-8-
หลังแยกย้ายกับเซินเฟย มู่อี้จิงก็โดนสารวัตรหรงเทศนายกใหญ่ แถมยังสำทับว่าหากเซินเฟยไม่ใช่เด็กที่ยังอ่อนต่อวงการแล้วอาจจะโดนเก็บเอาง่าย ๆ มู่อี้จิงเองก็รู้ดีว่าเขาทำเรื่องใหญ่ลงไป แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยหากพูดคุยกับคนระดับสามัญก็ตามที กระนั้นเขาก็ยังอยากจะลองดู ไหน ๆ เขาก็ต้องทำงานให้อยู่แล้ว จะขอลองทดสอบความคิดและอารมณ์ของเจ้านายสักหน่อยก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่ได้เจออีกฝ่ายครั้งแรก เขาค่อนข้างแน่ใจอยู่พอสมควรว่าเซินเฟยไม่ใช่คนโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดจะฆ่าใครได้ง่าย ๆ
ดังนั้น...โอกาสที่เขาจะถูกฆ่าเพียงเพราะเรื่องแค่นี้จึงเป็นไปได้น้อยมาก
อย่างไรก็ตาม เซินเฟยไม่พอใจการแสดงออกของเขาอยู่มาก หลังจากนี้อาจต้องเอาผลงานเข้าแลกเพื่อเอาใจเสียหน่อย มิเช่นนั้นคงถูกตัดหางปล่อยวัด
จริงอยู่ว่าตำรวจและมาเฟียจำต้องพึ่งพาอาศัยกันตามสัจธรรมของโลกในยุคปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้นอำนาจมืดก็ง่ายต่อการถลำลึก ตำรวจที่จะประสานงานด้วยจึงควรจะเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งไม่หลงไปกับแรงยั่วยุของอิทธิพลเหล่านั้น มู่อี้จิงไม่สงสัยว่าทำไมจูเชว่จึงเลือกสารวัตรหรง ตำรวจที่ถูกชักจูงเข้าสู่องค์กรจะกลายเป็นแค่มาเฟียกระจอกที่ทำประโยชน์อะไรไม่ได้เลย สารวัตรหรงแม้จะทำงานกับจูเชว่มานานแต่ก็ไม่ละเลยต่อหน้าที่ประจำทำให้สามารถรักษาสมดุลของการปกครองได้ทั้งสองทาง
งานนี้ใช่ว่าใครก็ทำได้ ดังนั้นถึงจูเชว่จะไม่ต้องการให้เขาทำงานด้วยต่อ เขาก็ต้องดันทุรังทำต่อเองอยู่ดี
สารวัตรหรงบอกว่าจูเชว่คนนี้เป็นคนที่มีเหตุมีผล ดังนั้นหากเขาทำผลงานได้เข้าตา ถึงจะไม่พอใจหรือไม่ถูกชะตาก็ต้องยอมให้เขาทำงานด้วยอยู่ดี
มู่อี้จิงเริ่มคิดว่าเขาควรจะทำอะไรต่อ เริ่มจากการสืบเรื่องของเฉียนหยุนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
การสืบหาตัวคนแบบนั้นไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง มู่อี้จิงเจองานอย่างนี้มาก็เยอะแล้ว ทั้งอีกฝ่ายยังเคยมีอิทธิพลดังนั้นจึงเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะซุกหัวอยู่กับคนที่ภักดีต่อตนเอง
