DOLLFIE ตุ๊กตาต้องสาป
ตอนพิเศษ ตอนที่1
คริสอู๋เต๋ารีเทิร์น
[/color][/size]
ภาพอันเลือนราง และเสียงที่ก้องกังวาลอยู่ในหัวใจนั่นมันคืออะไรวะ...
แกร๊งงงงง... แกร๊งงงง....
เสียงระฆังดังก้องกังวานไปทั่วโบสถ์ภายในเมืองโนอา สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มอบความสุขต่างเต็มไปด้วยความรัก กลิ่นหายอันหอมหวานตลบอบอวลไปทั่วทุกพื้นที่ ทุกย่างก้าวที่เอดิสันเดินผ่านมักประดับไปด้วยดอกกุหลาบสีขาวสะอาดตา แซมด้วยกุหลาบสีชมพูอ่อนประปราย ดั่งสัญลักษณ์แทนความรักคู่บ่าวสาวที่กำลังเบ่งบานดั่งดอกไม้เหล่านั้น
ชายหนุ่มร่างสูง หรือเจ้าชายน้อยเอดิสัน แห่งราชวงศ์โนอารอยเซอร์รา เดินไปตามเส้นทางสายเล็กอย่างเชื่องช้าหลังจากที่เจ้าชายซาฮันพี่ชายคนโตเข้าโบสถ์
ดวงตาเรียวคมมองไปตามพื้นอิฐที่เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางเตะกลีบใบไม้ด้วยความรู้สึกที่น่าเบื่อหน่าย
เบื่อ... น่าเบื่อ... ทุกคนต่างยินดีที่พี่ซาฮันแต่งงาน แต่ข้าทุกคนกลับหลงลืม แม้แต่พี่ซาฮันเองก็เหมือนกัน เอาแต่ยุ่งอยู่กับนางจนลืมข้าแบบนี้มันน่าน้อยใจจริงๆ
ชายหนุ่มคิดอย่างน้อยอกน้อยใจ เตะใบไม้ไปตามทางอย่างหงุดหงิด ใบหน้าคมหวานชักสีหน้าบึ้งตึง ย่นคิ้วเข้าหากันแน่น กลีบปากกระจับขบเม้มด้วยความรู้สึกโกรธเคืองในใจ
โดยปรกติแล้วเจ้าชายน้อยหรือเอดิสัน มักจะถูกตามใจและคอยประคบประหงมดั่งไข่ในหินที่ต้องเฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดู ทุกคนรักเจ้าชายไม่เคยปล่อยปละละเลยออกห่าง โดยเฉพาะพี่ซาฮันที่รักเอดิสันมากกว่าใครๆ เจ้าชายองค์โตมักจะตามใจเอดิสัน ยิ่งรู้ว่าน้องชายป่วยง่ายมาตั้งแต่เด็กๆ ซาฮันก็ยิ่งหวงแหนและคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง
แต่มาวันนี้กลับเปลี่ยนไป วันที่เจ้าชายเอดิสันหายดีจากอาการป่วยเหล่านั้น กลับมาเป็นเจ้าชายน้อยที่มีสุขภาพพลานามัยที่ดีดั่งชายหนุ่มทั่วๆไป วันที่เจ้าชายครบรอบอายุสิบแปดชันษา วันที่พี่ซาฮันเข้ามาบอกว่า "พี่จะแต่งงาน" วันนั้นจึงทำให้เอดิสันรู้ว่า... เขาไม่ใช่เด็กเล็กๆที่จะต้องรอให้เจ้าชายซาฮันดูแลอีกแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี อิจฉา และน้อยใจเป็นเรื่องปรกติ แต่ถึงกระนั้นตัวเขาก็ไม่อาจยอมรับได้อยู่ดีว่า พี่ซาฮันอาจจะเลิกเอาใจใส่เขาและต้องไปคอยดูแลยัยเจ้าหญิงนั่น!
