:: CHAPTER 6 ::
การทำงานในช่วงบ่ายของธาริณเป็นไปอย่างราบรื่นและสงบจนเจ้าตัวรู้สึกพอใจเนื่องจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาตารางของคุณเมธายุ่งจนเขาไม่ได้ทำอาหารกินเองเลยสักครั้งจนจะทำไม่อร่อยไปแล้วมั้ง ธาริณกดปิดคอมพิวเตอร์ก่อนจะรวบรวมแฟ้มรายงานทั้งหมดไปจัดแยกหมวดหมู่ไว้ เขาตรวจสอบความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหยิบสมุกปกหนังที่คุ้นเคยขึ้นแล้วเดินตรงไปยังห้องของผู้เป็นนาย เขาหยุดอยู่หน้าประตู นึกไปถึงเรื่องที่ก้องมาบอกไว้เมื่อครู่พลางขอให้วันนี้ราบรื่นไปจนช่วงสุดท้าย ธาริณก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วจ้องเข็มนาฬิกาอยู่อย่างนั้น
...ห้าสิบแปด ห้าสิบเก้า หกสิบ
เอาล่ะ สี่โมงสี่สิบสี่ เลขมงคลเคาะประตูได้
ธาริณยกมือเคาะทันทีก่อนจะเดินเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากเจ้าของห้อง เขาเดินเข้าไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงาน คุณเมธาก็นั่งอ่านเอกสารเรื่อยๆ บรรยกาศดูเงียบสงบและเป็นปกติก็ไม่น่ามีอะไรเพิ่มเติมนักหรอก ธาริณเรียกความมั่นใจของตัวเองขึ้นมาอีกครั้งแม้จะแอบสังหรณ์ใจไม่ดีเพราะคำพูดของรุ่นน้องคนสนิทเมื่อตอนกลางวัน
ไม่มีอะไรหรอกมั้ง
คิดได้ดังนั้นเขาจึงเปิดสมุดที่ถือมาแล้วรายงานความคืบหน้าประจำวันตามปกติ รายงานการจองและคอนเฟิร์มร้านอาหารสำหรับพรุ่งนี้ และจบลงที่การยื่นวิเคราะห์เศรษฐกิจและกราฟให้คุณเมธาตรจสอบซึ่งเจ้าตัวก็รับไปแล้วนั่งเปิดดูคร่าวๆ
“อืม ขอบคุณมาก ทำได้ละเอียดเหมือนเดิมเลย”
“ขอบคุณครับ” ธาริณกล่าวรับพร้อมรอยยิ้ม คุณเมธาก็ดูไม่ได้ติหรือวิจารณ์อะไร ทุกอย่างราบรื่นขนาดนี้คงไม่มีอะไรแล้ว...เย็นนี้ทำสเต๊กกินดีมั้ยวะ
“งั้นพรุ่งนี้ผมจะคอนเฟิร์มร้านนี้เลยนะครับ ตารางของพรุ่งนี้นอกจากรับประทานอาหารกับคุณวิภาแล้วก็มีแค่ไปต้อนรับคนจากค่ายญี่ปุ่นเท่านั้นครับ”
เมื่อกล่าวรายงานหัวข้อตามลิสท์ที่จดไว้ครบถ้วนแล้วเขาจึงปิดสมุดลงแล้วเตรียมกลับบ้านทันที
“ถ้าคุณเมธาไม่มีอะไรแล้ว ผมขอ...”
