My children are coming back
เสียงหมัดกระทบกับกระสอบทรายดังก้องในโรงยิม สมาธิของอยู่กับกรพสอบทรายมากกว่าเสียงบ่นของแมทธิว เขามาหาผมแต่เช้าในสภาพรุงรัง สวมเสื้อตัวเดียวกับที่เห็นเมื่อวาน ผมเหลือบมองเพียงครู่เดียวแล้วหยุดทุกอย่าง เดินไปหยิบขวดน้ำกระดกดื่มแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ แมทธิวสบถอีกครั้ง เดินดุ่มๆ มากอดอกอยู่ตรงหน้าผม
“อย่างน้อยก็น่าจะปลุกฉัน!”
นั่นคือประโยคที่เขาโพล่งออกมาตั้งแต่มาถึง ผมส่ายหน้าระอา เหยียดแขนขาแล้วโยนขวดน้ำให้เขา จำได้ว่าเมื่อคืนแมทธิวนั่งรถไปบาร์เอง ผมไม่ได้ชวน แต่เขาโวยวายเป็นเรื่องใหญ่ว่าผมทิ้งให้เขาหลับอยู่ร้าน ผมชี้หน้าเขา อ้าปากเตรียมพูดแต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา แมทธิวถอนหายใจพลางส่ายหน้า ผมต่างหากควรทำแบบนั้นเพราะเขามาวุ่นวายกับผมแต่เช้า ระอาเต็มที
“นายควรจะรับผิดชอบตัวเอง”
“มีเมื่อก่อนนายเมาฉันยังลากกลับมาส่งบ้าน”
“ขอบใจ”
ผมพูดแค่นั้นแล้วเดินไปหยิบผ้ามาพาดไว้ตรงบ่น แมทธิวนั่งแทนที่ผม คิ้วยังขมวด ตัวบึกบึนแบบนั้นไม่ได้ดูน่าเห็นใจเท่าไหร่
“สายแล้ว ทำไมไม่ไปเปิดอู่”
“ลูกน้องฉันคงเปิดแล้ว”
“ไม่มีความรับผิดชอบ”
“เพราะอย่างนั้นฉันถึงเป็นเพื่อนนาย”
“ฉันไม่ได้แย่ขนาดนั้น”
แรงสั่นจากโทรศัพท์ทำให้ผมสะดุ้ง แมทธิวเดินหายออกไปจากโรงจิมเพราะมีสายโทรมาหาเขาเหมือนกัน ผมมองเบอร์แปลกอย่างระแวดระวัง จนสายตัดไปถึงสามครั้งแล้วโทรเข้ามาใหม่ ผมตัดสินใจกดรับแล้วเอาหูแนบโทรศัพท์
[อาร์โนลด์?]
