ตอนที่ 9 ความลับ
นัยน์สีดำสนิทจับจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์ซึ่งปรากฏตัวเลขสิบตัว มันคือหมายเลขโทรศัพท์ที่ได้มาจากภาณุ หลังจากที่เขารีบบึ่งรถมาที่บ้านของอีกฝ่ายโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ทำเอาสองสามีภรรยาแปลกใจไม่น้อย ตั้งใจจะมาถามหาของสำคัญที่พี่สาวคาดคะเนว่าน่าจะติดมากับลังใส่หนังสือบริจาค แต่เมื่อมาถึงก็พบว่ามันไม่อยู่เสียแล้วเพราะนคินทรแวะเข้ามาเอาและเพิ่งจากไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
“ลองโทรไปสิ เห็นม่อนบอกว่าไปทำธุระกับเพื่อนแล้วค่อยกลับ เผื่อยังอยู่แถวนี้จะได้ไปเอา” ภาณุที่ตามออกมาส่งเอ่ยขึ้น
“โทรแล้ว แต่ไม่รับ” พายุพัดตอบ แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่ความกังวลนั้นกลับส่งผ่านออกมาทางดวงตา
“เดี๋ยวเห็นก็คงโทรกลับแหละ ว่าแต่ของอะไรวะ สำคัญมากเลยเหรอ ถึงต้องเอาคืนให้ได้”
“อือ” นักกีฬาหนุ่มตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะกดโทรออกอีกครั้ง รอจนสายตัดไปเองจึงพูดขึ้น “เรากลับก่อนนะ”
“เออ โชคดี ไม่รู้จะไปไหนก็มานั่งดื่มอะไรเย็น ๆ ที่ร้านได้นะ” ภาณุกล่าวพลางมองคนหน้านิ่งที่เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ ไม่นานซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำก็เคลื่อนจากไป
พายุพัดกลับมาที่บ้านด้วยใจหวังว่าจะได้พบของสำคัญในห้องเก็บของซึ่งยังไม่ได้เข้าไปค้นหา แต่สุดท้ายเมื่อรื้อทุกอย่างจนกระจุยกระจายความหวังที่เคยมีก็เหือดหาย ชายหนุ่มเดินหลบเลี่ยงแขกกลุ่มใหม่ที่เพิ่งมาถึงไปยังเรือนหลังสุดท้ายชายทุ่ง เท้าก้าวช้า ๆ ปล่อยให้สายลมพัดปะทะร่างเพื่อคลายความร้อนทั้งกายและใจ กระทั่งมาหยุดยืนที่หน้าประตูห้องพักซึ่งติดป้ายเหนือกรอบประตูว่า “บ้านปลายนา” ลองเอื้อมบิดลูกบิดและพบว่าสามารถเปิดเข้าไปภายในได้ คงเพราะคนงานยังไม่ได้มาทำความสะอาด เมื่อชายหนุ่มเดินผ่านกรอบประตูเข้าไปจึงเห็นว่าคนเข้าพักได้พับผ้าห่มวางไว้ที่ปลายเตียง เรียงหมอนไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยที่หัวนอนก่อนจะจากไป
สายลมเย็นพัดผ่านช่องประตูบานเฟี้ยมที่แง้มไว้พาให้ม่านสีขาวปลิวไสว ชายหนุ่มนั่งลงบนที่นอนซึ่งยกสูงจากพื้นไม่มาก วางโทรศัพท์ลงข้างตัวแล้วดึงหมอนใบนุ่มมาไว้บนตักพลางใช้มือลูบเบา ๆ ราวกับตรงหน้าคือแก้วบางที่พร้อมจะแตกสลายยามเมื่อถูกสัมผัส ทำเช่นนั้นอยู่เนิ่นนานก่อนจะใช้สองมือประคองยกหมอนขึ้นแล้วโน้มลงสูดกลิ่นหอมที่ยังไม่จางหาย จำได้แม่นยำว่าเป็นกลิ่นเดียวกับที่ปลายจมูกได้สัมผัสเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา พายุพัดเอนกายนอนหนุนหมอนอีกใบในขณะที่สองแขนยังกอดอีกใบไม่ยอมปล่อย ริมฝีปากแต้มรอยยิ้มในขณะที่เปลือกตาปิดลงช้า ๆ บดบังภาพจริงที่เห็นอยู่ตรงหน้าแต่ในหัวกลับปรากฏภาพเสมือนของใครคนหนึ่งขึ้นชัดเจน...
