เก้าชั่วโมงผ่านไป เราก็มาถึงเมลเบิร์นสักที ผมนั่งๆ นอนๆ หลับบ้างตื่นบ้าง ปกติเป็นคนไม่ชอบนั่งเฉยๆ อยู่แล้วครับ ชอบลุก ชอบเดิน ชอบวิ่งเล่น ไม่ชอบอยู่กับที่ ถึงแม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาเมืองนอกก็ตาม แต่ทุกครั้งที่ต้องนั่งเครื่องบินนานๆ ก็พานหงุดหงิดทุกที ผิดกับไอ้คนข้างๆ ผม ตั้งแต่ขึ้นเครื่องมามันก็นั่งอ่านหนังสือบ้าง วาดรูปบ้างสลับกันไป นานๆ ทีก็จะหลับพักสายตาสักครู่ ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาวาดรูปต่อ ไอ้พายมันจะมีสมุดสเก็ตเล่มประมาณ A5 แต่ค่อนข้างหนา เป็นสมุดที่เปลืือยๆ ปกน้ำตาลกระดาษขาว พกติดตัวตลอดเวลา
“พาย มึงไม่ง่วงบ้างเหรอ ไม่เห็นมึงหลับบ้างเลย” ผมกระซิบถามมันขณะที่กำลังรอทยอยเดินผ่านงวงเข้าเกทของสนามบิน Tullamarine สนามบินนานาชาติ ประจำเมลเบิร์น
“กูจะไปหลับได้ยังไงล่ะ ก็มึงยุกยิกๆ อยู่ตลอด เป็นเหี้ยอะไรนักหนาทำเป็นบ้านนอกเพิ่งเคยขึ้นเครื่องบินไปได้ กูว่าจะหันไปตบให้มึงหยุดขยับตัวหลายทีแล้ว แต่เกรงใจคุณป้าคนข้างๆ มึง” งะ อะไรอะเขาถามเพราะเป็นห่วง กลัวมันง่วง แต่กลับโดนเหวี่ยงกลับมาชุดใหญ่ ใจร้ายยยยยยย เมียกูใจร้ายยยยยยย
“ก็กูเมื่อยอะ คนมันไฮเปอร์ มึงเข้าใจเปล่าเนี่ย มันอยากเดินไปไหนมาไหน อยากเหยียดแข่งเหยียดขาบ้างอะ”
“แล้วทำไมไม่จองบิสสิเนทล่ะไอ้งก” แหม ไอ้ไม่งก ค่าตั๋วเครื่องบินกูก็จ่าย ค่าที่พัก ค่ากินค่าอยู่ กูก็จ่าย เรียกว่า มันไปแต่ตัวทัวร์ฟรีตลอดๆๆๆ แล้วดูมัน มันด่าผมเสร็จก็สะบัดตูดใส่เดินนำไป เอ๊ยยยยย รอกูก๊อนนน อย่าทิ้งกูนะเว้ย กูคุยกับใครไม่รู้เรื่อง!!!!