ร่างสูงโปร่งหยุดชะงัก เมื่อมาถึงอุทยานแห่งหนึ่ง เป็นอุทยานที่ดูไม่คุ้นตานักดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นส่วนย่อยของโบสถ์ เมื่อเงยหน้ามองก็รู้ว่าตัวเขามาไกลมาก ไกลเสียจนไม่รู้ว่าหลงมาอยู่ที่ไหน แต่รู้แค่เพียงว่าที่นี่เต็มไปด้วยสวนดอกไม้ สร้างความงดงามให้แก่สถานที่ได้ดี
ดวงตาทอดมองไปข้างหน้า เห็นโบสถ์เก่าๆอีกโบสถ์หนึ่งอยู่ไม่ไกลนัก แลดูสภาพเก่าแก่ดอกกุหลาบเลื้อยเกือบจะถึงหลังคาอยู่แล้ว ขนาดโบสถ์ค่อนข้างใหญ่ ดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่ๆถูกทอดทิ้งเป็นแน่ แถมให้ความวังเวงรู้สึกน่ากลัวมาก
ถึงจะเป็นหนุ่มแน่น แต่ก็ยังกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็นไม่หาย เหมือนมีไอดำรอบกายปกคลุมไปทั่วพื้นที่ มันจะน่าสะพรึงมากไปแล้วนะ ทำไมต้องมาเจออะไรแย่ๆแบบนี้ด้วย พี่ซาฮันก็ไปมีเมีย ส่วนข้าก็มาหลงอยู่ในโบสถ์เก่าๆน่ากลัวนี่ อย่ามีผีออกมาเชียวเดี๋ยวข้าถีบหน้าหงาย ขอตั้งหลักวิ่งหนีก่อนก็ได้ค่อยตามมาหลอกหลอน
ไม่วายยืนคิดและค่อยๆก้าวถอยหลังเตรียมเผ่น ความกลัวขึ้นสุมในจิตใจจนตาขาว ใครๆต่างก็รู้ว่าเจ้าชายน้อยกลัวสิ่งเร้นลับมากเพียงไร และเจ้าชายยังชอบจินตนาการในสิ่งที่มองไม่เห็นอีกด้วย นี่อาจเป็นผลกระทบเมื่อครั้งที่ยังเด็กอยู่ก็เป็นได้
ร่างสูงโปร่งค่อยๆก้าวถอยหลังไปสามก้าว ก่อนจะเอี้ยวตัวอย่างช้าๆเตรียมหนี แต่เมื่อเขาหันหลังเดินไปข้างหน้าด้วยความเร็ว เพียงอึดใจก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเปียโนที่ดังก้องกังวานไปโดยรอบ รีบหันกลับไปมองค้นพบว่าเสียงๆนั้นดังแว่วมาจากในโบสถ์ที่น่าสะพรึงนั่น
ชิบ!
ไม่ทันได้หนีก็เล่นกันแล้วหรือไง เอดิสันมองไปทางโบสถ์เก่าๆด้วยหัวใจที่เต้นระทึก ดวงตาเบิกโตใบหน้าหรอหรา ใจหนึ่งอยากจะก้าวขาแต่กลับก้าวไม่ออก ยืนฟังเสียงเพลงเศร้าๆนั่นที่กำลังบรรเลงเพลงอย่างช้าๆ ให้ความรู้สึกเหมือนว่ากำลังคิดถึงใคร
คิ้วเรียวขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ก่อนจะหันตัวเข้าหาโบสถ์นั่นอีกครั้ง นี่มันไม่ใช่เสียงผีแล้วล่ะ น่าจะเป็นเสียงคนเล่นเปียโนจริงๆ อย่าฟุ้งซ่านน่าเอดิสัน โตจนจะนำหน้าพี่ซาฮันไปแล้วอย่าปอดแหกเลยน่า....
แต่คิดปลอบใจตัวเองก็เปล่าประโยชน์ ถึงยังไงก็ยังกลัวอยู่ดีล่ะวะ ร่างสูงโปร่งค่อยๆก้าวขาไปข้างหน้า ไปตามาทางเดินสายเล็กซึ่งมีใบไม้ทับถมอยู่เต็มพื้น ผ่านรั้วกุหลาบที่กั้นทั้งสองฝั่งทอดยาวไปถึงหน้าโบสถ์ ถึงกลัวแต่ก็อยากสอดรู้สอดเห็น เสียงเพลงที่แว่วเสียงมาพาลให้หัวใจรู้สึกโหยหาอย่างแปลกประหลาด
ประตูไม้ของโบสถ์สีดำดูเก่าแก่เต็มไปด้วยคราบลมฝนมานานหลายสิบปี ไม่เคยมีใครมาดูแลรักษายิ่งทำให้เขาไม่อยากคิดจะผลักมันเข้าไป แต่เสียงเปียโนที่แว่วอยู่ภายในกลับกระตุ้น เหมือนคำสั่งของเจ้าประตูนี่สั่งว่า ผลักข้าสิ ผลักข้า
ผลักน่ะผลักแน่ แต่สัญญาก่อนได้ไหมว่าผลักเข้าไปแล้วจะไม่จ๊ะเอ๋กับภาพอันน่าสยดสยอง ห้ามมีหน้าขาวๆโผล่ออกมาจากประตูด้วยนะโว้ยไม่งั้นถีบหน้าหงาย ยืนใช้กระแสจิตคุยกับประตูไม่เท่าไรมือเรียวก็ค่อยๆยกขึ้นหมายจะผลักมันเข้าไปดั่งใจกำลังสั่ง ใบหน้าตึงเครียดจนถึงขีดสุด หัวใจเต้นแรงเหมือนกำลังอยู่ในประสบการณ์ขนหัวลุกที่พี่ซาฮันชอบเล่าเป็นนิทานก่อนนอนให้ฟังบ่อยๆ
นี่ถ้าจะโทษใครก็ต้องโทษเจ้าชายใหญ่แห่งอาณาจักรโนอารอยเซอร์รานี่แหละ ที่ชอบแกล้งเจ้าชายน้อยอย่างเขา จนทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องปลูกฝังอยู่ในใจไปแล้ว ว่าโลกนี้มันมีสิ่งเร้นลับ แต่แท้ที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆของอาณาจักรเสียด้วยซ้ำ ผิดก็แต่เจ้าชายน้อยนั่นล่ะที่อ่อนแอเอง (ซาฮันแอบยักไหล่ในความอ่อนหัดอยู่เบื้องหลัง)
แอ๊ดดดดดด...
