>….ตอนที่ 3 [100%]….<
แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา เป็นการเปลี่ยนแปลงที่โคตรยากจะทำใจยอมรับและมีผลต่อสภาพจิตใจประมาณหนึ่ง แต่ชีวิตต้องดำเนินโดยมีเงินเป็นปัจจัยหลัก เพราะงั้นภูริก็ต้องไปทำงาน...
หลังกินมื้อเช้ากับแม่และน้อง ภูริเดินเท้าออกมาขึ้นรถไฟฟ้าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก ส่วนน้องสาวเขานั่งวินมอเตอร์ไซก์ไปเรียน มันใกล้กว่าเลยไม่ต้องกลัวรถติด เขาดิ...อยากนั่งรถเมล์เหมือนกันเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ทว่ารถในเมืองกรุงแม่งติดยิ่งกว่าอะไรดี รถไฟฟ้าจึงเป็นทางเลือกที่ไม่เลวร้ายนักถ้าไม่นับว่าคนช่วงเวลานี้โคตรจะเยอะเลยให้ตาย เข้าไปเบียดเสียดจนเกือบได้เมียมาหลายรอบและ
แน่นอนว่าก่อนเขาจะออกมาจากบ้าน เขาได้มีการกรอกยาเข้าปากไปเป็นที่เรียบร้อย มันจะกลายเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิตของเขาหลังจากนี้ ภูริไม่แน่ใจว่าการเปลี่ยนเป็นโอเมก้าของตัวเองจะส่งผลอย่างไรบ้างในอนาถคต เขาคิดไปหลายทางมาก แต่มันเป็นแค่การคิดไปก่อน ต้องเจอจริงๆ ถึงรู้ว่าจะจัดการอย่างไร
ลงรถไฟฟ้าแล้วเดินต่ออีกห้านาทีจะถึงบริษัท ก่อนจะเดินเข้าที่ทำงานขนาดใหญ่ ภูริแวะซื้อน้ำจากร้านริมทาง ใกล้ๆ กันจะเป็นร้านกาแฟยี่ห้อดัง ในนั้นคนเยอะมาก...เข้าแถวกันยาว คาดว่าคิวสุดท้ายในแถวน่าจะเข้างานทันในเวลาแปดโมงห้าสิบเก้านาที สลับมาทางนี้...ร้านข้างทางนี้กลับมีคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
“เอาเหมือนเดิมใช่ไหมจ้ะ” ป้าคนขายเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา ภูริเป็นลูกค้าประจำของเธอ เพราะนอกจากจะราคาถูกสบายกระเป๋าแล้วมันยังเข้มข้นถึงใจมากอีก
“ครับป้า” รอแค่ไม่นานกาแฟโบราณในถุงกระดาษก็ถูกส่งมาให้ ภูริจ่ายให้ป้าแม่ค้าสามสิบบาท...เป็นราคาของกาแฟที่จะอยู่กับภูริไปทั้งวัน
ร่างโปร่งเดินดูดกาแฟในถุงพลางทักทายเพื่อนร่วมงาน เขาเป็นที่รู้จักของคนในบริษัท ด้วยนิสัยเป็นคนง่ายๆ ติดซื่อ ยิ้มเก่ง เป็นมิตรของเขาทำให้สาวๆ ต่างก็ชื่นชอบ หรือแม้แต่พวกผู้ชายเบต้าและโอเมก้าก็ชอบเขา น่าแปลกที่เป็นอัลฟ่าเสียส่วนใหญ่ที่เกลียดขี้หน้าของภูริ
