-2-
จะเรียกว่ากันต์กวีสะกดรอยตามก็ว่าได้ เขารู้แทบทุกฝีก้าว ทุกการเคลื่อนไหวของกษิดินทร์ เพราะต้องการจะหาจุดบอด หาจุดอ่อนแอของอีกคนซึ่งตอนนี้เขาแทบจะหาไม่เจอเลยด้วยซ้ำ ประวัติขาวสะอาด เป็นลูกกตัญญู หน้าตาและฐานะดีพร้อม
จัดอยู่ในพวกเพอร์เฟคก็ว่าได้
แต่เขานี่แหละจะทำให้คำๆนั้นมันหายไป
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่แต่งกายดูดีเดินถือตะกร้าเลือกซื้อของสดตามที่จดมาในแผ่นกระดาษ ขณะที่เดินมองโน่นมองหน้าอย่างเพลิดเพลินก็ชนปะทะเข้ากับร่างหนึ่งเข้าอย่างจังจนของหล่น
“ขอโทษครับ ผมผิดเองที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ”
กษิดินทร์เอ่ยขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ก่อนจะช่วยอีกคนเก็บของ เมื่อเหลือของชิ้นสุดท้ายมือใหญ่ของชายหนุ่มร่างสูงจะคว้าลงบนมือเรียวเข้าพอดี เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็สบเข้ากับดวงตาคู่โศกที่คุ้นเคยเข้าพอดี
ริมฝีปากหยักบางยกยิ้มให้ทันที
“วี…บังเอิญจังเลยนะ”
กันต์กวีเองก็ส่งยิ้มพิมพ์ใจให้ก่อนทั้งคู่จะยืนขึ้น
“เจอกันอีกแล้วนะครับ คุณหมอดิน”
“เรียกดินเฉยๆก็ได้ครับ”
“มาซื้อของคนเดียวเหรอครับ”
“ครับ…พอดีแฟนผมไม่ว่างมาด้วย เธอต้องอยู่เวรน่ะ”
ชายหนุ่มร่างโปร่งพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะคลี่ยิ้มเมื่อคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้
“เออ…ถ้าดินไม่รังเกียจผมอยากจะเลี้ยงกาแฟตอบแทนที่ดินเคยช่วยผมไว้น่ะครับ”
“ได้สิครับ”
กษิดินทร์ตอบรับทันทีโดยไม่ต้องคิด มันมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเขากับผู้ที่บังเอิญได้พบกันอีกครั้งซึ่งไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร เหมือนมีเส้นใยบางๆกำลังถักทอพันผูกให้พวกเขาเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งมองเข้าไปในดวงตาคู่โศกที่เป็นสีนิลลึกล้ำราวกับห้วงมหาสมุทรก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกฉุดดึงให้ดำดิ่งลงเข้าไปวังวนที่อาจจะไม่มีวันกลับขึ้นมาพบกับแสงสว่าง
“ดิน…เป็นอะไรหรือเปล่า”
มือใหญ่ชักมือกลับทันทีเมื่ออยู่ๆรู้สึกได้ถึงกระแสไฟอ่อนๆเหมือนไฟฟ้าสถิตที่หลังมือ
“เออ…ขอโทษทีนะ ใจลอยไปหน่อย”
ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะกลบเกลื่อน
“ถ้าติดธุระก็บอกได้นะ จริงๆไม่ต้องมากับวีก็ได้”
กันต์กวีทำหน้าเจื่อนลงจนกษิดินทร์รู้สึกผิดที่เผลอคิดไปถึงไหนต่อไหนจนลืมไปว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่ด้วย
“เดี๋ยวพอเรากินกาแฟเสร็จแล้ว ไปเดินเที่ยวกันต่อนะ เป็นการไถ่โทษเรื่องเมื่อกี๊”
หลังจากนั้นชายหนุ่มทั้งคู่ก็เดินดูของตามร้านรวงต่างๆในห้างสรรพสินค้า ชายหนุ่มร่างสูงสังเกตการมองและการหยุดดูสิ่งของอีกคนเผื่อว่าจะล่วงรู้ได้ว่าเพื่อนใหม่ของเขาชื่นชอบและสนใจอะไรบ้าง
