ตอนที่ 11
กว่าจะรอให้ถึงเช้าได้ ชนกานต์รู้สึกว่ามันเป็นเวลาที่ยาวนาน เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกไม่อยากเผชิญหน้ากับปัญหา แต่ก็รู้ว่าไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงมันได้ เขาตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง สิ่งแรกที่มองเห็นก็คือเสื้อผ้าสำหรับใส่ในวันนี้ถูกหยิบออกจากตู้มาแขวนไว้ให้ ชนกานต์เม้มริมฝีปากเดินไปหยิบมันเก็บเข้าไปในตู้และเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมา ถึงจะรู้ว่าเป็นการทำร้ายจิตใจคนที่เอามาแขวน แต่ก็เลือกที่จะทำ
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ชนกานต์เดินออกมาจากห้องก็เจอปวีร์ที่นั่งหลับอยู่บนโซฟา ศีรษะที่ห้อยพับพิงกับพนักบ่งบอกว่าปวีร์เองก็เหนื่อยล้ามากแค่ไหนในคืนที่ผ่านมาแต่ก็ยังอุตส่าห์ทำมื้อเช้าเอาไว้
ชนกานต์ถอนหายใจก่อนยื่นมือไปเขย่าปลุกอีกฝ่าย ปวีร์สะดุ้งตื่นขึ้นมา ดวงตาที่มองชนกานต์แฝงไว้ด้วยความอ่อนล้า
“หิวหรือยังครับ?” ปวีร์ขยับลุก เตรียมไปอุ่นโจ๊กที่จัดการเคี่ยวไว้เมื่อชั่วโมงก่อนให้ชนกานต์กิน
“นายหยุดทำแบบนี้ซะทีเถอะ” ชนกานต์ถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมา ปวีร์หันมองสบตา ไม่พูดอะไร รอให้ชนกานต์เป็นฝ่ายพูดต่อ ชนกานต์กำหมัดแน่น รวบรวมความกล้าที่จะพูดออกไป
“นายก็รู้ว่าฉันเกลียดนายแค่ไหน แล้วนายก็น่าจะรู้ว่าสิ่งที่นายทำไว้กับฉัน มันไม่ง่ายที่ฉันจะอภัยให้นายด้วย ต่อให้นายทำดีให้ฉันเห็นแค่ไหน แต่ไอ้สิ่งที่นายทำระยำไว้มันก็ไม่ลบเลือนง่ายๆหรอกนะปวีร์”
ชนกานต์ตัดสินใจพูดตรงๆไม่อ้อมค้อม ปวีร์นิ่งไป รู้ว่าที่ชนกานต์พูดมามันคือความจริง
เขาทำไม่ดีกับชนกานต์เอาไว้มาก
สิ่งที่ทำลงไปก็เป็นเพราะความคึกคะนองเป็นหลัก
“ขอบอกเลยว่า...ฉันไม่อยากให้ลูกมีพ่อเป็นคนแบบนาย”
“ผมขอโทษ..”
