[13]
คุณเคยได้ยินคำว่าตื้อเท่านั้นที่ครองโลกไหมครับ?
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ยึดคำนั้นในการดำเนินชีวิต เรียกว่าเป็นคนที่ไม่ชอบทำและไม่ชอบโดนใครตื้อเลยเพราะรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ชวนวุ่นวายและน่ารำคาญใจอยู่
แต่ติดที่ใครอีกคนกลับไม่คิดแบบผมนี่สิ
"หมอฐา วันนี้กลับด้วยกันมั้ย?"
"ไม่ครับ"
"งั้นพรุ่งนี้?"
"ก็ไม่ครับ"
"มะรืนก็ได้"
"จะวันไหนก็ไม่ครับ หลีกทางด้วย ผมรีบ"
ผมเบียดตัวหลบตรงพื้นที่ว่างข้างร่างสูงใหญ่ที่มายืนปิดทางเข้าออกก่อนเดินไปยังแล็ปทดลองที่อยู่อีกด้านของตัวตึก แม้จะรู้ดีว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้ห้ามให้นักศึกษาแต่ละคณะไปมาหาสู่กัน แต่บางครั้งผมก็อยากจะติดป้ายกันไม่ให้ชายคนนี้เข้ามาป้วนเปี้ยนแถวคณะเหลือเกิน แต่ก็อีกนั่นแหละ ต่อให้ไม่ใช่ที่นี่เขาก็ตามหาผมเจอที่อื่นอยู่ดี
"หมอฐาทำตัวเย็นชาอีกแล้ว ต้องให้ผมป่วยก่อนใช่มั้ยหมอถึงสนใจ"
เขาบ่นกระปอดกระแปด คำบ่นเดิมๆ ที่ได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน ผมเลยเอี้ยวหน้ากลับไปมองคนที่กำลังทำหน้าหงอยอยู่ด้านหลังด้วยสายตาจริงจัง
"ไม่ใช่เสียหน่อย คุณต้องป่วยและเป็นสัตว์สักประเภทก่อนต่างหากผมถึงจะสนใจ"
"ใจร้ายจริง หมออะไรเนี่ย"
"หมอสัตว์ครับ หรือที่เรียกว่าสัตวแพทย์"
"แน่ะ กวนใช่เล่นนะครับหมอ"
ไหวไหล่ไม่สนใจคำต่อล้อต่อเถียงของอีกคนแล้วเลือกจะก้าวขาให้ไวขึ้นเพื่อจะได้ถึงที่หมายเสียที ตลอดทางเจอเพื่อนร่วมคณะมองมาพร้อมยิ้มน้อยๆ ผมก็ได้แต่ทำเหมือนมองไม่เห็นความหมายที่แท้จริงของรอยยิ้มนั้นแล้วเอ่ยทักพวกเขาไปตามปกติ
ผมยอมให้เขาเดินตามจนกระทั่งถึงห้องเพาะเชื้อ เพราะส่วนนี้เป็นส่วนที่ต้องระวัง เนื่องจากหากมีอะไรผิดพลาดอาจทำให้โรคติดต่อในสัตว์ที่นักศึกษาอย่างพวกผมวิจัยอยู่หลุดรอดออกมาได้ ทางมหาวิทยาลัยจึงสั่งห้ามไม่ให้คนภายนอกซึ่งไม่รู้วิธีรับมือเข้าโดยเด็ดขาด เลยหันไปหาคนด้านหลังอีกครั้ง
"คุณตามเข้าไปไม่ได้แล้ว กลับคณะไปเถอะ"
"ผมรอหมออยู่แถวนี้ได้"
"กลับไปเรียนครับ"
"งั้นเรียกชื่อก่อน เรียกแต่คุณๆ เด็กวิศวะแบบผมไม่ชินหรอก"
"หยาบกร้าน"
"น้อยกว่าส้นเท้าแตกนิดหน่อย"
อดไม่ได้ต้องกรอกตาใส่ไปอย่างไม่สนใจมารยาทที่พึงมี ได้ยินเสียงทุ้มห้าวหัวเราะน้อยๆ ในลำคอพาให้สมุดสังเกตการณ์เชื้อในมือสั่นไปหมด
สั่นเพราะอยากจะเอาไปฟาดหน้าเขานี่แหละ
"กลับคณะไปคราม แล้วไม่ต้องมาอีกจะดีมาก"
คนตัวสูงทำหน้าพอใจ มุมปากยกยิ้มจนใบหน้าหล่อๆ ที่สาวในคณะผมชื่นชอบดูดีมากขึ้นไปอีก ก่อนจะวางมือใหญ่ลงมาที่หัวแล้วขยี้เบาๆ ไม่สนใจอายุที่มากกว่าและสายตาไม่พอใจจากผมเลยแม้แต่น้อย
"เจอกันตอนค่ำๆ ผมจะเอาไอ้เตี้ยไปให้ตรวจ"
ไม่รอให้ปฏิเสธเขาก็หันหลังเดินเสื้อช้อปปลิวไปแล้ว มองตามแผ่นหลังกว้างแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ประกาศกร้าวขนาดนี้ยังไงก็ต้องได้เจอกันแน่นอน และตัวเองก็ไม่ใช่พวกชอบหนีหน้าใครด้วยดังนั้นก็ได้แต่รอเวลาเจอกันเท่านั้น
"ไงฐา มาช้าแบบนี้แสดงว่าน้องครามตามมาอีกแล้ว"
เดินเข้าห้องไปไม่ทันไรก็โดนทัก ผมเงยหน้ามองหญิงสาวที่กำลังถือบีกเกอร์ที่ใส่สารละลายแกว่งไปมาแล้วพยักหน้ารับ วันนี้เป็นหน้าที่ของเราสองคนที่ต้องมาสังเกตการณ์ทั้งในส่วนของเราและของเพื่อนๆ ที่ทำค้างเอาไว้
"กี่เดือนแล้วนะ?"
