คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
บทที่ 62
คิดถึง
---------
พออาการตาบอดของรติถูกเปิดเผย ตรัสก็ไม่หาเรื่องทะเลาะอีก แม้เขาจะไม่ได้ใกล้ชิดอ้อล้อกับรติอย่างคู่สามีภรรยาที่รักกันหวานชื่น แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดอีกแล้ว หนำซ้ำยังดูแลอย่างดี จัดยาขนานเอกแห่งสกุลอหัสกรให้สามเวลา อาการไข้หวัดก็หายสนิท เมื่อหายไข้แล้ว อาการตาบอดก็หายเป็นปลิดทิ้งในวันถัดมา
กระนั้น ตรัสก็ยังตรวจอาการอย่างถ้วนถี่
“ไม่มีไข้แล้ว ชีพจรเป็นปกติ ขอข้าดูตาของเจ้า...มองตรงมาที่ข้า” ตรัสวางมือของภรรยาลงอย่างแผ่วเบา แล้วจับใบหน้าของรติให้มองตรงมาที่เขา จากนั้นจึงสำรวจทั้งตาดำตาขาว นัยน์ตามีแววจับจ้องแล้ว ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่มืดมัวอย่างคนตาบอด
“เจ้ามองเห็นอะไรบ้าง”
“เห็นทุกอย่าง” โดยเฉพาะใบหน้าของตรัสที่อยู่ตรงหน้า
“ชัดมากน้อยเพียงใด”
“ชัดมาก”
ตรัสพยักหน้ารับรู้ แต่เป็นฝ่ายเขาเองที่ไม่เอ่ยปากเกี่ยวกับบางสิ่งที่เขาจับได้จากการวัดชีพจรตอนที่รติมองไม่เห็น แต่วันนี้เมื่อรติมองเห็น เขาก็ไม่รู้ถึงสิ่งนั้นในร่างกายของรติอีก
ราวกับ ‘มัน’ สงบ
ไม่รู้สิ่งนั้นคืออะไร แต่ยามรติไม่สบายและมองไม่เห็น สิ่งนั้นในร่างกายของรติไม่สงบ ทว่าพอหายป่วย ร่างกายกลับมาแข็งแรง ตรัสก็ไม่สามารถรับรู้ได้อีก แสดงว่าความแข็งแรงของร่างกายมีผลต่อความปั่นป่วนของสิ่งดังกล่าว
ตรัสยังจ้องอีกฝ่ายนิ่ง และเพราะเป็นการจ้องในระยะใกล้ หัวใจของรติก็ชักเต้นถี่จนต้องหลบสายตา
“หลบตาข้าทำไม” ทั้งคำถามทั้งน้ำเสียงออกจะเข้มงวด เหมือนหมอผู้เคร่งครัด แต่หากรติหันมามอง จะพบว่าแท้จริงแล้ว ในดวงตาของตรัสกลับทอดแววเอ็นดูที่ได้เห็นปฏิกิริยาเขินอายและใบหูแดงก่ำของภรรยา
กี่วันแล้ว ที่พวกเขาไม่ได้ใกล้ชิดกัน กี่วันแล้วที่อคติและทิฐิทำให้ความสัมพันธ์สามีภรรยาห่างเหิน
“ก็...” รติไม่รู้จะอธิบายอย่างไร พวกเขาเป็นสามีภรรยาก็จริง แต่ก่อนหน้านี้มีแต่เมฆหมอกแห่งความโกรธเคืองจนเข้าหน้ากันไม่ติด พอวันนี้ อีกฝ่ายมาดูแลใกล้ชิด อีกทั้งให้เขามองลึกเข้าไปในดวงตา มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะ...เขิน
เขินสามีตัวเองแล้วผิดอะไรเล่า?!
“ก็อะไร” ตรัสปล่อยมือจากใบหน้าของภรรยา แต่ดวงตายังจับจ้อง ทันทีที่เขาปล่อย รติก็หันหน้าหนีไปทางอื่น
“ก็...ก่อนหน้านี้เรา...”