เสียงประตูถูกเปิดออก ราวกับเสียงกระชากวิญญาณของเอดิสันให้ออกจากร่าง ขนาดเสียงประตูยังขนลุกเลย ถ้าเข้าไปนี่มันจะน่าสะพรึงขนาดไหนวะ แต่เอาวะไหนๆก็ไหนๆแล้ว เสียงนั่นก็ชวนให้อยากรู้เสียเหลือเกิน
ร่างสูงโปร่งแทรกกายเข้าไปในช่องประตูที่เปิดออกอย่างช้าๆ กวาดสายตาไปรอบๆโบสถ์ที่ดูเก่าแก่ แต่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แสงแดดอ่อนๆส่องลอดเข้ามาตามรูหลังคาที่ผุพัง ส่องให้เห็นทัศนียภาพได้อย่างชัดเจน ที่นี่ร้างลามานานจริงๆอย่างที่คิดนั่นล่ะ ขนาดต้นไม้ยังแทงขึ้นมาจากพื้นดินเติบโตอยู่ภายในโบสถ์ดูให้ความร่มรื่น เถาวัลย์ไม้ขึ้นเกาะตามผนัง บ้างมีเถากุหลาบกำลังออกดอกผลิบานไม่ต่างจากภายนอก
อื้อ... หือ...
นี่มันไม่ต่างจากสวรรค์ดินแดนอัศจรรย์ในหนังสือเลยนะ ดวงตาแพรวพราวขึ้นมาในทันที นี่เขากำลังค้นพบสถานที่แห่งใหม่ ที่ๆใครก็ไม่รู้ว่าต้องมีความสวยงามอยู่ในโบสถ์นี่ ยกยิ้มกระหยิ่มใจ เดี๋ยวอีกหน่อยจะใช้ที่นี่แหละเป็นฐานทัพ จะเอาให้ปราสาทวุ่นวายตาเหลือกหากันให้ตายกันไปข้าง
ค่อยๆย่างเท้าเข้ามาสู่ภายในอย่างช้าๆ สายตาหันไปทางต้นเสียงที่อยู่ลึกข้างใน เปียโนที่ยังบรรเลงเพลงเศร้าค่อยๆชัดเจนขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อเอดิสันเดินเข้าไปหาต้นเสียงนั่นเรื่อยๆ
แสงสีขาวลอดผ่านลงสู่เบื้องล่างหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง ส่องผ่านฝุ่นละอองในม่านอากาศที่กระจัดกระจายฟุ้ง กระทบกับแสงสีเขียวของต้นไม้ ทำให้ดูสวยงามยิ่งนัก เปียโนสีขาวตัวหนึ่งวางตั้งอยู่ตรงกลาง มีใครบางคนกำลังเล่นมันอยู่
เรือนผมสีทองเคลื่อนไหวไปตามสายลมเอื่อยที่พัดผ่านเข้ามา ดวงตาคมหลุบมองนิ้วมือที่กำลังบรรจงเคลื่อนไหว กลีบปากอวบอิ่มสีชมพูยกยิ้ม ใบหน้าคมหล่อเหลาดูเศร้านั่นสะกดจิตใจของเอดิสันตั้งแต่แรกเห็น
ใคร?