"สองเดือน"
"น้องครามนี่เสมอต้นเสมอปลายดีแหะ ถ้าเป็นเราคงคบไปแล้วล่ะ"
"อย่าให้หนุ่มแพทย์คนนั้นได้ยินเชียวล่ะหมวย เดี๋ยวมีเรื่องเอา"
หล่อนหัวเราะก่อนจะวางของในมือลงแล้วแบมือรอสมุดบันทึกจากผม ตอนนี้เรากำลังสังเกตการณ์ระยะเวลาการฟักเชื้อในสภาพอากาศต่างๆ ตามที่อาจารย์ได้แจกจ่ายงานให้ เป็นงานที่สนุกสำหรับคนที่ชอบ แต่ก็ค่อนข้างน่าเบื่อที่ต้องมาส่องกล้องเป็นเวลานานๆ ส่วนผมน่ะเหรอ อยู่ในระดับกลางๆ ให้ทำก็ได้ไม่ให้ทำก็ไม่เกี่ยง
"เราว่าเขาก็ไม่ได้แย่อะไรนะ ออกจะ... เหมือนไซบีเรียนตัวใหญ่ๆ เสียด้วยซ้ำ"
ผมเผลอหัวเราะเมื่อได้ยินหมวยว่าอย่างนั้น พลันนึกไปถึงข่าวลือที่ได้ยินเข้าหูมาสักพักแล้ว
ช่วงแรกที่มีครามเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิต เพื่อนๆ ต่างกังวลกันว่าผมจะถูกเด็กวิศวะมาหาเรื่องถึงที่ แต่พอรู้จุดประสงค์แท้จริงที่เขามักแวะเวียนมาเสมอๆ แต่ละคนต่างก็พากันหัวเราะ คำแซวที่บอกว่าผมไปเหยียบเท้าเขากลายเป็นแซวว่าผมมีไซบีเรียน ฮัสกี้ตัวเขื่องมาคอยเฝ้าแทน แถมยังทำหน้าที่ได้ดีเสียด้วย
ไซบีเรียน ฮัสกี้ตัวนั้นก็มาหาผมตอนเย็นตามที่เจ้าตัวลั่นวาจาไว้ พร้อมอุ้มลูกรักของตัวเองมาด้วย
มหาวิทยาลัยที่ผมศึกษาอยู่มีคลีนิกรักษาสัตว์สำหรับนักศึกษา เพียงแค่ยื่นบัตรประจำตัวก็สามารถรับบริการครบวงจรโดยคิดเพียงหนึ่งในสามของค่ารักษา และมีบริการรับฉีดยาให้ตามที่พึงจะมี ส่วนสัตวแพทย์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นักศึกษาชั้นปีสูงๆ ที่กำลังเตรียมตัวจบและสอบผ่านใบประกอบวิชาชีพแล้วอย่างพวกผมและอาจารย์ประจำภาควิชานี่แหละที่จะสลับกันมาอยู่เวรให้
"แผลหายดีแล้ว ขาก็ขยับได้เป็นปกติ หลังจากนี้ถ้าไม่มีอาการแปลกๆ ก็ไม่ต้องมาหาหมอแล้วล่ะ"
ผมเกาคางลูกหมาพันธุ์ผสมที่ตอนนี้ตัวโตขึ้นจากครั้งแรกที่เห็นประมาณหนึ่งเท่าพลางบอกกับเจ้าของมันไปด้วย ได้ยินเสียงร้องงี๊ดง๊าดก็ยิ่งชอบใจ อยากจะเกาพุงแถมให้เสียด้วยหากเจ้าหนูนี่จะยอมหงายพุงให้
"ไอ้เตี้ยไม่ต้องมาแล้ว แต่ผมมาได้ใช่มั้ยหมอฐา?"