หลังจากผ่านตม. รอกระเป๋าอะไรต่อมิอะไรเสร็จสิ้น เราสองคนก็ขึ้น Sky bus ไปลงในตัวเมืองเพื่อจะเข้าที่พักกันครับ เราสองคนเลือกพักกันแบบ Backpacker ราคาไม่แพงมากนัก เราจองห้องแบบแชร์ 4 เตียง เป็นเตียงแบบสองชั้น นอนได้ 4 คน เป็นแบคแพคที่ดูสะอาดและปลอดภัย แม้เตียงจะเล็กไปหน่อย แต่มันสะดวกตรงที่ตั้งอยู่ใน Flinders Street เป็นถนนสายหลัก ที่มีอาคารสวยๆ เต็มไปหมด แถมอยู่ใกล้สถานีรถไฟที่มีหน้าตาคล้ายหัวลำโพงบ้านเราด้วยครับ ไอ้พายบอกว่าสถานนีนี้เป็นสถานีที่เป็นศูนย์กลาง ใครจะไปเมืองไหนก็ต้องมาขึ้นกันที่นี่ แล้วที่หน้าตาเหมือนหัวลำโพง ก็เพราะว่า เป็นสถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียนเหมือนกันนั่นเอง แหมมีเมียเป็นอาร์ตติสก็ดีตรงนี้แหละนะ
“กูนอนเตียงล่างนะ มึงนอนบนแล้วกัน กูดิ้น กูกลัวตก” จ้าๆ กูเคยไม่ยอมมึงเรอะ ตามสบายเลยที่รัก
“เตียงข้างๆ มีคนนอนคนนึง ไม่รู้ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายเนอะ” ห้องที่ผมเลือกเป็นแบบไม่ได้แยกหญิงชายครับ เพราะจะถูกกว่าเดิมไปอีก ห้องนี้สี่เตียงแต่ไม่เต็ม ตอนนี้มีคนพักอยู่ก่อนเราเตียงเดียว
“ทำไม ถ้าเป็นสาวฝรั่งนมโต มึงจะแอบชะโงกมาดูทั้งคืนหรือไง” ไอ้พายที่กำลังรื้อเสื้อหนาวในกระเป๋ามาใส่เพิ่ม ก็เงยหน้าขึ้นมาค้อนผมที่กำลังจัดที่จัดทางอยู่บนเตียงข้างบน ผมเลยชะโงกหน้าลงมาคุยกับมัน
“ก็ชะโงกดูว่าเค้าหลับรึยัง ถ้าหลับแล้วกูจะได้ลงไปลวนลามเมียตัวเองได้ถนัดๆ ไง กร๊ากกกก” โป๊ก!!! “โอ๊ยยยย ไอ้พ๊ายยยย เขวี้ยงมาได้ ขวดโรออนไม่ได้เบาๆ นะมึง ทำไมมึงปาแม่นจังวะไอ้ห่านี่” เดี๋ยวนี้ไอ้พายเวลามันเขินทีไร มือไม้ออกสเต็บเหวี่ยงทุกที ผมก็ได้เจ็บตัวตลอด แต่ยอมครับ ได้กวนตีนเมียวันละนิดจิตแจ่มใส
“อ้าว ไฮ… ผู้ร่วมห้องสินะ ผมราฟาเอลมาจากโรม เรียกราฟก็ได้ครับ แล้วคุณสองคนล่ะ” ไอ้หนุ่มตาหวาน ผมสีน้ำตาล เดินเปิดประตูเข้ามาในห้อง ในมือมีกระดานวาดรูป บนคอก็แขวนกล้องตัวยักษ์แบบของที่ผมเคยเห็นไอ้พายมี ท่าทางจะเป็นศิลปิน แต่เป็นอะไรก็ช่าง มึงเลิกยิ้มหวานให้เมียกูได้และ ทักสองคนแต่หน้ากูไม่เสือกมอง มองแต่เมียกูเนี่ยนะ
“ไฮ ผมพชรพล เรียกพายก็ได้ ส่วนข้างบนนี่รับชัย เรียกริวก็ได้ครับ พวกผมมาจากประเทศไทยน่ะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ไอ้เมียแรดของผมแนะนำตัวเสร็จสรรพก็ลุกขึ้นไปจับมือเซย์ไฮทักทายยิ้มแย้ม ชิส์ เห็นหนุ่มๆ เป็นไม่ได้นะมึง กูหล่อกว่าไอ้นี่หลายล้านเท่า