คำถามแรกที่ยังก้องอยู่ในหัวทันทีที่ได้เห็น ดวงตาเรียวคมเบิกขึ้นมองไปยังชายแปลกหน้าคนนั้นที่ยังคงสร้างบทเพลงอันไพรเราะ แม้ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าเขาเว้นระยะห่างเพียงแค่สี่ก้าว แต่คนๆนั้นก็ยังคงบรรเลงเพลงต่อไปไม่สนใจ กระทั่งตัวโน๊ตสุดท้ายในแผ่นกระดาษจบลง กลายเป็นความเงียบงันเข้าปกคลุมพาลให้หัวใจหยุดเต้นตาม
เอดิสันหยุดลมหายใจไปชั่วขณะ เหมือนสายลมเอื่อยพัดพาเอาความรู้สึกบางอย่างแล่นผ่านเข้ามาด้วย หัวใจเต้นถี่รัวแปลกประหลาดทอดมองคนตรงหน้าที่ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองเขา...
ดวงตาสีครามทะเลค่อยๆปรือตาขึ้นมองมาอย่างช้าๆ ใบหน้าเรียบเฉยแลดูเย็นชาค่อยๆคลี่ยิ้ม แปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนยากที่ใครก็ตามจะได้เห็น ต่างต้องรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับรอยยิ้มนั้น... รอยยิ้มของเขา ตราตรึงตราใจตราบนานชั่วนาน...
"คริส"
สายลมเอื่อยกระทบร่างของคนทั้งสอง ความหนาวแล่นผ่านเข้าสู่กาย แต่หัวใจเล่ากลับสับสน เขารู้จักคนๆนี้หรือ? ทำไมเพียงแค่เห็นดวงตาที่ทอดมองคู่นั้น กลับนึกชื่อๆหนึ่งออกมา เอ่ยมันโดยที่ไม่ต้องลังเล ไม่อาจละสายตาไปจากดวงตาคู่นั้นได้ พาลให้หัวใจกระตุกเกร็ง ดวงตาเอ่อคลอน้ำใสอุ่นที่กำลังล้นทะลัก...
ความคิดถึงจนหาที่สิ้นสุดมิได้นี่มันคืออะไร
"ในที่สุดก็เจอกันอีกครั้ง... จนได้สินะ" เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบาจากร่างสูงที่อยู่ตรงหน้า เอดิสันย่นคิ้วไม่เข้าใจว่าคนๆนั้นหมายถึงอะไร ดวงตาสีครามทะเลคู่นั้นที่ทอดมองพาลให้หัวใจเจ้าชายปั่นป่วน ถอยหลังหลีกหนี ก่อนจะหมุนตัววิ่งออกไปจากประตูด้วยความเร็ว
ทำไม... ทำไมข้าต้องหนี ทำไมล่ะ เหมือนกลัวว่าหากข้าอยู่กับคนๆนั้นจะต้องเจ็บปวดแน่ๆ...
พรึบ!
"อึก!" ผมลืมตาโพลงท่ามกลางแสงจ้าของวันใหม่ เหมือนมีบางอย่างมันฉุดกระชากร่างผมขึ้นมาจากความฝัน ก่อนจะหรี่ตาลงเพราะแสงแดดในเช้าสายของวันเสาร์พร้อมกับเสียงไอ้อู๋มันเรียกกินข้าวนี่แหละ
"พี่ตื่นหรือยังเนี่ย จะนอนกินบ้านกินเมืองอีกนานแค่ไหน"
แม่ง... จะนอนตื่นสายสักวันหน่อยไม่ได้หรือไง ตกลงเป็นแฟนหรือเป็นพ่อกูแน่วะเนี่ย
ลุกขึ้นนั่งเกาหัวแกรกๆทำมึน มองไอ้ยักษ์ที่เดินไปมาแก้ผ้าโทงๆ มีบ็อกแค่ตัวเดียวใส่ปิดน้องหนูกระปู๋ของมัน บ่นๆๆๆ แล้วก็บ่นไม่รู้จะบ่นอะไรของมันหนักหนา พอมันหันมาเป็นผมนั่งเอ๋อแดกเป็นแพนด้าไม่สร่างเมา พวกก็เดินเข้ามาลากแขนลากขา
"ลุกสิ มัวแต่นั่งอยู่ได้สิบโมงต้องออกรถแล้วนะ" มันยังมีหน้ามาทำตาดุใส่อีก พอเห็นมันแบบนี้แล้วคิดถึงคริสชะมัด หมอนั่นก็ชอบทำตาดุแบบนี้แหละ ถึงจะพูดน้อย แต่ไอ้อู๋กับคริสลักษณะนิสัยนี่ไม่ต่างกันเท่าไร ขี้ดุ ขี้ร้อน ขี้หื่น ขี้เซา ขี้เกรียน ขี้เหม็น... อย่างหลังนี่ไม่ใช่ละไม่เคยดมเว้ย วู้!
