บทที่ 2
เสียงจอกแจกจอแจของทั้งจากคน จากรถยนต์ริมถนน หรือแม้กระทั่งเสียงตะโกนบอกออเดอร์ของร้านอาหารริมทางก็ปนเปกันไปจนฟังไม่ได้ศัพท์....นี่แหละบรรยากาศการกินอาหารริมถนนที่สามัญชนคนทั่วไปอย่างเราๆคุ้นเคยกัน
...หืม จะถามว่าแล้วผมมาทำอะไรที่นี่น่ะเหรอ?
ง่ายๆครับ ท่านประธานบริษัทอยากกินอะไร ที่ไหนก็ตามใจท่านครับ....และเผอิญท่านเป็นคนติดดิน ชอบกินอะไรง่ายๆก็เลยพามากินร้านริมถนนนี่แหละ
“อร่อยไหม?”คุณอาร์มในชุดลำลองเสื้อยืด กางเกงสามส่วนเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปถาม หลังจากที่ผมตักชิมต้มยำทะเลที่มันแนะนำว่าอร่อยนักอร่อยหนาไปคำนึง
“อืม”ผมก็ตอบสั้นๆ อารามขี้เกียจพูด...ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว จะกินที่ไหนก็ไม่สำคัญ ขอแค่รสชาติไม่ถึงกับรับประทานไม่ลงก็พอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าร้านที่มันแนะนำนี่อร่อยจริง ราคาไม่แพงด้วย
“ดีจัง งั้นคราวหน้ามากินกันอีกนะ ถ้าเบื่อไปร้านอื่นก็ได้ มีแนะนำอีกเพียบ”...นี่ก็เอาอกเอาใจผมจริง...
“ใครจะไปกับคุณ อย่ามาโมเม ทึกทักเอาเอง”จัดไปหนึ่งดอกครับ... แต่ต่อให้ผมพูดจาทำร้ายจิตใจมันเท่าไหร่มันก็ไม่สะเทือนหรอกครับ มียิ้มตอบกลับมาตลอด
“เปล่าทึกทักนะ แต่ผมคิดว่าคุณต้องมากับผมแน่ๆ ต่อให้ไม่มา ผมก็ต้องทำให้คุณมากับผมให้ได้”มันเท้าคางยิ้มตอบผม ไอ้เผด็จการเอ๊ย...
“ถามความสมัครใจผมหน่อยไหมครับ?”ถ้าไม่ติดว่าต้มยำทะเลชามนี้รสชาติอร่อยถูกปากผม ไม่แน่ว่าผมอาจจะเอาสาดหน้าไอ้คนตรงหน้าให้ได้แสบๆคันๆบ้างแล้วล่ะนะ...
“เพราะผมรู้คำตอบของคุณอยู่แล้วไง ผมถึงไม่ถาม”มือมันถือช้อนอยู่อย่างนั้นไม่ตักอะไรเข้าปากสักที อยากถามชิบหายว่า มองหน้าผมอยู่อย่างนี้แล้วมันจะอิ่มเหรอ? แต่ก็ไม่ถามดีกว่า กลัวจะได้รับคำตอบเกินความคาดหมายแล้วผมจะติดสตั๊นน่ะสิ.....
“รู้ว่าอะไร?...รู้ว่าผมไม่มีทางไปกับคุณอยู่แล้วล่ะสิ เออดี เข้าใจอะไรง่ายดีนี่”ผมก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว มันไม่กินช่างมัน กระเพาะไม่ได้ติดกันสักหน่อย
“เปล่า ผมรู้ว่าคุณต้องเซย์เยสอยู่แล้วล่ะครับ คุณคงไม่ใจร้ายกับผู้ชายตาดำๆคนนี้หรอก ใช่ไหมครับ?”...แค่ก...จะสำลักต้มยำทะเลตายก็วันนี้แหละครับ...
“มั่นใจตัวเองจังนะ”...อีกนัยนึงคือ ด้านดีจังนะครับ...
“ไม่มั่นใจ พอร์ชจะมาอยู่ตรงหน้านี้เหรอครับ?”....ผมพูดไปรอบที่ร้อยล้านแล้วมั้งเนี่ยว่า โคตรขนลุกกับคำหวานของมันสุดขั้วหัวใจเลย...