ริมฝีปากของชนกานต์ยิ้มหยัน สำหรับเขาแล้ว..เขาไม่ต้องการคำขอโทษที่หลุดจากปากของปวีร์
เขาต้องการสิ่งอื่นเสียมากกว่า
“ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำลงไปมันระยำมากแค่ไหน แต่ผมอยากบอกให้คุณรู้...ว่าผมไม่เคยเสียใจเลยที่ผมทำให้เขาเกิดมา”
ปวีร์บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาขยับเข้าไปหาชนกานต์ แต่อีกฝ่ายก้าวถอยหลังหนี จึงหยุดยืนอยู่ตรงที่เดิม
“ผมดีใจ...ที่จะได้มีลูกกับคุณนะ”
ใจของชนกานต์สะท้านวาบ เพราะเคยคิดว่าปวีร์อาจไม่ต้องการให้เด็กคนนี้เกิด ที่แสดงออกว่าจะรับผิดชอบก็เพราะฝืนใจทำ
“ฮึ! คนอย่างนาย..จะมาดีใจทำไมที่จะมีลูกกับฉัน”
ชนกานต์ถามเสียงเยาะแล้วยกมือขึ้นมากอดอก ปวีร์ไม่ตอบแต่ใช้สายตาสื่อความหมายว่าเขารู้สึกอย่างไรกับชนกานต์
สายตาอ่อนโยนที่ชนกานต์ไม่เคยคิดใส่ใจจะมองมาก่อน มันแฝงความรู้สึกที่แท้จริงที่ปวีร์เก็บงำเอาไว้
“ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะครับ ว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณมันเปลี่ยนแปลงไปเมื่อไหร่ ผมรู้แค่ว่า...ตอนนี้ผมรักคุณ”
ชนกานต์นิ่งอึ้งไป ไม่คิดว่าปวีร์จะเอ่ยคำนั้นออกมา
“นายคิดว่าฉันเป็นคนประเภทที่ได้ยินคำว่ารักก็จะโอนอ่อนตามหรือไงกัน รู้ไว้ด้วยว่าฉัน..ไม่ได้ต้องการความรักจากนาย”
ชนกานต์บอกเสียงแข็ง ปวีร์ถอนหายใจช้าๆ เข้าใจว่าจะเปลี่ยนใจชนกานต์ให้ยอมรับเขาได้มันเป็นเรื่องยาก ไม่ว่าเขาพูดอะไรไปตอนนี้ ชนกานต์ก็คงมองว่าเป็นการแก้ตัวทั้งสิ้น
“แต่ผมต้องการความรักจากคุณ...” ชนกานต์แค่นยิ้มก่อนสะบัดหน้าหนี
“นายกลับไปได้แล้วไป”
ปวีร์ยืนอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะยอมออกไปตามคำไล่ ทิ้งให้ชนกานต์อยู่กับคำพูดที่เขาสารภาพออกไป ชนกานต์ทรุดนั่งลงกับโซฟาเหมือนคนหมดแรง อ่อนล้ากับความคิดที่ตบตีกันในใจ
ว่าปวีร์...จะได้โอกาสทำหน้าที่พ่อของลูกหรือไม่
หลังจากที่ปวีร์ออกจากห้องไป ชนกานต์ก็นั่งคิดอยู่สักพัก รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ใกล้จะได้เวลาออกไปทำงาน ชนกานต์ยกมือขึ้นลูบหน้าแล้วลุกขึ้น เตรียมตัวจะไปทำงานแต่ก็มีเสียงกดกริ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน เขาขมวดคิ้วมุ่นก่อนเดินไปยังประตู มองลอดผ่านรูตาแมวแล้วเห็นชายหญิงที่ไม่คุ้นหน้าสักเท่าไหร่ยืนอยู่ก็เลยเปิดประตูออกไป
“คุณชนกานต์สินะคะ?”