ภูริก็เคยสงสัยนะว่าทำไมพวกนั้นถึงไม่ชอบเขา แต่เขาก็ไม่เคยไปหาคำตอบของคำถามคาใจ ถือว่าเขาไม่ชอบเราก็ปล่อยเขาไป เราทำหน้าที่เราไปก็พอแล้ว ยื่นไมตรีให้เป็นมารยาท อีกฝ่ายรับไหมมันก็อีกเรื่อง ภูริไม่ค่อยสนใจคนที่เมินตนเอง หรือให้ค่ากับคนที่มองเขาเป็นอริ ก็ไม่รู้ว่าสนใจมากเกินไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา...ภูริไม่รู้เหตุผล จะให้เดินไปถามว่า เฮ้ย...ไมมึงไม่ชอบกูวะ แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง
“วันนี้ใส่น้ำหอมเหรอ...กลิ่นน่ากินจัง” อัลฟ่าสาวหัวหน้าฝ่ายจัดซื้อเข้ามาทักทาย ระยะร่างของเธอแทบจะประชิดตัวเขาอยู่ ภูริส่งยิ้มหวานละไมให้กับเธอ
“ผมก็ใส่น้ำหอมกลิ่นเดิมนั่นแหละ กลิ่นที่พี่ปุ้ยบอกว่าชอบไง...” น้ำเสียงนุ่มทุ้มแฝงความเจ้าชู้นิดๆ ไม่ได้อ่อยไปทั่วนะ...แต่เธอคนนี้เป็นคนคุ้นเคย หรือจะพูดให้ถูกก็คือคนที่เคยนอนจับมือกันบนเตียง
ด้วยสังคมที่ไม่ได้คัดแยกคนจากหน้าตาหรือฐานะทางการเงินเท่านั้น มีการคัดแยกเข้าไปยังส่วนของเพศที่สองอีก ทำให้เหล่าอัลฟ่าผู้หยิ่งยโสเลือกคู่ครองที่เป็นอัลฟ่าเหมือนกัน พวกเขามองเบต้าและโอเมก้าเป็นชั้นต่ำกว่า เบต้าเปรียบเหมือนแรงงาน กรรมกรทำงานหนัก ส่วนโอเมก้าก็กลายเป็นที่บำเรอของคนชั้นสูง ดังนั้น...เหล่าอัลฟ่ามักจะถูกกำหนดให้คู่กับอัลฟ่าด้วยกันเองตั้งแต่ตอนตรวจเพศที่สองแล้ว
การกำหนดคู่โดยคนไม่ใช่โชคชะตานั้นเป็นสิ่งที่น่าอึดอัดในทุกๆ ชนชั้น และที่โดนหลักก็เป็นอัลฟ่านั่นเอง พวกนี้มักจะมีพฤติกรรมเสพเซ็กส์อย่างอิสระ...คล้ายระบายความเครียด คู่ครองไม่ต้องหา ไม่ต้องศึกษาดูใจอะไรกับใครทั้งนั้น ถึงเวลาก็ต้องแต่งงาน แค่นั้นเอง เบต้ากลายเป็นตัวเลือก...เป็นของเล่นของอัลฟ่า ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย เพราะแม้แต่อัลฟ่า...ก็ยังเหยียดอัลฟ่าด้วยกันเอง
ภูริ...เป็นหนึ่งในเบต้าตัวเลือกของที่นี่
ด้วยปัจจัยที่เขาเป็นมิตรกับทุกคน นิสัยดี ชอบช่วยเหลือและมีรอยยิ้มอยู่เสมอ ภูริเป็นคนง่ายๆ ซื่อๆ ไม่เรื่องเยอะ ชวนไปสนุกด้วยกันก็ไป ไม่ผูกมัดยังไงก็ได้ ในขณะที่อัลฟ่ามีหน้ามีตาในบริษัทมักผยองใส่กัน คิดว่าตัวเองดีเด่กว่าระดับอื่นๆ ไม่ได้รู้เลยว่า การที่มีอีโก้สูงเสียดฟ้าขนาดนั้นเนี่ย มันเป็นที่เอือมระอามากกว่าน่าสรรเสริญ
“น่ารักที่สุด แบบนี้...พี่อยากให้รางวัลเลยล่ะ ถ้าภูริของพี่ว่างน่ะนะ” พวกเขาแค่ส่งสายตา หว่านคำหวานไม่ถึงเนื้อถึงตัวแต่เข้าใจได้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ
