ฝันครั้งที่ 14
เพื่อนหายป่วยแล้ว หายเป็นปลิดทิ้งเพราะได้หลงช่วยดูแลอย่างดี ไหนจะมาค้างที่บ้าน ไหนจะคอยโทรมาจู้จี้ยามไม่ว่างมาเจอ คนป่วยก็ทำตามบ้างเกเรบ้าง แต่ไม่ทำให้หลงรู้ว่ากำลังเกเรอยู่ก็ไม่เป็นไร
เมื่อเข้าสู่วันทำงานชีวิตวุ่นๆ ก็กลับมาเยือนอีกครั้ง เพื่อนต้องทำเวรตอนเย็นทำให้ไม่ได้เจอกันสามวันติด ได้แต่คุยผ่านตัวหนังสือหรือฟังเสียงผ่านสาย แต่พอคิดว่าทั้งที่บ้านหลงเป็นทางผ่านแท้ๆ ทำไมถึงไม่ได้เจอ ปากมันก็ลั่นคำพูดออกมาตอนกำลังนั่งรถกลับบ้านพอดี
"จอดซอยสิบห้าด้วยครับ"
คนขับรถตู้เหยียบเบรกจอดตามที่ผู้โดยสารบอก เพื่อนตั้งสติอยู่ชั่วครู่ก่อนรีบเดินลงรถแล้วควานหาเหรียญจ่ายค่ารถอย่างรีบๆ
สุดท้ายก็แวะลงกลางทางจนได้
ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มเศษ เพื่อนยืนเคว้งคว้างหน้าทางเข้าซอยที่ตัดผ่านสวนสาธารณะเล็กๆ มีไฟส่องสว่างข้างทางพอให้มองเห็น เลยลองเดินไปชะเง้อมองบ้านที่อยู่หลังสวน แล้วจู่ๆ ก็เกิดอาการสองจิตสองใจขึ้นมา ก็เล่นมาซะดึกดื่นป่านนี้ ถ้าเข้าไปหาน่าจะเป็นการรบรวนเสียมากกว่า
เพื่อนหยิบมือถือขึ้นมาเปิดหน้าแชตที่เพิ่งคุยกับหลงตอนรอต่อรถที่ตลาด ถ้าเขาพิมพ์บอกไปว่ากำลังยืนรออยู่หน้าบ้านอีกคนจะเชื่อไหม แต่จะเชื่อไม่เชื่อก็ต้องเชื่ออยู่ดี
เชื่อตัวเขานี่แหละที่ทำไปได้
Yanakorn : ไปหาได้ป้ะ
เพื่อนลองพิมพ์ไปหา รอไม่นานนักหลงก็เปิดอ่าน พร้อมการตอบกลับที่คาดไว้อยู่แล้ว
Veerayu : มาทำไม ดึกแล้ว กลับบ้านไปนอนไป
Yanakorn : แล้วถ้าบอกว่าตอนนี้ยืนอยู่หน้าซอยอ่ะ
Veerayu : จริงดิ
Yanakorn : มารับหน่อย
Veerayu : อย่ามาอำ
Yanakorn : ลองออกมาดูดิ
หลงไม่ได้พิมพ์อะไรตอบกลับมา แต่เป็นเงาคนกับเสียงฝีเท้าย่ำเร็วๆ ที่เพื่อนเห็นและได้ยิน พอหันไปมองก็เจอคนตัวโตทำหน้าแปลกใจเดินเข้ามาหา เพื่อนยกยิ้มกว้าง รู้สึกหายเหนื่อยทันทีเมื่อเห็นหน้าคนที่ไม่ได้เจอมาหลายวัน
"จะแวะมาทำไมไม่บอกก่อน"
"เพิ่งคิดได้ตอนรถจะผ่านหน้าบ้านพอดีเลยบอกไม่ทัน" เพื่อนยิ้มแหย หลงมองแล้วส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนยิ้มตาม แม้เหตุผลที่ว่ามานั้นจะดูแถจนสีข้างถลอก
"เข้าบ้านก่อนมั้ย"
"ไปดิ" คนถูกชวนตอบรับอย่างยินดี เดินตามคนตัวโตเข้าซอยที่มีเพียงแสงไฟสลัวส่องทาง