ผู้หญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้าเคร่งเครียดเอ่ยถาม ชนกานต์พยักหน้า ผู้หญิงคนนั้นจึงแนะนำตัวว่าตนเองกับผู้ชายที่มาด้วยกันคือพ่อกับแม่ของผู้ชายโรคจิตคนนั้น ต้องการมาขอโทษชนกานต์ที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ชนกานต์เลยยอมเปิดประตูให้เขาทั้งสองคนเข้ามา
“ต้องขอโทษคุณจริงๆนะคะ ที่เกิดเรื่องขึ้นแบบนี้ เราไม่ทราบมาก่อนเลยว่าเขาจะ....” คนเป็นแม่ไม่สามารถพูดต่อได้ ชนกานต์ก็พอเข้าใจอยู่บ้าง แต่ก็เลือกวางเฉยรอดูทีท่า
“เราจะพาเขาไปรักษาตัว พ่อหนุ่มไม่ต้องกังวลนะ ฉันจะไม่ปล่อยให้เขามาทำร้ายหรือระรานอะไรพ่อหนุ่มอีก”
ชนกานต์พยักหน้ารับรู้ นึกโล่งใจอยู่บ้างที่ได้ยินอย่างนั้น
“แล้วก็นี่...เป็นค่าเสียหายและค่าทำขวัญของพ่อหนุ่ม ฉันอยากให้เธอรับเอาไว้นะ..” คนเป็นพ่อยื่นเอาซองที่หนาพอสมควรมาให้ ชนกานต์ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ขอแค่ลูกชายของพวกคุณไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับผมอีกก็พอ”
“ได้ยังไงกัน! ลูกของเรามาทำความเดือดร้อนให้คุณตั้งมากมาย ไหนคุณกับแฟนจะได้รับบาดเจ็บ ไหนจะข้าวของเสียหายที่เสียหายอีก รับไว้เถอะนะ ไม่อย่างนั้นเราคงรู้สึกผิดมาก”
คนแม่ฉวยเอาซองนั้นมายัดใส่มือชนกานต์แล้วจับมือชนกานต์ไว้แน่น น้ำตาร่วงเผลาะๆอย่างคนที่เสียใจจริง
ชนกานต์นิ่งไปครู่หนึ่ง เหลือบตามองดูคนพ่อแล้วก็เห็นเขาพยักหน้าให้
“รับไว้เถอะนะ” ชนกานต์มองดูซองเงินในมือก่อนจะถอนหายใจ ยอมรับมันไว้
“ผมจะรับไว้ก็ได้ครับ”
“ขอบใจนะจ้ะ”
คนแม่ยอมปล่อยมือชนกานต์แล้วยิ้มให้ ก่อนจะเล่าเรื่องให้ฟังว่าลูกชายที่มาทำร้ายชนกานต์นั้นหนีออกจากบ้านมาพักใหญ่แล้วเพราะทะเลาะกับคนพ่อเรื่องยาเสพติดที่ไม่ยอมเลิก
ฝ่ายพ่อก็เจ้าทิฐิ เห็นลูกเหลวแหลกแบบนั้นก็ตัดหางปล่อยวัดไม่ยอมตามหาลูก จนปล่อยเรื่องราวให้เลยเถิดเช่นนี้
ชนกานต์ฟังแล้วก็ได้แต่ถอนใจ
“ยังไงก็..ขอให้เขารักษาตัวให้หายได้ในเร็ววันก็แล้วกันนะครับ”
ชนกานต์บอกไปเช่นนั้น มันเป็นคำพูดที่ดูเหมือนบอกไปแกนๆ แต่คนแม่กลับยิ้มให้ชนกานต์อย่างเป็นมิตรและพยักหน้าก่อนจะกลับออกไปกับสามีของเธอ ชนกานต์ถอนหายใจทิ้งตัวนั่งลงกับโซฟาอีกครั้ง มือยังคงถือซองเงินที่ได้รับมา แกะดูก็เห็นว่ามันเป็นเงินจำนวนหนึ่งพร้อมกับเช็คเงินสดที่จำนวนของมันก็มากโขจนชนกานต์ตกใจ ชนกานต์รีบเดินตามสามีภรรยาคู่นั้นออกไปทันที
“ขอโทษนะครับ แต่เงินนี่มันมากเกินไป ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ”
ชนกานต์โพล่งบอกทันทีที่เดินตามไปทันทั้งคู่ที่ยืนรอลิฟต์อยู่
“รับไว้เถอะจ้ะ..เราคิดว่ามันยังคงน้อยไปด้วยซ้ำสำหรับคุณ”
“แต่...”