อย่าครับ อย่าสนใจชายเต๋า แค่อาการบ้าบอไปตามประสาไม่อาจจะรักษาหาย ยิ่งถูกไอ้เด็กนี่สั่งเป็นพ่อยอดยาหยี ตัวพรี่นี่อยากกระโดดถีบหน้าให้หายยุ่งในทันที ผมเลยโวยมันมั่ง "พี่ตื่นเช้ามาก็บ่นๆๆๆ ถามจริงพูดหวานๆสักวันนี่มันจะตายปะ"
อย่าคิดว่ามันจะสลดครับ ไอ้บ้านี่ไม่มีคำนั้นอยู่ในหัวหรอก แต่มันกลับยิ้มมุมปากได้กวนบาทาโคตรๆ "ถ้าพี่อยากให้ผมพูดแบบนั้น... ก็ได้นะ แต่ต้องให้ผมกินพี่ทุกครั้งที่พูด"
"ไอ้ฝลัด!" ไอ้เด็กเชี่ย! ถีบมันไปทีด้วยความหมั่นไส้ มันยังมีหน้ามาหัวเราะผม แล้วก็ก้มลงหอมแก้มผมฟอดใหญ่ ก่อนที่มันจะกลับไปเตรียมข้าวเช้าให้ผมนี่แหละ พอมันเห็นผมนั่งบื้ออยู่ ก็ส่งสายตาคมดุจิกกัดอยู่ได้ ก็เลยต้องรีบลุกขึ้นเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันก่อนที่จะโดนไอ้เด็กบ้านี่แดกจริงๆ
ปรกติผมมักจะตื่นก่อนเสมอ แต่เวลาจะออกไปไหนอู๋มันจะเป็นคนตื่นก่อน แล้วเร่งให้ผมทำอะไรเร็วๆ เวลาได้ทีนี่ขี่แพะไล่ตลอด ยังมีหน้ามาดุชาวบ้านทีเวลาตัวเองล่ะไม่เคยจะบ่น ชิ! หมั่นไส้ แต่ทำไรแม่งไม่ได้ เซง!
แต่ถึงจะหมั่นไส้ แต่ผมก็รู้สึกว่าวันๆหนึ่งของผมไม่ได้สูญเปล่าเวลาที่อยู่กับมันหรอกนะ หมอนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าคริสยังคงอยู่กับผมเสมอ แล้วมือที่กำลังแปรงๆอยู่นี่ก็ต้องหยุดชะงัก...
บ้าเอ๊ย! ทำไมผมต้องคิดถึงเขาด้วย...
ดวงตาเหม่อลอยไปที่หน้ากระจก มองใบหน้าหล่อๆตาคล้ำ ยาสีฟันฟูมปาก ผมก็ไม่เข้าใจว่าตอนนี้ตัวเองแปรงฟันหรือแปรงปากกันแน่ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมันมากนักหวนคิดถึงฝันประหลาดฝันนั้น ราวกับว่ามันคือเรื่องจริง
ความฝัน เหมือนผมเป็นเจ้าชายน้อยเอดิสันคนนั้น หรือผมกำลังระลึกชาติของตนอยู่ หรือไม่... ก็ผมนั่นแหละที่คิดถึงพวกเขามากจนเกินไปทำให้เอามันมาฝันแบบนี้ แต่ดวงตาคู่นั้นยังติดตรึงไม่เสื่อมคลายจริงๆ ผมต้องทำยังไงที่จะหยุดลืมพวกเขาได้ ไม่ต้องเอามาทำร้ายหัวใจแบบนี้ ทำไมพรของคริสไม่ส่งผลให้ผมลืมพวกเขาไปเสียเลย ทำไมวะ? ผมนี่อยากจะแพ่นกระบาลคริสสักทีข้อหาทำงานหละหลวม ยังไม่พอนะ... หมอนั่นยังไม่ทำพรอีกข้อของผมให้สมหวังเลยด้วย!
"ทำไมนานนักล่ะ พี่กำลังเข้าชาญหรอ?"
"เข้าชาญป๊าเอ็งสิ" ด่าไอ้เด็กบ้าที่โผล่หน้าเข้ามาในห้องน้ำแล้วก็กวนตรีนผมเลย มันยิ้มที่มุมปากบางๆอีกแล้ว รอยยิ้มนั่นมันเหมือนเขาเสียผมใจสั่น ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วสวมกอดที่เอวแนบแน่น น้องชายภายใต้กางเกงแม่งตื่นเป็นตอปิโดเตรียมถลมป่าวอ่าวอยู่ได้
"ไอ้..." ยินฟันถลึงตาใส่นี่อย่าคิดว่าจะกลัว ไอ้บ้านี่มันหน้ามึนเหมือนใครวะ ไอ้บร้า! ออกป๊ายยยยย!!! นี่เสียวประตูหลังจนขมิบก้นแทบตะคริวกินแล้วนะเว้ย!