ทุกคนในครอบครัวหลงดูจะแตกตื่นเมื่อมีแขกมาเยือนอย่างไม่ทันตั้งตัว โดยเฉพาะหยกที่กรีดร้องลั่นบ้านแบบโอเวอร์แอคติ้ง เธอปรี่เข้ามาหาเพื่อนแล้วพูดจาชวนให้เข้าใจผิด น่าหมั่นไส้เกินงามจนแม่ต้องคอยปราม ส่วนน้องชายคนกลางที่ปลีกวิเวกอยู่อีกฝั่งของบ้านแค่มองแล้วยกมือไหว้ตอนหลงแนะนำเพื่อนให้ทุกคนรู้จัก ก่อนกลับไปสนใจกีตาร์โปร่งที่กำลังดีดฮัมเพลงคลอไป ไม่ได้สนใจสมาชิกในครอบครัวคนอื่นนัก
บ้านหลงจะเรียกว่าเป็นครอบครัวใหญ่ก็คงใช่ ความจริงซอยนี้ทั้งซอยทุกคนเป็นเครือญาติกันหมด สมัยเรียนหลงยังเคยไปช่วยกิจการร้านแก๊สของป้าแลกกับค่าขนม ส่วนครอบครัวเขาพ่อเลี้ยงทำธุรกิจค้าไม้อยู่นนทบุรี พ่อเลี้ยงที่เป็นพ่อของหยก เป็นลูกคนละพ่อกับเขาและหยงน้องชายคนกลาง ซึ่งพ่อพวกเขาเสียไปตั้งแต่ยังเด็ก แต่ถึงจะมีสายเลือดร่วมกันแค่ครึ่งเดียวทั้งสามคนก็ยังรักกันดี ด้วยความที่หยกเกิดมาเป็นเด็กผู้หญิงด้วยล่ะมั้ง
เมื่อเห็นว่าพ่อกับแม่กำลังดูทีวีอยู่ เพื่อนเลยชวนหลงออกมานั่งเล่นที่โต๊ะม้าหินหน้าบ้านเพราะไม่อยากรบกวน โดยมีน้องสาวคนเล็กสุดแสบตามมาด้วยอีกคน พร้อมกีตาร์ในมือที่ไม่รู้ไปข่มขู่หยงมาหรือเจ้าตัวยินยอมให้ แต่เมื่อมองกลับเข้าไปในบ้านน้องชายคนรองก็หายตัวไปเสียแล้ว
"หยกไปตบกีตาร์มาให้ เห็นพี่หลงเคยบอกว่าพี่เพื่อนเล่นกีตาร์เก่ง เล่นให้หยกดูหน่อยนะ จะถ่ายคลิปไปอวดเพื่อนว่ามีผู้ชายมาร้องเพลงจีบ" หยกว่าพลางยื่นกีตาร์ให้เพื่อนที่ยอมรับมาแต่โดยดี ต่างกับพี่ชายที่อยากจะไปหักก้านมะยมมาฟาดให้เนื้อเขียว เป็นสาวเป็นนางพูดจาแบบนี้ไม่น่ารักเลย
"ให้มันน้อยๆ หน่อย"
"โห พี่หลง นานๆ ทีจะมีคนหล่อๆ มาหา หยกอัดไปให้เพื่อนดูเล่นๆ เอง พี่เพื่อนยังไม่ว่าอะไรเลย"
"นี่ก็ไม่ห้ามน้องเลย" ว่าน้องสาวไม่ได้เลยหันไปว่าเพื่อนแทน
"อ่าว! ก็หลงบอกหยกเองไม่ใช่เหรอ แค่เล่นกีตาร์เองไม่เป็นไรหรอก" เพื่อนว่าพลางอมยิ้ม คิดไปแล้วก็ชักสงสัยว่าหลงจะเอาเรื่องเขาไปพูดให้หยกฟังว่าอะไรอีกบ้าง
"งั้นก็ตามใจ จะเล่นก็เล่น มาเพื่อเล่นกีตาร์ให้หยกมันถ่ายคลิปไปอวดเพื่อน"
"ไม่งอนดิ"
"ใครงอน"
"จะใครอีกล่ะ"
"ปกติพี่หลงไม่ขี้งอนนะ ทำไมครั้งนี้หวงน้องอ่ะ"
"ก็บอกว่าไม่ได้งอน"
"ไม่หึงเพื่อนกับน้องสาวนะคะ ไม่ดี"