"...ไม่มีธุระก็ไม่ต้องมา เอาเวลาไปตั้งใจเรียนสิคุณ"
"ปีสองยังไม่ต้องเรียนอะไรมาก มีเวลามาจีบหมอเยอะแยะไป เนอะไอ้เตี้ยลูกพ่อ"
อยากจะเอายาสลบโปะแล้วลากเขาออกนอกคลีนิกเสียเดี๋ยวนี้ พูดจาทำเป็นเรื่องเล่นๆ ได้ตลอด สมัยเป็นนักเรียนปีสองมีอะไรให้ผมทำตั้งเยอะแยะ ไม่มีเวลาว่างอย่างที่อีกฝ่ายว่าไว้หรอก
"วันนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร เสร็จแล้วก็กลับได้เลยครับ"
"เดี๋ยวผมรอหมอข้างนอก กลับด้วยกัน"
"เมื่อเที่ยงก็บอกแล้วว่าไม่..."
"ผมจะรอหมออยู่ข้างนอกเหมือนเดิมนะครับ"
ไอ้เด็กขี้ตื้อ!
จิ๊ปากพอให้เขาได้ยินโดยไม่เอ่ยอะไรต่อ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคราม เขาอุ้มลูกหมาที่ถูกยัดเยียดชื่อว่าเตี้ยออกจากห้องตรวจไป ปล่อยให้คนในห้องอย่างผมได้แต่ถอนหายใจอยู่คนเดียว
วันนี้ก็แพ้อีกแล้ว
สองเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่ครามวิ่งเข้ามาในคลีนิกพร้อมลูกหมาตัวเล็กในอ้อมกอด สภาพตอนนั้นเหมือนพวกเขาไปผ่านสงครามมา ตัวเปียกปอน เปื้อนคราบโคลนและคราบเลือดจนผมยังตกใจ ดูเหมือนเขาจะไปเจอลูกหมาตัวนี้นอนอยู่ข้างถนนระหว่างที่ขับมอเตอร์ไซค์มาเรียน เลยลงไปอุ้มมาส่งที่คลีนิกแม้ฝนจะตกลงมาหนักมากก็ตาม ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่ผมอยู่เวรพอดีและได้กลายเป็นเจ้าของไข้ไปโดยปริยาย
หลังจากวันนั้นเขาก็เข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตผม แถมไม่มีทีท่าว่าจะออกไปง่ายๆ ด้วย ซึ่งมันทำให้ผมลำบากใจอยู่ไม่น้อย ทั้งรำคาญความช่างตื้อของเขาด้วย และเหนื่อยใจกับความใจอ่อนของตัวเองด้วย ที่แม้ภายนอกจะบอกปฏิเสธไปแต่สุดท้ายก็ยอมอ่อนให้เขาอยู่ดี
"พี่ๆ ผมเอาขนมมาฝากครับ เจ้าเด็ดแถวบ้านเลย"
"ขอบคุณนะคะน้องคราม"
"เฮ้ย เจ้านี้นานๆ จะได้ไปซื้อที ขอบคุณมากไอ้น้อง"
"ไม่เป็นไรพี่ แค่เป่าหูให้เพื่อนพี่คนนั้นใจอ่อนรับรักผมสักทีก็พอ"
ผมทำเป็นหูทวนลม ไม่ได้ยินสิ่งที่เพื่อนในกลุ่มพูดคุยกับคนที่แวะเวียนมาเยี่ยมทั้งที่ไม่มีธุระจำเป็นกับคณะผมอีกครั้ง ได้ยินพวกเขาหัวเราะและพูดคุยกันเรื่องขนมนั่นแหละ ก่อนที่ร่างสูงไม่เข้ากับอายุจะเดินมาทิ้งตัวลงตรงเก้าอี้หน้าผมแล้วยื่นถุงขนมให้
"เสบียงสำหรับหมอฐาโดยเฉพาะ เต้าฮวยนมสด"
"...วางไว้ก่อนครับ งานยังไม่เสร็จ"
ไม่ถามหรอกว่าทำไมถึงรู้ของชอบของผม ก็ถือหางกันเสียขนาดนั้น ไม่คนใดคนนึงในกลุ่มก็ทั้งกลุ่มนั่นแหละที่ถวายพานข้อมูลส่วนตัวผมให้ครามไป
จำไว้นะครับว่าของหวานถือเป็นสินบนที่หาง่ายและได้ผลที่สุดหากคุณมีเพื่อนสายกิน
ถือว่ายังดีที่ครามเป็นพวกพูดรู้เรื่อง นอกจากเรื่องให้เลิกตื้อที่เขาไม่ทำตามแล้ว หากบอกให้อยู่เงียบๆ หรือพูดว่างานยังไม่เสร็จเขาก็จะไม่วุ่นวาย เพียงแค่นั่งมองผมทำงานแล้วชวนคุยบ้าง หรือไม่ก็หายไปอยู่กับเพื่อนผมที่บางครั้งก็ตั้งวงคุยกันในห้องเรียนแทน
"ทำไมหมอฐาถึงอยากเป็นสัตวแพทย์ล่ะ?"