“อะ ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” ก็ยังดีที่เสือกเดินมายืนมือจับกับกูด้วย นึกว่าจะสนใจแต่เมียชาวบ้านเขาอย่างเดียว
แล้วหลังจากนั้น มันสองคนก็ส่งภาษาคุยกัน โช้งเช้ง หัวเราะต่อกระซิกกันสนุกสนาน แรกๆ ไอ้พายก็มีเงยหน้าขึ้นมาแปลให้ผมฟังบ้าง แต่ไปๆ มาๆ กลับคุยกันออกรสชาติ ลืมผมไปเลย… ชิส์ งอนว่ะ ช่วงแรกๆ ที่มันแปลๆ ให้ฟัง มันบอกว่าไอ้ราฟเนี่ย เป็นศิลปินอิสระ บินไปวาดรูปตามเมืองต่างๆ ไปมาทั่วโลก ไม่ต่ำกว่ายี่สิบประเทศแล้ว โซนเอเชียมันก็ไปมา แต่ยังไม่ได้ไปเมืองไทย มันสนใจประเทศไทยเหมือนกัน แล้วคิดว่าคงต้องหาเวลาไปอยู่นานๆ สักหน่อย เพราะมีหลายๆ ที่ที่อยากเก็บภาพ
ทีนี้พอเจอคอเดียวกันไอ้พายของผมก็เลยเม้าท์ไม่หยุด ผมก็หงุดหงิดเล็กน้อยตอนแรกกะว่าจะชวนมันออกไปเดินๆ เล่นแถวนี้ แต่เห็นสองเพื่อนใหม่เค้าคุยกันสนุกสนานซะขนาดนี้ก็ไม่อยากไปขัด เลยทิ้งตัวนอนหลับเอาแรงดีกว่า จริงๆ ก็แอบงอนนิดหน่อย แต่พอเห็นสีหน้าและแววตาไอ้พายที่ได้คุยเรื่องที่ตัวเองชอบแล้ว ผมก็แอบขัดมันไม่ลง แววตาใสๆ วาววับ เหมือนได้เจอของเล่นถูกใจแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยนักนะครับ อะไรที่เป็นความสุขของมัน ผมยอม
ผมงีบหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ตื่นขึ้นมาอีกทีเสียงพูดคุยในห้องก็เงียบไปแล้ว ลุกขึ้นมาในห้องก็ว่างเปล่า อ้าว!! ไอ้พายหายไปไหนวะ… หันไปเห็นข้างๆ หมอนผมมีกระดาษวางอยู่ หยิบขึ้นมาดูก็เป็นลายมือไอ้พาย
‘กูออกไปวาดรูปใกล้ๆ นี้กับราฟนะ ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวกลับมาแล้วไปกินข้าวกัน มึงพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวกูกลับไปถึงกูปลุกเอง…พาย’
ไอ้ห่าาาาาา บอกให้กูไม่เป็นห่วง กูจะทำได้ไหม… เมียตัวเองออกไปไหนก็ไม่รู้กับผู้ชายที่เพิ่งเจอกันวันแรก กูไม่เป็นห่วงก็ไม่ใช่คนแล้วไอ้พาย… แต่จะทำอะไรได้ครับ ออกไปไหนก็ไม่ถูก ภาษาอังกฤษก็งูๆ ปลาๆ ทำได้ก็เพียงแค่นั่งรอมันเท่านั้น