โดนสองรุมหนึ่งเข้าไปหลงถึงกับนั่งเงียบไปพักหนึ่ง เขามองเพื่อนสลับกับน้องสาวอย่างนึกหมั่นไส้ เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะ
"เพื่อนมันมาหาพี่ไง ไม่ได้มาหาหยก" หลงก็อ้างได้แค่นี้ เพื่อนอุตส่าห์มาหาทั้งทีก็อยากอยู่ด้วยกันแค่สองคนบ้าง แต่มีหรือน้องสาวตัวแสบกับเพื่อนจอมกวนประสาทจะฟัง
"พี่เพื่อนอย่าไปสนใจพี่หลงเลยค่ะ"
"เอาเพลงอะไรดี"
"แล้วแต่พี่เพื่อนเลย"
"ถ้างั้น..." เพื่อนเหล่มองหลงที่ทำหน้าเซ็งจัด นิ้วจับคอร์ดก่อนแย้มยิ้มออกมา
เอาเป็นเพลงเดียวกับที่เคยเล่นเมื่อครั้งนั้นก็แล้วกัน
ม. 6 เทอม 1
เสียงกีตาร์ดังแว่วมาจากมุมหนึ่งของสนามในคาบว่างของช่วงบ่าย เป็นคาบที่ทางโรงเรียนปล่อยให้นักเรียนระดับชั้น ม. ปลายได้มีเวลาสำหรับจัดนิทรรศการส้วมที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ทำบ้าง เล่นบ้าง พักกินขนมบ้าง จนมีใครสักคนในห้อง ม.6/1 ถือกีตาร์มา จากที่วุ่นวายอยู่แล้วจึงมีเสียงเพลงทำให้บรรยากาศครื้นเครงขึ้นไปอีก
งานนี้กลุ่มหลังห้องฝั่งหน้าต่างรับผิดชอบทำโมเดลชักโครกเพื่อประดับในซุ้ม หลงเป็นแม่งานเพราะฝีมือด้านประดิดประดอยดีที่สุด มีลูกมืออีกเจ็ดคนที่ช่วยทำงานจริงๆ แค่สี่คนเท่านั้น ส่วนอีกสามคนมาแนวสร้างบรรยากาศและป่วนคนอื่นเสียมากกว่า
"ไอ้เพื่อน"
คนที่นั่งตัดกระดาษลังละสายตาจากงานหันไปหาคนเรียก เพื่อนในห้องคนหนึ่งกวักมือเรียกเขาให้เข้าไปหา กลุ่มนั้นนั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงมาสักพักแล้ว ไม่ต้องเดาเลยว่าคงอยากเรียกคนดังของห้องไปร่วมวง
"แป๊บนึง ตัดไอ้นี่เสร็จก่อน" เพื่อนตะโกนกลับไปแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำงานส่วนของตัวเองให้เสร็จ คนชวนเลยลุกมาหาเองเสียเลย
เจ้าของร่างผอมแห้งผิวคล้ำนั่งลงข้างเพื่อนพร้อมกีตาร์ในมือ เขายิ้มโชว์ฟันขาว กำลังจะเอ่ยชวนอีกรอบแต่เล็กขัดขึ้นเสียก่อน
"มึงอย่าเพิ่งมากวนมันดิ"
"ไรวะ เล่นเพลงเดียวเอง น้องๆ เขาขอมา"
"น้องไหนของมึง"
"น้อง ม.4 นั่งส่งตาหวานกันอยู่ตรงนู้น" บอกแล้วชี้ไปยังกลุ่มรุ่นน้องที่บางคนหลบหน้าบางคนโบกมือให้