"...ชอบสัตว์ ที่บ้านเลี้ยงเยอะด้วย เป็นหมอเองจะได้ไม่ต้องไปรักษาที่อื่น"
ตอบเขาไปทั้งที่มือก็ยังไม่หยุดจดโน้ตย่อการเรียนวันนี้ เพราะไม่ใช่พวกชอบทวนบทเรียนตอนกลางคืน เลยเลือกจะทำความเข้าใจเสียตั้งแต่ระหว่างรอเข้ากะที่คลินิกเลย มีอะไรก็ไปถามอาจารย์หรือไม่ก็เพื่อนเสียจะได้จบๆ ไป
"ไว้วันไหนผมไปเล่นกับสัตว์เลี้ยงบ้านหมอได้มั้ย?"
"ไม่เนียนครับ ไปเรียนมาใหม่"
ครามหัวเราะกับคำพูดของผม เขาเองก็รู้อยู่แล้วแท้ๆ ว่าไม่มีทางที่มุกกากๆ จะเอาชนะผมได้ แต่ก็ชอบที่จะหยอดใส่ทุกครั้งที่มีโอกาส สงสัยจะเป็นพวกมาโซคิสต์ที่ชอบโดนด่า
"เห็นหน้าตึกมีป้ายกิจกรรมของเดือนหน้าติดอยู่ คณะหมอจะไปช่วยสัตว์หาบ้านสินะ?"
"อืม ไปทุกปีอยู่แล้ว"
"งั้นไปด้วย"
ผมละความสนใจจากตัวหนังสือมามองคนที่กำลังนั่งยิ้มอยู่ สีหน้าเขาดูจริงจัง เป็นประเภทหากตัดสินใจจะทำแล้วก็ต้องทำให้ได้ประมาณนั้น
"อ้ะๆ อย่าทำหน้าแบบนั้น ผมไปเพราะอยากจะช่วย หมอฐาก็น่าจะดูออกว่าผมเป็นประเภทรักสัตว์ ส่วนอีกเหตุผลก็นั่นแหละ..." ครามไหวไหล่ "ตามตื้อคนใจแข็ง"
"เหตุผลแรกโอเคอยู่ แต่อันหลังเก็บไปเลย"
ครามหัวเราะ และเมื่อเห็นว่าผมยอมวางปากกาลงเขาก็รีบคะยั้นคะยอให้ผมลองเต้าฮวยนมสดเจ้าที่เขาซื้อมาให้ทันที ความจริงก็อยากเก็บท้องไปกินมื้อเย็นที่เดียว แต่คนขี้ตื้อคงไม่ยอมแน่
ระหว่างกำลังนั่งกินเต้าฮวยพลางมองครามคุยกับเพื่อนตัวเองไปด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือที่ไม่คุ้นหูก็ดังขึ้น คนที่กำลังนัดแนะเวลามาช่วยงานแบบเนียนๆ คว้ามาดูแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใหญ่ สงสัยจะเป็นสายสำคัญ แต่ผมไม่ใช่พวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน การที่เขาจะหายไปคุยโทรศัพท์นานสองนานแล้วกลับมาพร้อมหน้ายับๆ ก็ไม่ทำให้ผมถามถึงสาเหตุหรอก
"ต้องไปก่อนนะหมอฐา เพื่อนให้ไปช่วย"
...เพราะต่อให้ไม่ถามก็รู้เรื่องอยู่ดี
"อืม ขอบใจสำหรับนี่"
ยกถ้วยที่อยู่ในมือให้เขาดู อย่างไรเสียผมก็เป็นคนมีมารยาท หากใครทำอะไรให้ก็ต้องขอบคุณเขาด้วย
"ยินดีครับ ไว้ผมมาช่วยเรื่องกิจกรรม"
"ไปตั้งใจเรียนเถอะคุณ"
"ไว้มาช่วยครับ"
พูดย้ำพร้อมทำหน้ายิ้มๆ ใส่ สีหน้านี้เห็นที่ไรก็ต้องจิ๊ปากทุกที แถมยังเอามือใหญ่ๆ ของตัวเองมาขยี้หัวคนอื่นเขาเสียอีก
"ปีนเกลียว"
"ก็ปีนออกบ่อย หมอฐาน่าจะชินได้แล้ว"
"อุ้ย... ปีนบ่อยว่ะ"
ได้ยินเสียงเพื่อนที่ทำทีเป็นกระซิบแต่จริงๆ อยากให้ได้ยินอยู่แล้วก็ยิ่งต้องขมวดคิ้วหนักมากขึ้นอีก ครามก็ดูจะรู้เพราะคนตัวสูงยิ้มกว้าง ไม่วายมาดึงแก้มผมอีกหนึ่งคำรบให้พวกที่มองอยู่ทำเสียงโฮ่ฮากันอีกรอบก่อนจะขอตัวออกจากห้องเรียนประจำของพวกผมไป
"...อะไร"
เพราะเห็นสายตาที่เพื่อนส่งมาให้เลยเอ่ยถามออกไป หมวยเป็นคนแรกที่พุ่งตรงเข้ามา เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่ผม
"มีอะไรที่ยังไม่ได้เล่าป่ะ?"