เมื่อเวลาผ่านไป หนุ่มนักกีฬาก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงดังครืด ๆ ใกล้หู เขาลืมตาแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นดู ตกใจเมื่อเห็นตัวเลขแสดงเวลาบ่ายคล้อย แต่ที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่าก็คือชื่อของคนที่โทรเข้ามา พายุพัดสูดลมหายใจเข้าจนลึกเพื่อเรียกความกล้าก่อนจะกดรับสาย แต่แทนที่จะกล่าวทักทายเขากลับนิ่งเงียบ
“สวัสดีครับ”
“...”
“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าได้ยินไหมครับ”
“...”
“สงสัยสัญญาณไม่ค่อยดี ถ้าอย่างนั้นผมวางสายแล้วนะครับ”
ได้ยินคนที่ปลายสายกล่าวเช่นนั้น จึงรีบเอ่ยขึ้น “ด...เดี๋ยวก่อนม่อน นี่เราเอง”
“เราเอง...เราไหน”
“พาย”
“อ๋อ มีอะไรหรือเปล่า เห็นโทรมาตั้งหลายครั้ง พอดีเรามัวแต่ซื้อของก็เลยไม่ได้ยินน่ะ” นคินทรกล่าวเสียงใส
“ถ...ถึงบ้านหรือยัง”
“ใกล้แล้วละ มีอะไรหรือเปล่า คงไม่ได้โทรมาแค่จะถามว่าเราถึงบ้านแล้วหรือยังหรอกนะ” คนพูดหัวเราะ
“ค...คือ” ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกไป “คือเราจะขอของคืนน่ะ”
“ของ? ของอะไรเหรอ”
“ลังใส่หนังสือบริจาค อ..เอ้อ ไม่ใช่ เราแค่จะขอของที่ติดไปคืนน่ะ”
“ได้สิ”
“ถ้าอย่างนั้น...ช่วยดูให้หน่อยได้ไหมว่ามีกล่องกระดาษสีน้ำตาลติดไปด้วยหรือเปล่า”
“ได้ ๆ รอเดี๋ยวนะ ดูให้เดี๋ยวนี้แหละ” นคินทรกล่าว
พายุพัดได้ยินเสียงโวยวายของชายหนุ่มอีกคนที่คาดว่าน่าจะเป็นคนขับรถตามด้วยเสียงโครมครามจากการรื้อค้น ครู่หนึ่งปลายสายก็ตอบกลับ
“เฮ้อ...กว่าจะเจอ อยู่เกือบก้นกล่อง ข้างในมีอะไรเนี่ย...”
ยังพูดไม่ทันจบ เจ้าของก็โพล่งขึ้น “ห้ามเปิดดูนะ”
“ไม่เปิดหรอก แล้วจะให้เราเอาไปให้ไหม”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปเอาเอง ช่วยส่งพิกัดมาให้ก็พอ”
“ได้ เดี๋ยวเราส่งให้ ถ้าอย่างนั้นแค่นี้นะ”
“ม...ม่อน เดี๋ยวก่อน”
“ว่าไง”
“สัญญานะว่าจะไม่เปิดดู”
“รู้แล้วน่า มีความลับอะไรนักหนา” นคินทรบ่นอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะวางสาย
....
ซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำลัดเลาะเส้นทางคดเคี้ยวผ่านหมู่บ้านกระทั่งสองข้างทางแปรเปลี่ยนเป็นเพียงทุ่งนาและไร่ข้าวโพดบนเนินเขา ไม่นานรถก็เลี้ยวเข้าทางคอนกรีตแคบ ๆ จนมาถึงโรงเรียนแห่งหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่จุดหมายปลายทาง ชายหนุ่มขับอ้อมไปด้านหลัง จนระบบบอกพิกัดแจ้งเตือนว่าขณะนี้ถึงที่หมายแล้วจึงเปิดประตูลงจากรถ มองไปยังบ้านไม้ชั้นเดียวยกใต้ถุนสูงสำหรับจอดรถ รออยู่ไม่นานเจ้าของบ้านก็เปิดประตูเดินลงบันไดมาพร้อมกับกล่องกระดาษสีน้ำตาลใบใหญ่เกือบเท่ากระดาษสำหรับพิมพ์เอกสาร
“นี่ใช่ไหม” นคินทรถามพลางยื่นของให้
คนเพิ่งมาถึงพยักหน้าแล้วรับมาถือไว้
“มาเสียเย็นเชียว ที่จริงวันเสาร์หน้าเราเอาไปให้ก็ได้ ยังไงเราต้องแวะไปหาหมอกอยู่แล้ว”
“ไม่เป็นไร เรามาเอาเองดีกว่า”
จบประโยคของพายุพัด ต่างคนต่างเงียบจนกระทั่งเสียงกริ่งจักรยานดังขึ้น
“พี่ม่อน พี่จะเอาของในรถไปเก็บที่โรงเรียนเลยไหม ผมจะได้ช่วยขน”
เห็นอีกฝ่ายสวมชุดบอลเต็มยศจึงกล่าว “พี่ขนเองได้ พิงจะไปเตะบอลก็ไปเถอะ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้พ..พี่...” พิทักษ์อ้าปากค้างเมื่อเหลือบไปเห็นอีกคน “พ...พี่คือฉลามพาย ฉลามพายใช่ไหมพี่” มัวแต่ละล่ำละลักจนแทบลืมวิธีลงจากจักรยาน
ร่างล่ำสันจอดจักรยานอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เดินตุปัดตุเป๋ราวกับขาไร้เรี่ยวแรง ฉีกยิ้มเสียกว้างแล้วกล่าว “ค...คือ ผมเป็นแฟนคลับพี่เลย ตอนที่รู้ข่าวว่าพี่ประสบอุบัติเหตุน่ะผมตกใจแทบแย่ ดีจังที่พี่ไม่เป็นไร ตัวจริงพี่หล่อกว่าในหนังสือพิมพ์ตั้งเยอะ”
พายุพัดสบตาคนข้าง ๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ชายหนุ่มที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก
“ผม...ผมขอถ่ายรูปกับพี่ได้ไหมพี่”
“ได้สิ” หนุ่มนักกีฬาตอบ
“เอ่อ...คือ จะเป็นไรไหมครับ ถ้าผมจะขอกลับไปเปลี่ยนชุดก่อน”
“ทำไมล่ะ ชุดนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย” นคินทรมุ่นคิ้วสงสัย
“โธ่...พี่ม่อน มันไม่เข้าอะ นี่พี่ฉลามพายนะ ไม่ใช่เมสซีเจ ดูพี่ฉลามพายซิใส่เสื้อเชิ้ตมาอย่างหล่อ แล้วดูผม” พูดพลางก้มมองตัวเอง
คนฟังได้แต่ส่ายหัว กำลังจะหันไปถามความเห็นจากอีกคน แต่พายุพัดก็พูดขึ้นเสียก่อน
“ได้สิ พี่ไม่ได้รีบไปไหน”