เล็กส่ายหน้าใส่อย่างเอือมระอา ขณะที่เพื่อนยังคงตัดกระดาษลังอย่างตั้งใจด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ไม่ได้สนใจเหล่ารุ่นน้องที่ส่งเสียงเรียกมาเป็นพักๆ หรือบางคนที่เข้ามาแอบถ่ายรูป จนกระทั่งทำงานของตัวเองเสร็จ วางไม่บรรทัดกับคัตเตอร์ไว้แล้วแบมือของกีตาร์ทันที
เพื่อนชอบกีตาร์ เขาอยู่ชมรมดนตรีสากลและกีตาร์เป็นเครื่องดนตรีชนิดเดียวที่เล่นเป็น เหล่าแฟนคลับในโรงเรียนเองก็รู้ดีว่าเมื่อพี่เพื่อนอยู่กับกีตาร์นั้นเท่แค่ไหน รุ่นน้องถึงได้พากันกรี๊ดกร๊าดเมื่อพวกเธอสมหวังตามคำขอ
"บ้าผู้ชาย" หรือบางทีก็แสดงออกมากไปจนเล็กอดว่าไม่ได้
"มึงก็ไปว่าน้องเค้า" เพื่อนปรามไม่ได้จริงจังนัก แต่ถ้าหากออกโรงปกป้องมากกว่านี้จะเป็นเขาเองที่โดนด่า
"หรือไม่จริง เอาแต่กรี๊ดผู้ชายเนี่ย งานการไม่ทำ"
"มึงอิจฉามันเหรอ" ขวัญเข้ามาช่วยผสมโรง คนโดนว่าเลยรีบโวยวาย
"อิจฉาอะไร คนอย่างกูสาวติดตรึมเว้ย"
"เหรอ ได้ข่าวว่าเพิ่งโดนน้องแพรทิ้ง"
"ไอ้สัด! ไอ้เก้ หุบปาก"
"อ้าว โดนทิ้งแล้วเหรอ"
"ไอ้โหน่ง มึงอย่ามาทับถมได้มั้ยเนี่ย วันๆ ติดแต่เมียเคยรู้อะไรกับเพื่อนบ้าง"
"อย่างน้อยกูก็มีเมียรักเดียวใจเดียว"
"ไม่เหมือนใครบางคน"
"ไอ้เต้ย มึงไม่มีแฟน หยุดพูดไปเลย"
งานเริ่มไม่เดินเพราะแต่ละคนหยุดมือเปลี่ยนมาตั้งหน้าตั้งตาเถียงกันแทน หลงถอนใจส่ายหน้า พวกผู้หญิงที่นั่งอีกฝั่งตะโกนด่า เสียงดังโหวกเหวกจนห้องอื่นหันมามอง เว้นก็แต่เพื่อน คนที่ยังเอาแต่ยิ้ม มองกีตาร์ในมือพลางนึกคอร์ดเพลงที่อยากเล่น จนเมื่อสายตาสบเข้ากับเพื่อนตัวอ้วนเพลงๆ หนึ่งก็โผล่เข้ามาในหัว
เสียงกีตาร์โปร่งดังแทรกเสียงโวยวายจนคนที่กำลังตะโกนแข่งกันพากันเงียบ เสียงดนตรีนั้นคล้ายมนต์สะกด หลายคนหยุดฟัง อีกส่วนกลับไปตั้งใจทำงานต่อ เมโลดี้ที่คุ้นหูนั้นชวนให้โยกหัวหรือเคาะจังหวะตาม
เพลงๆ นี้ที่เพื่อนอยากใช้มันสื่อสารกับใครคนหนึ่ง คนที่กำลังมองสบตากับเขาด้วยแววตานิ่งสงบ คนที่ทำให้เขาอยากเล่นเพลงนี้ขึ้นมา
คนที่ทำให้เขากำลังรู้สึก...สับสนในใจ
"ก็ทั้งรู้ว่าเธอเป็นใครและฉันก็ไม่คิดจะปีนขึ้นไป
คงไม่มีทางจะเป็นไปได้ก็เรานั้นมันต่างกัน
ทำได้แค่เพียงเจียมตัวมันไปวันๆ ฉันเข้าใจ
แต่ ฉันก็ไม่รู้เพราะความบังเอิญ หรือว่าอันที่จริงฉันนั้นจงใจ
เวลาที่เธอมายืนใกล้ๆก็ยังเผลอไปสบตา
รู้ก็ทั้งรู้ว่าคงไม่มีปัญญา คงไม่มีหวัง
ไม่อยากจะเหลียวมอง ฉันคอยบอกตัวเอง แต่ยังทำไม่ได้