กันต์กวีหยุดอยู่หน้าร้านนาฬิกาชื่อดังก่อนจะจ้องมองนาฬิกาข้อมือเรือนสวยที่วางโชว์อยู่ นาฬิกาออโต้เมติกส์ที่ไม่ค่อยมีใครนิยมใช้แต่ด้วยความชอบส่วนตัวทำให้เขาแทบไม่อยากจะละสายตาไปจากมัน
“ดูท่า…วีจะชอบมากเลยนะ”
“ใช่…ชอบมาก ที่บ้านมีหลายเรือน แต่เรือนที่มองอยู่เนี่ยเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่ผลิตออกมา”
“แล้วทำไมถึงชอบนาฬิกาออโต้เมติกส์ล่ะ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยนิยมเพราะมันมักจะตายอยู่บ่อยๆนี่นา”
“คลาสสิกดีออก ความหมายแฝงก็ลึกซึ้งด้วย”
ยังไม่ทันที่กษิดินทร์จะได้ถามถึงความหมาย เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
“ดินบอกแล้วไงครับว่าจะออกมาซื้อของ”
เสียงที่แว่วมาให้ได้ยินทำให้กันต์กวีรู้ได้ในทันทีว่าคงจะเป็นคนรักของชายหนุ่มร่างสูงอย่างแน่นอน
แต่อีกไม่นาน…
เธอจะตกไปเป็นของคนอื่น
“ขอโทษทีนะวี”
“ไม่เป็นไร ว่าแต่…ดินจะต้องกลับแล้วเหรอ”
“ยังหรอกครับ เราเดินดูของต่อดีกว่า”
เวลาผ่านไปจนพลบค่ำ กษิดินทร์ได้พบว่าเวลาที่เขาใช้ร่วมกับอีกคนนั้นช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหมือนอย่างที่เขาเคยได้ยินว่า “ถ้าเราอยู่กับใครแล้วมีความสุขเวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ”
“ไหนๆก็ได้เวลามื้อเย็นแล้ว เรากินด้วยกันเลยดีไหมวี”
กันต์กวีไม่ปฏิเสธเพราะนี่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่เขาวางไว้ ที่เหลือก็รอเพียงแค่วันและเวลาเพื่อสะสมให้ความผูกพันมีมากขึ้น เพราะเมื่อยิ่งผูกพัน ยิ่งไว้ใจ ยิ่งรักจะยิ่งเจ็บปวดหลายร้อยเท่าเมื่อรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงว่าเขาบังเอิญเข้ามาในชีวิตของอีกคนเพราะเหตุใด
“ดิน วีขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”
“ได้สิ”
“สมมุตินะ…ถ้าระหว่างแพทย์กับคนไข้มีความแค้นต่อกัน แพทย์จะรักษาคนไข้ไหม”
กษิดินทร์ทำท่าครุ่นคิดก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ
“แพทย์มีจรรณยาบรรณนะวี ถึงแม้ว่าจะมีความคิด ความรู้สึก มีเลือดเนื้อ มีหัวใจ แต่จะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานหรอกนะ”
“โกหก”
กันต์กวีเอ่ยเพียงแผ่วเบาให้ตัวเองได้ยิน
“ว่าไงนะวี”
“อ่อ…เปล่าหรอก วีแค่ลองถามน่ะ พอดีเคยดูในหนังมาว่าแพทย์ลงมือฆ่าคนไข้เพียงเพราะเคยมีความบาดหมางต่อกัน”
“นั่นมันในหนังครับ”
…ชีวิตจริงมันก็มีและคนๆนั้นก็คือคนที่นั่งอยู่ต่อหน้านี่ไง…
ในใจกันต์กวีตะโกนก้องอย่างนั้นแต่ก็ทำได้เพียงแค่ระบายยิ้มจางๆบนใบหน้าทั้งๆที่ภายในคิดอยากจะจัดการให้อีกคนเข้าไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาล
แต่…เจ็บภายนอกไม่นานก็หาย เจ็บภายในสิ…ทั้งชาติก็ลืมไม่ลง
“อ่อ…เผื่อไว้ ป่วยไข้เมื่อไหร่โทรหาได้ตลอดนะ”
กษิดินทร์ยื่นนามบัตรให้ก่อนที่มือเรียวจะรับไว้และมองอ่านเพียงคร่าวๆตามมารยาทก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ไว้
“ไม่ได้เข้าโรงพยาบาลมาตั้งแต่จำความได้”
“ใครบอกล่ะ เมื่อวานซืนไง…วีก็เข้าแล้วนี่”