“ผมอยากว่างเลย งั้นตอนเย็น...ผมทักไปนะ”
“จ้ะ” หญิงสาวแตะไหล่ภูรินิดหน่อย เธอก้าวยาวๆ และนำหน้าเขาไป
ภูริเดินช้า เป็นคนเดินด้วยจังหวะที่ไม่เร่งรีบอะไรกับชีวิต นี่เป็นช่วงเวลาก่อนเข้างานเขาอยากจะสบายๆ บ้าง เพราะถ้าเข้างานเมื่อไหร่เขาจะโดนหัวหน้าใช้ทำนั่นทำนี่เยอะมาก ต้องรีบหยิบนั่น จัดนี่ เดินไปตรงนั้น เอาของมาตรงนี้ เป็นแบบนั้นทุกวัน ทั้งที่งานฝ่ายขายมันไม่ได้ใช้แรงอะไรเยอะ...แต่ภูริล้าทุกวันเลย
ขึ้นมาถึงแผนกของตัวเอง ซึ่งในชั้นนี้จะมีสองแผนก แบ่งฝั่งซ้ายและขวา ฝ่ายขายจะอยู่ฝั่งซ้ายและขวาเป็นฝ่ายจัดซื้อ หัวหน้าฝ่ายจัดซื้อเป็นผู้หญิงที่ทักทายเขา ส่วนหัวหน้าฝ่ายขายนั้นเป็นผู้ชาย และไม่ชอบขี้หน้าของเขาเลย
บางทีภูริก็เรียกผู้จัดการตัวเองว่า...เจ้ากรรมนายเวร
ภูริกล่าวทักทายเพื่อนร่วมงาน ทั้งหญิงและชาย ทั้งชอบหน้าเขาและไม่ชอบหน้าเขา โต๊ะของเพื่อนร่วมงานแทบทุกคนจะมีแก้วกาแกฟาของร้านดังข้างล่างบริษัทตั้งอยู่ ข้าวของเครื่องประดับกายเองก็หรูหรา ผู้หญิงอวดกระเป๋า ผู้ชายอวดนาฬิกา แถมเดี๋ยวนี้ชอบมีมุกยืมเพื่อนมาเปล่าเนี่ย เล่นกันในบริษัทด้วย ภูริอาจจะเป็นเพียงไม่กี่คนในที่นี้ที่กินกาแฟถุงละสามสิบ พกมาม่าเป็นมื้อกลางวันและใช้เพียงเป้แบรนด์รองเท้ายี่ห้อหนึ่งซึ่งธรรมดามาก
เขาก็อยากจะมีของพวกนั้นเอาไว้อวดคนอื่นๆ เหมือนที่ทุกคนทำ อยากจะซื้อมือถือใหม่ทุกครั้งที่มีรุ่นใหม่ออก อยากได้นาฬิกาหรูๆ เรือนละเหยียบหมื่น อยากจะเข้าฟิตเน็สที่มีค่าสมาชิกแพงๆ อยากจะกินมื้อเที่ยงในร้านอาหารดีๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ภูริไม่อยากทำตามคือกาแฟ...นั่นมันแพงเกินไป
กาแฟ...เป็นสิ่งเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับของอื่นๆ ที่กล่าวมา แต่กาแฟเป็นตัวที่ทำให้ภูริคิดได้ว่า...เขาไม่เห็นต้องทำตามเพื่ออวดใครเลย เพราะคำว่า ‘แพงเกินไป’ ภูริกินกาแฟถุงละสามสิบบาท รสชาติเข้มข้น อยู่ทน ตาสว่างไม่ต่างอะไรกับกาแฟแก้วละร้อยห้าสิบ มันอาจผิดกันที่วัตถุดิบและแบรนด์ แต่การใช้สอยเหมือนกันเลยนะ...นาฬิกาที่เขาใส่เรือนละสี่ร้อยเก้าสิบ มันก็บอกเวลาได้ กันน้ำได้ และอยู่ได้เป็นปีๆ เหมือนกับเรือนละหลายหมื่น กระเป๋าของเขาใบละเก้าร้อยกว่า...มันก็ใส่ของได้และอาจใส่ได้มากกว่าพวกนั้นที่ใช้ใบละเกือบหมื่น
เอาจริงๆ...ความจริงไม่เฟกคือ...
เขาไม่มีเงิน!