ชนกานต์ลังเลใจ เขาไม่ได้ต้องการเงินจากพวกเขา ชนกานต์แค่ต้องการความปลอดภัยเท่านั้น ซึ่งดูจากแววตาและท่าทางของทั้งสองแล้ว ชนกานต์ก็เชื่อว่าทั้งสองจะพาลูกชายของพวกเขาไปเข้ารับการบำบัดจริง
และอีกไม่นานเขาก็จะไปญี่ปุ่นแล้ว ก็คงไม่ต้องกังวลอะไรอีก
“รับไว้เถอะพ่อหนุ่ม ถ้าพ่อหนุ่มกังวล ฉันบอกได้เลยว่าเงินจำนวนนี้ไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อนอะไรหรอกนะ”
คนพ่อบอกอย่างนั้นก่อนโอบภรรยาให้เดินเข้าลิฟต์ไป ก่อนที่ลิฟต์จะปิด ทั้งสองก็หันมาพยักหน้าให้ชนกานต์ ชนกานต์ค้อมศีรษะให้พวกเขาก่อนจะเดินกลับเข้าไปเอากระเป๋าทำงานในห้องของตัวเองแล้วจึงออกไปทำงาน
เห็นปัญหาของครอบครัวนี้แล้วก็นึกอ่อนล้า
ไม่รู้ว่าตัวเองเพียงคนเดียวนี้จะสามารถเลี้ยงลูกได้ดีไหม เพราะขนาดครอบครัวที่มีทั้งพ่อและแม่ ลูกชายยังกลายมาเป็นคนเช่นนี้ได้เลย
วันเวลาที่เหลือก่อนจะเดินทางไปญี่ปุ่นนั้น ชนกานต์พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปวีร์ตลอดเวลา และก็เหมือนปวีร์จะรู้ เพราะปวีร์เองก็ไม่ได้เข้ามายุ่งย่ามให้เขารำคาญใจ แต่ชนกานต์สังเกตได้ว่าเวลาที่อยู่ใกล้กันหรือเดินผ่านกัน ปวีร์ก็มักจะมองมาด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยอะไรบางอย่าง
ชนกานต์พยายามไม่เอามันมาใส่ใจและจัดการสะสางงานของตัวเองให้เสร็จ เขามอบหมายงานให้กับลูกน้องทุกคน และปฏิเสธการจัดเลี้ยงอำลา รวมทั้งปฏิเสธที่จะบอกทุกคนว่าเขาลาออกทำไมและจะไปทำอะไรหลังจากนี้
ถึงเวลาต้องออกเดินทาง..ชนกานต์ก็นึกใจหายไม่ได้
เขาชอบงานที่ทำ ทั้งหัวหน้าและลูกน้องต่างก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีซึ่งหาได้ยากในปัจจุบัน
ชนกานต์ถอนหายใจ พยายามตัดใจกับความเสียดายแล้วลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของตัวเองออกจากห้องนอน โดยเลือกที่จะทิ้งเสื้อผ้าของเจ้าตัวเล็กที่ปวีร์ซื้อไว้ที่นี่ แต่ทันทีที่เปิดประตูห้องออกไปก็ต้องตกใจเพราะหน้าห้องที่สมควรว่างไม่มีใครกลับมีปวีร์ยืนอยู่
“นะ..นาย!?”
“ผมมารับคุณไปสนามบิน” ปวีร์บอกด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่แววตาบ่งบอกความผิดหวัง
“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันจะไปสนามบินคืนนี้?”
ชนกานต์ถามอย่างนึกสงสัย ปวีร์เอื้อมมือไปยังกระเป๋าลากจะลากไปให้ชนกานต์ แต่ชนกานต์ถอยหนี
“คืนวันที่เกิดเรื่อง...ผมเห็นกระเป๋าเดินทางที่คุณเตรียมไว้เลยแอบเปิดดูก็เห็นตั๋วเครื่องบินของคุณ”
“แล้วนายจะมาทำไม?” ชนกานต์ถามสวนไปทันที ปวีร์ชะงัก หน้าหมองลง
“ผมรู้ว่าการมาของผมคงไม่ทำให้คุณเปลี่ยนใจที่จะไม่ไปญี่ปุ่น แต่อย่างน้อยให้ผมได้ไปส่งคุณเถอะนะ”
“ไม่จำเป็น ฉันเรียกแท็กซี่ไปได้”
“แล้วคุณจะยกกระเป๋าใบใหญ่อันนี้ไปมาเองอย่างงั้นหรอ?”
ชนกานต์นิ่งไป สิ่งที่ปวีร์พูดมามันก็ถูก เขากำลังตั้งครรภ์..การจะยกของหนักเป็นสิ่งที่ไม่ควร คิดได้อย่างนั้นก็ยอมให้ปวีร์ลากกระเป๋าไปแทน
“แค่ไปส่งเท่านั้น เข้าใจไหม?”