ชายหนุ่มเปิดประตูห้องอพาร์ทเมนท์ที่เช่าอยู่แล้วเดินเข้าไปด้านใน ห้องดูสะอาดสะอ้านตามแบบที่ผู้ชายโสดคนเดียวจะทำได้
มู่อี้จิงเดินไปที่โต๊ะทำงานมุมห้องแล้วเปิดลิ้นชักค้นเอาข้อมูลที่สืบได้ก่อนหน้านี้ออกมา ความจริงแล้วระหว่างที่สืบเรื่องมือปืน เขาได้สืบเรื่องเฉียนหยุนไปด้วยทำให้ได้รายชื่อของคนที่น่าจะให้ที่ซุกซ่อนในเวลานี้มาอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก คิดแล้ว ผู้ชายคนนี้ก็ช่างมองการณ์ได้ไกลจริง ๆ ราวกับรู้ว่าวันนี้จะมาถึงจึงโปรยบุญคุณไปทั่วราวกับหว่านเมล็ดในนาข้าว
หากจะสืบทั้งหมดนี้จูเชว่คงไม่มีทางทำได้ก่อนที่เฉียนหยุนจะรู้ตัว ดังนั้นตำรวจสายสืบอย่างเขาจึงมีความจำเป็น
มู่อี้จิงทิ้งปึกเอกสารกลับลงไปในลิ้นชักแล้วปิดล็อค ก่อนเดินไปที่โทรทัศน์
การเอาแต่ทำงานคร่ำเคร่งทั้งวันทั้งคืนไม่ใช่นิสัยของเรา สมองคนเรามีขีดจำกัดการทนต่อแรงกดดันได้ไม่เท่ากัน และทนต่อการทำงานหนักไม่เท่ากัน สำหรับเขา การรักษาสมองให้สามารถทำงานได้นาน ๆ ดีกว่าบีบคั้นให้ทำงานหนักจนลำบากตอนแก่เป็นไหน ๆ
ช่วงค่ำแบบนี้ถึงจะดูโทรทัศน์ไปก็ใช่จะมีอะไรให้ดูมากมายนัก มู่อี้จิงเพิ่งจะขอยืมแผ่นหนังจากเพื่อนตำรวจมาจำนวนหนึ่งจึงลองเปิดดูโดยไม่ได้สนใจหน้าแผ่น แต่ในเมื่อทุกคนพร้อมใจกันบอกว่าสนุกและยัดเยียดให้เขาก็คงต้องลองดูเสียหน่อย
ฉากในหนังดูเหมือนจะไม่ใช่ภาพยนตร์ระดับที่จะฉายในโรงได้ มองแสงสีแล้วก็คล้ายจะเป็นหนังเกรด C เสียมากกว่า กระนั้นมู่อี้จิงก็ยังนั่งดูต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่ามันเป็นหนังประเภทไหนกัน แต่ว่า....พอเริ่มมีคนเดินเข้าฉาก อะไร ๆ มันก็คุ้นตาคุ้นใจขึ้น ทั้งการวางกล้องนิ่ง ๆ โดยไม่เล่นมุม การใช้แสงแบบตามมีตามเกิน อีกทั้งยังหน้าตาคนแสดงฝ่ายชายที่เห็นไม่ค่อยชัดเจนนัก...
ตัวแสดงฝ่ายหญิงเป็นนักเรียนม.หลาย มู่อี้จิงอนุมานว่าเช่นนั้น
เด็กนักเรียนหญิงม.ปลายเข้ามาในสถานที่แห่งหนึ่งที่ตัวละครฝ่ายชายนั่งอยู่ ทั้งสองคนทำความรู้จักกันเล็กน้อยก่อนที่ฝ่ายหญิงจะโดนวางยา
มู่อี้จิงพ่นลมหายใจออกมา นี่พวกเพื่อนร่วมงานเขาขาดคู่ถึงขนาดต้องดูของพรรค์นี้กันเลยหรือนี่?