รติไม่รู้จะพูดอย่างไร ต้นเหตุของความบาดหมางระหว่างพวกเขา คือการไม่พูดคุยกัน แต่พูดไปแล้วก็ไม่ต่างจากการโยนความให้กันไปมา
รติไม่อยากให้พวกเขาทะเลาะกันอีกแล้ว
เมื่อฝ่ายภรรยาไม่พูด สามีจึงเอ่ยปากขึ้นมาเอง
“ข้าหึง”
เพียงเท่านั้น ฝ่ายภรรยาก็ถึงกับชะงัก หันมองอย่างงุนงงผสมตกตะลึง
“หึง? หึงใคร?”
ถูกย้อนถามกลับมาเช่นนี้ ตรัสก็นึกขุ่นเล็กน้อย ดูเอาเถอะ พูดถึงเพียงนี้ รติยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาหึงใคร
“จะหึงใคร ภรรยาของข้าสนิทสนมกับชายอื่นถึงเพียงนั้น พบกันแต่ละทีก็ยิ้มแย้มสดใส หัวร่อต่อกระซิก แล้วชายอื่นผู้นั้น ข้าก็เคยบอกแล้วว่าเขาปรารถนาในตัวเจ้า แต่เจ้าก็ยัง...” ตรัสพูดได้เพียงเท่านั้น รติก็ร้องถามสวนขึ้นมา
“ท่านหมายถึงอาจารย์ปราณหรือ”
“รอบกายเจ้านอกจากข้าก็มีอาจารย์คนนั้น...” พอพูดถึงชายผู้นั้น สีหน้าของตรัสก็คล้ายจะทะมึนขึ้นมาอีก รติกะพริบตาปริบๆ ตั้งสติอยู่อึดใจหนึ่งก็รีบร้องบอก
“อาจารย์ปราณไม่ได้ปรารถนาในตัวข้า!”
ตรัสเหลือบมอง ก่อนจะแย้ง “เขาเคยมองเจ้าในงานเลี้ยง”
“ไม่จริง! ข้ากับอาจารย์ปราณเป็นสหายกันเท่านั้น อาจารย์ปราณมีคนรักอยู่แล้ว”
คราวนี้ตรัสชะงัก มองคนพูดแล้วถามซ้ำ
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“อาจารย์ปราณมีคนรักแล้ว เขามักพูดบ่อยๆว่าเห็นท่านกับข้า...เอ่อ...แล้ว...แล้วก็อิจฉาที่พวกเรา...ปฏิบัติต่อกัน...อย่างเป็นธรรมชาติ เขาเคยให้ข้าสอน แต่ข้าสอนไม่เป็น เขาเองก็ทำไม่เป็น...”
ตรัสถึงกับพูดไม่ออก ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาหึงหวงคนรักของตนเองกับคนที่มีคนรักแล้วเช่นนั้นหรือ?
ชายหนุ่มใจหายจนโหวงเหวงไปทั้งอก ได้แต่ยกมือขึ้นลูบหน้า
“...นี่ข้า...หึงเจ้ากับคนที่มีคนรักแล้วอย่างนั้นหรือ” เขาครวญ
“...แล้วเพราะข้ามัวแต่หึงหวง ถึงไม่สังเกตสักนิดว่าเจ้า...” ยิ่งพูดมาถึงเรื่องนี้ คนเป็นหมอที่รักษาคนไข้มานับร้อยก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองช่างโง่เขลาเบาปัญญา ปล่อยให้รติทุกข์ทรมานเพราะความหึงหวงบังตาจนเขาไม่สังเกตถึงความผิดปกติของอีกฝ่าย
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองช่างไม่คู่ควรกับภรรยาเลยแม้แต่น้อย
“ตรัส...” รติเรียกชื่ออีกฝ่ายแผ่วเบา สีหน้าของตรัสในเวลานี้คล้ายคนสิ้นท่า หมดแล้วซึ่งความหยิ่งทะนง
“...ตรัส ไม่ใช่ความผิดท่านหรอก เพราะท่านไม่รู้ ท่านก็เลย...”
ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา สีหน้าของเขาเศร้าสลดอย่างคนรับผิด
“เพราะข้าโง่งม อีกทั้งยังเอาแต่ความคิดตนเป็นใหญ่ รสนาเคยเตือนให้ข้าพูด แต่ข้า...คิดว่าพวกเราเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูด แต่แล้วก็กลายเป็นข้าเองที่ไม่เข้าใจอะไรเลย...”