"ออกไปดี๊!"
"หืม? พี่อ่อยผมไม่ใช่หรอ จะเขินทำไม"
เขินพร่องเมิงเซ้!!!!!!! ไม่ได้อ่อยด้วยว้อยยยยยย!!! "ไอ้บ้าคริส! เอ๊ะ!" ผมรีบเอามือปิดปากเมื่อเผลอเรียกเขาอีกแล้ว อู๋มันเลิกคิ้วขึ้นสูงประหลาดใจที่ผมหลุดปากไปแบบนั้น ก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายให้ผม ส่วนชายเต๋านี่น่ะหรอ... แมร่งเอ๊ยหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ
"ขะ ขอโทษ" ไม่ได้ตั้งใจคิดถึงเขานะเว้ย แต่เอ็งเหมือนเขามากเกินไปต่างหาก อย่าเอาหน้าเข้ามาใกล้มากได้ไหมวะ มันจั๊กกระเดี๋ยมหัวใจ เกิดตอปิโดมึงสปาร์คกับหนอนน้อยของพี่ขึ้นมาแล้วจะยุ่ง
"ไม่ให้อภัย" พูดงี้เอาส้นตรีนนาบหน้าพี่ไหมเลยครับ ไอ้บ้า! อย่าทำช้านเลยยยยยย!
ตอนนี้หน้าผมหงอยไปแล้วครับ ไม่รู้ว่ามันพูดเล่นหรือพูดจริง แต่ส่งสายตาอัมหิตดุดันงี้สงสัยจะพูดจริงว่ะ ฮรึก! ผมผิดก็ว่าไปตามผิด ผมผิดเองที่ทำให้เขาเสียใจที่มองเขาเป็นคริส แต่ให้ทำไงได้ในเมื่อสองคนนี้แทบจะเป็นคนๆเดียวกันเลยด้วยซ้ำ
ตอนนี้น้ำมูกน้ำตาผมไหลเผลาะๆ ปาดฟองยาสีฟันที่แตกละอองเม็ดๆตรงปากผมนี่แหละ ส่งสายตาเชื่อมอ้อนวอน อย่าโกรธกันเลยนะ ถ้านายจากพี่ไปสักคนแล้วพี่จะทำยังไง ใครจะคอยหาข้าวหาน้ำให้พี่ ใครจะกอดพี่ตอนหน้าหนาว ใครเล่าจะช่วยขับเหงื่อพ่อยอดยาหยีในหน้าร้อน...
ใช่แล้วครับ การเลี้ยงเด็กมันไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อแฟนเด็กของคุณมันโคตรขี้งอนเงียบและเอาแต่ใจโคตรๆ เอาแต่ใจไม่ใช่ว่างี่เง่านะ คำว่าเอาแต่ใจของไอ้บ้าอู๋นี่แม่ง...
"พี่ผิดสัญญากับผม เพราะงั้น... หึหึ"
ไอ้หึหึนี่โคตรเกลียด เดี๋ยวพ่อชกลูกกระเดือกหลุด แต่ยังครับ ตอนนี้ชายเต๋ากำลังมีความผิด ได้แต่ยืนเจี๋ยมเจี้ยมประสานมือก้มหน้า เป็นเด็กชายเต๋าลืมทำการบ้านแล้วไม่ยอมส่งอาจารย์อู๋ยังไงยังงั้น
แต่ยืนก้มหน้านี่ก็ใช่ว่าจะดี ทิวทัศน์เป็นภูเขาไฟฟูจิเตรียมระเบิดแบบนี้แม่งไม่ไหว ไอ้เด็กนี่มันเข้าใจเลือกซื้อลายบ๊อกเซอร์จริงๆเลยนะ
"มองแบบนี้อยากโดนกินนักหรือไง"
"ปละ เปล่า" เปล่านะเปล่าเลย แค่กินฟองยาสีฟันพี่ก็อิ่มแล้วล่ะครับ ขอเวลานอกบ้วนปากก่อนได้ปะ? ป่านนี้เชื้อโรคตายห่าหมดปากแล้ว ชายเต๋าอนุรักษ์เลี้ยงหมาเอาไว้ในปาก ถ้ามันตายไปคงน่าสงสารแย่ ชำเลืองตามองอู๋แบบอ้อนวอนชีวิตสุดๆ ขอเถอะ... เช้านี้ไม่เอาได๋ปะ? เดี๋ยวเพื่อนมันรู้ว่าไปออกศึกตีประตูชัยมา...