แต่เอาเถอะ....เขาเองก็ดูบ้างเป็นงานอดิเรก ธรรมดาของผู้ชายที่จะชอบดูเรื่องแบบนี้ถึงจะมีแฟนแล้วก็เถอะ
เด็กสาวม.ปลายโดนหิ้วเข้าโรงแรมทั้งที่เวลาตั้งแต่เปิดเรื่องจนถึงตอนนี้เพิ่งผ่านไปเพียง 15 นาที เป็นเรื่องสามัญของหนังแนวนี้ที่รายละเอียดปลีกย่อยถูกลดทอนความสำคัญลงจนแทบไม่จำเป็นต้องมี
แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไปอย่างที่หนังแนวนี้มักจะเป็น ฉากการร่วมเพศที่โจ่งแจ้งไม่มีการปิดบัง นึกสงสัยอยู่เหมือนกันที่เพื่อนของเขาหาฉบับ Non-censor มาได้ เสียงร้องครางของเด็กสาวม.ปลายดังออกมาจากลำโพง โชคดีที่อพาร์ทเมนท์นี้กำแพงหนาพอสมควร ดังนั้นถึงจะเปิดดังหน่อยก็ไม่ไปรบกวนห้องข้าง ๆ แต่อย่างใด กระนั้น....การดูเรื่องพวกนี้ก็ทำให้ผู้ชายหนุ่มแน่น โสด และร่างกายแข็งแรงอย่างเขาเกิดกลัดมันขึ้นมาได้เหมือนกัน ดูไปได้ไม่เท่าไหร่มู่อี้จิงก็รู้สึกได้ว่าตนเองกำลังรู้สึกอยากระบาย
นายตำรวจหนุ่มกดปิดหนังไปก่อนจะเก็บแผ่นเข้าถุงเพราะได้ยินเสียงออดจากประตู นึกสงสัยปนหงุดหงิดนิดหน่อยว่าใครกันจะมาเอาเวลาอย่างนี้ เขาจำต้องพยายามสงบจิตสงบใจขณะเดินไปเปิดประตู
“ขอโทษที่มารบกวนนะครับ”
ผู้มาเยือนทำให้มู่อี้จิงอ้าปากค้างตอบกลับไปไม่ถูก ได้แต่ยืนอยู่ตรงประตูนิ่งอย่างนั้น
“คุณมู่?” ฝ่ายนั้นเรียกชื่อเขาซ้ำอีกครั้งทำให้สติหวนหลับเข้าร่าง
“คุณหวาง? ทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ?” มู่อี้จิงกลั้นใจยิ้มตอบแล้วถาม เขาหวังว่าคงจะไม่ใช่เรื่องเดียวกับที่พูดออกไปก่อนหน้านี้ที่โต๊ะอาหาร
“ผมเข้าไปได้ไหม?” หวางซิงถามอย่างไม่แน่ใจ
“อ้อ ได้สิ เข้ามาเลย” ในเมื่ออีกฝ่ายมาถึงที่แล้ว มู่อี้จิงก็รู้สึกว่าจะเป็นการเสียมารยาทหากไม่เชิญเข้าห้อง เพียงแต่สภาพร่างกายของเขาตอนนี้อาจจะไม่อำนวยให้รับรองความปลอดภัยได้มากนัก
หวางซิงเพียงพยักหน้าเงียบ ๆ แล้วเดินเข้าไป เขามองดูรอบห้องอีกฝ่ายก่อนจะเดินไปนั่งลงบนโซฟาที่ตั้งอยู่หน้าโทรทัศน์ สายตาของเขาเหลือบไปเห็นหน้าซองหนังเรื่องหนึ่งไหลออกมาจากถุง ภาพที่เห็นค่อยข้างอนาจารทำให้หวางซิงหน้าร้อนวูบวาบรู้สึกว่าตนเองไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า
“น้ำครับ”
“ค...ครับ....” น้ำที่ยื่นมาให้ถูกรับไปด้วยมือที่ค่อนข้างจะสั่นเทาด้วยความประหม่า หวางซิงวางแก้วลงบนโต๊ะแล้วขยับแว่นให้เข้าที่เข้าทาง
“เอาล่ะ คุณมาหาผมทำไม?” มู่อี้จิงทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ มันช่วยไม่ได้ที่เขาไม่ได้ร่ำรวยนักจึงมีแค่โซฟาตัวเดียวซ้ำยังนั่งได้แค่สองคน
“เรื่องที่คุยกันวันนี้....ถ้าผมตอบรับคุณจะยอมช่วยคุณเซินใช่ไหม?”
มู่อี้จิงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“เจ้านายคุณเปลี่ยนใจอย่างนั้นหรือ?”
“เปล่า...” หวางซิงปฏิเสธแล้วก้มหน้าลง “คุณเซินห้ามผมมาหาคุณเด็ดขาด”
“อืม....ถ้าอย่างนั้น คุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่?”
“ผมถามจากสารวัตรหรงครับ”
มู่อี้จิงพยักหน้ารับ แสดงว่าเรื่องที่หวางซิงมาหาเขาสารวัตรหรงก็จะรู้เรื่องด้วย คนที่ต้องปกปิดเอาไว้คงมีแต่เซินเฟยที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย ช่างเป็นเลขาที่จงรักภักดีอะไรอย่างนี้....