เกือบจะด่ากลับไปเพราะคิดว่าโปรดิวเซอร์นั่นจะตามตื๊อผมอีก ผมปิดปากสนิท กลอกตาวนรอบเดียวแล้วเดินไปที่ชานหน้าบ้าน
[ฉันส่งเด็กๆ ไปอยู่กับนาย]
“ทำแบบนี้ทำไม”
พยามคุมเสียงไม่ให้ปลายสายรู้ว่าผมตื่นเต้น ผมได้ยินโนแลนถอนหายใจ
[พูดเหมือนไม่อยากเจอลูก]
“ผมต้องอยากเจออยู่แล้ว”
ผมไม่เจอลูกนานแล้ว ยิ่งนานผมก็ยิ่งกลัวว่าจะไม่มีอะไรเหมือนเดิม ให้เด็กๆ มาอยู่กับผมบ้างก็ดี
“คุณพยายามเกลี้ยกล่อมผมให้ได้เลยใช่ไหม”
[ถ้าได้ก็ดี]
เขายอมรับ
[เซบาสเตียนยุ่งอยู่กับเรื่องปล่องภูเขา ฉันต้องบินไปฝรั่งเศสก็เลยให้เด็กๆ ไปอยู่กับนาย ดีกว่าจ้างพี่เลี้ยง อย่างน้อยนายก็จะมีเวลาอยู่กับลูก]
“พยายามได้ดี ผมไม่ขอบคุณหรอกนะที่อุตส่าห์ยอมให้ลูกมาอยู่กับผม” ไม่มีทางแน่ ผมยิ้มกว้าง เป็นเช้าที่ไม่น่าเศร้าซึม ผมตื่นเต้นจริงๆ ที่โนแลนส่งพวกเขามาอยู่กับผม
“พวกเขาจะมาถึงเมื่อไหร่”
“น่าจะทันมื้อค่ำ”
สายตัดไปแล้ว ผมหยิบอุปกรณ์ช่างแล้วปีนบันไดขึ้นหลังคา ซ่อมแซมในส่วนที่พายุเกรี้ยวกราดมาลงที่หลังคาบ้านผมเมื่อคืน จากนั้นก็เข้าไปยังห้องนอนที่ไม่ได้ใช้ ทำความสะอาดทุกอย่างแล้วไปอีกห้องสำหรับลูกชายคนโต
รถเคลื่นตัวมาจอดที่ห่างจากหน้าบ้านตอนบ่ายแก่ ผมกอดอกยืนอยู่ตรงชานระเบียง มองคนขับรถยกกระเป๋าลง เด็กๆ ไม่ยอมลงจากรถจนกระทั่งคนขับรถเปิดประตูออก ผมส่ายหน้าหัวเราะ มองเด็กผู้ชายผมสีน้ำตาลเข้มกอดตุ๊กตาหมีลงมา เด็กผู้หญิงที่โตกว่านิดหน่อยยืนอยู่ข้างๆ ผมสั้นประบ่า ถือหนังสือเล่มหนาไว้ในมือ เด็กๆ โตขึ้นเยอะเลย ถาพในม่านตาทำให้ผมหยุดยิ้มไม่ได้
ผมมองเด็กผู้ชายตัวสูงที่พึ่งลงจากรถ สีหน้าหน่ายเหนื่อยเหมือนไม่เต็มใจมาที่นี่ เขาทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนเด็ก เขาเหมือนผมแทบทุกอย่าง สีตา ผม ริมฝีปาก ถอดแบบมาจากผมทั้งหมด
จนรถเคลื่อนออกจากตัวบ้านเด็กๆ ก็ยังยืนเรียงหน้ากระดานอยู่ที่เดิม แต่ละคนมีสีหน้าเหม็นเบื่อ เว้นแต่คนเล็กที่งัวเงียเหมือนพึ่งตื่น
“ทำไมมองพ่อแบบนั้น”
ผมถามเรเชล เธอถอนหายจนใจผมได้ยินเสียงแล้วมองธีโอ
“เคลาพ่อ”
เรเชลพูดแล้วจูงมือน้องชายเดินเข้ามาหาผม ผมเอามือสัมผัสหนวดเคลาที่ยังไม่ได้โกนแล้วขมวดคิ้วมองลูก
“เหมือนซานต้าเลย”