“ธีร์” แต่ก่อนที่จะได้พูดจบคุณเมธาก็ขัดเอาไว้ก่อน ทำเอาธาริณแทบหยุดความคิดตนเองไม่ทัน
“ครับ”
“ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรอกนะ แต่ทางคุณโชติเขาบอกข่าวให้ฟังแล้วฝากขอโทษมาด้วย ธีร์ก็ลองไปดูแล้วกัน”
....ทำไมรู้สึกไม่ดีเลยวะ
พูดจบคุณเมธาก็ยื่นกระดาษปึกหนึ่งมาให้เขาจึงหยิบขึ้นมาดูทันทีและพบว่ามันเป็นสกู๊ปข่าวที่มีภาพของเขากับกันต์ยืนอยู่ด้วยกันจำนวนหลายรูป มันเป็นภาพของเขากับกันต์ในซอยร้านข้าวต้มป้าแสง และเมื่อพลิกดูในหน้าถัดไปก็พบว่ากระดาษทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของเขากับกันต์จากสำนักข่าวต่างๆ รวมถึงสื่อออนไลน์ในแพลทฟอร์มอื่นทั้งหมด เมื่อเห็นรูปภาพทั้งหมดแล้วเขาจึงเลื่อนสายมาอ่านพาดหัวข่าวต่อทันที
‘หลอกลวง’
‘คนที่คุณเจอในแฟนมีทไม่ใช่กันต์ตัวจริง’
‘เรากำลังเสียเงินให้ใคร’
‘ธีร์แม่งเป็นใครวะ พี่กันต์อยู่ไหน'
นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสความน่ากลัวของสื่อด้วยตัวเอง เขาไล่อ่านไปเรื่อยๆ ก่อนพบว่าส่วนหลังของกระดาษปึกนั่นเริ่มปรากฎเป็นชื่อของเขาเยอะขึ้นตามลำดับ มีทั้งกระทู้เปรียบเทียบที่มีคนไปขุดคุ้ยใบหน้าเขามเทียบกับกันต์บ้าง กระทู้ตั้งขึ้นมาเพื่อด่าบ้าง จนไปถึงข้อความในทวิตเตอร์ซึ่งดูเหมือนจะเป็นส่วนใหญ่ของทั้งหมด
‘ธีร์-บุคคลปริศนา’
‘มาเสนอหน้าแทนพี่กันต์ได้ไง’
‘ต้องเป็นคนแบบไหนถึงจะหน้าด้านทำแบบนี้ได้วะ พี่กันต์รู้ไหมเนี่ย’
‘รบกวนดูให้หน่อยว่าคนนี้ใช่พี่กันต์หรือเปล่า’
‘ฉันไปจับมือใครมาเนี่ย’
ธาริณกวาดสายตาอ่านผ่านข้อความเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว ในใจมีแต่คำว่าฉิบหาย การต้องรับหน้าแทนก็ว่าแย่พอแล้วนะ การโดนจับได้แบบนี้ยิ่งแย่กว่า และที่สำคัญเลยคือความจริงแล้วมันไม่ใช่ความผิดของเขาสักนิด ที่ทำไปทั้งหมดเพราะโดนคุณเมธาคุณโชติร่วมกันไหว้วานทั้งนั้น แต่คนโดนด่ากลับเป็นเขาคนเดียว เขาก็เพิ่งมาได้รู้วันนี้เองว่าแฟนคลับของกันต์นี่จัดว่าแอนตี้แรงใช้ได้ แถมยังพร้อมที่จะปกป้องกันต์โดยไม่สงสัยเลยสักนิดว่าใครกันแน่ที่ผิด
“ธีร์ไหวไหม” สงสัยเขาจะดูอินมากไปหน่อยคุณเมธาเลยเป็นฝ่ายทักขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
...แหม ถามมาได้
“ไหวอยู่ครับ” เจ้านายถาม ถึงจะไม่ไหวก็ต้องบอกไหวอยู่แล้วสิครับ
“คุณโชติฝากขอโทษมาและบอกว่าจะรีบจัดการให้เลย”