“ถ้าอย่างนั้นพี่รอผมแป๊บนะพี่” พูดจบพิทักษ์หันไปคว้าจักรยาน ปั่นสุดชีวิตกลับไปที่บ้านพักของตน
“นั่งก่อนไหม หรือจะขึ้นไปดื่มน้ำบนบ้าน” นคินทรเอ่ยขึ้น
“เรานั่งรอข้างล่างก็ได้” พายุพัดตอบ เปิดประตูเพื่อเอาของเก็บในรถแล้วเดินไปนั่งที่ม้านั่ง มองน้ำในลำธารที่ขณะนี้เริ่มขุ่นเล็กน้อยเหตุเพราะฝนที่ตกชะหน้าดินไหลลงมารวมกัน
ครู่หนึ่งให้รู้สึกคล้ายมีบางอย่างวนเวียนอยู่ที่ขา เมื่อก้มลงมองก็พบลูกแมวกำลังเอาหัวถูไถไปกับขากางเกง มันเกือบจะเป็นสีขาวทั้งตัวหากไม่มีกระจุกขนสีเทาบริเวณโคนหาง เจ้าแมวรุ่นท่าทางปราดเปรียวเงยหน้าขึ้นมองตาแป๋วก่อนจะส่งเสียงร้องเหมียว ๆ พลันอีกตัวที่ใหญ่กว่าก็กระโดดขึ้นนั่งใกล้ ๆ พายุพัด
“ซ่าหริ่มพาลูกลงมาทำไม” นคินทรเอ่ยขึ้นก่อนจะอุ้มเจ้าสามสีขึ้นแล้วนั่งลงแทนที่ จากนั้นจึงวางมันบนตัก
พายุพัดละสายตาจากใบหน้าระบายยิ้มของคนข้าง ๆ โน้นตัวลงแล้วลูบหัวเจ้าตัวเล็กเป็นการทักทาย
“ม่อนบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้พาตะโก้ลงมาข้างล่าง”
คนฟังลอบอมยิ้มทั้งที่มือยังคลอเคลียอยู่กับเจ้าลูกแมวตัวเล็ก ได้ยินเสียงร้องของแม่แมวจึงยืดตัว หันกลับไปเห็นนคินทรยกตัวเจ้าเหมียวขึ้นกลางอากาศจึงถือโอกาสลอบมองเจ้าของแมวโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว
เจ้าซ่าหริ่มดิ้นขลุกขลักจนนคนิทรต้องรีบปล่อยมันลงด้วยเกรงว่ามือของตนจะเป็นที่ฝนเล็บชั้นดี เมื่อสี่เท้าสัมผัสพื้นมันก็เดินเข้าไปเลียเจ้าตัวเล็กโดยไม่สนใจผู้เป็นนายอีกเลย
“ทำไมไปเปลี่ยนเสื้อผ้านานจังวะ” นคินทรบ่นพลางชะเง้อมอง “เดี๋ยวเราโทรตามให้นะ” กำลังจะดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าก็ต้องหยุดเมื่ออีกคนพูดขึ้น
“ปล่อยเขาเถอะ เราบอกแล้วไงว่าไม่ได้รีบไปไหน” เมื่อพายุพัดพูดจบก็พอดีกับที่พิทักษ์ขี่จักรยานกลับมา
“มาแล้วคร้าบบบ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างกระตือรือร้น ปลดเป้วางในตะกร้าหน้ารถ
“โอ้โห! นี่ถึงขนาดไปอาบน้ำประแป้งมาเลยเหรอ” นคินทรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายกลับมาในชุดใหม่ แถมหวีผมทาแป้งเสียหอมฟุ้ง
“ผมก็ต้องให้เกียรตินักกีฬาในดวงใจของผมหน่อยสิพี่” ครูหนุ่มกล่าวพลางจอดจักรยานพิงกับต้นไม้
“ถ้าอย่างนั้นเอาโทรศัพท์มา เดี๋ยวพี่ถ่ายให้”
“ขอบคุณครับพี่ม่อน” พูดจบพิทักษ์ก็ยื่นโทรศัพท์ให้ก่อนจะเดินไปยืนข้างพายุพัด