“...ขอโทษ รติ...ข้าขอโทษ”
“ข้าเองก็ผิดที่ไม่เคยรู้ว่าท่านรู้สึกเช่นไร ข้าก็ต้องขอโทษ”
ลงท้ายคำขอโทษด้วยรอยยิ้มจาง เป็นรอยยิ้มอ่อนหวานละมุนละไมที่ทำให้หัวใจของตรัสคล้ายได้รับน้ำจนชุ่มชื้น
...สิ่งใดหนอ ดลบรรดาลให้เขาได้ภรรยาอย่างรติ ทำให้ตรัส อหัสกรกลายเป็นชายผู้โชคดีถึงเพียงนี้...
เขาแนบฝ่ามือลงกับแก้มของภรรยา ลูบไล้แผ่วเบาอย่างอ่อนโยน ราวกับรับรู้ในบัดนี้แล้วว่าคนตรงหน้าคือแก้วมีค่าที่ต้องรักษาและทะนุถนอม
น้ำหนักของการลูบไล้ผิวบนใบหน้าและสายตาที่ทอดมองมานั้นชวนให้รติเขินซ่านไปทั้งอก สายตาของตรัสเทิดทูนและรักใคร่ อีกทั้งยัง...มีประกายของความคิดถึง
คนเป็นสามีภรรยาจะไม่รู้เชียวหรือว่าทั้งสายตา ทั้งสัมผัส...บอกอะไร...
...แต่...นี่เช้าแล้ว และถ้าพวกเขายังไม่ออกจากเรือน อาจมีคนสงสัย...
“อ...เอ่อ...ถ้า...ถ้าท่านตรวจเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปดูแลในครัว อ๊ะ!” ออกตัวหมายจะลงจากเตียง แต่ร่างถูกดึงกลับมานั่งทับตักคนที่นั่งอยู่ริมเตียง
คราวนี้ใกล้ยิ่งกว่าใกล้ ใกล้จนแผ่นอกแนบสนิทกั้นกลางเพียงอาภรณ์ ใกล้จนได้ยินสิ่งที่เต้นสะท้อนอยู่ใต้แผ่นอก
“วัดชีพจรด้วยวิธีเช่นนี้ก็น่าจะดี...” คนเป็นหมอเอ่ยแผ่ว ดวงตาทอดมองใบหน้าของภรรยาอย่างรักใคร่ ยิ่งได้รู้จากปากของรติว่าไม่เคยคิดเป็นอื่นกับชายใด เมฆหมอกใดๆก็ล้วนมลายไปจากใจทั้งสิ้น
อย่าว่าแต่รติมีปฏิกิริยากับการมองหน้ากันในระยะใกล้เลย ตรัสเองก็รู้สึกสุขล้นไปกับการได้พินิจพิเคราะห์ใบหน้าของภรรยาเช่นกัน
ทั้งๆที่ก็เห็นกันทุกวัน เห็นกันทุกคืน ตื่นมาก็เจอกัน ก่อนนอนก็เจอกัน แต่ก็ยัง...รู้สึกราวกับตกอยู่ใต้มนต์สะกดทุกครั้งที่ได้ทอดสายตามอง
เป็นมนต์สะกดที่เย็นตา เย็นใจ แต่บางทีก็ทำให้ร้อนรุ่มไปทั้งสรรพางค์กาย
เป็นมนต์สะกดที่ทำให้ใจสงบ แต่บางคราวก็ทำให้ใจเต้นถี่
ไม่รู้เจ้าของใบหน้าทำอย่างไร ถึงทำให้บุรุษผู้นิ่งเฉยเช่นตรัสรู้สึกถึงเพียงนี้
ปลายนิ้วของตรัสแตะปลายคางของรติให้เบี่ยงใบหน้าลงมาเล็กน้อย ริมฝีปากห่างกันแค่คืบ แต่เสียงของภรรยาดังขึ้นแผ่วเบาเสียก่อน
“ตรัส...”
“...ช...เช้าแล้วนะ...” เหตุผลแรกคือเช้าแล้ว เหตุผลที่สองคือพวกเขาไม่ได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้มาระยะหนึ่งแล้ว พอมาวันนี้ได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้ จึงราวกับครั้งแรกของพวกเขาหมุนวนกลับมาอีกครั้ง
“ข้ารู้ แต่...ข้าคิดถึง...”
