ตอนที่ 30/2 เธอเป็นแฟนฉันแล้ว
บางครั้งก็แปลก ... เวลาที่เราต้องการอะไรมากๆ มันก็มักจะชวดอยู่เรื่อยๆ แต่ครั้นเราถอดใจ ไม่รอ ไม่มีความหวัง สิ่งนั้นก็จะหวนกลับมาเมื่อทุกอย่างมันสายไปแล้ว และยามนั้นต่อให้ดิ้นรน ขัดขืน ฝืนไล่ เตะถีบยังไง มันก็จะหน้าด้านไม่ยอมไปสักที เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้....
ทันทีที่เสียงลูกบิดลั่นกริ๊ก ผมก็รู้สึกตัว ผมเผลอหลับไปทั้งๆ ที่ห้องนอนยังเปิดไฟอยู่จึงทำให้ตื่นได้ง่ายเมื่อได้ยินเสียงดังเพียงเล็กน้อย ผมสะดุ้งเด้งตัวขึ้นนั่งพลางเอี้ยวตัวไปมองที่ประตู พยายามขยี้ตาที่รู้สึกเคืองๆ นั่นซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ก็กำลังฝันไป
เจ้ากระต่ายตัวเขื่องมันโซซัดโซเซเหมือนซอมบี้เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะทิ้งตัวใส่ผมที่ยังสลึมสลืออยู่กับเตียง
“เฮ้ย....” ผมอุทานออกไปทันทีเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักตัวที่กดทับ
หนัก... และอุ่น จนไม่น่าจะเป็นเพียงแค่ความฝัน....
ผมหงายหลังเพราะถูกทับพยายามยกตัวอันหนักอึ้งของมันออกหากแต่อีกฝ่ายไม่ยอมขยับเขยื้อน ซ้ำร้ายยังพาดท่อนแขนมหึมาเข้ากับคอของผมจนหายใจแทบไม่ออกอีกต่างหาก
“ไอ้บ้าเอ๊ย หนักเชี่ยๆ ทับลงมาได้ มึงลุกขึ้น ณ บัดนาว แล้วมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลยนะ!!”
ผมโวยวายใส่ตัวเจ้าปัญหาที่ก่อกวนใจได้ทุกวันด้วยอารมณ์เดือดพล่าน มันจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าพฤติกรรมผลุบๆ โผล่ๆ แบบนี้ของมันสร้างความหงุดหงิดใจให้ผมมากแค่ไหน... ผมไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของมันสักหน่อย พออยากก็มาหา พอเบื่อก็หายหัวไป
“ตัวก็ขาวอยู่นะทำไมใจดำอย่างกะอีกา กูรึอุตส่าห์ดั้นด้นแหกขี้ตามาถึงนี่ ยังจะไล่กลับอีก กูไม่รถคว่ำตายกลางทางก็ดีเท่าไรแล้ว” มันบอก ซึ่งก็ฟังน่าเชื่อถืออยู่หรอก ดูจากสภาพโทรมเป็นซากซอมบี้อย่างที่เห็นแล้ว
“กูขอร้องมะ?” ผมถามกลับ ก็จริงหรือเปล่าล่ะ ผมไม่ได้พูดสักคำให้มันแบกสังขารมาหา มันมาเองแล้วจะพูดเหมือนเป็นบุญเป็นคุณทำไม
“อือ...ถ้ามึงไม่ขอร้องให้กูไป งั้นกูก็อยู่นี่แหละ”
“เฮ้ย ไม่ใช่อย่างนั้น....” ไอ้กระต่ายสายพันธุ์ปลิงเอ๊ย!! ทำไมมึงถึงหน้าด้านหน้าทน ยิ่งกว่าเหล็กคอนกรีต
“น่าๆ กูรู้มึงใจดี เมื่อวานก็ไม่ได้นอนทั้งคืนแล้วขอพักหน่อยเถอะ อย่าเพิ่งไล่ไปไหนเลย...” มันรีบตัดบทไม่ให้ผมพูดต่อ แล้วก็นิ่งไป ผมพยายามขืนตัวออกไปห่างๆ เพราะหนักที่โดนทับทั้งอึดอัดกับแขนที่พาดไว้ ตั้งใจจะยกแขนมันออกไปให้พ้นๆ จะได้นอนสบายๆ อีกฝ่ายก็ไม่ยอม ยิ่งรัดแน่นมากขึ้นไปอีก
เฮ้อ... อะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย....
ผมถอนใจเฮือก ทำได้เพียงพลิกกายนอนตะแคงให้หายใจสะดวกขึ้น แต่ก็ยังโดยกอดอยู่แบบนั้น
ช่างเถอะ ท่าทางมันจะง่วงบวกเพลียจริงๆ คงไม่มีแรงลุกขึ้นมาทำอะไรผมหรอกมั้งนะ....
ผมค่อยคลายใจพริ้มตาลงอีกครั้งหนึ่ง....
แต่ยังไม่ทันไรเลย....
“มึง....” เรียกหาป๊ามึงเหรอเนี่ย คนจะนอน....