“นั่นจะทำอะไรน่ะ?” ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายถอดสูทออกแล้วกำลังจะปลดเนคไท
“ก็ทำตามข้อตกลงน่ะสิครับ ถ้าคุณได้ตัวผมคุณจะยอมช่วยไม่ใช่หรือ?” หวางซิงถามด้วยสีหน้าจริงจัง มู่อี้จิงจึงเกาหัวอย่างไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
ความจริงแล้วที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้เพราะอยากจะรู้เท่านั้นเองว่าคนอย่างจูเชว่จะขายกระทั่งลูกน้องคนสนิทหรือเปล่า ในเมื่อได้คำตอบที่น่าพึงพอใจเขาก็ไม่คิดจะจริงจังกับเรื่องนั้นอีกแล้ว ผิดกัน หวางซิงกลับถือเอาเป็นเรื่องจริงจังจนต้องแอบมาหาเขาถึงที่นี่ นี่เขาดูเหมือนคนที่มักมากถึงขนาดเห็นหน้ากันก็จะฟันดะเลยหรืออย่างไร? ถึงจะคิดอย่างนั้นก็น่าจะกระอักกระอ่วนกับการต้องนอนกับผู้ชายด้วยกันหน่อยไม่ใช่หรือ?
“คุณดูจะยอมทำตามที่เจ้านายต้องการทุกอย่างเลยจริง ๆ นะ”
“แน่นอนครับ” หวางซิงตอบอย่างไม่ต้องคิดซ้ำยังยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “ตระกูลของผมรับใช้จูเชว่มาหลายชั่วคนโดยไม่เคยทำให้เสื่อมเสีย ถึงในสายตาของคุณจะคิดว่าจูเชว่เป็นแค่มาเฟียและผู้นำองค์กรใต้ดิน แต่สำหรับผมและตระกูลของผมแล้วจูเชว่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง”
ตรรกะของคนพวกนี้ทำด้วยอะไรกันนะ?
มู่อี้จิงคิดพลางกลอกตา เขาไม่เคยเข้าใจพวกพ่อบ้านในหนังฝรั่งโบราณมากนักเมื่อพวกเขาพูดว่าจะยอมมอบกายถวายชีวิตให้นายท่าน หรืออัศวินที่ยอมตายเพื่อนายเหนือหัว คนเรารู้สึกดีใจมากนักหรือที่ต้องรับใช้คนอื่นถึงขนาดยอมละทิ้งชีวิตของตัวเองไปอย่างนั้น กระทั่งมาเจอคนประเภทนี้ตัวเป็น ๆ ตรงหน้าเขาก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้อยู่ดี
“คุณทำทุกอย่างได้จริง ๆ น่ะหรือ?” มู่อี้จิงยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนแทบประชิดทำให้หวางซิงที่ไม่ทันได้ตั้งตัวรีบผงะถอยแทบไม่ทัน
“ได้ครับ” ถึงอย่างนั้นในวินาทีต่อมา หวางซิงก็ยังยืนยันความตั้งใจเดิมของตนอย่างมาดมั่น
“หืม.....มันจะดีหรือที่พูดแบบนั้น ความจริงคุณน่าจะฟังเจ้านายของคุณนะ เพราะดูเขาจะเอ็นดูคุณมากทีเดียว” ว่าไป มือของมู่อี้จิงก็เกี่ยวเนคไทให้เลื่อนลงจนเกือบหลุด
“คำว่าเอ็นดูคงไม่เหมาะสำหรับผมกับคุณเซินเท่าไหร่มั้งครับ” หวางซิงว่าพลางขยับแว่น กระทั่งในเวลาอย่างนี้ก็ยังจริงจังกับวิธีใช้คำสมกับที่เป็นเลขามานาน
“อ้อ.....” มู่อี้จิงขานพลางหัวเราะอย่างจงใจให้ดูชั่วร้ายก่อนจะกระตุกครั้งหนึ่งให้เนคไทหลุดจากกันแล้วรูดออกจากลำคอ การกระทำอันอุกอาจทำให้หวางซิงตกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ถึงขนาดเสียขวัญจนลุกหนี ท่าทางจะเตรียมตัวเตรียมใจมาดีแล้วจริง ๆ ไม่อย่างนั้นมู่อี้จิงคงโดนชกไปสักหมัดแล้ว