ผมออกไปเข้าห้องน้ำแล้วเดินกลับมายืนรอมันหน้าห้อง ให้เข้าไปนั่งในห้องก็ไม่ไหว มันหงุดหงิด ก็อย่างที่บอกผมเป็นพวกไฮเปอร์ แล้วถ้ายิ่งหยุดหงิดๆ แล้วล่ะก็ ให้นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้แน่ๆ … ออกมาเดินๆ วนไปวนมาหน้าห้องตัวเองอยู่เกือบยี่สิบนาที ก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษดังแว่วมา แล้วไอ้พายกับไอ้ราฟก็เดินมาด้วยกัน ในมือไอ้พายมีกล้องตัวใหญ่ของมันพร้อมสมุดสเก็ตประจำตัว เดินคุยจ้อมากับไอ้ฝรั่งตัวโตท่าทางของไอ้พายมีความสุขมากๆ
ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าตัวเองเป็นคนขี้อิจฉาขนาดไหน… ผมไม่อยากให้ใครมาทำให้ไอ้พายมันหัวเราะด้วย นอกจากผม ผมไม่อยากเห็นมันคุยกับใครแล้วมีความสุขกว่าคุยกับผม ผมอิจฉาผู้ชายคนอื่นๆ ที่ไอ้พายอยู่ด้วยแล้วมันมีความสุข ผมแม่งโคตรนิสัยไม่ดีเลยว่ะ เหี้ยจริงๆ อย่างที่ไอ้พายมันด่านั่นแหละ
“อ้าวมึง หิวเหรอออกมายืนรอเลย แป๊บนะ เดี๋ยวกูกับราฟเก็บของก่อน แล้วเดี๋ยวเราออกไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน มื้อนี้ราฟเป็นเจ้ามือ…” ทำไมต้องมีมันออกไปแดกข้าวกับเราด้วยวะ ผมยิ่งเซ็งหนักเข้าไปใหญ่ มาเที่ยวกันทั้งที ก็อยากจะอยู่กันสองต่อสองบ้าง รู้อย่างงี้ยอมจ่ายแพงนอนโรงแรมดีๆ ไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาเจอไอ้ฝรั่งติสต์แตกนี่
“เป็นอะไรอะ ทำหน้ามุ่ยเลยมึง หนาวเหรอ ปวดหัวรึเปล่า หรือหิวมากจนมึน เดี๋ยวเดินอีกนิดเดียวก็ถึงแล้วนะ” สุดท้ายผมไอ้พาย และไอ้ราฟก็เดินออกไปหาอะไรกินด้วยกันข้างนอก อากาศช่วงหัวค่ำเย็นลงอีกเยอะ ตอนนี้น่าจะซัก 6 องศา แต่ที่ผมหน้างอไม่ได้มาจากอากาศ แต่เห็นไอ้พายหันมาเป็นห่วงเป็นใย ลูบหัว ลูบหน้าขนาดนี้ จะไปพาลหงุดหงิดใส่มันก็จะดูงี่เง่าเกินไปหน่อย ก็เลยได้แต่ส่ายหน้าให้มันไป
“ไม่ได้เป็นอะไร คงจะหิวๆ น่ะแหละ” แม่งช่างตอบได้พระเอกจริงๆ เลยกู ไอ้พายก็ไม่ได้สงสัยหรือซักต่อ แถมเดินถึงร้านอาหารที่จะทานกันแล้วด้วยก็เลยมุ่งความสนใจไปที่ร้านมากกว่า
ร้านอาหารที่ไอ้พายพามานี่สวยจริงๆ ครับเป็นร้านที่เป็นทั้งบาร์ และคาเฟ่ ตัวของร้านอาหารยื่นไปกลางแม่น้ำยาร์ร่า เหมือนได้อยู่บนเกาะ หรือบนเรือเลย คาเฟ่เก๋ๆ แบบนี้อยากมากับมันแค่สองคนจังเลย
ระหว่างทานอาหาร ไอ้พายก็เอาแต่คุยเหมือนเดิมครับ ก็คุยกับไอ้ราฟนั่นแหละ นานๆ ทีจะหันมาคุยกับผมบ้าง ไอ้ราฟก็หันมาคุยกับผมเหมือนกัน มันก็พยายามพูดช้าๆ ให้ผมเข้าใจ สงสัยไอ้พายจะบอกให้พูดกับผมช้าๆ หน่อย บางคำยากๆ ไอ้พายก็เหมือนรู้ มันก็หันมาแปลให้ฟัง แต่ผมก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรเท่าไหร่