“ยิ้มนะ” ตากล้องจำเป็นบอกก่อนจะนับ 1-3 กดบันทึกภาพไป 3-4 ภาพก็ส่งโทรศัพท์ให้เจ้าของ “ดูก่อนนะว่าชอบไหม ถ้าไม่ถูกใจเดี๋ยวพี่ถ่ายให้ใหม่”
พิทักษ์รับโทรศัพท์คืน ใช้ปลายนิ้วเลื่อนดูรูปไปก็ยิ้มไป “ดีทุกรูปเลยพี่ แต่เสียดายพี่ฉลามพายไม่ยิ้มเลยสักรูป แต่ไม่เป็นไรครับ แบบนี้เท่ดี สมกับฉายาฉลามหิน”
ได้ยินเช่นนั้นเจ้าของชื่อถึงกับทำหน้าไม่ถูก ส่วนนคินทรเองก็ได้แต่กลั้นหัวเราะ
“ขอบคุณครับพี่ม่อน ขอบคุณครับพี่ฉลามพาย”
“เรียกพายเฉย ๆ ก็ได้” พายุพัดบอก
“ครับพี่พาย” ว่าแล้วก็หันไปหาอีกคน “พี่ม่อนไม่ยักบอกกันบ้างเลยว่าเป็นเพื่อนกับนักกีฬาดัง”
“ก็...มันนานมาแล้วนี่นา เคยเรียนด้วยกันตอนม.ปลาย ไม่คิดว่าจะได้เจออีก” นคินทรตอบตามที่คิด
“อ้าว นี่เพิ่งได้เจอกันหรอกเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมถ่ายรูปให้พวกพี่บ้าง” พิทักษ์ว่า กำลังจะยกโทรศัพท์ พายุพัดก็ขัดขึ้น
“เอาเครื่องพี่ก็ได้” พูดจบก็ดึงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงส่งให้คนรับอาสา
“ยืนชิด ๆ กันหน่อยครับ”
ได้ฟังดังนั้นสองคนจึงขยับเข้าไปยืนเคียงข้างกัน
“ยิ้มหน่อยนะครับพี่พาย” พูดจบนิ้วหนาก็แตะลงบนหน้าจอสัมผัสเพื่อบันทึกภาพก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ
“ขอดูหน่อย” นคินทรพูดขึ้น ดึงโทรศัพท์จากมือของอีกฝ่าย เมื่อเห็นรูปก็หลุดหัวเราะ “กลัวถูกหาว่าเป็นฉลามหินเหรอ ยิ้มเสียกว้างเชียว”
“ไม่ใช่สักหน่อย” พายุพัดมุ่นคิ้วเก้อ ๆ ดึงโทรศัพท์กลับคืนก่อนจะใส่ลงในกระเป๋า
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปเตะบอลก่อนนะพี่” พิทักษ์บอกทั้งที่นิ้วยังเขี่ยหน้าจอ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นยกมือไหว้สองคนที่อาวุโสกว่าแล้วจึงขี่จักรยานจากไป
“จะกลับเลยไหม เราจะเดินไปส่ง”
“นายจะเอาหนังสือไปเก็บที่โรงเรียนไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวเราช่วยขน”
“ไว้พรุ่งนี้ให้เด็ก ๆ ช่วยกันขนก็ได้”
“ไม่เป็นไร เราช่วยเอง” พูดจบพายุพัดก็เดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่ใต้ถุนบ้าน “เปิดรถสิ”
นคินทรปลดล็อกพลางมองเจ้าของร่างสูงที่เอื้อมมือดึงเปิดประตูด้านหลัง
“เยอะขนาดนี้เลยเหรอ”
“อือ ท้ายรถก็ยังมีอีก เราว่าจะคัดแยกก่อน เพราะมีทั้งหนังสือสำหรับเด็กแล้วก็หนังสือสำหรับผู้ใหญ่ปน ๆ กันมา ถึงบอกว่าพรุ่งนี้ให้เด็ก ๆ มาช่วยกันขนก็ได้”