...เออ สมควร การสวมบทบาทเซ็นชื่อ ถ่ายรูป หรืออะไรทั้งหลายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับการคุ้ยประวัติส่วนตัว แค่หน้าเหมือนกันธาริณก็รู้สึกเหมือนโดนทำลายความเป็นส่วนตัวระดับหนึ่งแล้ว มาโดนคุ้ยตั้งแต่ชื่อโรงเรียนยันงานอดิเรกนี่เรียกว่าขายวิญญาณไปเลยดีกว่า
“ครับ รบกวนตามเรื่องให้ด้วยนะครับ” ปกติแล้วเขาไม่ค่อยย้ำอะไรกับคุณเมธาสักเท่าไหร่ เรียกว่าไม่หือไม่อือก็ยังได้ แต่รอบนี้เขาจะถือว่าสำคัญก็แล้วกัน
“ได้เลย ไม่ต้องเป็นห่วงนะ มีอะไรก็โทรมาบอกเลย”
“ขอบคุณมากครับ” ธาริณเอ่ยลาก่อนจะเดินออกจากห้อง เขาถือวิสาสะถือกระดาษปึกนั้นออกมาด้วย คืนนี้จะลองนั่งอ่านทั้งหมดดูสักครั้ง ไม่ได้อยากจะโดนด่าหรอกแต่แค่อยากรู้สถานการณ์ของตัวเองว่าถึงขนาดไหนแล้วเพื่อเขาจะได้วางตัวถูก
แต่ที่แน่ๆ ต้องลงไปซื้อผ้าปิดปากแล้วล่ะ
“พี่พิ้งค์ นี่แอคเค้าท์อะไรน่ะ ทำไมมันแปลก” เสียงคนที่นั่งอยู่ที่นั่งด้านข้างทำให้เธอต้องชะลอความเร็วในการขับลงเพื่อแบ่งสมาธิมาไว้กับบทสนทนา ก่อนที่เขาจะพลิกหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาให้ดู
“เออ ช่างมันก่อนละกัน พี่กำลังรีบ” ที่บอกว่ารีบคือรีบกลับบ้านเพราะพิ้งค์รู้สึกว่าวันนี้มันชักจะวุ่นวายจนเธอยากให้มันจบไปเร็วๆ ทั้งงานตามตารางและข่าวเรื่องการใช้ตัวแทนที่ดันมีคนจับได้อีก ความจริงเธอก็น่าจะออกปากเตือนไว้หน่อยว่าให้นะวังตัวกันแต่เธอเองก็ไม่คิดว่าการกินข้าวในซอยตอนดึกจะนำมาสู่ปัญหานี้เช่นกัน ทำเอาเธอต้องมานั่งเครียดโทรปรึกษากับคุณโชติและติดต่อนักข่าวทั้งวันจนถึงเมื่อกี้ และหลังจากไปส่งเด็กนี่เสร็จแล้วเธอก็จะได้กลับสักที
“พี่พิ้งค์ครับ แต่ว่า...”
“เออ ฉันรู้ว่าแกกำลังกังวล ฉันก็กังวลไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก” พิ้งค์พยายามใจเย็นและปลอบให้นักแสดงในความดูแลของตัวเองเลิกกังวล ”มีอย่างที่ไหนไปทำเลขาคุณเมธาเดือดร้อนขนาดนั้น”
“นี่ ผมจริงจังนะ แอคนี้น่ากลัวมาก” แต่ไอ้เด็กนี่เหมือนไม่ใส่ใจกับความเหนื่อยของเธอเอาซะเลย! จนสุดท้ายเธอต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียเอง
“ไหน อ่านให้ฟังหน่อย” เมื่อได้ยินแบบนี้กันต์เลยรีบไล่อ่านทวิตเตอร์ที่กำลังเปิดดูให้อย่างรวดเร็วไปทีละบรรทัด ข้อความในแอคเคาท์นี้แต่ละทวิตนั้นไม่ยืดยาว ไม่มีคำด่า แต่มันเหมือนการสะกดรอยตามที่น่ากลัวกว่าคำด่าเสียอีก
“บ่ายโมงยี่สิบ ธีร์ออกจากบริษัทไปร้านอาหารโรมานา บ่ายสามห้านาที ออกจากร้านกลับบริษัท บ่ายสี่เดินลงมาซื้อกาแฟสตาร์บั๊คส์ ห้าโมงครึ่งเดินไปขึ้นบีทีเอสกลับบ้าน” ยิ่งอ่านออกเสียงกันต์ยิ่งรู้สึกขนลุกแทน ขนาดเขาที่เคยเจอแอคเค้าท์ที่เปิดไว้ด่าตัวเองแล้วยังไม่รู้สึกไม่ปลอดภัยขนาดนี้เลย “พี่พิ้งค์ว่าจะเป็นอะไรไหมครับ”