ทานอาหารเสร็จ เราก็ออกไปเดินเล่นถ่ายรูปวิวกันที่ริมแม่น้ำยาร์ร่า บรรยากาศยามค่ำคืนสวยแบบหนาวๆ ถ้ามาคนเดียวคงจะเหงาๆ เหมือนกันนะครับ ถึงแม้ตอนนี้ผมโชคดีที่ไม่ต้องมาคนเดียวก็ตาม แต่มันก็กลับเหงาอย่างบอกไม่ถูก…เฮ้อออออ นี่กูจะทำตัวเป็นพระเอกมิวสิคไปอีกนานแค่ไหนวะเนี่ย หงุดหงิดตัวเองเหมือนกันนะครับ
เดินกันอยู่สักพักใหญ่ๆ ไอ้พายก็ชวนเรากลับห้องกัน มันบอกราฟว่ารู้สึกเพลียๆ อยากนอกเพราะเพิ่งมาถึงยังไม่ได้พักเลย… แหมเพิ่งจะมารู้สึกเพลียหรือไงกันมึง ทีออกไปตะลอนๆ กับไอ้หนุ่มนี่ ไปได้นะ
พอกลับถึงห้องก็แยกย้ายกันไปล้างหน้าแปรงฟัน คืนนี้ขอซักแห้งกันทั้งคู่ครับ หนาวเหลือเกิน เสร็จแล้วผมก็ปีนขึ้นเตียงนอนหลับหูหลับตาไปซะ ไอ้พายกับไอ้ราฟก็ยังคงนั่งคุยกันอยู่ ไหนมึงบอกว่ามึงง่วงไงวะ แล้วมึงเป็นญาติที่พลัดพรากจากกันมาตั้งแต่ชาติปางไหนหรือไง คุยอะไรกันนักหนา มึงจะสรรหา ห่าเหวอะไรมาคุยกันจัง ผมขี้เกียจนอนฟังมันส่งภาษาที่ฟังไปก็ไม่เข้าใจใส่กัน ก็เลยควักไอพอดขึ้นมาเปิดเพลงฟัง…
นอนฟังเพลงแล้วคิดอะไรเพลินๆ ไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกที ก็ตอนที่สะดุ้งตกใจเพราะมีใครปีนขึ้นมาบนเตียง ก่อนจะเบียดตัวซุกลงบนอกผม ผมไม่ได้โวยวายอะไรหลังจากตกใจ เพราะรับรู้ได้จากสัมผัสและกลิ่นกายว่าเป็นของคนคุ้นเคย เป็นไอ้แรดตัวเดิมของผมนั่นเอง
“เป็นอะไรหึ… งอนอะไรกูเหรอ วันนี้เงียบจัง” จริงๆ ผมควรจะต้องงอนมันต่อ แต่แม่งเสือกเผลอแอบยิ้มในความมืดได้ยังไงวะกู นานๆ ทีจะมีแบบนี้นะครับ ที่ไอ้พายเข้ามาอ้อนผมก่อนเนี่ย นอกจากปีนขึ้นมานอนซบอกแล้ว มันก็ยกมือขึ้นมาดึงหูฟังออกจากสองหูของผม แล้วก็เลื่อนมือลงมาโอบรอบกอดรัดผมไว้แน่นๆ อีก ก่อนจะค่อยๆ ยกคอเผยอหน้าตัวเองขึ้นมาจูบเบาๆ ที่ปลายคางผม แล้วกระซิบถามไถ่
“เปล่า ไม่ได้งอนอะไร กูจะไปงอนมึงเรื่องอะไรล่ะ” ก็ปฏิเสธไปตามสไตล์พระเอกรูปหล่อ แต่ยังคงนอนนิ่งให้มันกอดอยู่เฉยๆ โดยที่ยังไม่ได้กอดมันตอบแต่อย่างไร
“แบบนี้งอนชัวร์!!! ไม่เอาดิน้าาาาา นะ ไม่งอนนะเหี้ยคนดี๊คนดี ไม่งอนกูนะ” หึหึ มันอ้อนจนผมอยากจะฟัดมันแล้วครับ แต่ใจเย็นไว้ก่อนไอ้ริว นานๆ จะได้ดูมันอ้อนนะเว้ยมึง ของดีแบบนี้มีน้อยรอดูให้คุ้มก่อน