“วีหมายถึงป่วยแบบล้มหมอนนอนเสื่อ นอนให้น้ำเกลือน่ะ”
“ดีแล้วล่ะ ผมอยากให้วีมาหาแบบปกติ สุขภาพร่างกายแข็งแรงมากกว่า”
“นี่ก็เย็นมากแล้ว ดินไม่ต้องพาแฟนไปกินข้าวเหรอ”
“รายนั้นเธอหากินเองได้ สาวมั่นน่ะ”
“คบกันมานานแล้วเหรอ”
“ก็สัก…2-3 ปีได้แล้วแหละ”
“รักเธอมากไหม”
กันต์กวีเอ่ยถามตรงๆ แต่กลับได้รับคำตอบเป็นความเงียบ แววตาของคนตรงหน้าดูล่อกแล่ก คิ้วเข้มหนาขมวดเข้าหากันราวกับกำลังใช้ความคิด กษิดินทร์เองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ถ้าเป็นคนอื่นถามเขาก็คงตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเขารักเธอ
แต่ต่อหน้าของเพื่อนใหม่เขากลับลังเลที่จะพูดมันออกมา ไม่รู้ว่าเพราะความรู้สึกของเขากำลังมีบางอย่างเข้ามาแทรกแซงหรือเพราะเขากำลังสับสนว่าแท้จริงแล้วเขารักเธอแน่หรือ
เมื่อไม่รู้จะตอบออกมาอย่างไรเขาจึงทำแค่เพียงส่งยิ้มให้ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ผมยังไม่รู้เลยว่าวีทำงานอะไร”
“สถาปนิกน่ะ”
“ผมอยากเรียนนะ แต่ที่บ้านไม่ยอม”
“ที่บ้านของดินเคร่งครัดเรื่องนี้เหรอ”
ชายหนุ่มยักไหล่สบายๆเพราะไม่มีคำตอบให้ อาจจะเพราะเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวในบรรดาพี่สาวอีก 2 คนในตระกูล จึงทำให้ผู้เป็นพ่อที่เป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลอยากที่จะให้มีทายาทสืบทอดต่อ
เมื่อเวลาล่วงเลยจนกระทั่งห้างสรรพสินค้าจะปิดทำการ ทำให้ทั้งคู่ต้องร่ำลากัน
“แล้วเจอกันอีกนะวี มีอะไรโทรมาได้เสมอ”
หลังจากจบบทสนทนากันต์กวีก็มองแผ่นหลังกว้างตั้งตรงจนลับสายตาก่อนจะเดินมายังลานจอดรถเพื่อที่จะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน แต่ก่อนจะขับรถออกไปนั่นมือเรียวก็หยิบซองกระดาษสีน้ำตาลออกมา
ทันทีที่เปิดออกรูปใบหนึ่งก็ร่วงลงมา ชายหนุ่มร่างโปร่งเจือยิ้มบางๆราวกับว่าเรื่องที่กำลังจะทำต่อไปนี้เป็นเรื่องสนุก
รูปภาพหญิงสาวหน้าตาสะสวยซอยผมสั้นดูเปรี้ยวโฉบเฉี่ยว แม้ว่าเธอจะอาชีพในวงการแพทย์เหมือนกันแต่บุคลิกท่าทางรวมถึงหน้าตาเรียกได้ว่าเข้าวงการบันเทิงได้ไม่ยาก
“ฮัลโหล…ได้รูปที่ส่งมาให้แล้วนะ ที่เหลือช่วยจัดการต่อที”
ดูเหมือนเทพแห่งชัยชนะจะอยู่ข้างเขา เพราะอีกไม่นานกษิดินทร์จะได้รับรู้รสชาติของการสูญเสียบ้าง
“เสียเธอไปสักคนชีวิตของนายจะเป็นยังไงบ้างนะ”
เมื่อเอ่ยจบก็ขับรถออกมาด้วยความเร็วสูง ไฟแค้นที่สุมอยู่ในอกทำให้ชายหนุ่มนึกอยากจะทำลายให้อีกคนสูญสิ้นทุกอย่างเสียตั้งแต่ตอนนี้จนลืมนึกถึงเหตุผล แต่กันต์กวีไม่ได้ต้องคำแก้ตัวที่เขาต้องการก็แค่อยากเห็นตระกูลเชษฐ์ศิริลุกเป็นไฟ
“นี่แค่การเริ่มต้น…”
ToBeCon…
(มาอัพต่อแล้วนะคับ :mc4:วันนี้ตื่นมาอัพแต่เช้าเพราะเพิ่งกลับมาจากทำบุญคับ เอาบุญมาฝากกับทุกๆคนนะคับ :call:ปล เรื่องยาวอีกเรื่องไนท์จะรีบอัพให้นะคับ ตอนนี้กำลังปั่นอย่างสุดชีวิต ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ทุกคอมเม้นต์นะคับ )