“ถ้าคุณยังอยากมีชีวิตกินข้าวต่อไป ก็เงียบสักทีนะครับ ก่อนที่ผมจะเดินไปยืมหม้อไฟโต๊ะข้างๆมาคว่ำใส่หัวคุณ”ผมเก๊กหน้าโหดหันไปมองหม้อไฟที่กำลังเดือดปุดๆของโต๊ะข้างๆเป็นการขู่
“อุ้ย...พอร์ชนี่ดุดีจังเลย...กินก็กินครับ”มีที่ไหนไม่กลัว แล้วยังหัวเราะกับท่าทางของผมอีกต่างหาก
“เออ กินแล้วก็เงียบไปเลย”พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนที่ผมจะได้นั่งกินข้าวอย่างสงบๆสักที ถ้าชีวิตจริงเป็นเกมส์ ค่าความสนิทที่มันมีต่อผมคงขึ้นมาทีละนิด ทีละนิดแล้วล่ะมั้ง...ผมก็แค่รอให้มันเพิ่มขึ้นในระดับที่ผมพอจะสามารถแกล้งเล่นละครเป็นเพื่อนสนิทกับมันได้
...ถ้ามันอยากได้เพื่อนสนิทผมก็ไม่ขัดอ่ะนะ แต่ถ้าอยากได้คำอื่นผมคงต้องขอคิดดูอีกที
อาจจะมองว่าผมโหดร้าย ที่ทำให้คนอื่นเชื่อใจแล้วก็หักหลังเอาดื้อๆ แต่มันก็เป็นงานของผม แม้ผมจะไม่ชอบเล่นละครเจ้าบทบาท แต่ก็ยังต้องทำ แต่ถึงยังไงที่ผ่านมา ผมก็ไม่เคยถลำลึก หรือเล่นเกินบทบาทเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะผมคิดเสมอว่า คนที่เข้ามาตีสนิทกับผมยังไงๆก็เป็นคนอื่น ไม่เคยอยู่ในรายชื่อคนสนิทเลย ฟังดูใจร้ายนะ แต่ทำไงได้ล่ะ
งานที่ผ่านๆมาผมก็พยายามไม่ไปตีสนิทกับใคร ไม่สร้างความผูกพันกับใคร ไม่ต้องมีความรู้สึกเจ็บปวดต่อกัน ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนเข้ามาหาผมอยู่เรื่อย พอผมหนีหายไปก็ผูกใจเจ็บอยู่อย่างนั้น
คนอื่นๆที่ทำอาชีพเดียวกับผมจะใช้วิธีสืบหาข้อมูลลับมายังไงก็เถอะ แต่วิธีที่ผมใช้คือการคลุกวงใน ฟังดูเสียเวลา แต่ก็ได้ข้อมูลจริงมาแน่นอน เหมือนที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้...
“พอร์ช พอร์ช? เป็นอะไร อยู่ๆก็เหม่อ”รู้ตัวอีกทีมือไอ้อาร์มก็มาเขย่าไหล่ผมแล้ว....ให้ตาย นี่ผมเหม่อได้ยังไงวะ? การเหม่อนี่มันสัญญาณอันตรายชัดๆ
“เปล่านี่ครับ ไม่ต้องสนใจผมหรอก”ผมบอกปัดแล้วกินข้าวให้มันหมดๆไปสักที
“น้องครับ เก็บเงินด้วยครับ”ผมเรียกเด็กเสิร์ฟมาเก็บเงินทันทีที่กินหมด ไม่รอ แล้วก็ไม่สนด้วยว่าอีกคนจะกินอิ่มหรือยัง เพราะยังไงก็ไม่เกี่ยวกับผมอยู่ดี
“เอ๊~เดี๋ยวสิครับ ผมยังกินไม่หมดเลยนะ~”เสียงประท้วงดังมาจากคนนั่งฝั่งตรงข้ามผมที่ยังเคี้ยวข้าวตุ่ยๆอยู่เลย
“ไม่ต้องมาบ่นเลยนะคุณ ทีตอนให้กินล่ะไม่กิน”ผมบอกตามความจริงก็ได้รับเสียงบ่นงุ้งงิ้งกลับมา แต่ใครสนล่ะ?
“น้องครับ ทั้งหมดนี่เท่าไหร่ครับ?”ผมควักกระเป๋าตังค์ออกมาเตรียมจ่ายแล้ว
“120บาทครับพี่”เด็กชายอายุน่าจะประมาณสิบกว่าๆเดินมาเก็บเงิน ดูๆแล้วน่าจะเป็นลูกชายของเฮียร้านอาหารร้านนี้ล่ะมั้งนะ
“เอาไป200แถมทิปให้ด้วย เก็บไว้เป็นค่าขนมนะครับ”ผมยื่นแบงก์แดงให้สองใบให้น้องเก็บเอาส่วนที่เหลือไว้เป็นค่าขนม เด็กที่ช่วยพ่อแม่ทำงานแบบนี้ผมชอบครับ มากกว่านี้ผมก็ให้ได้ ผมมั่นใจว่าเงินเก็บของผมมีพอๆกับไอ้ประธานบริษัทตรงหน้านี่อยู่แล้ว
“ขอบคุณครับ ไว้คราวหน้ามาอุดหนุนใหม่นะครับ”รับเงินไปแล้วน้องเขาก็ยกมือไหว้สวยๆหนึ่งทีพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ ก่อนจะเดินไปรับออเดอร์โต๊ะต่อไป
“โหย นี่ผมพาคุณมาเลี้ยงนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร...ขอตัว”ผมลุกขึ้นพร้อมจะเดินจากไปทุกเมื่อ แต่ไอ้มือที่รั้งแขนผมอยู่เนี่ย มันกำลังทำให้ผมไปไหนไม่ได้
“นี่คุณจะทิ้งผมไปไหน อย่าทิ้งผมอย่างนี้สิครับ ไม่ชอบใจอะไรผม เราน่าจะคุยกันดีๆก็ได้นี่ครับ ไม่เอานะครับ อย่าทิ้งผมไปดื้อๆแบบนี้สิครับ
ที่รัก”.....ไอ้***นี่กำลังแกล้งกอดแขน แอคติ้งเป็นแฟนที่กำลังโดนผมทิ้งเฉยเลย...!!!