“พอแยกแล้วจะเอาไปไหนเหรอ” นักกีฬาหนุ่มถามพลางดึงหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นพลิกดู
“เราจะเอาหนังสือสำหรับเด็กไปไว้ที่ห้องสมุดของโรงเรียนน่ะ แต่ถ้าเป็นหนังสือสำหรับผู้ใหญ่ก็ว่าจะเอาไปให้ที่ห้องสมุดประชาชนของหมู่บ้าน”
“ต้องเอาขึ้นไปบนบ้านก่อนใช่ไหม”
“อือ”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราช่วย” พูดจบก็วางหนังสือลงแล้วดึงกล่องใบใหญ่ออกจากรถ “ไปเปิดประตูบ้านเถอะ”
นคินทรพยักหน้า รีบเดินขึ้นไปเปิดประตู จากนั้นสองคนก็ช่วยกันขนหนังสือจำนวนมากขึ้นไปบนบ้าน กว่าจะคัดแยกเรียบร้อยก็ค่ำพอดี โชคดีได้กินบะหมี่ที่พิทักษ์ซื้อฝากเมื่อขากลับจากเตะบอล ไม่เช่นนั้นคงจะหิวไส้กิ่วไปตาม ๆ กัน
“เราไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้นะเนี่ย” เจ้าของบ้านบ่นพลางยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วหันไปเกาพุงเจ้าซ่าหริ่มที่นอนตีหางขึ้นลงอยู่บนกองหนังสือที่มัดด้วยเชือกฟางซึ่งผ่านการคัดแยกแล้ว
พายุพัดผูกเชือกกับหนังสือกองสุดท้าย ยกขึ้นวางซ้อนกับกองตรงหน้า พลันความรู้สึกเจ็บปวดก็แล่นจากช่วงบ่าข้างขวาลงไปถึงปลายมือ ชายหนุ่มขบฟันแน่นค่อย ๆ เอื้อมมืออีกข้างขึ้นบีบนวดหวังให้คลายอาการ
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า” หนุ่มนักกีฬาตอบสั้น ๆ แล้วลุกขึ้น “เรากลับก่อนนะ”
“ที่จริงค้างด้วยกันก็ได้นะ ขับรถมืด ๆ มันอันตราย”
“ไม่เป็นไร เราขับกลับได้” พายุพัดยังคงยืนยันความตั้งใจเดิม
“ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะ” นคินทรลุกขึ้นก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว ในขณะที่พายุพัดเดินไปนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือที่เต็มไปด้วยสมุดการบ้านของนักเรียน
ครู่หนึ่งเจ้าของบ้านก็กลับออกมาพร้อมกับกะละมังใส่น้ำร้อนและผ้าขนหนู
“ถอดเสื้อสิ”
คนฟังหันขวับ มองอีกคนที่กำลังวางภาชนะที่มีน้ำอยู่เกือบครึ่งลงบนโต๊ะ
“ถ...ถอดทำไม”
“เดี๋ยวเราประคบร้อนให้จะได้ขับรถสบายขึ้น”
“ต...แต่”
“เร็ว ๆ เข้า”
พายุพัดกลืนน้ำลาย หันหลังกลับ ค่อย ๆ ปลดกระดุมแล้วรั้งเสื้อลงเผยให้เห็นบ่ากว้างและต้นแขนที่มีมัดกล้ามนิด ๆ ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อมืออุ่นแตะลงบนผิวเนื้อ จู่ ๆ หัวใจก็เต้นระส่ำขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ตรงนี้ใช่ไหม”