ตอนนี้ร่างกายของนายตำรวจหนุ่มก็พร้อมจะจู่โจมอยู่แล้วด้วยผลจากหนังเรท X เมื่อครู่นี้ เมื่อมีอาหารมาวางรอตรงหน้ามันก็ยั่วน้ำลายเสียจนแทบจะอดใจไม่ได้ ปกติมู่อี้จิงก็ไม่ได้คิดมากเรื่องชายหรือหญิงเป็นทุนเดิม ดังนั้นการจะลงมือตามใจอยากจึงเป็นเรื่องที่แสนยั่วใจจนแทบอดไม่ได้
เป็นเพราะมู่อี้จิงชักช้ารำไรหรืออย่างไรไม่ทราบได้ หวางซิงจึงกลั้นใจคว้าตัวอีกฝ่ายเข้ามาจูบเสียเอง การกระทำนั้นทำให้ผู้ถูกกระทำเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แต่คน ๆ นี้เอาจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
มู่อี้จิงกดร่างของหวางซิงให้ล้มลงบนโซฟาทั้งที่บดจูบให้ลึกล้ำยิ่งขึ้น เขาขบกัดพร้อมป้อนรสจุมพิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนใบหน้าดวงนั้นแดงซ่าน เมื่อไม่เห็นว่ามีการต่อต้าน มู่อี้จิงจึงเริ่มปลดเสื้ออีกฝ่ายแล้วขบไล้ไปตามลำคอ ตอนนั้นเองเสียงหายใจฮึกในคอจึงเล็ดรอดออกมา อีกทั้งร่างของหวางซิงยังสั่นเทาทำให้มู่อี้จิงอนุมานได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเลยในชีวิต
ชายหนุ่มไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำขนากจะฝืนขืนใจโดยไม่ยินยอม อีกอย่างคือ....เรื่องอย่างนี้มันผิดกฎหมาย ซึ่งผู้รักษากฎหมายอย่างเขาไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง
มู่อี้จิงจำต้องผละออกมาทั้งที่อยากทำใจจะขาด อารมณ์ที่ถูกปลุกขึ้นไม่ใช่ดับกันง่ายๆ
“ทำไมหรือครับ?” หวางซิงลืมตาขึ้นถามด้วยความสงสัยก่อนจะขยับแว่นที่หลุดจากดั้งให้กลับเข้าที่
“คุณไม่ต้องจริงจังถึงขนาดนั้นก็ได้ ยังไงผมก็ต้องทำงานให้เจ้านายของคุณอยู่แล้ว” มู่อี้จิงอธิบายพลางเสยผมด้วยความหงุดหงิดใจ เขาคงต้องไล่อีกฝ่ายกลับไปให้เร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัย
“แสดงว่าคุณจะไม่รับผมเป็นของตอบแทนแล้วอย่างนั้นหรือครับ?” คำถามของหวางซิงทำให้มู่อี้จิงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าบ่าวที่เลวถึงขนาดปฏิเสธเจ้าสาวที่ถูกส่งมาถึงห้องหอ
“จริง ๆ แล้วผมก็ไม่ได้อยากจะทำเรื่องแบบนี้แต่แรกแล้ว ผมแค่อยากจะเห็นปฏิกิริยาของจูเชว่เท่านั้นเอง” เขาจำต้องสารภาพตามตรงเพื่อให้จบเรื่องจบราวไปให้เร็วที่สุด
“คุณหมายความว่า...คุณทดสอบคุณเซินอย่างนั้นหรือครับ!” อยู่ ๆ หวางซิงก็ตะโกนขึ้นมาทำให้มู่อี้จิงที่ไม่ทันเตรียมใจรับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปถึงกับผงะ “คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงได้กล้าดีทำเรื่องอย่างนี้! รู้ตัวหรือเปล่าว่าที่มีชีวิตอยู่นี่ก็เพราะบุญหนักขนาดไหน!” ไม่พูดเปล่า หวางซิงลุกขึ้นมากระชากคอเสื้อมู่อี้จิงอย่างเอาเรื่องเอาราว ไม่เหลือคราบของคนที่เตรียมใจมาถูกล่วงเกินอย่างเมื่อครู่แม้แต่น้อย