“......นี่คุณ...ปล่อย คนเค้ามองใหญ่แล้วนะ”เห็นอย่างนี้ผมก็หน้าบางนะครับ...คนที่นั่งใกล้โต๊ะผมก็เริ่มหันมามอง ซุบซิบอะไรก็ไม่รู้ โดยเฉพาะไอ้โต๊ะข้างๆนี่แหละ ที่เริ่มไม่สนใจหม้อไฟ แล้วหันมามองพวกผมแทน ผมจะหันไปถลึงตาใส่ก็อับอายเกินกว่าจะทำได้ แม่งจะกินก็กินกันไปสิวะ มายุ่งเรื่องอะไรคนอื่นเค้า
“มองก็มองไปสิ ผมไม่สน หรือคุณสน ....ไม่สิ...แม้แต่ผม คุณยังไม่สนเลย นับประสาอะไรกับคนอื่นล่ะ”ว่าผมแสดงบทบาทหลอกลวงชาวบ้านมานักต่อนักแล้ว เจอไอ้นี่เข้าไปผมนี่ชิดซ้ายไปเลย....ก็ดูมันพูดตัดพ้อเข้าสิ ออสการ์ยังอาย....เอารางวัลตอแหลอวอร์ดไปครองเลยมึง
...อืม แล้วก็ต้องขอโทษด้วยครับ ที่มีภาษาพ่อขุนรามฯหลุดออกมาให้ได้เห็นกัน...
แบบว่าโดนเล่นนอกแผนทีไร หลุดคำหยาบทุกที โปรดอย่าถือสากันเลย...
เอาจริงๆ ตัวผมก็ไม่ใช่คนจำพวกใช้ภาษาดอกไม้เป็นนิจหรอก...แต่ก็ด้วยหน้าที่ บทบาท ก็ต้องพับภาษาแสดงความเป็นตัวตนลงไปให้มิด ถึงบางทีผมจะยังเก็บให้มิดไม่อยู่ก็เถอะ
“โอ๊ย....แม่งเอ๊ย นี่คุณต้องการอะไรวะ? มาเซ้าซี้เอาอะไรจากผมเนี่ย???”ผมเริ่มรำคาญเลยเหวี่ยงไปสักดอก
“เอาความรักจากคุณไงครับ...อ่ะๆ...อย่าทำหน้าเหมือนอยากยิงผมทิ้งอย่างนั้นสิ.... ผมแค่อยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผมเท่านั้นเอง เดี๋ยวผมจะได้พาไปกินของหวานอร่อยๆด้วยไง....แต่ถ้ายังยืนกรานไม่ไปกับผม...มากกว่าเมื่อกี้ผมก็ทำได้นะครับ”....แม่งขู่ผมเฉยเลย แถมดึงผมเข้าไปใกล้เพื่อเป็นการบอกว่าไอ้มากกว่าเมื่อกี้มันคืออะไร
“....อย่ามาขู่ผมนะ”บ่นไปงั้นแต่ผมก็ยอมลงไปนั่งข้างๆมันอยู่ดี ก็ผมกลัวไอ้‘มากกว่าเมื่อกี้’ของมันน่ะสิ
“ผมก็แค่อยากอยู่กับคุณนานๆ รอหน่อยนะครับ อีก4-5คำก็หมดแล้ว”มันบอกด้วยประโยคชวนหวานเลี่ยนสำหรับผม....
“เออ...เร็วๆเลย ถ้ายังไม่หมดผมจะได้จับกรอกปากคุณ ให้กินให้หมดภายใน 10 วินาทีเลย”หันไปมองโต๊ะรอบข้าง...เออดี เลิกสนใจพวกผมไปแล้ว ถึงจะยังมีแอบๆเหลือบมองอยู่เป็นระยะก็เถอะ
“หึหึหึ...ครับ”ผมล่ะเกลียดเสียงหัวเราะของมันชิบหาย...หัวเราะเหมือนว่ามันมีอำนาจเหนือผมอย่างนั้นแหละ
“รีบๆกินไปเลย”ทำอะไรไม่ได้ผมก็ได้แต่พูดเร่งมัน แต่ถึงผมจะมองกดดันยังไงมันก็ไม่เคยสะท้าน ทำอะไรๆมันก็ไม่สะท้าน บอกเลยว่าที่ผ่านมาผมไม่เคยเจอใครหนาได้สักครึ่งหนึ่งของมันเลยสักคน...
“โอเคครับ หมดแล้ว...เดี๋ยวพาไปกินของหวาน”กินข้าว กินน้ำเสร็จแล้วมันก็ถือวิสาสะจับมือ ลากผมออกไปจากร้าน ผ่านแผงร้านค้าสารพัด
“นี่คุณ ผมไม่ใช่เด็ก ไม่ต้องจูงมือ ผมไม่หายไปไหนหรอก”
“รู้ว่าไม่ใช่เด็ก แต่ผมกลัวคุณจะหนีผมไปอีกน่ะครับ”มันยิ้มซื่อ กระชับมือผมแน่นกะไม่ให้หนีไปไหนได้เลย
“ผมไม่ชอบ”ไม่ชอบให้ใครที่ไหนไม่รู้จักดีมาถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้...มาจับแบบนี้ผมไม่ชอบจริงๆ
“....ไม่ชอบก็ไม่ชอบ...แต่อย่าเพิ่งอารมณ์เสียเลยนะครับ”เหมือนรู้ว่าผมกำลังหงุดหงิดสุดๆ มันเลยยอมปล่อยมือผม พูดด้วยโทนเสียงอ่อนโยนเป็นพระเอกหนัง แต่ไม่มีความรู้สึกว่ามันดัดจริตเลยสักนิด
....ขนลุกจริงๆนะ สะท้านทั้งตัวเลยเมื่อกี้...