ไหนจะค่าเทอม ค่ารักษาพยาบาลแม่กับน้อง ภาระที่เขาต้องแบกรับเอาไว้นี่แหละที่ทำให้ภูริกลายเป็นคนประหยัด อะไรละได้ก็ละทิ้งมันซะ ขืนใช้ชีวิตตามคนอื่นเขาต้องแกลบมากแน่ๆ เลย ดีไม่ดีนะน้องเขาก็จะไม่มีเงินไปเรียน ไม่มีค่าเทอม ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ทุกบาทุกสตางค์ของเขาก็เลยมีไว้เพื่อครอบครัวอย่างเดียว
“คุณภูริ” ร่างโปร่งเพิ่งจะวางกาแฟถุงลงบนโต๊ะทำงาน ข้าวของที่เหลือทิ้งเอาไว้จากวันก่อนนั้นยังคงค้างคาอยู่ที่เดิม อาจมีปากกาหรือลิขวิดเปลี่ยนที่บ้างก็พอเข้าใจได้ คงมีใครสักคนมาแอบใช้ของเขานั่นแหละ
“ครับหัวหน้า” เขารีบยืนในท่าทางสุภาพ ยืนกุมมือต่ำมองใบหน้าเต็มด้วยความไม่พอใจของหัวหน้า คุณพิชัยมีเพศที่สองเป็นอัลฟ่า ก็นะ...ส่วนใหญ่หัวหน้าเป็นอัลฟ่ากันหมดนั่นแหละ ไม่รู้วัดจากความสามารถหรือเพศที่สอง เขาอายุสามสิบปลายๆ แก่กว่าภูริเกือบสิบปี
“เมื่อวานนี้คุณหายไปไหนมา ผมสั่งให้คุณไปเอาเอกสารในแล็บ...แล้วทำไมไม่เอามาให้ผม!” น้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้นั้นดุดัน แต่ภูริเจอคนที่ดุดันกว่ามาแล้วเขาก็เลยไม่รู้สึกกลัวพิชัยมากมายนัก
แต่ว่า...เขาควรบอกสาเหตุที่หายไปว่ายังไง?
“ผมถามคุณได้ยินไหมเนี่ย” โอย ยืนห่างกันแค่ไม่ถึงเมตรเองเถอะ มันก็ต้องได้ยินไหม เขาไม่ได้พิกกลพิการด้านการฟังนะเว้ย แค่...คิดไม่ออกว่าจะบอกว่าไงเนี่ย
“คือ...ผมได้ยินครับ”
“ได้ยินก็ตอบผมมาสิว่าคุณหายไปไหนมา ผมให้คุณเอาเอกสารในแล็บ มันอยู่ในบริษัทเราแค่นี้เอง...แล้วมันต้องไปเป็นวันไหมหืม นี่คุณรู้บ้างไหมว่าการที่คุณหายไปเนี่ยมันสร้างความเดือดร้อนให้แผนกเราแค่ไหน ใบเสนอราคาที่คุณต้องส่งให้ลูกค้าสามรายคุณก็ยังไม่ได้ส่ง เอกสารบนโต๊ะก็ไม่กลับมาเคลียร์ นี่ที่ทำงานนะคุณ ไม่ใช่สนามเด็กเล่น จะเข้าจะออกตอนไหนก็ได้เหรอไงฮะ!” โอ้โห....บ่นเป็นแม่กูเลย ภูริเผลอถอนหายใจกับความเกี้ยวกราดของหัวหน้า
“นี่คุณถอนหายใจใส่ผมเหรอคุณภูริ!” เอา เอาเข้าไป...