“ผมไม่ได้ตั้งใจ ช่วยปล่อยผมก่อนเถอะ” เขาจำยอมอ่อนข้อเพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็นลง ใครจะคิดว่าแค่เรื่องของจูเชว่จะทำให้หวางซิงโมโหถึงขนาดนี้
หวางซิงยอมปล่อยคอเสื้อมู่อี้จิงในที่สุด เขาจัดเสื้อตนเองให้เรียบร้อยแล้วผูกเนคไท สวมสูทกลับเข้าไปเช่นเดิม
“เรื่องนี้ผมจะไม่รายงานให้คุณเซินรู้” หวางซิงว่า เขาไม่ได้คิดห่วงอีกฝ่ายหรอกว่าจะเป็นจะตาย แต่เขาไม่อยากเพิ่มเรื่องเครียดให้เซินเฟยเท่านั้นเอง “ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้วผมต้องขอตัวก่อนนะครับ” ว่าจบ หวางซิงก็เดินออกไปโดยไม่รอให้เจ้าของห้องเอ่ยคำร่ำลา เขาขอตัวออกมาทำธุระโดยไม่ได้บอกรายละเอียด ตอนนี้เซินเฟยคงรอเขาอยู่ ในเมื่ออยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วเขาจึงไม่อยากเสียเวลาอย่างไร้ค่า
มู่อี้จิงนั่งค้างอยู่กับที่อย่างนั้นจนประทั่งประตูปิดลง อารามตกใจเมื่อครู่ทำให้อารมณ์พิศวาสหายไปหมดเกลี้ยงไม่เหลือหลอ เขาควรจะขอบคุณหวางซิงเรื่องนี้ไหมนะ?
----------------------->
“อาซิง”
“ค...ครับ?” หวางซิงขานรับเมื่อถูกเรียกทั้งที่เขาเพิ่งจะเดินพ้นประตูบ้านเข้ามา นึกระแวงว่าจะมีคนรู้ไหมว่าตัวเขาไปไหน
“วันนี้โปสการ์ดจากอาซิ่วส่งมาตั้งแต่เช้าแล้ว ได้เปิดอ่านหรือยัง?” หวางซานผู้เป็นพ่อเอ่ยถามพลางยื่นโปสการ์ดที่ส่งมาจากอังกฤษให้แก่บุตรชาย
หวางซิ่ว น้องชายของหวางซิงไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษด้วยความกรุณาของจูเชว่คนก่อน ทำให้นาน ๆ ครั้งจึงจะได้กลับมาบ้านและมักจะส่งโปสการ์ดมาให้อย่างสม่ำเสมอแม้ว่าตอนนี้เทคโนโลยีจะก้าวไกลขนาดสามารถส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ได้แล้วก็ตาม
หวางซิงรับโปสการ์ดฉบับนั้นมาอ่านก่อนจะแย้มยิ้ม น้องชายของเขาท่าทางจะสุขสบายดีอยู่ที่นั่น
“จริงสิ แล้วคุณเซินล่ะครับ?” เขาเงยหน้าขึ้นมาถามหวางซานเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะเดินไปทำงานอื่น
“เห็นเข้าไปในห้องทำงาน คงจะกำลังนั่งจี้คุณฉู่อยู่ล่ะมั้ง?” หวางซานกล่างตอบ ตอนที่เซินเฟยกลับมาถึงบ้านหวางซิงก็ขอตัวออกไปทำธุระอื่น หวางซานเห็นเซินเฟยลากตัวฉู่เหวินจือเข้าไปในห้องทำงานด้วยกันทั้งที่อีกฝ่ายยังเดินกะเผลกจากบาดแผลที่สีข้าง แม้เขาจะรู้สึกสงสารฉู่เหวินจือแต่ก็ไม่อาจเข้าไปให้ความช่วยเหลือได้เนื่องจากโดยหน้าที่ของเขานั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานนอกบ้านแต่อย่างใด
“อาการคุณฉู่ดีขึ้นแล้วหรือครับ?” หวางซิงถามต่อ
“เดินได้แล้วก็น่าจะดีแล้วล่ะ หมอจ้าวเองก็บอกว่ากระสุนเข้าไม่ลึกเลยไม่ค่อยมีผลมากกับการทำงาน” ชายวัยกลางคนไหวไหล่
“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ทั้งสองคนคงจะอยู่ด้วยกันในห้องทำงานสินะครับ”