“รู้ก็ดี”
แล้วหลังจากโดนลากไปกินขนมหวานตามที่ว่า มันก็กลับห้องไป ต่างคนต่างอยู่เหมือนเดิม ถึงไอ้คุณอาร์มจะเซ้าซี้จะมาอยู่ห้องผมก็เถอะ
ก็ถือว่าแผนการกำลังเริ่มต้นไปได้ด้วยดี ขั้นต่อไปจับมอมเหล้าดีไหมนะ?
แต่...ผมเห็นคนเสียความบริสุทธิ์ด้วยวิธีการที่ผมว่ามาหลายกรณีแล้ว...ดังนั้นไม่ขอเสี่ยงจะดีกว่า...ถึงผมจะไม่แคร์เรื่องความบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์นี่ก็เถอะ แต่ก็ไม่อยากเปลืองตัวเพื่องานๆเดียวหรอกนะครับ
อืม...คิดเยอะแล้วปวดหัว นอนเถอะ...
เช้าวันต่อมาก็น่าแปลกใจที่ไม่เจอคนข้างห้องมารบกวนแต่อย่างใด
ขับรถออกมาสู่ถนนใหญ่ รถหลากยี่ห้อ ต่างคนขับ วิ่งกันขวักไขว่เหมือนทุกวัน ผมขับเรื่อยๆไม่รีบร้อน เพราะผมตื่นก่อนเวลางานเกือบสองชั่วโมง เพื่อจะได้นั่งทำอะไรชิวๆ ไม่ต้องเจอมหกรรมรถติด ไม่ต้องเร่งรีบ ตาลีตาเหลือกเหมือนใครหลายๆคน
ความจริงก็ไม่จำเป็นหรอกที่ผมต้องตื่นมาทำตัวเป็นพนักงานดีเด่น แต่เหตุผลง่ายๆที่ทำให้ผมต้องทำตามคือ...การซื้อใจท่านประธานบริษัทด้วยการ ตีสนิทซื้อมื้อเช้าไปฝากก็เท่านั้น
ซึ่งมื้อเช้าที่ว่าก็อยู่ในมือผมแล้ว ปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้สามชุด แต่ถ้ามันไม่อยู่บริษัทก็ช่างมัน ผมเอาไปตีซี้กับคุณเลขาก็ได้...อีกชุดก็เอาไปฝากเพื่อนพนักงานร่วมบริษัทก็ยังได้
“สวัสดีครับพี่หลิง คุณอ...คุณวัชระอยู่ไหมครับ?”ผมเดินมาถึงห้องท่านประธานเห็นพี่เลขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ผมเลยเข้าไปยกมือไหว้ทักทาย
“อยู่จ้า แหม คุยกับพี่ไม่ต้องพิธีมากก็ได้น้องพอร์ช แล้วนี่มีอะไรคะ?เรื่องภายในหรือเรื่องภายนอกเอ่ย?”คุณพี่เลขาตอบกลับมาอย่างมีอัธยาศัยใบหน้ายิ้มแย้มรับแขกตลอด
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่จะมาคุยกับคุณอาร์มเฉยๆ เอาน้ำเต้าหู้มาฝากพี่หลิงด้วย เผื่อเวลาหิวๆน่ะครับ”ผมก็ตอบด้วยรอยยิ้มอย่างคนมีอัธยาศัยดีกลับไป มือก็ยัดเยียดไอ้ถุงร้อนๆในมือให้คุณพี่เขาไป เป็นเหมือนสินบนเล็กๆ
“อุ๊ย ขอบใจจ้ะ แต่คราวหน้าไม่ต้องก็ได้นะลูก ...อ้อๆ แล้วก็จะเข้าไปหาคุณอาร์มก็เปิดประตูเข้าไปเลยจ้า ถ้าเค้ารู้ว่าคนที่เปิดเข้าไปเป็นน้องพอร์ชนะ เค้าก็พร้อมเปิดต้อนรับทุกเวลาแหละจ้ะ ฮิฮิ”คุณพี่เลขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เพราะรู้ว่าไอ้ประธานบริษัทนี่ตามม่อผมได้ทุกวันไม่มีวันหยุดจริงๆ แถมเชียร์ให้ผมคู่กับคุณบอสของเธออีกต่างหาก...เอาเข้าไป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ถึงจะรู้ว่ายังไงๆมันก็ต้องอนุญาตให้ผมเข้าไปแน่นอน แต่ด้วยความมีมารยาท ไม่อยากโดนด่าว่าไม่มีใครสั่งสอน และไม่ต้องเกรงกลัวว่าเปิดเข้าไปแล้วจะเจอภาพที่เห็นแล้วเสียสายตา ผมเลยเคาะประตูไปสองสามทีพอเป็นพิธี
“ขออนุญาตครับ”พอเห็นว่าผมเป็นคนเปิดประตูเข้ามาเท่านั้นแหละไอ้หล่อก็ทำหน้าแปลกใจทันที ก็ร้อยวันพันปีผมก็ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เขาเห็นถ้าไม่มีอีเวนท์อะไรนี่ครับ
“มีอะไรเหรอครับ...หรือว่า....คิดถึง?” ไม่ต้องมายิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยใส่กูครับ....บอกรอบที่ล้านแล้วว่าขนลุก
“อ๋อ...ไม่มีอะไรครับ แค่แวะมาดูว่ายังไม่ถูกใครฆ่าตัดหน้าไปก่อนเท่านั้นแหละครับ”รู้สึกหมั่นไส้ผมเลยประชด ทำท่าจะเดินออกไป
“เดี๋ยวๆๆ ผมก็แค่หยอกเล่นน่า...อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ”มันแทบจะลุกเดินตามผมทันทีที่เห็นว่าผมกำลังเดินออกไป
“ผมเอาน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาฝาก กินได้หรือเปล่าล่ะครับ?”ผมเกือบจะโยนถุงในมือลงบนโต๊ะแล้ว ถ้าไม่ติดว่ามีเอกสารพันล้านวางอยู่ ผมคงทำไปแล้ว ก็ถ้าเกิดบังเอิญ ถุงมันดันแตกกระจายคาโต๊ะ กลายเป็นผลงานศิลปะ 3 มิติ สุดแสนมโหฬาร อลังการ ตระการตาขึ้นมา คนรับผิดชอบคือใครล่ะ? ถ้าไม่ใช่ผม ...เลยเดินเอาไปให้กับมือตามที่สามัญชนคนทั่วไปเขาทำกัน
“กินได้สิ ขอบคุณนะ ...ว่าแต่นึกอะไรถึงเอามาให้ล่ะเนี่ย?”มือรับไปแต่ไม่ยอมปล่อยมือผมสักที มียิ้มท่าทางมีความสุขอีก...น่าถีบตกเก้าอี้เป็นบ้าเลย...