“พี่ว่ารอดูไปก่อนแล้วกัน” ความจริงแล้วพิ้งค์เองก็แอบรู้สึกว่ามันอันตรายอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความที่เธอเคยเจอข้อความทำนองนี้มาก่อนโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นเธอจึงตัดสินใจจะรอดูไปก่อน ทว่ากันต์เองกลับไม่คิดอย่างนั้น ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้เขารู้สึกว่าควรเข้าไปดูรายละเอียดอีกครั้งพร้อมแคปหน้าจอเก็บไว้
ดูจากลักษณะแล้วเป็นแอคเค้าท์ที่เพิ่งเปิดใหม่อย่างแน่นอน และเมื่อย้อนกลับไปดูทวิตแรกแล้วก็ตรงกับสองวันก่อนซึ่งเป็นวันที่ธาริณมาช่วยจนโดนจับได้นั่นเอง แฟนคลับสมัยนี้น่ากลัวและรวดเร็ว เพียงชั่วข้ามคืนก็สามารถขุดคุ้ยประวัติและข้อมูลส่วนตัวของใครสักคนได้ บางทีเขาก็คิดว่าตัวเองโชคดีมากที่ลองเสิร์ชคำว่า ‘ธีร์’ ลงไปจนได้เจอกับแอคเค้าท์นี้
เขานึกไม่ออกว่าเจ้าของแอคเค้าท์นี้เป็นใครถึงได้รู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมด รูปโปรไฟล์นั้นเป็นแค่รูปเปลือกไข่พื้นหลังสีม่วงแต่ชื่อแอคเค้าท์และชื่อยูสเซอร์นั้นสื่อถึงจุดประสงค์ เนื้อหาของแต่ละทวิตเป็นเหมือนการรายงานตารางเวลา บางครั้งก็แทรกด้วยข้อความทำนองว่า ‘ยังไม่ลงมาสักที’ กันต์พยายามคาดเดาความเป็นไปได้ต่างๆ นานา จะว่าคนในบริษัทก็ไม่เชิงเพราะด้วยตำแหน่งของธาริณน่าจะมีตารางเวลาที่ไม่เหมือนพนักงานคนอื่น
แต่แล้วระหว่างที่กำลังวิเคราะห์อยู่นั้นก็มีทวีตใหม่เด้งขึ้นในไทม์ไลน์ กันต์จึ้งรีบเลื่อนขึ้นไปดูทันทีก่อนจะพบข้อความที่ทำให้เขาแทบนั่งไม่ติด
@finding_t เดินออกมาในซอยแล้ว เข้าร้านเดิม
@finding_t กลับออกมาสักทีสิ
@finding_t วันนี้เอาแค่น้ำเปล่าก่อนแล้วกัน ...ฉิบหายละ
เขาไม่รู้ว่าน้ำเปล่าที่ว่าจะสื่อความหมายอย่างไร แต่เจ้าของแอคเค้าท์นี้ต้องมีจุดประสงค์ที่ไม่ดีแน่นอนเขาจึงตัดสินใจบอกผู้จัดการทันที “พี่พิ้งค์แวะที่คอนโดของพี่ธีร์ก่อนได้ไหมครับ”
“ทำไมล่ะ”
“ผมรู้สึกไม่ดีเลย”
“เอาก็เอา” ความจริงแม้จะเหนื่อยแต่พิ้งค์เองก็กังวลอยู่เหมือนกันเพราะคุณโชติกำชับให้ช่วยตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยของฝ่ายนั้น “กดจีพีเอสให้หน่อย”
กันต์รับมือถือของพิ้งค์มาแล้วเปลี่ยนพิกัดปลายทางทันที ก่อนที่ตัวเขาจะรีบเปิดกระเป๋าเพื่อค้นนามบัตรของอีกฝ่ายที่เพิ่งได้มาเมื่อวันก่อนแล้วกดเบอร์โทรออก เขารอสัญญาณไม่นานก่อนที่ปลายสายจะกดรับ