"ไม่มีนี่"
"ช่วงนี้กลับพร้อมน้องครามไม่ใช่หรือไง?"
"ก็เขาตื้อ"
"แหม... คนอื่นตื้อไม่ยักกะยอมนะ"
ผมไหวไหล่ไม่ตอบอะไรอีก หญิงสาวเพียงคนเดียวในตอนนี้ยิ้มก่อนจะกลับไปคุยกับเดอะแก๊งค์ที่ยังนั่งจัดการขนมที่ใครบางคนซื้อมาไม่หยุด จะว่ายังไงดี ตะกละอาจจะไม่เพียงพอที่จะใช้เรียกเพื่อนผมก็ได้
หันกลับมามองถ้วยขนมในมือแล้วย้อนนึกไปถึงคนที่ซื้อมาให้ ไม่รู้จะต้องรับมือกับความช่างตื้อของครามอีกเท่าไหร่ และแม้จะไม่อยากยอมรับแต่คำพูดของหมวยก็วนอยู่ในหัว ผมยอมเขามากกว่าคนอื่นจริงๆ นั่นแหละ
จู่ๆ ครามก็หายไปจากชีวิตผม
หลังจากครั้งสุดท้ายที่เขาแวะมาหาพร้อมขนมมากมายผมก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย ปกติหากมาถึงมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่เกินครึ่งชั่วโมงผู้ชายในชุดช้อปก็จะเดินยิ้มแป้นแล้นเข้ามาหา พักกลางวันก็จะมีคนมาก่อกวนถึงหน้าห้องแล็ป หรือหากตัวไม่มาก็มีห่อข้าวหรืออะไรฝากมาให้แทน ส่วนตอนเย็นน่ะหรือ นู้น... มาทั้งมอเตอร์ไซค์ทั้งตัวคนขับ พ่วงมาด้วยลูกหมาตัวน้อยที่ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการเข้าคลินิก
แต่ทุกอย่างที่ว่ามาหายไปจากชีวิตผมกว่าสัปดาห์แล้ว ไม่มีแม้แต่ข่าวคราว ราวกับครามไม่เคยมีตัวตนมาก่อน และคนที่รู้สึกแบบเดียวกันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อนๆ ในกลุ่มผมที่ถือหางเขานั่นแหละ
"ช่วงนี้น้องมันหายไปเลยเนอะ"
แชมป์ทำทีเป็นเปิดกระดานคนไข้ของเจ้าตัวอ่านตอนพูดกับผม แต่อยากจะบอกมันอีกคนจังว่าไม่เนียน เพราะนั่นมันกระดานของเพื่อนอีกคนที่อยู่เวรก่อนหน้าต่างหาก
"เรียนหนักมั้ง"
"เหรอ..."
เหลือบตามองเพื่อนที่ทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแล้วทำท่าส่ายหัว ก่อนจะยอมวางกระดานที่อยู่ในมือลงแล้วถอนหายใจหนักๆ ท่าทางเหมือนมีเรื่องหนักใจนั้นทำให้ผมสงสัยและเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย
"มีอะไรหรือเปล่า?"