“ก็บอกว่าไม่ได้งอนไง ทำไมถึงคิดว่ากูงอนล่ะ”
“ก็มึงเงียบอะ แถมยังเสือกทำหน้ามุ่ยเหมือนคนปวดขี้อยู่ตลอดเวลา ไอ้เหี้ยริวตัวจริงต้องคุยกับกูตลอดอะ ไม่ยอมปล่อยให้กูพูดอยู่คนเดียว ต้องแหย่ให้กูด่า ให้กูขำดิ แต่นี่มึงเปล่าอะมึงเงียบ แถม…แถมตอนนี้ ปกติเวลากูกอด กูไม่ต้องพูดอะไร มึงก็กอดตอบทันทีเลยด้วยซ้ำ นี่มึงยังไม่แม้แต่จะยกมือขึ้นมาแตะกูเลย…” อ้าว น้ำตาจะซึมซะแล้วครับมัน อ้อนๆ อยู่ดีๆ มาขี้แยซะแล้ว ซวยเลยกู ผมรีบยกมือกอดมันแทบไม่ทันเลย
“โอ๋ๆ ไม่ต้องร้องๆ ไม่ได้งอนจริงๆ นะ” ผมยกมือขึ้นลูบแก้มมันเบาๆ แสงไฟจากหน้าต่างลอดเข้ามาให้เห็นวงหน้ามันแค่เสี้ยวเดียว แต่ก็พอเดาได้ว่าไอ้คนตัวเล็กที่ซุกอยู่บนตัวผมตอนนี้ คงกำลังพร้อมเป่าปี่เต็มแก่แล้ว แกล้งมันต่อคงไม่ดีแน่ เดี๋ยวถ้าร้องไห้โฮขึ้นมาคนที่ซวยจะเป็นผม
“ก็แล้วทำไมต้องนิ่งๆ เหมือนไม่สนใจกูด้วยล่ะ” ไม่ร้องไห้แล้วครับ แต่น้ำเสียงกลับมาเหมือนเหวี่ยงๆ งอนๆ ใส่ผมแทน อ้าวกลายเป็นกูโดนงอนซะงั้น
“เปล่าคร๊าบบบ เปล่าไม่สนใจ ก็มองมึงอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ จะให้ไปสนใจมองใครล่ะ แต่ก็เห็นมึงมีเพื่อนใหม่ไง คุยกันถูกคอ ก็เลยปล่อยให้มึงคุยกัน” ตอนนี้อดใจไม่ไหว ขอหอมแก้มมันสักทีนึงเถอะครับ
“อ๋อออออ แสดงว่าหึงล่ะสิ… หึหึ ไอ้เหี้ยขี้หึง” คราวนี้ไอ้พายฟัดแก้มผมคืนสองที ผมเลยยกสองมือขึ้นประคองสองแก้มนิ่มของมัน ลูบเบาๆ ก่อนจะกระซิบชิดริมฝีปาก
“อืม… หึงน่ะสิ หึงมากๆ กูหึงจนรู้สึกเกลียดตัวเองเลยล่ะ ไม่เคยคิดว่ากูจะหึงใครได้มากขนาดนี้มาก่อน กูหงุดหงิดไปหมด กูอยากไปกระชากตัวมึงแล้วเดินหนีกลับมาด้วยซ้ำ ตอนที่เห็นมึงเดินคุยกับไอ้ฝรั่งนั่นตอนไปกินข้าว กูไม่อยากเห็นมึงหัวเราะกับใครนอกจากกู กูอิจฉามันที่คุยในเรื่องที่มึงชอบ แล้วมีความสุข ไม่ใช่ไม่อยากเห็นมึงมีความสุข แต่กูอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มึงมีความสุขมากกว่าใคร… กูเหี้ยเนอะ”
ผมพูดจบ ก็รั้งคอไอ้พายลงมาจูบ ปากเราสัมผัสกันเบาๆ ก่อนที่ไอ้พายจะค่อยๆ กดน้ำหนักลงมา แล้วค่อยๆ ส่งลิ้นเข้ามาทักทายหยิบยื่นให้ผมต้องรีบเปิดรับก่อนที่จะส่งของตัวเองออกไปหยอกเย้า เราจูบกันหนักเบาสลับกันไป เสียงจ๊วบจ๊าบ ดังสลับกับเสียงหอบหายใจ เนิ่นนานแค่ไหนไม่มีใครจะสนใจนัก จนไอ้พายค่อยๆ ถอนจูบออกจากปากผม แต่ผมก็ผงกหัวขึ้นไปตามจูบแถมอีกสองสามจ๊วบ