“ตอบแทนที่เมื่อวานพาไปกินของอร่อยๆไง... ตกลงจะเอาไม่เอา ลีลาชิบ”ผมเห็นรอยยิ้มอย่างเป็นต่อแล้วก็หงุดหงิดยังไงไม่รู้สิ
“เอาสิครับ อารมณ์ขึ้นง่ายจังเลย แฟนใครเนี่ย?”...แฟนป้ามึงมั้งครับ... นี่ผมเกือบสวนกลับไปทันทีแล้วนะ
“ถามผมแล้วผมจะไปรู้กับคุณไหม เชิญกินไปคนเดียวเลยละกันนะครับ ผมขอตัว คุยกับคุณมากๆผมกลัวต่อมโมโหทำงาน พลั้งมือทำท่านประธานบริษัทดับอนาถคาห้องทำงานน่ะครับ”พอจะเดินออกไปมือจากคนเดิมก็รั้งผมไว้อีกครั้ง
“โหย...บอกแล้วไงครับว่าหยอกเล่น...ถึงจะอยากให้เป็นจริงส่วนหนึ่งก็เหอะ แต่ว่า อย่าเพิ่งไปสิ นั่งกินด้วยกันนี่แหละ”ขอให้ได้หยอดผมสักนิดนึงมันก็เอา ไม่วายลากผมไปกินที่โซฟาอีกต่างหาก...หมายถึงไปกินมื้อเช้าน่ะครับ
“แล้วคุณกินข้าวเช้ามาหรือยังล่ะ? ถ้ากินมาแล้วเก็บไว้กินตอนหิวๆก็ได้ เดี๋ยวจุกตายจะมาโทษผมอีก”ผมเดินไปหยิบแก้วน้ำที่มีสองแก้วพอดิบพอดีมาบริการถึงที่
“ยังครับ แบบว่ามีจิตสัมผัสรู้ว่าคนใจดีแถวนี้จะเอามาฝาก”ยิ้มเข้าไปหน้าจะบานกระด้งแล้วนั่น...
“เอาดีๆ”ผมเทน้ำเต้าหู้กลิ่นหอมกรุ่นใส่แก้วสองใบ อย่างที่คิดเลยถุงเดียวได้สองแก้วเลยแฮะ....
“ก็ไม่อะไรหรอก...แต่ไม่ชอบกินมื้อเช้าน่ะ ปกติก็กินแต่กาแฟ”มันสาธยายไปผมก็มองหาถังขยะไป และดูเหมือนมันจะรู้จุดประสงค์ของผมเลยช่วยหยิบถุงพลาสติกไปทิ้งให้
“ไม่กินแล้วจะเอาแรงที่ไหนมาทำงาน”
“เป็นห่วงเหรอ?”เห็นมันยิ้มจนผมขี้เกียจบ่น...เมินๆไปซะบ้างชีวิตคงจะมีความสุขกว่า
“เปล่า”ขี้เกียจเถียงผมเลยตอบสั้นๆแทน...อย่างที่ทุกคนเห็นนั่นแหละคือยิ่งผมขี้เกียจเถียง หรือรำคาญอะไรมากๆผมก็จะพูดน้อยลง จนบางทีก็ถึงขั้นไม่พูดเลยก็มี อย่างเช่นเมื่อวานเป็นต้น
“ยังไงก็ขอบคุณนะที่...คิดถึงกัน”...ตำแหน่งหนุ่มปากหวานแห่งปีผมขอยกให้มันครับ... ขนลุกจริงจัง...