“ฮัลโหล” น้ำเสียงของเขาดูงงนิดหน่อย อาจเพราะว่าเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักโทรมาตอนกลางคืน
“พี่ธีร์ นี่กันต์นะครับ”
“อ้อ มีอะไรหรือเปล่าครับ” แต่ชื่อของเขาก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายงงน้อยลง
“พี่อยู่ในร้านป้าแสงหรือเปล่าครับ”
“ฮะ...เอ่อ ใช่ครับ” เสียงเหมือนไม่ไว้ใจอะไรสักอย่างทำให้กันต์นึกขึ้นมาได้ว่าการโทรไปถามแบบนี้มันเหมือนเป็นโรคจิตเองยังไงไม่รู้ เขาจึงพยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์อย่างรวบรัดที่สุด
“พี่อย่าเพิ่งออกมานะครับ มีคนสะกดรอยตามพี่อยู่ ผมกำลังไปหา”
“เอ่อ...ได้ครับ” กันต์พูดจบแล้วจึงตัดสายไปทันทีโดยไม่สนใจน้ำเสียงที่แม้จะตอบรับแต่แสดงความไม่เข้าใจออกมาอย่างชัดเจน อย่างน้อยเขาก็สบายใจได้ระดับนหนึ่ง นึกดูแล้วถึงไม่เดินออกมาจากร้านยังไงร้านของป้าแสงก็เป็นร้านเปิด และนั่นหมายความว่าหากเจ้าของแอคเค้าท์อยากเข้ามาประชิดตัวก็สามารถทำได้ไม่ยาก ดีไม่ดียังเป็นเป้านิ่งอีกต่างหาก เมื่อคิดได้แบบนี้กันต์จึงหันไปเร่งผู้จัดการส่วนตัวทันที “พี่พิ้งค์รีบหน่อยนะครับ”
ทันทีที่ขับมาถึงหน้าปากซอยกันต์ก็รีบบอกทางมาร้านป้าแสง กันต์พยายามมองทางไปด้วยมองหาบุคคลต้องสงสัยไปด้วย ทว่าในซอยนั้นเองก็มีหลายคนเดินลงมาซื้อของกินทำให้แยกได้ยากมากว่าใครมีท่าทีน่าสงสัยจนเรียกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหาเจอ เมื่อรถมาจอดหน้าร้านป้าแสงแล้วเขาจึงรีบหยิบผ้าปิดปากมาคาดไว้แล้วเดินเข้าไปในร้าน
สภาพที่เห็นทำเอากันต์รู้สึกจุกอย่างบอกกไม่ถูก ธาริณเปียกเกือบทั้งตัวเหมือนไปตกน้ำมา แต่เจ้าตัวก็ยังก้มลงไปบิดน้ำออกจากขากางเกงของตนเองอย่างเงียบเชียบด้วยท่าทางที่กันต์เห็นแล้วนึกชื่นชมอยู่ในใจ คนอะไรโดนน้ำสาดมาขนาดนี้ยังดูมาดดีเหมือนอยู่ในที่ประชุม พี่ธีร์ถึงจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไรก็ยังคงเป็นพี่ธีร์อยู่ดี
...เขามาสายไปสินะ
“อ้าว นี่เพื่อนของธีร์ใช่มั้ยลูก” เสียงทักทายของเจ้าของร้านทำให้เขาละสายตาจากคนที่นั่งเปียกอยู่กลับมา พร้อมกับธาริณที่เงยหน้าขึ้นมาเห็น
“ใช่ครับ” กันต์ยกมือไหว้ทักทายในขณะที่ความคิดยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องอื่น
“เนี่ย เมื่อกี้อยู่ๆ ก็มีใครไม่รู้เดินเข้ามาในร้านแล้วเอาน้ำมาสาดน้องธีร์ ตกใจแทบแย่”
“ป้าแสงพอจะจำลักษณะของคนที่เข้ามาได้ไหมครับ”
“อืม...เป็นผู้หญิงตัวประมาณนี้ ผมดำยาวประมาณไหล่ ใส่ผ้าปิดปากกับหมวกไว้ด้วย” จากส่วนสูงที่ป้าแสงทำให้ดูนั้นจัดว่าไม่ได้สูงมาก “เขาเดินเข้ามาแล้วพุ่งเข้าไปหาน้องธีร์เลย” ว่าแล้วเจ้าของร้านก็หันไปมองลูกค้าคนสนิทอย่างเป็นห่วง
