอยู่ต่อให้เปลืองแรงหมอพยาบาลนะพ่อ”
ว่าแล้วหลานชายตัวแสบของคุณกอบกุลก็เผ่นแผล็ว ไม่ได้รอให้หญิงชราลุกจากเตียงมาไล่ตะเพิดเป็นคำรบสอง ปล่อยให้โกศลได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความระอาใจกับความสัมพันธ์แสนลุ่มๆดอนๆของสองย่าหลานแห่งตระกูลวงศ์กีรติ
……………………
“น้องของจิณโคตรแสบ” ทิวากรบ่นพลางโยนโทรศัพท์มือถือลงกับโต๊ะกาแฟ
วันนี้ชายหนุ่มมีวันหยุดก็เลยแวะไปเยี่ยมเยียนคุณเทียม ตามด้วยแวะมาดื่มกาแฟกับพี่ชายอย่างพิทักษ์ เลยได้รับรู้ว่าคุณกอบกุลเข้าโรงพยาบาล ตอนแรกพิทักษ์เป็นห่วงจะขับรถเข้ากรุงเทพฯโดยด่วน แต่เขารั้งเอาไว้แล้วเป็นฝ่ายรอเวลาที่คาดว่าจิณณะจะถึงโรงพยาบาลแล้วเป็นคนโทรศัพท์ไปสอบถามด้วยตนเอง ความจริงเลยมาแตกดังโพล๊ะ คุณกอบกุลเข้าโรงพยาบาลจริง แต่เข้าไปเพื่อตรวจร่างกาย มีอาการอ่อนเพลียนิดหน่อยเพราะนอนไม่ค่อยหลับ ก็เลยแอดมิด แต่คนที่แจ้งข่าวจิณณะแบบเลี่ยงบาลีกลายเป็นแค่ว่า ‘คุณย่าแอดมิด’ ก็คือจารีต
...เล่นไม่เข้าท่า เรื่องแบบนี้ควรจะเอามาล้อเล่นหรือ…
ทิวากรเลยจัดการโทรศัพท์ไปดุตัวต้นเหตุ ฝ่ายนั้นได้แต่ตอบเสียงจ๋อยๆไม่กล้าเถียงเขาสักคำ แต่คาดว่าอาจจะทำหน้าตาล้อเลียนการดุของเขาอยู่ก็ได้
...ก็สองพี่น้องวงศ์กีรติร้ายน้อยหน้ากันเสียเมื่อไร…
“สรุปว่าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม”
พิทักษ์ยังเป็นกังวล ทิวากรพบว่าหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจิณณะแล้ว พี่ชายของเขาแสดงความรู้สึกมากกว่าเคย แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องโดยตรงของคุณกอบกุล แต่พิทักษ์รู้ดีว่าหญิงชรามีความสำคัญต่อความรู้สึกของจิณณะมากเพียงใด จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากเรื่องใดเกี่ยวข้องกับหญิงชราผู้นั้น คนแรกที่เขาเป็นห่วงก็คือจิณณะ
“ไม่เป็นอะไร แค่เพลีย” คนเป็นน้องพูดเพียงเท่านั้น ก็พอดีกับที่จิณณะโทรศัพท์หาพิทักษ์
ทิวากรปล่อยให้พี่ชายคุยกับหลานชายคนที่แอดมิดเข้าโรงพยาบาล พักหนึ่ง เจ้าของบ้านถึงได้วางสายแล้วหันมาทางเขา
“จิณออกจากโรงพยาบาลแล้ว แกรอกินข้าวด้วยกันสิ จิณจะซื้อกลับมาเผื่อ”
จิณณะบอกว่าจะกลับมาบ่ายๆ และจะซื้ออาหารเข้ามาเลย พอสายเปย์รู้ว่าทิวากรก็อยู่ด้วย จึงออกปากให้พิทักษ์ชวนน้องชายอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน
อันที่จริง วันนี้เป็นวันหยุดที่ไม่รีบร้อน คุณหมอหนุ่มไม่มีเหตุจำเป็นให้ต้องไปไหน แต่เรื่องไม่เข้าท่าที่คนบางคนก่อในวันนี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองจะไม่ว่างขึ้นมาอย่างไรชอบกล
“ไม่ดีกว่า ผมจะเข้ากรุงเทพไปจัดการคนซะหน่อย”
“จัดการใคร”
คำถามของคนเป็นพี่ ทำเอาทิวากรยกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้น
“ตัวแสบน่ะ”
คำตอบของเขาไม่ให้ความกระจ่าง พิทักษ์ไม่ทันได้ถามซ้ำ คนพูดก็หมุนตัวเดินออกจากบ้านไปแล้ว
เจ้าของบ้านได้แต่มองตาม นึกทบทวนว่าจะมีใครที่เป็น ‘ตัวแสบ’ ได้บ้าง แต่คิดไปคิดมา ในชีวิตของเขาก็ไม่พบใครจะแสบได้เท่า จิณณะ วงศ์กีรติอีกแล้ว
………………