ธีโอออกความเห็น ผมย่อตัวเพื่อกอดเรเชลกับธีโอ ตาจ้องไปที่สเปนเซอร์ที่ไม่ได้สนใจผม
“ว่าแต่ลูกอยากได้อะไรจากซานต้า”
“หนูอยากให้พ่อโกนมันออก”
นั่นคือคำขอของเรเชล ผมหัวเราะในลำคอแล้วผละตัวออก จับธีโอหมุนตัว สังเกตทุกอย่างตั้งแต้หัวจรดเท้า
“สูงขึ้นตั้งเยอะ”
“ไม่สูงเลยต่างหาก ธีโอไม่สูงเลย เขาไม่เจริญอาหาร” ธีโอเขย่งเท้าอวด ย่นหน้าใส่เรเชลแล้วกอดผมอีกที
“เราคิดถึงพ่อ”
เรเชลกับธีโอพูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะกอดผมแน่นขึ้น ผมเห็นเรเชลส่งสายตาดุๆ ให้สเปนเซอร์ พระเจ้า เธอเหมือนเซบาสเตียงตอนไม่พอใจ
“ใช่ เราคิดถึงพ่อ”
สเปนเซอร์พูดเสียงแผ่ว เขาไม่ได้สบตาผม นั่นทำให้ผมมองเห็นความห่างเหินของเรา เรเชลกับธีโอเดินเข้าไปในบ้าน ตอนนี้ผมอยู่กับลูกชายลำพัง ผมกอดอกแล้วพยักหน้า สังเกตท่าทางสเปนเซอร์ที่ดูอึดอัดกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ใบหน้ามีรอยฟกช้ำที่กำลังจางหาย ผมไม่ถามเรื่องนี้ คงมีเรื่องชกต่อยตามประสาเด็กผู้ชาย
“เราไม่ได้มีปัญหาอะไรกันใช่ไหม?” สเปนเซอร์ส่ายหน้า
“ลูกไม่ใช่คนพูดน้อยแบบนี้”
“ผมคงเปลี่ยนไป”
เขาพูดแค่นั้นแล้วเข้าไปในบ้าน
โทรศัพท์แทบหลุดจากมือเมื่อรู้ว่าใครโทรเข้ามา ผมตื่นเต้นจนเผลอตัดสายทิ้งไปสองรอบ จึงต้องตั้งสติและรอจนมีสายเข้ามาอีก ผมคุยกับเซบาสเตียนครั้งสุดท้ายเมื่อแปดเดือนก่อน เราคุยกันนิดเดียวตอนผมไปเยี่ยมลูก ไม่ใช่เรื่องที่น่าจดจำนัก เขาบอกว่าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้เรายุ่งเกี่ยวกันอีก เขาพูดออกมาง่ายๆ ทั้งที่เรามีลูกด้วยกันซึ่งมันก็ชัดแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เจอกันเลย เขาพูดอีกว่าจะแบ่งลูก บอกให้ผมเอาสเปนเซอร์ไปอยู่ด้วย แต่ผมปฏิเสธเพราะรู้ว่าสเปนเซอร์ไม่อยากอยู่กับผม
ทุกอย่างเลยเป็นแบบนี้ ผมโดดเดี่ยวในบ้านเก่าที่อยู่มาตั้งแต่เด็ก ในหนึ่งปีผมเจอหน้าลูกแค่ครั้งเดียวไม่นับรวมตอนนี้ ผมถูกสั่งห้าม เซบาสเตียนถึงกับฟ้องจนกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ทนายของผมก็ช่วยได้ไม่มากเพราะสภาพทุเรศทุรังจากพฤติกรรมติดเหล้า
[ไม่อยากเชื่อว่าพ่อจะส่งลูกผมไปอยู่กับคุณ!]