ประโยคนั้นคล้ายหยุดเวลาเอาไว้ รตินิ่งงัน ใจสั่นจนไร้เรี่ยวแรง
“คิดถึง...” ตรัสย้ำเสียงเบา ดวงตากวาดมองใบหน้าของภรรยาที่ห่างหายการใกล้ชิดมาหลายวัน เป็นหลายวันที่ไม่มีความสุขเลย
“อยู่ใกล้แค่นี้ แต่หลายวันที่ผ่านมากลับไม่ได้กอดเจ้า ไม่ได้ดูแลเจ้า...คิดถึง...”
“ก...ก็ท่าน...ท่านโกรธข้า...”
“ข้าขอโทษ...ข้าเป็นสามีที่แย่...เรื่องของเจ้า กลับไม่เคยสังเกต ถ้าระพีไม่บอก ข้าก็คงโง่เขลาต่อไป เอาแต่หึงหน้ามืดตามัว ข้าขอโทษ...” ทั้งน้ำเสียง ทั้งสีหน้า ทั้งแววตาของตรัสนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด จนรติต้องส่งสองแขนโอบกอดร่างของคนรักเอาไว้ แล้วกระซิบเบา
“ไม่ต้องขอโทษแล้ว ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้โกรธ”
ตรัสทอดมองเจ้าของเสียงนุ่ม ดวงตาของเขามีทั้งความรู้สึกผิดแต่ก็เต็มไปด้วยความรักใคร่ มันอ้อนวอนคล้ายขอความเห็นใจ
...นี่หรือ ตรัส อหัสกรผู้นำสกุลอหัสกร ชายผู้เงียบขรึมและเคร่งครัดกับเรื่องรอบกาย แต่ยามนี้กลับไม่ต่างจากเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บ ทำได้เพียงวอนขอความรู้สึกจากภรรยาที่นั่งอยู่บนตัก...
“แล้วคิดถึงข้าไหม”
ใบหน้าของคนถูกถามขึ้นสีก่ำ แม้จะไม่ใช่คนช่างพูดเรื่องเหล่านี้ แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็บอกให้รู้ว่าการที่พวกเขาไม่คุยกัน ทำให้ความสัมพันธ์ย่ำแย่เพียงใด
ถึงเวลาต้องพูดบ้างแล้ว
“คิดถึงสิ...ข้าก็คิดถึงท่าน...”
ความรู้สึกที่แท้จริงถูกเปิดเผยด้วยคำพูด ย้ำชัดด้วยสายตาที่ทอดมองกันและการโอบกอด ใบหน้าเคลื่อนเข้าหากันช้าๆ ก่อนจะย้ำคำว่าคิดถึงด้วยการจุมพิต
บทจูบและการลูบไล้ของพวกเขา มิได้ร้อนผ่าว ทว่ามันกลับหนักแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ถูกขังเอาไว้ในใจ
“ตรัส...” หลังจากริมฝีปากของตรัสเคลื่อนออกห่างเล็กน้อยให้ได้หายใจ เสียงแผ่วเบาของรติก็ดังขึ้น
“...ถ้าไม่ออกไป...คนอื่นๆจะเป็นห่วง...”
ใบหน้าของรติแดงเรื่อ คล้ายจะรู้ว่าหากพวกเขายังมอบความรู้สึกให้กันเช่นนี้ เช้านี้คงอีกไกล...
ตรัสยิ้มจาง ปลายนิ้วเกลี่ยไล้ผิวแก้ม
“เจ้ายังไม่หายดี...”
“...หากจะออกจากเรือนสายหน่อย ก็คงไม่มีใครว่าอะไร...” แล้วหลังประโยคนั้น ตรัสก็มอบรสจูบแห่งความคิดถึงระคนโหยหาให้อีกครั้งและอีกครั้ง
ริมฝีปากประกบบดเบียด ส่งลิ้นรุกไล่กันและกัน ความรู้สึกในใจล้นทะลักจนต้องกอดรัดแนบแน่น
กว่ารสจูบของความคิดถึงจะผละห่าง ก็ตอนที่เกือบจะหมดอากาศหายใจแล้ว รติหอบตัวโยนบนตักของสามี ตรัสเองก็หอบหายใจไม่ต่างกัน เพียงแต่...ยังสู้อุตส่าห์กดจมูกและริมฝีปากไปตามผิวแก้มและซอกคอของคนบนตัก
“คิดถึง...” ไม่เพียงลิ้มรสผิวเนื้อ แต่ยังพร่ำบอกกับเนื้อตัวของภรรยาอย่างโหยหา
“อ๊ะ...อื้อ...”