“อื้อ....” ผมตอบ เพราะกำลังเคลิ้มๆ จะหลับไม่หลับแหล่อยู่แล้ว....
“ขออะไรอย่างดิ” แน่ะ มาคงมาขอไรอีก
“อะไรของมึงอีก กูจะนอน” ผมตอบกลับไปอย่างรำคาญเต็มทน....
“นะ...ช่วยหน่อย...” มันบอกด้วยเสียงอ้อนๆ เอามือโต มาถูมือผมไปมา เพื่อ?????
นั่นไงกูว่าแล้ว..... ถ้าหลวมตัวให้มึงนอนนี่ ก็ไม่พ้นเจ็บตัวอีกจนได้ใช่ไหมเนี่ย
ไม่ ผมไม่ยอมให้เหตุการณ์สะเทือนขวัญเช่นนั้นเกิดขึ้นอีกแน่ๆ
“เชี่ย..มึงนอนไปเลยนะ ไหนบอกมึงง่วงมากไง ถ้ามึงมีแรงพอจะทำอะไรกูได้นะ กูจะไล่ให้มึงกลับไปนอนที่บ้านตัวเองเลย” ผมโวยวายทันทีเมื่อคิดว่าตัวเองโดนมารยาสาไถหลายล้านเล่มเกวียนเข้าให้อีกแล้ว พยายามขืนตัวหนีจากอ้อมแขนของมันโดยไว จนอีกฝ่ายรีบห้ามทัพ....
“เฮ้ย ใจเย็นสิ....อะไรของมึงเนี่ย ยังไม่ได้บอกแบบนั้นสักคำ เมื่อคืนก็ทำงานโต้รุ่ง วันนี้ก็เรียน ถึงอยากทำก็ ไม่มีแรงว่ะให้ตาย”
“แล้วมึงจะขออะไร!”
“กูแค่จะขอ.....ให้มึงปิดไฟที กูแสบตานอนหลับไม่สนิท”
หา??? แค่เนี้ย???
อ้าวไอ้เชี่ย!! แล้วทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ฟระ
แล้วแค่บอกให้ปิดไฟ มึงจะมาถูมือปลุกอารมณ์กูทำส้งติงอะไรเนี่ย..... กรอดดดดด
......
.............
เอาเป็นว่าไอ้ตุลย์ก็รักษาคำพูดเป็นอย่างดี มันนอนหลับเป็นตายเลยจนกระทั่งสายของอีกวัน แล้วก็ลากผมที่เกิดตาค้างขึ้นมาแล้วข่มตานอนไม่หลับขึ้นมากะทันหันนั่น ออกมาทั้งๆ ที่เพิ่งหลับไปไม่กี่ชั่วโมง
ก็เคยบอกไปแล้วว่า ไอ้ห่านี่ ไม่เคยทำให้ชีวิตผมได้พบเจอกับเรื่องดีๆ หรอกนอกเสียจากความซวยและความผิดพลาด... ถึงจะพยายามปฏิเสธว่า ไม่หิวขอนอนต่ออีกหน่อย แต่ไอ้กระต่ายฮิตเล่อร์มันไม่เคยคิดจะฟังดี...
“กูหิว และไม่อยากกินคนเดียว เมื่อคืนก็นอนพร้อมๆ กัน และนี่ก็สายมากแล้ว มึงอย่านอนกินบ้านกินเมือง กินอพาร์ทเมนท์ จงรีบตื่นขึ้นมา กูจะพาไปกินของอร่อยๆ”
เหอะ!! นอนพร้อมกันแต่ไม่ได้หลับพร้อมกันมั่งเหอะ เพราะไอ้บ้าบางตัวแม่งเสือกมาถูมือปลุกอารมณ์ให้คิดลึก แล้วมันก็บอกให้ปิดไฟแล้วชิ่งหนีไปเฝ้าพระอินทร์
“กินอะไร?” ผมถามทั้งๆ ที่ยังขดตัวอยู่อย่างเดิม แน่นอนว่าถ้ามันจะพาผมไปกินอะไรที่ไม่เข้าท่า ผมก็ไม่ยอมโดนหลอกเป็นครั้งที่ สอง (สาม สี่ ห้า) เป็นอันขาด
“พิซซ่ามั๊ย?”
“ไม่อ่ะ เดี๋ยวกินไม่ได้”
“ทำไม? ไม่อยากกินแป้ง กลัวอ้วนเหรอ?”
“ก็เวลามึงไปกินพิซซ่า มึงสั่งหน้าอะไร”
“ซีฟู้ด...”
“เห็นมะ กูกินไม่ได้!!” มึงเคยจำไหมเนี่ยว่ากูกินกุ้งไม่ได้เนี่ย ไอ้สันขวาน
“ไม่เป็นไรมึงกินแป้ง เดี๋ยวกูกินกุ้งเอง” อ้าว ไหงงั้นล่ะ?
เห็บหมาเหอะ ถ้าจะให้ไปกินแต่แป้ง แล้วจะชวนกูไปทำเหง้าขิงอะไรล่ะ?