ไม่อยากจะสนใจ ก็รู้ว่าไม่มีทาง แต่ก็ไม่รู้ต้องทำอย่างไร"
หลายคนที่ได้ยินเสียงกีตาร์ต่างขยับปากร้องตาม เพื่อนยังคงยิ้มโชว์แก้มบุ๋มข้างขวา ร้องไปยิ้มไปขณะที่สายตายังจดจ้องอยู่ที่หลง
"อดใจไม่ไหวเมื่อได้พบหน้า ยิ่งเธอส่งยิ้มคืนมายิ่งหวั่นไหว
ยังเป็นอย่างนี้อยู่ทุกวัน ฉันต้องคอยหักห้ามใจ
อดใจไม่ไหวทุกทีที่เจอ เพียงอย่าแอบเผลอมองตา จะผิดไหม
เก็บเอาไปฝันอยู่ทุกคืนฉันต้องทำ ตัวเช่นไร
ช่วยบอกได้ไหมเธอ"
เพลงแรกจบลงตามด้วยเสียงเรียกร้องให้เล่นต่อ เพื่อนหลุดจากสายแรงงานเข้าสู่สายเอ็นเตอร์เทนเต็มตัว มีรุ่นน้องอู้งานเข้ามามุงดู ถ่ายคลิปบ้างถ่ายรูปบ้าง แต่เขาไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะคนที่จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดดูเหมือนจะเป็นคนที่ถูกดวงตาสดใสคู่นี้จ้องมองแทบตลอดเวลามากกว่า
เพื่อนเล่นกีตาร์เก่ง หลงรู้
เพื่อนร้องเพลงเพราะ หลงก็รู้
แต่ที่เขาไม่รู้คือเพราะอะไรสายตาคู่นั้นถึงได้มองมาที่เขาแทบจะตลอดเวลา
สายตาที่ไม่เหมือนเดิม
ความรื่นเริงจบลงเมื่อหัวหน้าห้องเริ่มโวยวายเพราะงานไม่เดิน กีตาร์ถูกส่งคืนให้เจ้าของมัน เพื่อนกลับมานั่งจับคัตเตอร์กรีดกระดาษลังตามรอยที่เต้ยขีดให้แล้วส่งให้ขวัญกับเก้ช่วยกันประกอบขึ้นโครง หลงกับเล็กรอระบายสีตกแต่ง ส่วนโหน่งกับมาลิกโดนเรียกตัวไปช่วยจุดอื่นเพราะทำตัวว่างเกินไป
กว่าจะช่วยกันจัดซุ้มเสร็จก็เกือบเลยเวลาเลิกเรียน เหตุเพราะติดเล่นมากกว่าทำงาน ทุกคนช่วยกันเก็บกวาดและขนขยะไปทิ้ง เป็นอันจบภารกิจ ซุ้มของนักเรียนห้อง ม.6/1 พร้อมแล้วที่จะอวดโฉมในงานนิทรรศการวันพรุ่งนี้
-----------------------------
หวั่นไหว
เป็นเพลงดังเมื่อสิบกว่าปีก่อนหากแต่ไม่ได้ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา ภาพที่หลงเห็นก็เช่นกัน เด็กหนุ่มในชุดนักเรียน ม.ปลาย ดีดกีตาร์ร้องเพลงใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แววตาคู่นั้นที่มองมาทางเขายังคงเหมือนเดิม แววตาที่ส่งความรู้สึกดีๆ หากแต่มั่นคงและแน่วแน่กว่าครั้งไหนๆ
เสียงปรบมือจากสาวน้อยหนึ่งเดียวดังขึ้นเมื่อการแสดงจบลง หยกยิ้มกว้าง กดหยุดการบันทึกวิดีโอด้วยท่าทางระริกระรี้ เท่านี้เธอก็มีคลิปหนุ่มหล่อไปโมเมหลอกเพื่อนที่โรงเรียนได้แล้ว