“ลูกเรา”
ผมเตือนเขา เสียงแข็งกระด้างกว่าที่อยากให้เป็น
“สเปิร์มผม สเปิร์มคุณ ได้ยินไหมที่รัก”
[อย่าเรียกผมแบบนั้น]
ผมนึกถึงหน้าบึ้งตึงของเขาแล้วกลั้นเสียงหัวเราะไว้
[ผมบอกพ่อแล้วว่าให้จ้างพี่เลี้ยง]
“ใจคอไม่คิดจะให้ผมเจอลูกเลยรึไง” ผมเปิดสปริงเกอร์รดน้ำหญ้าแล้วหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้สานหวาย
“ถ้าคุณไม่เอาแต่ทำงานโนแลนคงไม่ส่งลูกมาอยู่กับผม แปลกใช่ไหม เขายอมให้เด็กๆ มาอยู่กับผม” ลูกผมทั้งสามคนติดเซบาสเตียนมากกว่าผมเสียอีก ทั้งที่แทบไม่มีเวลาอยู่กับลูกด้วยซ้ำ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นไปได้ยังไงในทางเหตุและผล เขาเอาแต่ทำงาน ส่วนผมอยู่กับลูก ทุกวันพวกเขาจะถามหาเซบาสเตียนซึ่งหน้าที่ผมคือแก้ตัวแทนเขาโดยคิดหาเหตุผลที่ดีที่สุดแต่ความจริงแล้วเซบาสเตียนกำลังสนุกกับหลอดทดลองซึ่งผมไม่คิดว่ามันสำคัญกว่าลูก
“ถ้าคุณเอาเวลามาอยู่กับล-”
[คุณไม่มีสิทธิ์พูดแบบนั้น คุณเองก็เคยบินไปอยู่แอฟฟริกาตั้งหลายปีเพราะงานของคุณ] แค่สองปีไม่ผมคิดว่าไม่นานเท่าไหร่ แล้วผมก็ไม่ได้หายไปเลย ผมยังติดต่อกลับมาหาคนที่บ้าน ถึงจะไม่ได้กอดลูกแต่ผมก็โทรไปบอกคิดถึงประจำ ผมไม่อจากเถียงเซบาสเตียนเรื่องนี้อีกจึงไม่ตอบกลับไป
[พ่อผมคิดผิดที่ให้เด็กๆ ไปอยู่กับคุณ]
“พูดแบบนั้นดูไม่เหมือนคุณเลย ผมก็เป็นพ่อเด็กนะอย่าลืม แล้วอยู่กับผมไม่ดีตรงไหน”
[ก็คุณ…]
“ไม่เอาไหน พระเจ้า คุณรู้ว่าผมเป็นสามีที่ดีที่สุดของคุณ เป็นพ่อที่ดีของลูกเรา” พูดออกไปอย่างมั่นใจ ก่อนจะถูกทำลายด้วยประโยคที่ออกจากปากเซบาสเตียน
[ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว]
เราเงียบชั่วอึดใจหนึ่ง ผมยกโทรศัพท์ออกจากหู ดูให้แน่ใจว่าเซบาสเตียนยังไม่ตัดสายทิ้งก่อนที่ผมจะพูด
“หมายถึง…ไม่ใช่สามีที่ดีของคุณหรือพ่อที่ดีของลูก หรือทั้งสองอย่าง” ผมหายใจช้าลง ช้าลงเรื่อยๆ ผมกลัวคำตอบ ทว่าเซบาสเตียนยังคงเงียบ เราเงียบ นั่นทำให้หวนนึกถึงตอนที่เราคุยโทรศัพท์จนดึกดื่นแล้วเซบาสเตียนก็เผลอหลับไป
ถ้าจะมีอะไรมาเติมเต็มผมได้ก็คงเป็นภาพจำในอดีต
[ช่างเถอะ]
เขาพึมพำ
[คุณทำอาหารไม่เป็น]
“ก็แค่ทำอาหารไม่เป็น”
[แล้วเด็กๆ จะกินอะไร อาหารกระป๋องเหรอ? เด็กอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต พวกเขาต้องการอาหารที่มีประโยชน์ต่อตัวพวกเขา] ใช่แล้ว เซบาสเตียนเป็นพ่อเจ้าระเบียบ ก่อนเราคุยกันว่าจะมีลูกแล้วให้ใครสักคนอุ้มบุญให้ผมไม่คิดเลยว่าตอนที่เซบาสเตียนได้เป็นพ่อคนจริงๆ จะเจ้ากี้จะการ แต่ผมก็ชอบที่เขาเป็นแบบนั้น
[ผมไม่ยอมให้สเปนเซอร์ผอมกะหร่องเหมือนผมตอนอายุเท่าเขาแน่]
“สเปนเซอร์รักกีฬา เขาชอบออกกำลังกาย ไม่เหมือนคุณ”
แล้วผมก็นึกถึงเด็กผองกะหร่องคนนั้นจนได้ มีแต่ภาพจำจากอดีตฝังอยู่ในหัว
“ฟังผมนะที่รัก ผมทอดไข่ดาวกับเบคอนได้”
[อย่าเรียกผมแบบนั้น]
“ทูนหัว”
[อย่า]
“โอเค เซบ”
ผมรีบแก้ก่อนจะทำให้เซบาสเตียนหัวเสียไปมากกว่านี้
[อย่าปล่อยให้เด็กๆ อดตาย]
“ผมไม่ปล่อยให้ลูกอดตายหรอกน่า เรามีเนื้อ ผัก ผลไม้ แล้วก็นม เรามีแน่ถ้าผมไปซื้อตอนนี้”
[ให้ตายสิอาร์โนลด์! คุณไม่มีอะไรในครัวเลยรึไง!]