“ที่ชอบพูดอะไรเลี่ยนๆนี่ เป็นความเคยชินของคุณหรือไง?”ผมปรับอารมณ์ให้กลับมานิ่งๆ ช่วงนี้เป็นอะไรไม่รู้อารมณ์แปรปรวนเป็นผู้หญิงประจำเดือนมาไปได้
“ปกติผมก็ไม่พูดอย่างนี้นะ เป็นกับคุณคนเดียว... เห็นชอบหัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดนั้นผมเลย ...อยากแกล้ง แต่เอาจริงๆก็อยากลองพูดอะไรแบบนี้กับคนที่ชอบดูบ้าง”พูดซะยาวเหยียดแต่ก็ต้องมาสะดุดกับประโยคสุดท้ายอีก
“คนที่ชอบนี่คุณหมายถึง?”ผมกำลังกินน้ำเต้าหู้อยู่ถ้าคำตอบของมันทำผมพุ่งนะ จะพุ่งใส่หน้าเลย....
“....คุณไง ผมก็จีบคุณอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอครับ? ที่จีบก็เพราะชอบ แล้วเพราะชอบก็เลยจีบ สมการเอ เท่ากับ บี แล้วบี เท่ากับ เอไงครับ ออกจะเป็นเหตุเป็นผลกันชัดเจนขนาดนี้”...โอเค ชัดเจน ไม่ต้องถามอะไรอีก จิบน้ำเต้าหู้ไปเงียบๆก็พอ
“ชอบผมได้ไง? เดินมาเจอกันที่บริษัทครั้งแรกก็สปาร์คติดเลยหรือไง?”พูดมานี่แอบประชดนิดๆนะครับ...
“นานกว่านั้นครับ...ผมชอบมานานมากกว่านั้นครับ”เห็นพูดปาวๆแบบนี้ แต่ปาท่องโก๋มันหมดไปแล้วครับ ในขณะที่ผมยังไม่พร่องไปเลย มัวแต่ละเลียดกิน
“ตอนไหน? ก่อนเข้าบริษัท? หรือตอนเรียน?”คนมันสงสัย ขอซักหน่อยแล้วกัน ระหว่างนี้เรื่องล้วงข้อมูลยังไม่ต้องเร่งรีบ ทำตัวเอื่อยๆได้ตามสบาย
“ก็ไม่รู้สิครับ อยากรู้ก็ลองรักดูสิ”มันทำหน้าไม่รู้สินะ ยักคิ้วหลิ่วตาใส่....พอ...เลิกพูดกับมัน
“.......”ผมงี้จุดจุดจุดเลยทีเดียว.... อยากรีบกินให้มันหมดๆแล้วออกไปจากห้องสักที
“ไม่ต้องรีบกินขนาดนั้นก็ได้ ยังเหลือเวลาอีกตั้งนานกว่าจะเข้างาน”
“ผมแค่ไม่อยากรบกวนเวลาอันมีค่าของคุณน่ะครับ”พูดไปมือก็จ้วงปาท่องโก๋เข้าปากไป ยิ้มหวานใส่แบบประชดๆ
“เวลาที่ผมอยู่กับคุณมีค่าที่สุดครับ”...ใครอยากได้พรีเซนเตอร์โฆษณาหรือพระเอกละครหน้าหล่อ เสียงหล่อ มาช้อนเอาคนตรงหน้าผมไปได้เลยครับ พูดเหมือนหลุดมาจากจอทีวีอย่างนั้นแหละ
“หยุดพูดชวนให้ผมขย้อนของเก่าเถอะครับ”รู้สึกกลืนน้ำเต้าหู้ไม่ค่อยลงเลยแฮะ....
“ไม่รู้สิครับ แต่พอพูดกับคุณแล้วมันก็ตอบสนองไปเองอ่ะ”ทำแอ๊บเสียงไม่รู้ไม่ชี้ใส่อีก
“กินหมดแล้ว ผมขอตัว”ผมเอาจานวางซ้อนกันแล้วก็ลุกขึ้นเตรียมเดินออกไป....ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจานชามส่วนตัวของท่านประธานบริษัทนี่ต้องใช้ระบบ ใช้เองเก็บเองหรือมีแม่บ้านบริการให้ก็ไม่รู้
“นี่จะทิ้งกันเลยเหรอครับ....”ทำหน้าเป็นลูกหมาถูกทิ้งอีกแล้ว มีออพชั่นเป็นเสียงร้องหงิงๆนี่ใช่เลย...
“อ้าว แล้วจะให้ผมอยู่ทำอะไรล่ะ เล่นจ้องตากันหรือไง?”นี่ผมพูดจริงนะ ให้ผมอยู่ต่อแล้วจะให้ทำอะไรล่ะ นั่งต่อล้อต่อเถียงกันต่อเหรอ?