“ขอโทษครับ”
“เห็นสนิทกับหัวหน้าฝ่ายจัดซื้อ สงสัยจะคิดว่าทำตัวยังไงก็ได้มั้งครับหัวหน้า...” นิรันดร์เป็นมือขวาของพิชัย เพศสองคืออัลฟ่า...เข้ากันดีกับหน้าเป็นปีเป็นขลุ่ยเรื่องการหาเรื่องภูริ
“นั่นสิ หึ…เหิมเกริมใหญ่งั้นสิ ถ้าคิดว่าตัวเองต้องสบายขนาดนั้นทำไมไม่ออกจากงานไปเกาะหัวหน้าแผนกนั้นเลยล่ะ” พิชัยว่าแดกดัน แล้วภูริก็ไม่รู้จะเถียงกับคนพาลพวกนี้ยังไงดี มันดูเริ่มห่างไกลจากการบ่นเพราะงานไปพอสมควร
เขาจะสนิทกับใคร...จะนอนกับใคร มันไม่ได้เกี่ยวกับคนพวกนี้เลยนี่ มันเป็นเรื่องระหว่างเขากับหญิงสาวเว้ย แล้วหัวหน้าแผนกนั้นเขาก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรกับส่วนนี้ คนที่คิดว่าเกาะหัวหน้าคนหนึ่งได้แล้วจะกร่างเนี่ยคงไร้จิตสำนึกน่าดู
“พูดอะไรให้เกียรติฉันบ้างนะคะคุณพิชัย” คุณปุ้ย หัวหน้าแผนกฝ่ายจัดซื้อเดินเข้ามาสมทบอีกคน เธออยู่ห่างก็จริง แต่เสียงตวาดของพิชัยดังพอจะทำให้เธอได้ยิน
“ผมกำลังดุลูกน้องของผม มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณนะคุณปุ้ย”
“แต่คุณพูดถึงดิฉัน มันก็ต้องเกี่ยวกับดิฉันไหมคะ แล้วการที่ภูริหายไป...อาจจะเพราะเขาไม่สบายก็ได้” คุณปุ้ยเข้าข้างผู้ชายที่เธอเคยนอนจับมือ
“ไม่สบาย? จู่ๆ ก็ไม่สบายจนหายไป...เหอะ ผมว่าที่เป็นไปได้มากที่สุดคงเป็นมันไปนอนกับคุณจนกลับมาทำงานไม่ได้มากกว่า”
“คุณพิชัย!!!” คำพูดถากถางจากฝ่ายชายทำให้อัลฟ่าสาวโกรธ เธอตวาดเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดังลั่นชั้น ทุกสายตาจึงยิ่งโฟกัสมาที่นี่มากขึ้น บ้างก็เข้าข้างภูริ...ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่มีอคติกับเขา จึงเห็นว่าเขาเป็นพนักงานที่ทำงานดีมากคนหนึ่ง ผู้ชายหลายคนก็ชอบที่ภูริเป็นกันเองทั้งยังคอยช่วยงานเท่าที่ช่วยได้อีก
แต่มีคนเข้าข้าง...ก็มีคนสมน้ำหน้าเหมือนกัน
“จี้ใจดำเหรอคุณ” พิชัยลอยหน้าลอยตา ไม่สนใจอาการโกรธของหญิงสาวตรงหน้า เพราะเธอคงทำอะไรเขาไม่ได้มากนัก
“ฉันกับภูริเราไม่ได้เป็นอะไรกัน และเราก็ไม่ได้ไปทำเรื่องอย่างว่ากัน คุณให้เขาไปเอาของที่แล็บ คุณก็รู้ว่าที่แล็บมีปัญหาเมื่อวานนี้ ดีไม่ดี ภูริคงจะโดนสารเคมีที่รั่วไหลนั่นเข้าก็เลยป่วยจนมาทำงานไม่ได้ หัวหน้าที่ไม่เคยเข้าใจลูกน้องอย่างคุณนี่มาเป็นหัวหน้าได้ยังไง...อ๋อ เพราะคุณเป็นญาติกับซีอีโอสินะ พวกใหญ่แต่ไร้ความสามารถ!” ปุ้ยโต้เถียงกลับเสียงดังและเจ็บแสบ พิชัยกำหมัดแน่น...เรื่องที่ลับหลังมีคนว่าเขาใช่ว่าเขาไม่รู้ หาว่าเขาไร้ความสามารถ ใช้เส้นเข้ามาทำงานกระฉ่อนบริษัทพอๆ กับที่คนพูดถึงการทำงานอย่างไร้ที่ติของภูรินั่นแหละ
ผู้ชายมักเป็นประเภทฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ แล้วการที่มีคนเอาเรื่องนี้ไปพูด เอาพิชัยและภูริมาเปรียบเทียบนั้นเป็นเรื่องที่ทำให้พิชัยหงุดหงิดมากที่สุด เขาเกลียดมัน...มันที่เป็นแค่เบต้าแต่เสือกมีผลงานดีเกินหน้าเกินตา บางคนว่าเขามันทำงานแย่กว่าลูกน้อง บ้างก็ว่าการเป็นอัลฟ่าของเขามันเปล่าประโยชน์ คนที่ควรเป็นอัลฟ่าและหัวหน้าน่าจะเป็นภูริมากกว่า
“คุณจะมากล่าวหาผมแบบนี้ไม่ได้นะคุณปุ้ย!”