ปวีร์ยิ้มให้แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูฝืดฝืนที่สุดนับตั้งแต่ที่ชนกานต์เคยเห็นมา
ตลอดเวลาที่ไปสนามบินมีแต่ความเงียบเข้าครอบงำในรถ
ชนกานต์รู้สึกอึดอัดใจแต่ก็เลือกที่จะนิ่งเงียบและเงียบไปจนกระทั่งถึงเวลาที่ชนกานต์ต้องเข้าไปเช็คอิน
“ไปล่ะ” ชนกานต์บอกโดยไม่มองหน้า แต่ปวีร์ฉวยมือเอาไว้แล้วเอาหยิบเอาซองออกมายัดใส่มือ ชนกานต์เลิกคิ้วมอง
“ถ้าคุณไปแล้ว ผมอาจไม่มีวันได้พบคุณกับลูกอีก คงจะไม่มีวันได้เห็นแกเติบโต..”
ปวีร์พยายามเก็บห้วงอารมณ์ที่สั่นสะเทือนใจลงแล้วฝืนยิ้ม
“ผมขอร้องคุณเพียงอย่างเดียว คือเมื่อแกโตขึ้น...ผมอยากให้แกได้มีโอกาสอ่านจดหมายฉบับนี้”
“จะลองคิดดูก็แล้วกัน”
ชนกานต์ว่าแล้วถือจดหมายไว้ก่อนหันหลังให้ปวีร์แล้วเดินจากไป ปวีร์ยืนมองอยู่ตรงจุดนั้น จนกระทั่งชนกานต์หายไปจากสายตา...
“ผมรักคุณ...ชนกานต์...”
เหลือเวลาอีกพักใหญ่กว่าจะถึงเวลาขึ้นเครื่อง ชนกานต์เดินไปหาที่นั่งรอแล้วหยิบเอาแท็บเล็ตออกมาเปิดอะไรดูฆ่าเวลา จดหมายที่ปวีร์ให้มาถูกหยิบติดขึ้นมากับแท็บเล็ต ชนกานต์มองดูมันแล้วเม้มริมฝีปาก ระหว่างที่นึกช่างใจว่าจะทิ้งมันไปดีหรือเก็บไว้ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องอ้อแอ้ขึ้นมาเสียก่อน
ชนกานต์เงยหน้ามองก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มลูกมานั่งฝั่งตรงข้าม เธอส่งยิ้มมาให้เป็นมิตรก่อนจะหันไปบอกให้สามีของเธอที่เดินตามมานั่งข้างๆหยิบเอาขวดนมให้ลูก ชนกานต์นั่งมองภาพของสามคนพ่อแม่ลูกที่ดูมีความสุขแล้วเจ็บแปลบในใจ
รู้สึกอ่อนไหวกับภาพนี้จนต้องเบือนหน้าหนี
‘อย่าห่วงไปเลยน่า..ผมเป็นพ่อได้ดีกว่าที่คุณคิดแน่’
คำพูดที่ปวีร์เคยพูดไว้ มันดังขึ้นมาจากความทรงจำ
คำพูดนั้นจะเป็นจริงไหม..เขาคงไม่มีโอกาสได้รู้ เพราะตัวเขาเองปิดกั้นโอกาสที่จะให้ปวีร์ได้พิสูจน์ตัวเองไปแล้ว
มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกแล้วใช่ไหม..?
ชนกานต์ถามตัวเองอีกครั้งขณะที่ก้มหน้ามองซองจดหมายในมือ ที่ปวีร์ปรารถนาจะให้ลูกได้อ่าน
เขียนอะไรเอาไว้นะ?
ด้วยความอยากรู้พาให้ชนกานต์ฉีกซองจดหมายนั่นและดึงเอากระดาษข้างในออกมากางอ่าน ข้อความในจดหมายเขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบที่จำได้คุ้นตา
ถึง ลูกรัก
ในวันที่พ่อเขียนจดหมายนี้ พ่อเองก็ไม่รู้ว่าลูกจะได้มีโอกาสได้อ่านมันเมื่อไหร่แต่พ่อก็หวัง...ว่าสักวันลูกจะได้อ่านจดหมายฉบับนี้และอยากให้ลูกรู้ไว้ว่าถึงเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่พ่อก็รักลูกและแม่ของลูกมากนะครับ
ตอนที่เขียนจดหมายฉบับนี้ พ่ออดคิดไม่ได้ว่าลูกจะเป็นผู้ชายหรือจะเป็นผู้หญิง
จะมีสุขภาพแข็งแรงหรือเปล่า?