ในขณะเดียวกันพิ้งค์ก็เดินเข้ามาในร้านจึงได้เห็นสภาพเปียกปอนไปทั้งตัวของธาริณ ทำเอาเธอก็รู้สึกผิดไปด้วยที่ทำให้คนอื่นต้องมาเจอเรื่องลำบากแบบนี้ โชคดีที่เธอตัดสินใจทำตามที่กันต์บอกไม่อย่างนั้นเธอคงได้กลับบ้านไปโดยไม่รู้อะไรแล้ว เธอเอ่ยทักเจ้าของร้านเพียงเล็กน้อยแล้วเดินตรงเข้าไปหา
“คุณธีร์เป็นอย่างไรบ้างคะ บาดเจ็บตรงไหนไหม”
“ไม่ครับ แค่ตกใจนิดหน่อย” คำตอบของธาริณทำเอาคนฟังขมวดคิ้ว ไม่บาดเจ็บก็จริงแต่เขาดูเหมือนไม่ตระหนักถึงอันตรายหรืออะไรเลยแม้แต่น้อย และคำตอบนี้เองทำให้กันต์ต้องเดินเข้ามาหาก่อนที่เขาจะนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง
“พี่ธีร์ครับ ตอนนี้มีคนกำลังสะกดรอยตามพี่อยู่นะครับ” กันต์อธิบายพลางเปิดให้ดูแอคเค้าท์ดังกล่าวซึ่งมีข้อความด้นบนสุดเขียนไว้ชัดเจนว่า ‘วันนี้เอาแค่น้ำเปล่าก่อนแล้วกัน’ เห็นดังนั้นธาริณก็ดึงโทรศัพท์ของอีกฝ่ายมาเลื่อนดูทันทีและได้รู้ว่าเขาโดนตามมาเป็นวันที่สองแล้ว
“ทางเราต้องขอโทษจริงๆ นะคะคุณธีร์” ยิ่งได้เห็นท่าทางตกใจจนนิ่งไปของเจ้าตัวแล้วพิ้งค์ก็ยิ่งรู้สึกผิด “พิ้งค์จะรีบแจ้งให้คุณโชติจัดการนะคะ”
“ครับ ขอบคุณมาก” ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะแต่กันต์เองก็พอจะรู้ว่าพี่ธีร์ยังกังวลอยู่ แน่นอนว่าคนที่ผ่านเหตุการณ์แบบนี้และเพิ่งรู้ตัวว่าโดนสะกดรอยก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา
“แล้วระหว่างนี้...” พิ้งค์เองก็เหมือนจับความรู้สึกได้เลยพยายามคิดหาทางออกให้อีกฝ่าย เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปหาเด็กในสังกัดตนเองทันที “คอนโดกันต์ยังพอมีห้องว่างใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมแค่โดนน้ำสาดเอง” ธาริณพยายามปฏิเสธอย่างสุภาพและยืนยันว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แม้จะตกใจมากและรู้สึกกลัวแต่ถ้าจะให้เขาไปอยู่ห้องคนอื่นเขายอมอยู่กับความกลัวดีกว่า
“แล้วถ้าไม่ใช่น้ำเปล่าล่ะคะ” คำตอบแบบนี้แทนที่จะทำให้พิ้งค์กลับกลายเป็นว่าเธอยิ่งกังวล อ่านจากเนื้อความของทวิตล่าสุด ถึงคราวนี้จะแค่สาดน้ำเธอค่อนข้างมั่นใจว่าจะมีการทำร้ายร่างกายครั้งต่อไปแน่นอน แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นมาบริษัทของเธอจะชดเชยกันได้ยังไง “คุณธีร์ไปนอนคอนโดน้องกันต์ก่อนแล้วกันนะคะ ที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว”
“แต่...”