“ช...ใช่”
นคินทรพยักหน้ากับตัวเองก่อนจะคลี่ผ้าขนหนูผืนเล็กคลุมลงบนบ่าของคนตรงหน้า จากนั้นจึงใช้อีกผืนจุ่มน้ำ บิดจนหมาดแล้ววางทับลงไป
“ร้อนไปหรือเปล่า ถ้าร้อนไปบอกได้นะ”
พายุพัดไม่ได้ตอบเนื่องจากความร้อนยังคงอยู่ในระดับที่เขาสามารถทนได้ และยิ่งมีผ้าขนหนูรองอีกชั้นป้องกันไม่ให้ความร้อนสัมผัสผิวเนื้อโดยตรงก็ยิ่งทำให้สบาย แต่มือที่จุ่มลงไปในน้ำเมื่อครู่คงร้อนน่าดู
“เดี๋ยวเราไปเปลี่ยนน้ำก่อนนะ” นคินทรเอ่ยขึ้นหลังจากทำแบบเดิมซ้ำอีกครั้ง
เห็นคนพูดเตรียมจะยกกะละมังจึงคว้ามือเอาไว้ “ม่อน พอแล้วละ เราดีขึ้นแล้ว”
“จริงเหรอ”
“จริงสิ” พายุพัดตอบพร้อมกับค่อย ๆ คลายมือออก เขารั้งผ้าขนหนูลงจากบ่าแล้ววางคืนในกะละมัง จากนั้นจึงดึงเสื้อขึ้นแล้วติดกระดุม เมื่อเรียบร้อยก็ไม่ลืมที่หันกลับมาขอบคุณเจ้าของบ้านก่อนจะขอตัวกลับ...
แม้นาฬิกาติดฝาหนังจะบอกเวลาเกือบเที่ยงคืน แต่ไฟบนห้องนอนชั้นสองก็ยังคงเปิดสว่าง ร่างสูงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง ทอดตามองบนหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งปรากฏข้อความ “เราถึงบ้านแล้วนะ” ซึ่งเป็นข้อความที่ส่งไปบอกให้อีกคนตามที่ได้รับปากเอาไว้ ที่ทำเอาตาสว่างนอนยิ้มไม่หุบมาจนกระทั่งตอนนี้เห็นทีจะเป็นการ์ตูนรูปแมวกับข้อความ “OK” และ “ฝันดี” ที่ถูกส่งกลับมา
พายุพัดวางโทรศัพท์ลงที่หัวเตียง พลิกตัวนอนคว่ำแล้วดึงกล่องกระดาษสีน้ำตาลมาตรงหน้า เมื่อเปิดฝากล่องออกก็พบว่าของข้างในยังอยู่ครบ มีทั้งเหรียญทองจากการแข่งขันว่ายน้ำรายการเล็ก ๆ รายการหนึ่ง ปลอกคอสำหรับลูกแมวสองเส้น ซึ่งทั้งหมดวางทับอยู่บนสมุดเล่มหนึ่ง มือใหญ่หยิบสมุดนั้นขึ้นมา กวาดมองตัวอักษรเป็นระเบียบที่ถูกเขียนด้วยปากกาลูกลื่น ตรงชื่อวิชามีข้อความ “แบบฝึกหัดเสริมวิชาเคมี” ส่วนชื่อผู้ที่เป็นเจ้าของคือ “นายนคินทร ปฐวิพัฒน์”
พายุพัดพลิกกระดาษไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็หยุดที่หน้าหนึ่งซึ่งอยู่เกือบท้ายเล่ม ตาคมไล่อ่านข้อความที่มีอยู่เกือบเต็มหน้า พลันรอยยิ้มก็ยิ่งระบายชัดขึ้นราวกับถูกย้ำด้วยปลายพู่กัน ชายหนุ่มโคลงหัวน้อย ๆ ยกมือขึ้นลูบต้นคอ หากจะถามหาตัวคนเขียนก็ไม่ยาก เพราะที่บรรทัดสุดท้ายนั้นปรากฏชื่อเจ้าของลายมือและลงวันที่กำกับชัดเจน
(มีต่อค่ะ)