หน้าตาจะเป็นอย่างไร? จะน่ารักแค่ไหน?
จะเหมือนพ่อหรือเหมือนแม่?
จะมีนิสัยอย่างไร?
ทว่าทุกอย่างก็เป็นได้เพียงแค่ความคิดเท่านั้น พ่อคงไม่มีโอกาสที่จะได้รับรู้ คงไม่มีโอกาสที่จะได้เฝ้ามองลูกเติบโตอย่างที่หวัง ทุกอย่างมันเป็นความผิดของพ่อเองที่ทำให้เราไม่ได้มีครอบครัวที่แสนอบอุ่นอย่างที่พ่อเคยฝันถึงเอาไว้
แต่พ่ออยากบอกให้ลูกรู้ไว้นะครับ ว่าถึงเราจะอยู่ห่างกันแสนไกล แต่ใจของพ่อจะอยู่กับลูกและแม่ของลูกอยู่เสมอ
รัก
จากพ่อ
อ่านจบแล้ว ชนกานต์ก็สูดลมหายใจลึกก่อนจะพับมันเก็บลงไปในซอง
จดหมายของปวีร์มันแสนสั้นแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก ชนกานต์เงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
ภาพของครอบครัวอบอุ่นที่มีกันสามคนพ่อแม่ลูกแบบนี้หรือเปล่าที่ปวีร์ใฝ่ฝัน
แล้วคำว่ารักที่ปวีร์พูดบอก มันเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ?
ชนกานต์ยกมือขึ้นมาลูบหน้าอย่างอ่อนล้า เขาจะใช้ชีวิตต่อไปกับความรู้สึกที่มันขาดหายนี้ได้อย่างไรกัน
จะสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากนี้ได้จริงๆน่ะหรือ?
จะสามารถลืมปวีร์ได้..อย่างนั้นหรือ?
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็มีเสียงประกาศเรียกให้ไปขึ้นเครื่อง ชนกานต์มองดูสามีภรรยาตรงหน้าพาลูกลุกขึ้นเดินออกไปก่อนจะก้มลงมองดูตั๋วที่วางไว้บนตัก ชนกานต์จัดการเก็บแท็บเลตที่เอาขึ้นมาแต่ไม่ได้ใช้ก่อนลุกขึ้นยืนเดินออกจากเล้านจ์พร้อมกับตั๋วในมือ
คิดถูกหรือเปล่าที่ไม่รั้งชนกานต์เอาไว้?...
ปวีร์ยืนคิดอยู่อย่างนั้น ในใจนึกสับสนว่าการที่ปล่อยชนกานต์ไปตามที่ชนกานต์ต้องการมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วใช่ไหม
ไม่! เขาไม่ควรจะทำแบบนี้ เขาไม่ควรปล่อยให้ชนกานต์ไปจากเขาแบบนี้!
ชนกานต์กับลูกคือคนสำคัญสำหรับเขา ปวีร์แน่ใจว่าจะไม่มีวันยอมให้อภัยตัวเองเป็นแน่ ถ้าปล่อยให้คนสำคัญเดินจากไปโดยไม่พยายามรั้งเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
คิดได้อย่างนั้นแล้ว ปวีร์ก็ยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา เวลาที่เหลือมันจวนเจียนเหลือเกิน แต่ถ้าไม่พยายามเลยก็เท่ากับละทิ้งโอกาสของเขาเอง
เขาจะไปตามหาชนกานต์ จะขอร้องและอ้อนวอนให้ชนกานต์มอบโอกาสแก่เขาอีกสักครั้ง
แม้ว่าต้องคุกเข่ากอดขาชนกานต์...เขาก็จะทำ!
แต่พอหันหลังกลับมา..ปวีร์ก็สะดุ้งวาบ
“คุณ...”