เสียงของรติครางเครือ ริมฝีปากของตรัสมิได้อ่อนโยนเลยสักนิด ทั้งบดทั้งดูด ในขณะที่ฝ่ามือร้อนลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังลงสู่สะโพก จนรติสะท้านวาบไปทั้งอก
ตรัสใช้ริมฝีปากคาบสาบเสื้อให้แยกออกจากกันก่อนจะเหลือบตาขึ้นมาพูดกับเจ้าของแผ่นอกเขา
“เจ้าล่ะ...คิดถึงข้าไหม”
“ข...ข้า...ข้าบอกไปแล้ว...อ๊ะ...”
“บอกซ้ำไม่ได้หรือ” คำถามนั้นช่างแสนหวาน แต่ฝ่ามือร้อนกลับขยุ้มก้อนเนื้อนุ่มที่สะโพกแรงๆราวกับมันเขี้ยว จนรติสะดุ้งโหยง ซ่านเสียวไปทั้งกาย
“อ๊ะ!...ข...ข้า...”
“บอกอีกครั้งได้ไหม รติ”
ดวงตาของรติเริ่มฉ่ำปรือ มือร้อนล้วงเข้าไปใต้อาภรณ์แล้วบีบขย้ำสะโพกของเขาไม่หยุด ในขณะที่ริมฝีปากของตรัสเริ่มลากไล้ไปทั่วแผ่นอกของเขาโดยไม่แตะต้องกับจุดที่กำลังชูชันสองข้าง
พอไม่ได้แตะต้องร่างกายกันนานๆแล้ว จู่ๆมาจุดอารมณ์อย่างนี้ รติผู้ไม่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญก็ไม่อาจอดทนต่อความรู้สึกซาบซ่านในอกได้
“ข...ข้า...อ๊ะ...ตรัส...อื้อ...”
จุดที่ต้องการให้แตะต้อง ตรัสกลับหลีกเลี่ยงที่จะแตะต้อง จูบพรมบนหน้าอกแต่ไม่สนใจยอดอกทั้งสองข้าง บีบขย้ำสะโพกทั้งสองข้าง แต่กลับทอดทิ้งเบื้องหน้าที่กำลังตั้งชัน
รติเสียวซ่าน แต่ไม่กล้าเอ่ย สองแขนที่เคยโอบร่างสามี มือหนึ่งขยับมาบดบี้ยอดอกของตน อีกมือล้วงลงต่ำสู่เบื้องล่าง แต่...ไม่ทันจะได้แตะต้องให้สมกับความปรารถนาที่ลุกโชน มือของตรัสก็จับสองมือของภรรยาไขว้หลัง ดวงตาดุที่บัดนี้เต็มไปด้วยความรักความต้องการเหลือบขึ้นสบกับดวงตาปรือปรอยที่คล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ด้วยความต้องการที่ไม่ถูกปรนเปรอ
“ต...ตรัส...”
“บอกข้าอีกครั้ง ว่าเจ้าก็คิดถึงข้า”
“...ค...คิดถึง...” แม้ประโยคนี้จะกระท่อนกระแท่น แต่คนฟังกลับยิ้มจาง ตวัดร่างของรติลงนอนราบ ส่วนตนเองตามขึ้นทาบทับแนบชิด
“ข้าสัญญา...ต่อจากนี้...จะไม่ปล่อยให้เราต้องคิดถึงกันอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว”
แล้ว...ความคิดถึงของสองสามีภรรยาก็ถูกคลายลงในเช้าวันนั้นเอง…
---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
ธ ม น
THAMON926
---------
พอเขาดีกันแล้ว มันก็เข้าทางตรัสอีกแล้วค่ะ ฮ่าฮ่า ไหนใครบอกว่าไม่ทุกวันนะคะ
ขอบคุณสำหรับทุกการอ่าน
เจอกันวันศุกร์ค่ะ