เอ่ยถามไปเพราะอดทนรอให้เขาเล่าเองไม่ไหว
"คือ... เพื่อนที่เรียนอยู่ใกล้ตึกคณะวิศวะบอกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนมีคนตีกัน บุกเข้ามาในมหาวิทยาลัยเลยแหละ เห็นว่ามีคนเจ็บด้วย"
แม้ชื่อเสียงของคณะวิศวะจะมาพร้อมกับเรื่องเล่าของนักเลงหัวไม้ แต่สำหรับมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ไม่ค่อยมีเรื่องพวกนี้มากเท่าที่อื่น พอมาได้ยินแบบนี้จึงตกใจเช่นกัน ยิ่งที่อีกฝ่ายสามารถเข้าถึงภายในที่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ได้แสดงว่าคงมีเรื่องผิดใจกันชนิดที่รอไม่ได้แน่ๆ
บวกกับการเห็นครามรับโทรศัพท์แล้วรีบร้อนออกไปเมื่อวันนั้นมันก็ค่อนข้างจะพอดีกันอยู่ เขาอาจจะเป็นหนึ่งในคนที่ไปร่วมวงด้วย และนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาหายไป
"แต่อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ไม่ต้องทำหน้าเครียดแบบนั้นหมอฐา"
"...เปล่าเสียหน่อย แค่คิดถึงลูกหมาที่จะเข้ามาตรวจวันนี้ เจ้านั่นชอบกินของเค็มไตเลยไม่ค่อยดี"
มือที่กำลังตบบ่าผมชะงักไปก่อนที่เขาจะยิ้มคล้ายเหนื่อยใจกับคำพูดของผมเหลือเกิน
"ถ้าน้องมันมาได้ยินคงเสียใจแย่"
"ให้มาก่อนเถอะ"
หลุดปากพูดออกไปแบบนั้นแล้วจึงเห็นรอยยิ้มล้อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนตัวเอง รู้สึกพลาดไปแล้วเลยได้แต่ขอตัวเดินออกมาจากห้องพักเพื่อเข้ากะของตัวเองให้เร็วมากขึ้น
แอบรู้สึกว่าไม่น่าไปถามเพื่อนเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ต้องมานั่งชะเง้อคอมองทุกครั้งที่ประตูคลินิกเปิด ว่าคนที่เข้ามาจะใช่คนที่อาจไปมีเรื่องจนหน้าแหกมาหรือเปล่า
หอพักที่ผมอยู่เป็นหอพักใน ไม่ไกลจากคณะและจากคลินิก ดังนั้นผมจึงอาสาเป็นคนที่อยู่ดึกเกือบทุกครั้งที่เข้ากะ และเลือกใช้เส้นทางลัดเดินจากด้านหลัง ลัดเลาะตามทางเพื่อหลีกเลี่ยงถนนใหญ่ที่มีการจราจรคับคั่งชวนให้หงุดหงิดกลิ่นควันรถและต้องหลบมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ขึ้นมาขับบนเส้นทางคนเดิน
แม้จะปาเข้าไปกว่าสองทุ่มแล้วแต่ผมไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวันนี้มีคนนำสัตว์เข้ามาตรวจเยอะจนลืมหิวหรือเป็นเพราะเรื่องของใครบางคนที่เพื่อนเอามาพูดใส่ให้ผมต้องคิดตาม ยิ่งพอคิดก็ยิ่งต้องถอนหายใจ ตัวผมเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้เชียว เพียงแค่อะไรๆ รอบตัวมันไม่เหมือนเดิมก็เท่านั้น
"หมอฐา ระวัง!"
เพราะมัวแต่เดินคิดอะไรเพลินๆ กว่าจะมีปฏิกิริยาตอบรับกับเสียงร้องเตือนก็ไม่ทันแล้วเพราะแรงกระแทกจากด้านหลังทำให้เกือบจะล้มหน้าคว่ำเอาเสียก่อน ดีที่พลิกตัวทันทำให้ไม่ใช่หน้าที่กระแทกแต่เป็นก้นกบต่างหาก
"ไอ้ยักษ์! หยุด ห้ามเล่น ไปนั่งเฉยๆ เลย!"
ขณะที่ผมเบี่ยงหน้าหลบลิ้นเปียกชื้นของสุนัขตัวใหญ่ คนตัวสูงเจ้าของเสียงคุ้นเคยก็วิ่งมาคว้าเชือกจูงสุนัขดึงสัตว์ตัวใหญ่ออกจากร่างผม พร้อมดึงแขนให้ลุกขึ้นยืน แม้หน้าตาจะเปลี่ยนไปจากรอยแผลแตกยับแต่ผมมั่นใจว่านี่คือคนคนเดียวกับเด็กขี้ตื้อที่ช่วงนี้หายหน้าหายตาไปจากชีวิตผมแน่ๆ
"หมอเป็นยังไงบ้าง? เจ็บมากมั้ย ขอโทษนะ ดึงไว้ไม่อยู่จริงๆ ไอ้ยักษ์นี่แรงเยอะเป็นบ้า"