“อยากจ้องมากกว่าตาอ่ะ”
“...คุณวัชระ ผมพูดตรงๆเลยนะว่า ต่อให้จีบผมยังไง ผมก็ไม่รู้สึกอะไร....อย่าหาว่าผมใจร้ายเลยนะ แต่ไม่อยากให้คุณเสียเวลา เสียความรู้สึกเปล่าๆ พอเถอะครับ”ถึงผมจะเข้ามาเพื่อหวังหลอกเอาข้อมูลก็จริง แต่ผมก็อยากบอกให้อีกฝ่ายรู้ตั้งแต่เนิ่นๆจะได้ไม่ต้องเจ็บมาก...อย่างที่เขาว่ากันนั่นแหละ ยิ่งรักมาก เจ็บมาก ก็ยิ่งแค้นมาก มันจะทรมานกันเปล่าๆ
“แค่ที่คุณพูดแบบนี้ก็ถือว่าคุณใจดีมากแล้วล่ะครับ ถ้าใจร้ายจริงๆ เขาคงไม่มาพูดแบบนี้หรอก มีแต่จะให้ความหวังกันลมๆแล้งๆ แล้วก็หักอกกันดื้อๆมากกว่า”อาร์มยังคงยิ้มได้เหมือนเตรียมใจไว้นานแล้ว
“แต่ถึงคุณจะพูดยังไง ผมก็ยืนยันจะจีบคุณต่อไป...อย่างที่คุณบอก ผมไม่ได้เจอหน้าคุณแล้วสปาร์คติดเลยตั้งแต่วินาทีแรก สำหรับผมมันไม่ใช่ความหลง....มันคือ
รัก ผมอยากทำตามความรู้สึกของตัวเอง ไม่อยากนึกเสียดายที่ตัวเองมีโอกาสแล้วไม่ลงมือทำอะไรเลย....ปล่อยให้ผมจีบคุณต่อไปเถอะ”
“แต่ถ้าสุดท้ายแล้ว...ยังไงคุณก็ยังไม่ชอบผม ผมก็ยินดีจะปล่อยคุณไปครับ”เสียงพูดทั้งอ่อนโยนทั้งฟังดูเศร้า.... ที่ผ่านมาผมไม่เคยเจอใครพูดแบบนี้กับผมนะ สารพัดผู้คนที่ผมเจอมา มีแต่จะพูดเอาแต่ได้ คิดจะรั้งผมไว้อย่างเดียวจนอึดอัดไปหมด
แต่กับคนตรงหน้าผมนี่ เขากลับเลือกที่จะจับมือผมไว้หลวมๆ ยินดีที่จะปล่อยให้ผมสะบัดมือเขาทิ้งได้ทุกเมื่อ ไม่มีพันธะ ไม่มีการเหนี่ยวรั้งผมเอาไว้ แม้สุดท้ายเขาจะต้องเสียใจเอง
“แล้วถ้าไม่ลองดูจะรู้ได้ยังไง ผมคิดว่าผลลัพธ์มันไม่ได้มีทางเดียวเสมอไปนี่ครับ อย่างน้อยๆ ขอแค่ได้รักคุณผมก็มีความสุขแล้ว”
“ถ้างั้นก็ตามใจคุณ คุณพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะไปขัดคุณแล้วล่ะครับ”ในเมื่อมันพูดขนาดนี้ ผมจะวีน จะเหวี่ยงแบบไร้เหตุผลเป็นเด็กๆก็คงไม่แฟร์กับเขาสักเท่าไหร่
“ขอบคุณครับ”
“ว่าแต่คุณเถอะมาชอบผมได้ยังไง...ผมไม่เข้าใจคุณเลย”ผมลงนั่งข้างๆมันอีกครั้งหลังจากที่ยืนฟังมานาน ...แล้วนี่ผมมีอะไรดีตรงไหนเขาถึงได้มาชอบผมเนี่ย...
“ไม่รู้สิครับ ผมก็อธิบายไม่ถูกว่ารักได้ยังไง...ถ้าคุณลองได้รักใครสักคน คุณก็คงจะเข้าใจเอง... แต่ใครสักคนที่ว่านี่ต้องเป็นผมเท่านั้นนะ”เกือบจะซึ้งถ้าไม่มีประโยคสุดท้าย...
“ไหนบอกแค่ได้รักผมก็มีความสุขแล้วไง พูดแบบนี้เอามีดมาจี้คอผมเลยไหมครับคุณวัชระ”พูดแล้วผมก็อดเหน็บแนมไม่ได้
“ก็คุณเคยบอกว่าผมเผด็จการไม่ใช่เหรอ...แต่เอาน่า...ยังไงผมยังมีความเป็นประชาธิปไตยพอที่จะรับฟังความคิดเห็นของคุณอยู่นะ”รอยยิ้มกวนประสาทในสายตาผมกลับมาอีกครั้ง...เมื่อกี้มันยังเป็นพระเอกแสนดีอยู่เลย อยู่ดีๆก็พลิกบทบาทหน้ามือเป็นหลังตีนซะอย่างนั้น
“รับฟังแล้วก็ลงมือทำด้วยนะครับ อย่าฟังอย่างเดียว”
“ที่รักพูดอะไรผมก็ไม่ขัดอยู่แล้วครับ อยากได้อะไรสั่งมาเลยสามีทำให้ได้ทุกเรื่อง”
“กวนละ”พอผมบอกไปเท่านั้นมันก็หัวเราะออกมาเหมือนชอบใจ ยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ
“คุยกับคุณแล้วมีความสุขจัง”มันบอกด้วยรอยยิ้มเหมือนว่าเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก...นี่ผมไปทำอะไรให้มันเนี่ย? หรือในน้ำเต้าหู้ใส่กัญชาวะ? เออ...แต่ผมก็กินไปกับมันนี่หวา จะพูดทำไมเนี่ย...