“แล้วใครที่มันกล่าหาฉันก่อนคะ!” หัวหน้าทั้งสองแผนกต่างตะคอกใส่กันแบบไม่ยอมลงให้กัน
ภูริอยากจะเกาหัวกับความน่าปวดหัวนี้ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่หัวหน้ามาตวาดหรือต่อว่าเขา ต่อให้เขาทำดีแค่ไหน ทำงานไม่เคยพลาดหัวหน้าก็หาเรื่องด่าเขาได้อยู่ดี ด่าแม้กระทั่งฟาแกที่เขาชอบดื่ม จะว่าชินกับสิ่งที่พิชัยเป็นมันก็ได้แหละ...แต่เหตุการณ์ที่หัวหน้าฝ่ายจัดซื้อเข้ามาต่อปากต่อคำจนเป็นเรื่องราวขนาดนี้นี่คือครั้งแรก และเขาก็ไม่รู้จะทำยังไงดี
“เสียงดังอะไรกัน” เสียงทุ้มทรงอำนาจเสียงใหม่ดังขึ้นห่างจากลิฟต์ชั้นสิบแปดแค่ไม่มาก
ทว่า...อำนาจที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์เอาไว้นั้นทำให้เสียงนี้ทรงพลังกว่าเหล่าอัลฟ่าในชั้นนี้รวมกัน ‘อีธาน’ เป็นประธานบริหารคนใหม่ที่เข้ามารับหน้าที่นี้ต่อจากพ่อ ซึ่งพ่อของเขาขอวางมือกลับไปอยู่ประเทศบ้านเกิดกับแม่ของเขา ดวงตาสีฟ้ากระจ่างแต่คมกริบกวาดมองทุกคน
การปรากฏตัวของคนที่ไม่คาดหมายทำให้ทั้งชั้นเกิดความเงียบ ถ้ามีเข็มตกตอนนี้ เสียงเข็มกระทบพื้นนั้นก็คงจะดังกังวานทั่วทั้งชั้น ภูริอยากจะอุทานดังๆ ว่าโอ้โห....แต่เขาไม่ได้ทำ ขืนทำสิ มันจะเป็นการเสียมารยาทมากๆ ผู้หลักผู้ใหญ่เขากำลังตีกันอยู่ ผู้น้อยต้องอยู่ยืนมองและคอยให้กำลังใจ
อีธานสาวเท้าเข้ามาในวงสนทนาขนาดย่อม ราวกับนี่เป็นการประชุมการทำงานของทั้งสองแผนกซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย หัวหน้าทั้งสองจากที่ฉุนเฉียวพร้อมตีกันเมื่อครู่นี้เปลี่ยนเป็นสงบเสงี่ยม ภูริแอบชื่นชมพลังของท่านประธาน เปลี่ยนจากหมาบ้าเป็นหมาบ้านได้ภายในเวลาเสี้ยววินาทีจริงๆ
“ผมถามว่าเสียงดังอะไรกัน” เมื่อเข้ามาใกล้พอ อีธานยิงคำถามที่ไม่ได้คำตอบเมื่อครู่นี้อีกครั้ง
หัวหน้าภูริตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับภูริก่อนหน้านี้เด๊ะ โคตรอยากหัวเราะอัดหน้า เป็นไงล่ะ เข้าใจความรู้สึกของผู้น้อยบ้างหรือยัง ตวาดๆ อยู่ได้ คนกำลังคิดคำตอบก็ยังจะมาเร่ง เร่งไม่พอมาด่ากันอีก ภูริเชียร์ให้อีธานด่าหัวหน้าเขาแบบที่หัวหน้าเขาด่ามาก เชื่อว่าพิชัยกำลังครุ่นคิดหาคำตอบให้ท่านประธานอย่างเคร่งเครียดแน่นอน
“ไม่มีใครตอบผมได้เหรอ ว่าไง...คุณภูริ” อ่าว ไมไม่ถามคุณพิชัยอะ คุณพิชัยเป็นหัวหน้านะ เป็นคนส่งเสียงดังด้วยไม่ใช่เขาเลย!