"ขอบคุณนะคะ พี่เพื่อนชอบเพลงนี้เหรอ"
"คงงั้นมั้ง" ตอบคำถามน้องสาวแต่ตาเหลือบมองพี่ชาย หลงมองกลับมานิ่งๆ ก่อนเพื่อนจะโดนหยกเรียกให้กลับไปสนใจ
"เคยใช้จีบสาวล่ะสิ"
"รู้ได้ไง"
"อ้าว ถูกเหรอ หยกเดาอ่ะ ทำไมสาวคนนั้นโชคดีจัง"
ฟังบทสนทนาของทั้งคู่แล้วคิ้วหลงก็เลิกขึ้นอย่างนึกแปลกใจ เพื่อนเคยจีบผู้หญิงก่อนด้วยงั้นเหรอ ถ้าเป็นสมัยมัธยมเขาตอบได้เลยว่าไม่ แล้วไอ้เรื่องเล่นกีตาร์ร้องเพลงจีบยิ่งแล้วใหญ่ จะบอกว่าเป็นสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่น่าจะใช่อีก แล้วจะเป็นตอนไหนไปได้ล่ะที่เพื่อนร้องเพลงนี้ ถ้าไม่ใช่ตอนจัดซุ้มนิทรรศการส้วม
เขาโดนจีบตั้งแต่นอนนั้นแล้วงั้นเหรอ
"จริงๆ จะเรียกว่าจีบได้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ตอนนั้นพี่ยังไม่ค่อยแน่ใจในตัวเองเท่าไร"
แต่แล้วคำตอบของเพื่อนก็ช่วยย้ำให้ความคิดของหลงชัดเจนขึ้นมา
"ยังไม่แน่ใจว่าชอบเหรอคะ"
"คงงั้นล่ะมั้ง แต่ก็เริ่มรู้ตัวแล้วนะว่ามีบางอย่างแปลกไป"
"แปลกยังไงอ่ะ" ดวงตาของเด็กสาววาวโรจน์ คำถามแสดงออกถึงความอยากรู้จนเพื่อนนึกขำ เขาเหลือบมองหลงที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก่อนตอบคำถาม
"คอยมองหา นึกถึงตลอดเวลา อยากอยู่ใกล้ๆ ประมาณนั้นล่ะมั้ง"
"แบบนี้เขาเรียกตกหลุมรักแล้วหรือเปล่าคะ ไม่ใช่แค่รู้สึกแปลก"
เพื่อนหัวเราะเบาๆ สีหน้ากับน้ำเสียงของหยกมันดูเกินจริงจนอดขำไม่ได้ และดูเหมือนว่าน้องสาวคนนี้จะไม่ยอมเลิกซักไซ้ง่ายๆ เสียด้วย
"แล้วยังไงต่อคะ"
"ยังไงต่อเหรอ"
"จีบติดมั้ย ได้เป็นแฟนกันหรือเปล่าคะ"
"อกหักล่ะ"
"โห ไรอ่ะ ยัยคนนั้นโง่มากเลยค่ะที่ปฏิเสธพี่เพื่อน ออกจะหล่อขนาดนี้"
คำว่า 'โง่' ย้ำชัดจนคนที่นั่งฟังเงียบๆ เผลอสะดุ้ง เพื่อนรีบส่ายหน้าคัดค้าน คนที่ปฏิเสธไม่ใช่คนโง่ และเขาไม่ใช่คนดีพอที่ทุกคนต้องตอบรับความรักที่มอบให้
"ไม่หรอก ความหล่อไม่ใช่ทุกอย่าง ความรักมันต้องการอะไรที่มากกว่านั้น"
"ไม่เป็นไรนะคะ ถ้าตอนนั้นหยกรู้ว่าพี่เพื่อนโดนหักอกนะ จะรีบไปดามใจให้เลย"
"ให้มันน้อยๆ หน่อย" หลังจากเงียบฟังมานานสุดท้ายหลงก็ออกปากว่าอย่างอดไม่ได้