“อือ อืม… มึงเหี้ยจริงๆ นั่นแหละ… แต่กูก็ดีใจจังที่ได้ฟังมึงพูดแบบนี้ กูรู้สึกดี รู้สึกว่าตัวเอง มีค่า และเป็นที่รักสำหรับมึงมากๆ กูกับราฟไม่ได้มีอะไรพิเศษต่อกันเลย เราแค่แลกเปลี่ยนทัศนคติเรื่องศิลปะ เรื่องผลงาน เขาก็วิจารณ์งานของกูให้ฟัง ก็แค่คุยกันเรื่องศิลปะเอง เขาไม่ได้พิเศษไปกว่ามึงเลย ไม่มีผู้ชายคนไหนในโลกนี้พิเศษไปกว่ามึงหรอก… ถ้ามึงเหี้ยที่มึงหึงกูแบบนี้ กูก็คงจะเหี้ยด้วยมั้ง ที่รักคนเหี้ยๆ แบบมึงมากน่ะ ไอ้เหี้ยของกู” จุ๊บ!!! ไอ้พายพูดจบก็ก้มมาจุ๊บปากผม
“มึงไม่เหี้ยหรอกพาย มึงมันแรดไง ทำเป็นจำไม่ได้นะว่าตัวเองแรด… โอ๊ย!!! เดี๋ยวนี้เขินแล้วลงไม้ลงมือนะมึง อย่าเอานอมาขวิดกูนะเว้ย ฮ่าๆๆๆ โอ๊ยยย เจ็บๆ ปล่อยก๊อนนนน” ไอ้พายมันเอามือมาจิกหัวผมกลับ กูไม่ได้ทำมาเพื่อมึงจิกนะเว้ยผมทรงนี้เนี่ยไอ้ห่าาาาา
“ปากมึงนี่น่าถีบจริงๆ”
“น่าถีบเหรอ แต่ทำไมกูเห็นมึงจูบเอาๆ ตลอดล่ะจ๊ะน้องแรด เอ๊ย น้องพาย” มันเตรียมง้างมือจะทุบอีกแล้วครับ ดีนะผมจับไว้ได้ก่อน
“นอนๆ ไปเลย พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้านะมึงจะได้เริ่มเที่ยวกันสักที”
“แล้วมึงจะนอนกับกูบนนี้เหรอ… ไม่กลัวตกแล้วเหรอ”
“อืม จะนอนด้วย มีปัญหารึไง… ก็มีมึงนอนกอดอยู่แบบนี้ จะกลัวทำไมเล่า หลับเถอะ” แล้วมันก็ขยับตัวยุกยิกอยู่สองสามที ก่อนที่จะซบตัว ซุกอกผมหลับไป หนาวๆ แบบนี้ ได้นอนกอดกันก็อุ่นกาย สบายใจดีนะครับ
ก่อนที่สติเราทั้งคู่จะลาลับไปในคืนนี้ ผมกระซิบบอกรักไอ้พายมันเบาๆ มันพยักหน้ารับรู้ แล้วผมก็บอกมันอีกประโยคนึง แล้วก็ได้รับกำปั้นจากไอ้พายเบาๆ ก่อนนอนไปหนึ่งที
“รักมึงนะ… งั้นพรุ่งนี้ เราไปหาโรงแรมดีๆ อยู่กัน เราจะได้ทำอะไรได้มากกว่านอนกอด…ดีไหม” ไอ้พายทุบ แต่มันดันตอบผมว่า
“อืม…ดีเหมือนกัน” นี่แหละครับ ไอ้พายของผม ผมรักมันจัง
++++++++++++++++++++
+ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับแฟนๆ น้องพายที่เข้าไปถามไถ่ในเฟสฯ กันตลอด ครั้งนี้มาช้ามาก แต่ก็มีตอนสั้นๆ ตามประสาผัวเหี้ยเมียแรดให้อ่านกันในเฟนพอให้หายคิดถึงนะคะ
+ เหมือนเดิมจ้า แวะมาคุยกันได้ที่เฟสฯ นะคะ www.facebook.com/mercy.novel จ้า