“แต่เผอิญผมมีความทุกข์”พูดอีกมันก็ขำอีกมีความสุขเกินพิกัดจริงนะ หมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก
ก๊อก ก๊อก แอ๊ด... เสียงเคาะประตูเรียกให้ทั้งผม ทั้งไอ้อาร์มที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขตามที่มันว่า หันไปดูที่ต้นเสียงพร้อมๆกัน ปรากฏว่าเป็นพี่เลขาฯคนสวยนั่นเอง คุณพี่หลิงพอเห็นผมกับอาร์มนั่งกันอยู่สองคนก็เอามือปิดปากยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว ท่าทางมีความสุขไม่แพ้คุณบอสของพี่เขาเลย
“อุ๊ย พี่มาขัดจังหวะหนูๆหรือเปล่าเนี่ย?...ถึงไม่อยากจะขัดก็เถอะ แต่พี่จะมาเตือนว่าใกล้จะได้เวลางานแล้วนะคะ ....กลัวจะเพลินลืมเวลากัน ยังไงก็..ขอตัวนะคะ...เชิญกุ๊กกิ๊กกันต่อเถอะจ้ะ”พูดไปก็ไม่วายทิ้งท้ายด้วยการหัวเราะคิกคักเดินออกจากห้องไปด้วย
“งั้นผมคงต้องขอตัวไปจริงๆแล้วนะครับ”ผมดูนาฬิกาข้อมือแล้วก็ลุกขึ้น คราวนี้ไม่มีมือรั้งเอาไว้อีกเหมือนตอนแรก
“ครับ ตั้งใจทำงานนะครับ”
“บอกตัวเองเถอะครับ”ผมยิ้มตอบ ยิ้มแบบประชดนิดๆอ่ะนะ
“ผมจะถือว่าเมื่อกี้คุณให้กำลังใจผมทางอ้อมแล้วกัน แล้วก็...ถ้าตั้งใจทำงาน ไม่แน่ว่า โปรเจคหน้า ผมอาจให้คุณรับผิดชอบก็ได้นะ”แค่ได้ยินคำว่าโปรเจคหน้าจากปากมัน ผมก็แทบจะลืมทุกอย่าง จ้องไอ้อาร์มจนแทบทะลุ
“จริงเหรอครับ?...ว่าแต่ไม่ได้ให้เพราะความพิศวาสใช่ไหมเนี่ย?”ถึงจะดีใจ แต่ถ้าได้มาเพราะความพิศวาสผมก็ไม่ได้รู้สึกแฮปปี้เท่าไหร่หรอกนะครับ.... แต่ขอแค่ได้มาผมก็พอใจแล้ว อยากไปจากที่นี่จะแย่...
“ผมก็ดูจากผลงานก็เท่านั้นเอง ถ้าให้ด้วยความพิศวาส นอกจากคุณแล้วก็คงไม่มีใครได้ทำแล้วล่ะครับที่รัก”
“จะบอกผมว่ารักเดียวใจเดียว ไม่เอียงเอนหรือไงไม่ทราบครับ?”มันด้านมาผมก็ด้านกลับได้ เพื่อความเท่าเทียมกัน
“แหม...พูดมากๆผมก็เขินเป็นนะครับ แถมพูดมากๆเดี๋ยวคุณก็คงเบื่อ ไม่พูดแล้วครับ ไปทำงานเถอะ”ด้านมาตั้งนาน มาหน้าบางตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วครับมึง...
“เออ”ผมตอบรับคำเดียวแล้วก็เดินออกไป
“เดี๋ยว”....แม่งต้องมีเหตุผลพันล้านรั้งผมไว้ตลอด ไม่รั้งผมไว้มันจะตายไหมวะ....พอผมหันไปใช้สีหน้าแสดงคำถามว่ามีธุระอะไรอีกมันก็ยิ้ม
“ไม่มีจูบให้กำลังใจหน่อยเหรอ?”มันยิ้มๆยื่นหน้ามาให้
“จูบตีนผมสักนิดคงจะช่วยให้มีกำลังใจทำงานขึ้นเยอะนะครับ”ผมเหวี่ยงแล้วมันก็หัวเราะอีกครั้ง ถึงไม่อยากพูด แต่มันก็เป็นคนที่ยิ้มแล้วดูดีมากจริงๆ...ถึงจะดูกวนประสาทในบางสถานการณ์ก็เถอะ
“โอเคๆ ไม่แกล้งแล้ว ไปทำงานเถอะครับ ดุตลอดเลยนะ”พอผมทำท่าจะฟาดหน้าแข้งมันจริงๆ มันก็รีบปรามทันที แต่ก็ยังหัวเราะได้ตลอด
“ให้ไปได้จริงๆใช่ไหมครับ เรียกอีกทีเดี๋ยวให้จูบตีนจริงๆแล้วนะ”ผมเขย่าเท้ารอถีบจริงจัง...
“ครับ ไม่กวนแล้วครับ....ถ้าคิดถึงกันก็มาหาได้นะครับ จุ๊บ”ชั่วพริบตาแก้มผมก็ถูกขโมยจูบไปทีนึง
ขณะเดียวกันนั่นเอง ขาผมก็เตะเข้าที่น่องไอ้คนเล่นทีเผลอไปแรงๆโดยอัตโนมัติเช่นกัน...
มีเสียงโอดโอยดังตามมาติดๆ แต่ผมก็เดินออกมาจากห้องแล้ว
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
เอาไปสองตอนก่อนนะคะ อ่านแล้วยังไงก็ติชมกันได้ กำหนดว่าอาทิตย์นึงจะมาลงสักสองตอนค่ะ ฝากลูกชายสองคนนี้ด้วยนะคะ
ป.ล.อาทิตย์นี้จะเอามาให้อ่านก่อนห้าตอนนะคะ ถ้าชอบจะได้ไปต่อ ไม่ชอบก็รอติดตามเรื่องอื่นๆได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ:D