ครามตรงเข้ามาพลิกแขนผมซ้ายขวา แถมยังจับหมุนตัวดูจนเวียนหัวไปหมด ทั้งที่หน้าตัวเองนั่นแหละที่มีแผลเยอะจนดูน่าเป็นห่วงแท้ๆ
"...ไม่เป็นไร"
"เดี๋ยวเดินไปส่งที่หอ"
ไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะเมื่อพูดจบเขาก็คว้าข้อมือผมด้วยมือข้างที่ว่างเป็นฝ่ายเดินนำไปตามทางเงียบสงบแทน ราวกับหากไม่มีเขาแล้วผมจะต้องเดินหลงทางยังไงอย่างนั้น
ระหว่างทางมีเพียงความเงียบและเสียงจิ้งหรีดร้องเบาๆ ตามทาง ไม่มีใครพูดอะไรและน่าแปลกที่ผมไม่เอ่ยปรามการกระทำของเขาด้วย ท่าทางการหายตัวไปร่วมสัปดาห์ของครามจะส่งผลกระทบกับความคิดบางส่วนของผมจริงๆ
"ขอโทษครับที่ช่วงนี้ไม่ได้ไปหาเลย"
เมื่อเห็นปลายทางซึ่งเป็นตึกหอพักอยู่ไม่ไกลนักเขาก็หยุดเดินแล้วเหลือบมามองผม เสียงทุ้มห้าวติดจะสำนึกผิดเอ่ยขึ้นก่อนจะกระตุกแขนให้ผมเดินตามเขาไปนั่งบริเวณรั้วเตี้ยที่ทำขึ้นเพื่อให้นักศึกษาเอาไว้ใช้จอดรถจักรยาน
"ก็ไม่จำเป็นต้องมาหาทุกวันสักหน่อย"
ครามหัวเราะก่อนจะตบลงไปไม่เบานักที่ข้างลำตัวของสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนตัวใหญ่ที่นั่งลิ้นห้อยอยู่ข้างๆ มันทำท่าเหมือนจะลุกเข้ามาหาผมอีรอบ แต่โดนดุเลยนั่งจ๋องอยู่ที่เดิมเสียก่อน
...เหมือนเจ้าของตอนโดนผมดุชะมัด
"ช่วงนี้พี่ชายเอาไอ้ยักษ์มาฝากไว้ที่บ้านเพราะเขาไปทำงานต่างประเทศ"
"ตัวนี้?"
จำได้ว่าเขาเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังอยู่ บ้านของครามอยู่ในหมู่บ้านราคาแพงไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ หากเดินจากหอผมที่เป็นทางผ่านก็ไม่เกินยี่สิบนาที ส่วนพี่ชายทำงานเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ มีบ้านแยกไปในหมู่บ้านเดียวกันนั่นแหละ งงใจกับคนรวย จะแยกบ้านกันอยู่ทั้งทียังแยกอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน
"อืม... แต่ไม่มีคนเอามันอยู่เลยเพราะมันซนมาก" เขาเล่าพลางเกาหัวเจ้าตัวโตไปด้วย "พอกลางวันก็ต้องกลับบ้านไปดูรอบนึง กลัวไปกัดไอ้เตี้ยตาย ตอนเย็นก็ต้องพามาเดินเป็นชั่วโมงๆ พลังงานโคตรเยอะ จะแวะไปหาที่คลีนิกมันก็วิ่งหนีไปอีกทาง สงสัยจะได้กลิ่นยา"
ฉลาดแต่เสือกไม่รู้ใจเจ้าของ... ครามด่าหมาไปหนึ่งที แต่เจ้าตัวที่โดนด่าไม่รู้เรื่องหรอก นอนงับเชือกรองเท้าผ้าใบแล้วดึงจนหลุดแล้วนั่น
"ดูหมาจนไม่ได้มาดูหมอเลย โคตรคิดถึงรู้ตัวมั้ยเนี่ย?"
"...เสี่ยว"
ผมเริ่มเกลียดเสียงเวลาเขาหัวเราะในลำคอแล้วจริงๆ นะ แถมยังทำหน้าราวกับไม่รู้ว่าผมไปว่าเขาเรื่องอะไรอีก
"ช่วงที่ผมไม่อยู่มีคนมาจีบป่ะ?"
"คิดว่าจะมีใครเขาว่างเหมือนตัวเองไหมล่ะ?"
ย้อนกลับเขาไป เอาเข้าจริงยังสงสัยว่าครามมาติดใจอะไรในตัวผู้ชายอย่างผมนักทั้งที่หน้าตาอย่างเขาก็ดูไม่น่าจะขาดแคลนคนรู้ใจจนต้องใช้เวลาว่างกับผมขนาดนี้
"ไม่มีแหละดีแล้ว หมอใจแข็ง สงสารเขา"
"สงสารตัวเองอยู่งั้นสิ?"
"ไม่เคยสงสารหรอก กับคนอื่นหมอใจแข็งจริงแต่กับผมหมอทำไปงั้นแหละ สงสัยว่าจะเขิน"
เหมือนโดนแทงใจดำแล้วลูบหลังด้วยรอยยิ้ม ใช้ขาเตะหน้าแข้งไปหนักๆ ให้ร้องโอดโอยแถมไม่อยากมองหน้าเขาให้ต้องจิ๊ปากอีกหนเลยเลือกจะตบหน้าขาเรียกเจ้าหมายักษ์ให้มาใกล้ๆ แล้วนวดหน้าให้มันแทน ดูท่าจะชอบเพราะถึงขนาดนั่งนิ่งทำหน้าเคลิ้มใส่เสียด้วย
"แล้วหน้าไปโดนอะไรมา?"