“คือ...”
“พูดกับผมก็มองหน้าผม” อัลฟ่าสองหน่อนั่นยังไม่กล้ามองหน้าเลย เขาเป็นใคร...เขาเนี่ยนะจะกล้า
แต่ถ้าไม่มอง...ปัญหาอาจตามมา
“ครับ” ภูริตัดสินใจเงย สบสายตาคมกล้าสีฟ้าอ่อนนั้น...โคตรสวย
เพียงตาสบตา ยาที่กินเอาไว้เพื่อต้านสัญชาตญาณพลันหมดประสิทธิภาพลงอย่างน่าประหลาด ใบหน้าของภูริเริ่มเห่อร้อนและมีเลือดวิ่งพล่านขึ้นมา ในหัวมันไม่มีแล้วความกลัวท่านประธานอะ มันมีแต่เฮ้ย...เฮ้ยๆ ไม่นะเฮ้ย เพราะเขารู้ว่าอาการฮีตกำลังเริ่มขึ้นในตัวของเขา
และเมื่อโอเมก้าฮีต...ฟีโรโมนก็กำจายไปทั่วทิศทาง
สายตาของผู้คนจากที่เคยโฟกัสไปยังปลายเท้าตัวเองเริ่มเหลือบมองซ้ายขวาเพื่อหาต้นตอของฟีโรโมน พิชัยและปุ้ยมองที่ภูริ ด้วยความอยู่ใกล้ก็เลยได้กลิ่นที่ชัดเจนกว่า มันไม่เพียงออกมาจากภูริเท่านั้น...แต่กลิ่นอันยั่วเย้าอีกกลิ่นก็ลอยเข้าจมูกของพวกเขา
นั่นคืออีธาน...
“ภูริ...นายเป็นโอเมก้า” มีใครคนหนึ่งเปรยขึ้นมาด้วยความตกใจ ทุกคนรู้ดีว่าภูริเป็นเบต้า เขาทำงานที่นี่มาหลายปีและไม่เคยมีอาการฮีตใดๆ เกิดขึ้น ในกระเป๋าเป้สะพายหลังนั่นก็ไม่มียาระงับอาการฮีต
ราวกับทุกคนหิวกระหายอะไรบางอย่าง...ภูริขนลุกวูบวาบเพราะพวกนั้นจ้องเขา เฮ้ เขาเป็นคนนะไม่ใช่ของกิน อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้นสิ เจ้าตัวกวาดตามองผู้คนรอบด้าน เงยหน้ามาอีกทีอีธานก็อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว และสีหน้าที่ภูริได้เห็นก็สีหน้าเดียวกับในลิฟต์วันนั้น
พออยู่ใกล้กันขนาดนี้ อาการฮีตที่เกิดขึ้นก็รุนแรงหนักข้อเข้าไปอีก...สีหน้าภูริยั่วยวนชายร่างใหญ่ตรงหน้าอย่างไม่รู้ตัว มือของเขากำลังเอื้อมไปแตะมือขาวกระจ่างของอีกฝ่าย อีธานไม่ได้ชักมือกลับ...ปล่อยให้ภูริเอานิ้วมาเกี่ยวนิ้วตัวเองเอาไว้
ราวกับฟีโรโมนของผู้ชายคนนี้สะกดอัลฟ่าอย่างเขาได้อยู่หมัด...