“ตอนนี้ไม่ แต่เดี๋ยวผมจะออกไปซื้อ”
[ถ้าเรเชลหรือสเปนเซอร์ หรือหนูน้อยธีโอดอร์ หรือใครก็ตามโทรมาฟ้องผมว่าคุณทำเนื้อไหม้ให้พวกเขากินผมจะบีบคอคุณจริงๆ] บีบคอผม? ผมรู้ว่าเขาไม่ทำจริง แต่ประโยคนี้น่าหดหู่และทำให้ผมกล้ำกลืน ความเงียบกลับเข้ามาอย่างง่ายดาย อึดอัดจนอยากตะโกนให้ดังไปถึงอีกฟากของทะเลสาปเพื่อทำลายมัน
[ผมต้องไปแล้ว]
เขาไปแล้วจริงๆ ผมยังคั่งค้างกับประโยคนั้นอยู่ ค่อยๆ ยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ก้มมองมือสองข้างของตัวเองแล้วเดินเหม่อลอยไปยังประตูบ้าน ผมยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก ปั้นรอยยิ้มจอมปลอมขึ้นมาแล้วเข้าไปหาเด็กๆ
“ลูกชอบไหม”
ห้องเก่าผม เตียงกว้างพอสำหรับเด็กสองคน ผมพยายามจัดแต่งห้องให้น่ารักที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ สุดท้ายก็โทรหาคนที่มีความเป็นมืออาชีพมากกว่า แล้วห้องก็กลายเป็นเหมือนบ้านตุ๊กตาน่ารักแต่ก็ดูไม่หวานเลี่ยนเกินไปสำหรับเรเชลกับธีโอ หวังว่าอย่างนั้น หน้าของเรเชลเริ่มจะบูดบึ้งเสียแล้ว แต่เมื่อมองเห็นดาวบนเพดาน ต้นเคเมร่อนกับต้นสนจูนิเปอร์แคระวางตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง เธอก็ยิ้มกว้างแล้ววิ่งมากอดผม ธีโอทำแบบเดียวกัน
“ไม่เหมือนห้องที่ผมนอนทุกวัน แต่เจ๋งดีฮะ”
“ลูกไปหัดพูดแบบนี้มาจากไหน”
“ก็แค่คำว่าเจ๋ง”
ธีโอกระโดดขึ้นไปนอนแผ่เตียง สองปีที่ผ่านมาผมทำหน้าที่พ่อได้ไม่เต็มที่ ผมดีใจที่กำลังจะกลับไปวุ่นอยู่กับเด็กๆ เหมือนเมื่อก่อน ผมไม่ได้เข้าไปดูสเปนเซอร์ เขาคงไม่ชอบใจเท่าไหร่ถ้าผมยุ่งกับเขา ลูกชายคนนี้คงจะเป็นพวกโลกส่วนตัวสูง จึงปล่อยให้เขาอยู่ในส่วนของเขา
see you next chapter