ร่างสูงทอดมองลงมานิ่งสีหน้ายากเดาใจ ไอ้นี่มันคิดอะไรของมันอยู่วะ? อย่าเงียบได้ไหมเนี่ย รู้ไหมว่ามันน่ากลัวมากแค่ไหน พยายามส่งสายตาเว้าวอนสุดๆ จำได้นะเว้ย! นี่ใช้วิชามารของคริสมาเล่นกับอู๋เลยนะ
เจ้าตัวถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลุบตาลงต่ำ ผมพยายามปิดน้องน้อยด้วยมือชุ่มเหงื่อสองมือนี้ กันสายตาไม่ให้ร่างสูงเห็น อย่าหาว่าผมทะลึ่งเลยนะ แต่แม่งเป็นธรรมดาโลกของผู้ชายว่ะที่ตื่นเช้ามาแม่งต้องแข็งทุกคน แถมมายืนเปลือยกันสองต่อสอง เห็นแผงอกกล้ามเป็นกล้ามแบบนี้แล้วมันพาลให้ใจหวิวๆ
ใบหน้าหล่อๆเงยหน้ามองผมอีกครั้ง ก่อนจะคลี่ยิ้มที่มุมปาก นี่เดาไม่ออกเลยว่าไอ้บ้านี่คิดจะทำอะไร เจ้าตัวเอื้อมมือข้ามไหล่ผมคว้าผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดฟองยาสีฟังออก แล้วฉกปากจูบผมโดยที่ผมยังไม่ทันร้องห้ามสักแอ๊ะ
เอี่ยอู๋แม่งฉวยโอกาส!
"อือ..." ลิ้นร้อนๆล้วงเข้ามาภายในดูดดันลิ้นเข้าหากัน มันดูดลิ้นผมอย่างกับดูดไอติมทำไมไม่กินมันไปด้วยล่ะวะ! ประกบปากแทบไร้ช่องว่างให้หายใจ ขยี้ปากผมจนหนำใจก่อนจะผละออกมา "แฮ่ก..." ผมกลืนน้ำหายกอบโกยลมหายใจก้อนโตเข่าแทบทรุด ไอ้บ้านี่แม่ง...
ยังมีหน้ามายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผมอีกนะ ผมเช็ดน้ำลายของผมกับอู๋ที่ผสมกันออกจากปาก แม่งโคตรน่าโมโห โดนจู่โจมอีกแล้ว จะมีสักครั้งไหมที่ผมจะอยู่เหนือมันบ้างแบบนี้ไม่ยอมเว้ย!
ผมดึงตัวมันมา แล้วจูบคืนไปอีกชุดโดยที่ตัวเองคิดจะเป็นฝ่ายรุก แต่ไอ้อู๋มันกลับครุกวงในจับเอวคอดผมเอาไว้โคตรจักจี้ พอผมเผลอผ่อนแรงมันก็ดูดดันลิ้นเข้ามา เกี่ยวกระหวัดลิ้นทั้งปากของผมแทบบวมเจ่อ
พอจูบจนหนำใจก็ผละออกมาหอบหายใจหนักตรงหน้าผม ตอนนี้อีดาบเล่มหนาสองเล่มที่นอนอยู่ใต้บ๊อกเซอร์กำลังตีเครื่องร้อนเสียดสีกันร้อนแรง
ไอ้อู๋มันยิ้มร้ายกระซิบกับผมว่า "พี่อยากให้ผมเป็นคริสเพราะแบบนี้หรือเปล่า?"
ฮะอะไรนะ? ผมมองมันอย่างเหวอๆ ไอ้อู๋มันมองผมตาเชื่อม มึงอย่ายิ้มมากกูเสียว
"ผมจะบอกอะไรพี่อย่างหนึ่งนะ"
บอกอะไรวะ... เฮ้ย! อย่าโน้มหน้าเข้ามามากเซ่! "อะ อะ อะไร..." น้ำเสียงผมโคตรสั่น สั่นมากจนแหบพร่า ตัวสั่น ใจสั่น แม้แต่หำยังสั่นเลยครับ ไอ้บร้า! อย่าทำร้ายหัวใจพี่ไปมากกว่านี้ได้ม้ายยยยย!!!