หวางซานพยักหน้าให้กับคำถาม หวางซิงจึงขอตัวไปหาเซินเฟย เพราะเขาไม่แน่ใจว่าหากให้เซินเฟยกับฉู่เหวินจืออยู่ด้วยกันตามลำพังจะสามารถอยู่ด้วยกันได้นานนัก บางที ฉู่เหวินจืออาจจะมีแผลเพิ่มก็ได้ แบบนั้นคงยิ่งแย่เพราะต้องพักรักษาต่ออีกนาน
หวางซิงเคาะประตูตามมารยาทก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
ภาพที่เขาเห็นทำให้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ฉู่เหวินจือนั่งอยู่ที่โต๊ะโดยมีหมอนใบหนึ่งกั้นระหว่างแผ่นหลังกับพนักพิงทำให้ไม่ต้องเกร็งแผลมากนัก ด้านหน้าเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่ซื้อมาตอนเข้างานซึ่งเจ้าตัวกำลังนั่งพิมพ์ไปฮัมเพลงไปอย่างอารมณ์ดี ข้างตัว เซินเฟยกำลังนั่งไขว่ห้างกอดอกควบคุมการทำงานด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่มีร่องรอยของความอารมณ์เสียปรากฏออกมาแม้ว่าอีกฝ่ายจะฮัมเพลงอยู่ก็ตาม
เซินเฟยหันมาทางประตูเมื่อหวางซิงเอาแต่ยืนเฉยอยู่ตรงนั้น
“กลับมาแล้วหรือ?”
“เอ่อ....ครับ.....” หวางซิงปิดประตูลงแล้วเดินเข้ามา “วันนี้อาซิ่วส่งโปสการ์ดมา”
“ผมเห็นแล้ว เขาส่งมาให้ผมแยกฉบับหนึ่ง” เซินเฟยตอบแล้วหันกลับมามองฉู่เหวินจือที่ทำท่าเหมือนจะอู้งาน “จะให้ฉันถองแผลนายสักทีไหม?”
“ไม่ล่ะครับ” ฉู่เหวินจือหัวเราะแล้วรีบหันกลับไปทำต่อ
“คุณฉู่ยังไม่หายดี ให้ทำงานอย่างนี้จะดีหรือครับ?”
“แค่แผลที่ท้องทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้” เซินเฟยไม่เคยมีการอะลุ่มอะล่วยให้คนที่ยังไม่เคยแสดงออกว่าสมควรอะลุ่มอะล่วย และในสายตาของเขา ฉู่เหวินจือยังไม่ได้แสดงว่ามีประโยชน์สักเท่าไหร่และบาดแผลก็ไม่ได้หนักหนาสาหัส ดังนั้นเรื่องจะให้หยุดงานก็ลืมไปได้เลย
“แผลที่ท้องแต่ผมก็เจ็บนะครับ” ฉู่เหวินจือทำออดอ้อน
“ว่าแต่....ทำอะไรอยู่น่ะครับ?” หวางซิงรีบเข้าห้ามทัพเมื่อเซินเฟยเริ่มทำท่าเหมือนพร้อมจะอัดคนป่วยได้ทุกเมื่อ
“หารายชื่อคน” เซินเฟยตอบก่อนจะลุกขึ้น “ใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเฉียนหยุน ถึงมู่อี้จิงจะไม่ช่วยผมก็มีวิธีของผมเอง”
หวางซิงเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังของเซินเฟยแล้วก็ยิ่งไม่กล้าสารภาพความจริง แต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ก่อนจะเป็นจูเชว่เสียอีก เซินเฟยมักจะคร่ำเคร่งกับงานเสมอจนแทบจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าตัวเลย ยิ่งตอนนี้ เซินเฟยกำลังโกรธมู่อี้จิงเอามาก ๆ ถึงมู่อี้จิงจะยอมช่วยเหลือแต่เขาก็ไม่อาจเปิดเผยได้ หวางซิงรู้สึกหนักใจอย่างมากไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรให้เซินเฟยยอมรับความช่วยเหลือจากมู่อี้จิงอย่างละมุนละม่อม
“คุณเซิน....ผมคิดว่า....”
“อะไรหรือ?”