“ขอร้องเถอะค่ะ อย่างน้อยก็จนกว่าข่าวนี้จะซาลงนะคะ พิ้งค์รายงานให้คุณโชติเรียบร้อยแล้วด้วย” ไม่พูดเปล่า พิ้งค์ชูหน้าจอมือถือที่ส่งข้อความถึงเจ้าของค่ายให้ดูเป็นหลักฐานเพื่อยืนยันและกึ่งบังคับให้อีกฝ่ายทำตามนี้ “คุณโชติอนุมัติแล้วและแจ้งต่อไปยังคุณเมธาแล้วค่ะ” ความจริงเธอไม่ได้อยากฝืนใจใครแต่ยิ่งธาริณเป็นคนสำคัญของบริษัทฝ่านนั้นด้วยและความปลอดภัยของเขาก็ต้องมาก่อน
“เดี๋ยวผมขอติดต่อคุณเมธาสักครู่นะครับ” ไม่ใช่เขาไม่เชื่อแต่เขาจะหาโอกาสต่อรองกับเจ้านายอีกครั้ง
เขาปลีกตัวออกไปเพื่อไม่ให้ใครได้ยินและยืนยันกับเจ้านายอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการไปอยู่กับกันต์ตามที่ฝ่ายนั้นเสนอมา แต่ความหนักแน่นของเขากลับไม่เป็นผลเพราะคุณเมธาเองกลับเห็นดีเห็นงาม ซ้ำยังย้ำกับเขาว่าคุณโชติแทบจะขอร้องให้เขาไปเพื่อสามารถรับผิดชอบดูแลความปลอดภัยได้เต็มที่ เมื่อฝ่ายนั้นชี้แจงขนาดนี้คุณเมธาเองก็ไม่อยากให้เสียน้ำใจเช่นกัน
สุดท้ายธาริณเองจึงเดินกลับมาและยอมรับข้อเสนอดังกล่าว เขาพยายามปลอบใจตัวเองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของงานและหวังให้ข่าวทุกอย่างจบลงโดยเร็ว
“โอเค งั้นผมขอขึ้นห้องไปเก็บของก่อนนะครับ”
“งั้นขึ้นรถเลยค่ะ เดี๋ยวพี่วนไปถึงหน้าประตูคอนโด” เธอหยิบกุญแจรถออกมาก่อนจะหันมาทางเด็กในสังกัด “กันต์ตามขึ้นไปช่วยเก็บของด้วย”
“ได้ครับ” กันต์รับคำแต่โดยดีก่อนจะเดินตามผู้จัดการของตนเองไป แต่แล้วธาริณกลับจับแขนเอาไว้ก่อนเขาจึงหันกลับไปหาอีกฝ่ายทันที
“ลำบากใจรึเปล่าครับ ความจริงแค่น้ำเอง”
...ลำบากสิ ลำบาก ธาริณแอบลุ้นคำตอบอยู่ในใจ เขาอาจดูเหมือนถามเหมือนเป็นมารยาทแต่ความจริงแค่อยากหาแนวร่วม หากกันต์ไม่อยากให้เขาไปพักด้วยอาจทำให้ฝ่ายนั้นเปลี่ยนใจได้ แต่กลายเป็นว่าผลที่ได้กลับกลายเป็นตรงข้าม
กันต์ไล่สายตามองใบหน้าที่ดูเป็นกังวลและตัวที่เปียกโชก ก่อนจะยิ้มออกเป็นครั้งแรก ความจริงพี่ธีร์ควรเป็นฝ่ายโกรธ เป็นฝ่ายไม่ยินยอม ไม่ใช่มีน้ำใจมาถามความสบายใจของเขาเสียเอง เขาไม่รู้ว่าคำถามนี้เป็นเพียงสิ่งที่อีกฝ่ายปั้นแต่งขึ้นมาตามปกติหรือเป็นความจริงใจของเจ้าตัวแต่มันก็ทำให้เขาเอื้อมมือไปกระชับต้นแขนของอีกฝ่าย
“พี่ธีร์”
“...”
“ผมยินดีนะครับ”
------------------------------------------------------------------
มาแล้วค่า Merry Christmas นะคะทุกคน
ขอให้สนุกกับการพักผ่อนและการอ่านนะคะ