"คิดว่าผมไปตีกับคนที่ยกพวกมาแน่เลยถ้าถามแบบนี้"
"แล้วใช่ไหมล่ะ?"
"หึ อันนี้มอเตอร์ไซค์ล้มเพราะไอ้ยักษ์นั่นแหละ ขึ้นมอเตอร์ไซค์ครั้งแรกก็ตื่นเต้นจนอยู่เฉยไม่ได้ ทำล้มหน้าคว่ำทั้งคนทั้งรถ"
ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่ครามจะไปถือไม้หน้าสามไล่ตีกับคนอื่นอยู่แล้ว
เขาเล่าให้ฟังต่ออีกว่าคนที่มีเรื่องกันคือพวกรุ่นพี่ที่โตกว่า เหมือนจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรืออย่างไรนี่แหละ แล้วก็เคลียร์กันไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันนั้น ส่วนเพื่อนเขาที่ว่ามีปัญหาจนต้องโทรมาตามก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่รถดับเลยให้ไปช่วยดูเฉยๆ
ตลกดีที่พอได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้วความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นช่วงนี้หายไปจนหมด ราวกับยกภูเขาออกจากอกตัวเองไปโยนทิ้งที่ไหนก็ไม่รู้
"หมอ... ฐาเริ่มใจอ่อนกับผมบ้างยัง?"
มือที่กำลังลูบขนแน่นๆ ของเจ้ายักษ์ชะงักทันทีเมื่อได้ยินคำถามของเขา น้ำเสียงและใบหน้าของคนที่กำลังมองผมเล่นกับสัตว์เลี้ยงของตัวเองดูตลกไม่น้อย ท่าทางหลุบต่ำแล้วมองแบบนั้นทำให้ต้องเหลือบไปมองไซบีเรียนที่นั่งอยู่ข้างกัน รู้สึกเหมือนเห็นภาพซ้อน... ครามกลายร่างเป็นสุนัขตัวโตที่กำลังหงอ หูลู่หางตกเพราะไม่มั่นใจอย่างหนัก
"...เอาโทรศัพท์มา"
"ครับ?"
"จะเอาหรือไม่เอา เบอร์น่ะ"
ดูเหมือนผมเป็นคนใจร้ายเลยใช่ไหมล่ะ ขนาดเบอร์โทรศัพท์ก็ยังไม่ให้ทั้งที่ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วที่เขาตามเทียวไล้เทียวขื่อ ตัวเองยังแปลกใจที่ครามไม่เคยตื้อขอเบอร์เลยหลังจากที่ปฏิเสธไป ทว่ากับเรื่องอื่นดันไม่ยอมแพ้ ตื้อจนไม่รู้ว่าผมจะรับมือยังไงนอกจากโอนอ่อนผ่อนตามเท่าที่จะทำได้
คนตัวโตรีบยื่นโทรศัพท์ให้ทั้งที่ยังทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ พอรับโทรศัพท์คืนยังมองซ้ำหลายๆ รอบสลับกับมองหน้าผมเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ก็ทำไมกันล่ะ...
"แบบนี้... หมายถึงหมอใจอ่อนกับผมแล้วใช่ป่ะ?"
"...จะถามมากเพื่อ"
ก็ได้ ผมยอมรับว่าแพ้คนขี้ตื้อชื่อครามเข้าให้แล้ว พอใจหรือยัง?
-----------------------------------------------------------
TALK: กลับมาแล้วค่ะ! กลับมาพร้อมคู่ใหม่หลังจากที่เลทไปหลายวัน มีข้อแก้ตัวนะเออ อาทิตย์นี้งานเยอะมากจริงๆ บวกกับเราต้องไปต่างจังหวัดเพราะเรื่องงานด้วยเลยทำให้ไม่มีเวลามาลงเลยค่ะ กลับมาเล่นแป๊บๆ ก็ต้องนอนแล้ว (เรียกว่าน็อคเองดีกว่า) อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ก็คงจะยุ่งๆ เหมือนเดิม มาช้าไปบ้างอย่าโกรธกันนะ
สำหรับตอนนี้เป็นแนวคนที่เราชอบทั้งสองคนมาเจอกันค่ะ คนขี้ตื้อกับคนใจอ่อน แต่เป็นการตื้อในระดับที่พอดีกับใจ และใจอ่อนในแบบนี้เฮ้ย เรารู้ว่านายแค่เขิน 555555555555 เป็นอะไรที่เราชอบมากๆ เลย และแน่นอนว่าคนแบบนี้จะมาโผล่ในนิยายอีกแน่นอนค่ะ
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงชนิดสามฤดูในวันเดียว อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยนะคะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจและการตามติดในทุกช่องทาง (ไม่ใช่หนังผีนะ ไม่ใช่) แถมแก้คำผิดให้ด้วย ขอบคุณมากๆ ค่ะ
แล้วเจอกันใหม่ในวันที่แวะมาได้ค่ะ