“ผมสั่งให้คุณกินยา!” อีธานตวาดเสียงต่ำ เขาดึงนิ้วออกเปลี่ยนเป็นจับข้อมือของภูริแทน
ร่างโปร่งโดนลากไปยังลิฟต์อีกครั้ง...ลิฟต์อีกแล้วเหรอ ไม่เอาในลิฟต์ได้เปล่าอะ มันแข็ง...ไม่ๆ มันต้องไม่ใช่แบบนั้น เราต้องไม่มีอะไรกันดิ แค่กินยาแล้วมันก็จะดีขึ้นไม่ใช่เหรอ ภูริพยายามสั่งให้ตัวเองห้ามอาการอยาก ทว่ามันยากมาก...อยู่กันสองคนแบบนี้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เขานึกถึงวันก่อน...นึกถึงกิจกรรมเข้าจังหวะอันดุเด็ดเผ็ดมันนั้น และอยากให้มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้
“ทำไมลิฟต์ช้าวะ!”
“ทนไม่ไหวก็ทำก่อนสิครับ” ไม่!!! ไอ้ภู...มึงต้องไม่พูดแบบนั้น! พูดออกไปแล้วจิตวิญญาณก็ร่ำร้องว่าสิ่งที่ได้พูดออกไปนั้นมันไม่ถูกไม่ควร เขาไม่น่าไปเปิดทางยั่วยุท่านประธานอะ ควรจะบอกให้ท่านประธานปล่อยเขาไปกินยาเสียมากกว่า
อีธานมองมาที่เขา...สายตาเร่าร้อนแผดเผาเสื้อผ้าจนหายไปในพริบตาเดียว อย่างกับเปลือยกายอยู่ด้วยกัน และร่างกายก็เป็นแม่เหล็กคนละขั้ว...เป็นแม่เหล็กไฟฟ้าด้วยนะ ไฟแรงสูงเชียวแหละ
แต่อีธานก็ทน!
ไม่ถึงสองนาทีแต่นานหลายชั่วอึดใจ กลืนน้ำลายลงคอกันรอบแล้วรอบเล่าจนจะอิ่มน้ำลายกันอยู่แล้ว ในที่สุดก็มาถึงชั้นบนสุดของบริษัท ลิฟต์เปิดปุ้บ ท่านประธานก็ลากเขาลิ่วๆ ไปยังห้องทำงานซึ่งอยู่ไม่ไกล เลขาหน้าห้องลุกขึ้นยืนเตรียมจะทำความเคารพ ทว่า...พวกเขาเร่งรีบกันเกินจะสนใจ
“อื้อ...” ประตูห้องทำงานปิดลง พร้อมกับปากสีนู้ดสุขภาพดีของภูริโดนประกบปิด เขากำลังโดนอีกฝ่ายจู่โจมด้วยความรวดเร็ว
อีธานพยายามจะเปลื้องผ้าราคาถูกของภูริ เช่นเดียวกับที่ภูริจับเสื้อสูทราคาแพงของอีธานปาทิ้งลงพื้น การต้องยืนอดทนรอไม่ทำอะไรกันในลิฟต์หลายนาทีนั้น ทำให้ตอนนี้ไม่มีใครอยากรออีกต่อไปแล้ว เสื้อผ้าหล่นเรี่ยราดตามลายทาง อย่างกับสองพี่น้องฮัลเซลกับเกรเทลทิ้งเศษหินเอาไว้เพื่อกลับบ้าน
เมื่อร่างโปร่งของภูริโดนจับวางบนโต๊ะทำงานทำจากไม้เนื้อดี เขาก็ไม่เหลือเสื้อผ้าติดกายเอาไว้ซักชิ้นเดียว อีกทั้งตอนนี้...อีธานก็กำลังเข้ามาในตัวของเขา มันควรเป็นเรื่องที่ผู้ชายซึ่งกินแต่ผู้หญิงมาตลอดรับไม่ได้ ทว่า...ภูริรู้สึกดีมาก...รู้สึกดีที่เป็นอีธาน...รู้สึกดีที่เป็นคนคนนี้จริงๆ
สองมือของภูริประกบเข้าที่แก้มทั้งสองของอีกธาน จากนั้น...เขาก็แนบปากตัวเองลงไปด้วยความเคลิบเคลิ้มอย่างที่สุด
….100%….
มองสบตาปิ๊งปั๊งซั่มป๊าบบบบบ แบบว่า…มันคู่กันแล้วมันก็สปาร์กง่ายหน่อยอะนะ อิอิ