ปวีร์พูดแทบไม่ออกเมื่อเห็นชนกานต์ยืนอยู่ตรงหน้า เขาก้าวเข้าไปหา อยากจะโอบกอดชนกานต์ไว้ในอ้อมแขนแต่อีกฝ่ายถอยหลังไปเมื่อเห็นเขาเข้าไปใกล้ ปวีร์จึงหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ชนกานต์เหลือบตาขึ้นมองเขาแล้วชูจดหมายที่เขาเขียนขึ้นมา ก่อนจะฉีกมันต่อหน้าเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ปวีร์นึกใจเสียที่ชนกานต์ทำเช่นนั้นจนพูดอะไรไม่ออก
“อยากจะบอกอะไร..ก็เก็บเอาไว้บอกเอง ไม่ต้องมาเขียนให้มันดูน้ำเน่าแบบนี้”
ชนกานต์พูดแล้วปาเศษจดหมายใส่อกปวีร์ก่อนยกมือขึ้นกอดอก
“หมายความว่า...”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อคมอย่างฉับพลันเมื่อเข้าใจความหมายของคำพูดที่ชนกานต์เอ่ยออกมา
“ฉันให้โอกาสนายแล้ว...อย่ามาทำให้ฉันผิดหวังก็แล้วกัน”
ชนกานต์บอกก่อนเชิดหน้าใส่ ปวีร์ก้าวมารวบกอดเขาไว้ด้วยความดีใจ ชนกานต์ยกมือผลักให้ปวีร์เลิกกอดด้วยความอายกับสายตาของคนรอบข้างที่มองมาแต่สุดท้ายก็ต้องยืนนิ่งยอมให้ปวีร์กอดต่อหลังจากได้ยินคำพูดที่กระซิบอยู่ข้างหู
“ผมสัญญา...ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง”
ปวีร์ไม่ได้เพียงให้คำมั่นกับชนกานต์เท่านั้น แต่ยังเป็นคำมั่นที่ให้กับตัวเองอีกด้วย ว่านับจากนี้ไป..เขาจะไม่ทำร้ายจิตใจคนที่เขารักอย่างที่เคยทำอีก
“จำคำพูดของนายวันนี้ให้ดีก็แล้วกัน”
ชนกานต์บอกก่อนจะยันอกให้ปวีร์เลิกกอดตัวเองเสียที ปวีร์ยอมผละกอด ใบหน้าหล่อที่เอาแต่ยิ้มอย่างมีความสุขนั่นทำให้ชนกานต์นึกหมั่นไส้ไม่น้อย
“ไป! กลับกันได้แล้ว ฉันง่วง!”
ชนกานต์บอกแล้วผลักกระเป๋าที่ลากมาให้ปวีร์เป็นคนลากแทน ปวีร์จับที่ลากเอาไว้ก่อนดึงมือคนที่ทำท่าจะเดินนำไป ชนกานต์หันมาเลิกคิ้ว ยังไม่ทันจะถามอะไรก็ถูกฉกจูบไปท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมาในสนามบิน
“ขอบคุณนะครับ...ที่ให้โอกาสผู้ชายเลวๆคนนี้”
“รู้ตัวว่าเลวก็ดี แล้วจากนี้ไปก็ทำตัวเป็นพ่อที่ดีด้วยล่ะ ไม่งั้นล่ะก็...ฉันหาพ่อใหม่ให้เจ้าตัวเล็กมันแน่!”
ชนกานต์เอ่ยขู่ก่อนจะเดินนำออกไปด้วยใบหน้าที่อมยิ้ม
ก็อยากจะรู้เหมือนกัน...
ว่าคนอย่างปวีร์จะเป็นพ่อที่ดีได้อย่างที่ปากว่าหรือเปล่า!
End
จบแล้ววววว ใครอยากได้รวมเล่มไปเก็บไว้เป็นที่ระทึก เอ้ย ระลึก สามารถติดตามข่าวสารได้ทางหน้าเพจค่ะ จะเปิดจองรอบไปรษณีย์เร็วๆนี้ค่ะ ^^
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านมาตลอด ขอบคุณทุกความคิดเห็น ทั้งคำติคำชมทุกอย่างขอน้อมรับเอาไว้ โดยเฉพาะคำติเตือนค่ะ จะเก็บเอาไว้ปรับปรุงในครั้งต่อๆไปนะคะ
ยังไงก็ฝากผลงานเรื่องอื่นด้วยนะคะ
ป.ล. เดี๋ยวอาจจะมีตอนพิเศษมาแปะเพิ่มให้น้าาา^^