มันค่อยๆโน้มหน้าเข้าหาผมอย่างช้าๆ จมูกโด่งๆนี่แทบจะติดกันอยู่แล้ว ผมก็ค่อยๆเอนไปข้างหลังใช้สองแขนยังอ่างล้างหน้า จนกระทั่งหัวโขกกับผนังห้องน้ำดังปึกนั่นล่ะครับมันถึงจะหยุด ไม่ใช่ผมหยุดนะเว้ย! นี่แทบจะเล่นสะพานโค้งอยู่แล้วถ้าขืนไม่ติดผนังไอ้เด็กนี่ก็ไม่ยอมเลิกแกล้ง มันจ้องตาผมนิ่ง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายนี่โคตรอยากเอานิ้วจิ้มตา
ผมกลืนน้ำลายอึกจ้องปากสีแดงช้ำอวบอิ่ม ที่กำลังขยับปากพูดกับผมอย่างช้าๆว่า "พี่คิดไม่ผิดหรอก... เขาก็คือผมนั่นล่ะ"
ห่ะ เห?
ผมมองไอ้บ้านี่โคตะระมึนงง ถ้างงไม่พอเดี๋ยวหาบรรพบุรุษของคำว่างงนี่มาให้ก็ได้ ผมว่าหน้าผมตอนนี้มันต้องตลกมากแน่ๆ ไอ้เด็กห่ะลากนี่ถึงกับผละตัวออกไปแล้วกุมท้องหัวเราะโคตรอร่อย
"เชี่ย..." ด่าเนิบๆแต่หนักแน่นและแข็งแกร่ง นี่มันแกล้งผมนี่!
แต่อย่าคิดว่ามันจะเจ็บครับ เมื่อดีกรีความเกรียนบวกหน้าหนาที่หาใครเปรียบไม่ได้ ผมเอาเท้ายันขามันไปที ไอ้บ้านี่ก็ฉวยโอกาสคว้าขาผมเอาไว้หมับ! ทีนี้ล่ะเข้าท่าพอดีเปะ! มันสวนตัวเข้ามา เอาตอปิโดจ่อหน้าคุยกับน้องชายของผมที่อ่อนยวบไปแล้ว
รอยยิ้มกรุ้มกริ่มแบบนี้ผมว่า... เช้านี้... ประตูหลังผมไม่น่ารอด...
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มใบหน้าเข้าหากระซิบข้างหูผะแผ่ว ไอร้อนจากลมหายใจชวนให้ผมรูสึกสยิวกิ้วไม่น้อย "ไหนๆก็ไหนๆแล้ว... เรามาออกกำลังกายรอบเช้ากันดีกว่านะ" แล้วมันก็ผละตัวออกมายิ้มตาเชื่อมให้กับผม
ตอนนี้หน้าผมมันฉ่าร้อนมาก ฟดวสกหก้าดว@#&^%&()(_+_+...
ไอ้บร้า! นี่แทบจะพ่นภาษาต่างดาวใส่ด่าแล้วนะ แต่ทำไมร่างกายไม่ยอมขัดใจมันบ้างวะ เอาแต่ก้มหน้าเขินงุดๆ ให้เด็กมันเต๊าะอยู่ได้ นี่อายุมากกว่านะ เคยสาบานตนว่าจะลุกฮือตีประตูชัยกลับมา สู่เอกราชความแมน แต่ทำม้ายยยยยย ทำไมถึงยอมโดนเป็นฝ่ายรุกตลอด พอคิดแล้วแม่งก็ช้ำใจ
"คิดอะไรอยู่ บอกผมให้ได้ยินบ้างสิ" ไอ้นี่ก็ดันรู้ดีอีก บอกก็โง่แล้วเว้ย! ถ้ารู้ก็ยิ่งได้ใจเด่ะ
ผมเงยหน้าเบาะปากใส่ ก่อนจะด่ามันด้วยความหงุดหงิดใจว่า "เออ! จะทำก็รีบทำ ไอ้บ้า" นี่เขาเรียกด่าแล้วหรอเรอะ! ทำไมหน้าแม่งไม่เจ็บเลยล่ะ ฮืออออ... ไอ้บ้าเต๋าเอ็งไปให้ท้ายมันทำม้ายยยยย...
แล้วคิดว่าชายอู๋จะรอช้าหรือครับ... ตัวเขากับผมก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก แทบจะบอกได้ว่าเกือบไซต์เดียวกันได้ แต่มันกลับอุ้มผมจนลอยหวือสบาย ผมนี่หงายหลังแทบล็อกคอไม่ทัน สายตาและรอยยิ้มกรุ้มกริ่มนั่นมันเหมือนใครชอบกล...
"จะกินให้อิ่มเลย..."
"..."
ม้ายยยยยยยยยยยยยย!!!!!
เจอกันตอนหน้างับ
.....