หยกไม่ได้มีท่าทีสำนึกเท่าไรเพราะแค่พูดหยอกเล่นไปเรื่อย นิสัยแบบนี้เธอคิดว่าพี่ชายของเธอรู้ดี พี่เพื่อนสุดหล่อของเธอก็น่าจะรู้เช่นกันถึงได้หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่ตอนนี้
"พี่เพื่อนก็โรแมนติกดีนะ มีร้องเพลงจีบด้วย ไม่เห็นจะมีใครมาจีบหยกแบบนี้บ้างเลย"
"ดีดกะโหลกแบบนี้ใครจะอยากจีบ"
"พี่หลงทำไมชอบว่าหยกอ่ะ ทีพี่หลงยังไม่เห็นมีคนมาจีบเลย"
เจอว่าแบบนี้หลงเกือบจะหลุดปากสวนกลับไปว่า 'คนที่กำลังจีบเขาก็นั่งยิ้มหน้าแป้นแล้นอยู่นี่ไง' แต่ต้องเงียบปากเอาไว้แล้วข่มขู่น้องสาวตัวดีทางสีหน้าแทน อีกอย่างทำไมเขาต้องมาฟังสองคนนี้นินทาเรื่องสมัยมัธยมต่อหน้าด้วยก็ไม่รู้
"ได้ตามใจแล้วก็รีบไปเลยไป" หลงไล่ เพื่อนมาหาเขา แต่ตั้งแต่มาถึงเขายังไม่ได้คุยอะไรกันเป็นเรื่องเป็นราวเลย
"ทำไมไล่อ่ะ ไปก็ได้ หยกเข้าบ้านก่อนนะพี่เพื่อน ขอบคุณสำหรับเพลงเพราะๆ นะคะ"
"ยินดีครับ"
หยกยิ้มกว้างลุกจากที่นั่ง ตั้งท่าจะกระโดดเข้าบ้านด้วยความร่าเริงเหมือนเจ้าหญิงที่วิ่งในสวนดอกไม้ แต่ดันโดนพี่ชายเรียกขัดจินตนาการเอาไว้
"หยก"
"ว่า"
"เอากีตาร์ไปเก็บด้วย" หลงหยิบกีตาร์ที่อยู่ในมือเพื่อนคืนให้หยก สาวน้อยแกล้งทำหน้าหงิกก่อนเปลี่ยนมายิ้มสดใส ยอมรับกีตาร์ไปถือไว้แล้วเดินเข้าบ้านไปโดยดี
ในที่สุดก็ได้อยู่กันตามลำพัง แต่เหมือนวันนี้โชคจะไม่เข้าข้างพวกเขาเท่าไรนัก
"แม่ตามกลับบ้านแล้วอ่ะ" เพื่อนบอกหลังจากเปิดอ่านไลน์ที่แม่ส่งมาเมื่อสักครู่ เขาลืมบอกว่าแวะบ้านหลง เพราะกลับผิดเวลาแม่เลยเป็นห่วง นี่ก็ดึกมากแล้วเขาควรกลับบ้าน หลงจะได้พักด้วย
เมื่อเพื่อนว่ามาอย่างนั้นหลงย่อมขัดอะไรไม่ได้แม้จะเสียดาย เขาลุกขึ้นตามเพื่อน ดูนาฬิกาในมือถือแล้วคำนวณระยะเวลา
"เดี๋ยวไปส่ง" สี่ทุ่มแล้ว แม้จะเป็นผู้ชายแต่ถนนเส้นนี้ค่อยข้างเปลี่ยว หลงไม่ได้ลำบากเรื่องเวลา จะให้ไปส่งเพื่อนที่บ้านก็ไม่ลำบากเหมือนกัน
"ไม่เป็นไร มาเองเดี๋ยวกลับเอง มันดึกแล้ว"
"อย่าดื้อดิ"
"ดื้อตรงไหนเนี่ย ถ้าไปส่งกว่าหลงจะถึงบ้านเที่ยงคืนพอดี"
"อย่าเวอร์ รออยู่นี่แหละ"
หลงไม่ฟังคำคัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น เขาหันหลังกลับเข้าบ้าน หยิบกุญแจเดินไปยังที่จอดรถ ขับมอเตอร์ไซค์ที่เอาไว้ใช้เฉพาะไปไหนมาไหนใกล้ๆ ออกมาหาเพื่อนที่ยืนรออยู่ คืนนี้เขาจะเป็นพี่วินพาคุณผู้โดยสารไปส่งถึงบ้านเอง
เพื่อนรับหมวกกันน็อกที่หลงยื่นให้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม วาดขาขึ้นคร่อมซ้อนท้าย เกาะคนขับไว้ให้มั่น และกำชับก่อนออกรถ
"ขับช้าๆ นะ"
"กลัวเหรอ"
"เปล่า เดี๋ยวถึงบ้านเร็ว"
หลงยิ้มขำ ค่อยๆ บิดคันเร่งพารถออกสู่ถนนใหญ่ที่โล่งจนเหมือนถนนส่วนตัว กับความเร็วที่ใช้ไม่เกินหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง
เพราะตอนอยู่ที่บ้านไม่ค่อยได้พูดอะไรระหว่างขับรถหลงเลยชวนคุยจ้อไม่หยุด ลำบากคนซ้อนที่ต้องตั้งใจฟังเสียงพูดที่โดนเสียงลมกลบจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง เพื่อนขยับตัวเข้าไปจนเกือบชิด ยื่นหน้าเข้าไปฟังใกล้ๆ จนเหมือนเอาคางเกยคนขับ มีพูดตอบโต้บ้าง แต่ส่วนใหญ่หลงเป็นฝ่ายพูดคนเดียวมากกว่า
ระยะทางสิบกิโลเมตรช่างใกล้แสนใกล้ในความรู้สึก พูดเรื่องที่อยากคุยยังไม่ทันจบก็ต้องหยุดรถเมื่อมาถึงหน้าบ้านที่มีอ่างบัววางอยู่ด้านหน้า
"ขอบคุณนะ" เพื่อนลงจากรถถอดหมวกกันน็อกคืนให้
หลงพยักหน้ารับ มองเข้าไปในบ้านเห็นแม่เปิดประตูออกมาพอดีจึงยกมือไหว้ทักทาย และขอตัวกลับทันทีเพื่อให้เพื่อนได้มีเวลาพักผ่อน พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้าไปทำงานอีก
"กลับก่อนนะ"
"ขับรถดีๆ"
หลงไหว้ลาคุณแม่ของเพื่อนอีกครั้งก่อนวนรถขับออกไป ทิ้งให้เจ้าของบ้านยืนยิ้มมองตามจนแม่ต้องเรียกเข้าบ้าน
"เข้าบ้านได้แล้ว ยืนยิ้มอยู่นั่นแหละ"
"ก็มีความสุขอ่ะแม่" เพื่อนรีบเปิดประตูรั้วเดินเข้ามากอดแม่ ทำตัวอ้อนเหมือนเด็กไม่ยอมโต
"ไม่ยอมกลับบ้านเพื่อไปหาผู้ชายเนี่ยนะ"
"โหแรง"
"ทิ้งแม่ นิสัยไม่ดี"
"ผิดไปแล้วครับ"
"ไปอาบน้ำไป จะได้นอน" เธอฟาดเข้าที่ไหล่ลูกชายไปหนึ่งทีไม่แรงนักอย่างนึกหมั่นไส้
เพื่อนแกล้งทำเป็นเจ็บผละออกจากแม่เดินหนีขึ้นห้องนอน ทิ้งให้คุณนายของบ้านยืนยิ้มเท้าเอวมองพลางส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก
TBC
จากนี้ความเหงาๆ หม่นๆ จะหายไป แต่ความสดใสจะเข้ามาหรือเปล่า??
อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วค่า ทำไมเร็ว 55555 เรื่องนี้รวมบทนำกับบทส่งท้ายก็ 21 ตอนถ้วน ^^
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า