“เออ งั้นมึงไปกินคนเดียว กูนอนต่อละ”
“หน้าอื่นก็มีถมถืด ถ้ามึงไม่สั่งพิซซ่าหน้ากบเขาก็คงทำให้มึงได้แหละ”
“ไม่เอา หน้ามอ อบพิซซ่าไหม้ กูเคยกินละ เข็ด ไม่กินพิซซ่า”
“แล้วมึงจะกินอะไร?”
“เคเอฟซี....”
“หึ...กูเบื่อไก่... เวลาทำงาน ไอ้เดฟมันชอบซื้อแต่ข้าวมันไก่มา กูแดกจนจะขันได้อยู่แล้ว”
“งั้นก็ไม่ไป”
“เรื่องมากละมึงอ่ะ ถ้าอยากนอนมากนัก กูจะนอนเป็นเพื่อน นอนกินก็สบายดีเหมือนกัน เอาไหม?”
“นอนกินอะไรของมึ้ง?”
“ก็กูหิวอยู่ ถ้ามึงไม่ยอมยุรยาตรออกจากเตียงสุดที่รักของมึงซะตอนนี้ กูจะเปลี่ยนใจกินมึงที่นี่แทน ไม่อิ่มท้องเท่าไร แต่อิ่มใจพอทน โอเคมะ?”
เชี่ย ....วกเข้าเรื่องอย่างว่าอีกและ!!
..............................................................
“เอาหมูสไลด์ สาหร่ายวาตาเมะ ชุดผัก เป็ดย่าง หมี่หยกแล้วก็.........”
เสียงผมเองแหละ คงไม่ต้องบอกหรอกมั้งว่าสุดท้ายไปที่ไหนกัน...
คบคนรวยๆ มันก็ดีไปอย่างนะ ลองได้ออกเงินเองคงไม่กระเสือกกระสนอยากจะมากินของอะไรแบบนี้หรอก มื้อนึงก็ห้าร้อยอัพแล้ว จะกินอะไรก็ต้องอั้นๆ ค่อยๆ สั่งแบบไม่ให้สะเทือนกระเป๋ามาก แต่นี่ไม่ได้ออกเอง เลยไม่ค่อยเท่าไร พ่อจะสั่งให้กินไม่ไหวเลย...
จะว่าไปแล้ว ค่าห้องเดือนนี้ยังไม่ได้จ่ายเลยนะ ถ้ารีดไถมันสักหน่อย เป็นค่าเช่าที่แวบมานอนค้างหลายวันมาใช้คอมตั้งหลายชั่วโมง มันจะหาว่าผมงกไหมเนี่ย?
“ขนาดไม่หิว พอมาถึงสั่งอย่างกับอดอยากมาสามปี”
“ก็ก่อนมายังไม่หิว แต่มาถึงมันหิวพอดีนี่นา”
“เหรอ? แล้วคิดไหมว่ากูจะมีตังค์จ่ายหรือเปล่า?”
อ้าว..... เชี่ยแล้วไง.... จะได้ล้างจานไหมวันนี้
หน้าตาก็ดี ขี่รถก็หรู อย่ามาอำหน่อยเลยว่าไม่มีตังค์ ถ้ามึงไม่รวยล่ะก็ กูเลิกคบจริงๆ นะ
ผมลุกขึ้นยืน แล้วบอกมันเบาๆ
“งั้น เดี๋ยวกูออกไปก่อน มึงค่อยๆ ย่องตามไปแล้วกัน ลูกค้าเยอะ เค้าคงไม่ได้สังเกตหรอก” ผมบอกเตรียมลุกขึ้น แต่อีกฝ่ายรีบคว้าแขนไว้ก่อน
“เฮ้ย!! มึงจะไปจริงเหรอ?”
“ก็มึงบอกไม่มีตังค์ กูสั่งซะเต็มคราบขนาดนี้ จะอยู่ทำเขืออะไรละ?” ประเด็นมันคือ ถ้ามันไม่มีตังค์ แล้วคิดว่าน้ำหน้าอย่างผมจะมีเหรอ?
“นั่งเหอะน่า กูล้อเล่น” มันบอกแล้วก็หัวเราะ เยาะเย้ยความเชื่อคนง่ายของผม
แม่งเอ๊ย หลอกเรื่องอื่นยังพอว่า อย่ามาพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ สิวะ มันสะเทือนใจนะเว้ย...
“อ่ะ...แสดงหลักฐาน ว่าอยู่รอเค้าคิดตังค์ได้ จะได้กินอย่างสบายใจ”
มันล้วงกระเป๋าหนังแบนๆ ส่งมาให้ผม
มึงพลาดแล้ว ที่ให้ของแบบนี้มา เดี๋ยวช่วงที่เผลอต้องแอบมุบมิบไว้สักใช้สักครึ่งกระเป๋า
ผมรับกระเป๋ามันมาเปิดดู มีเงินสดอยู่สองพันกว่าบาท เงินแค่นี้ ถ้าจิ๊กไป มันก็ต้องรู้อยู่แล้วเนอะ ไม่เสี่ยงดีกว่าถ้าโดนจับได้ขึ้นมา ....ลำบากตูดตายชัก!!
“โห กูนึกว่ารวย ทั้งกระเป๋ามีเอทีเอ็มใบเดียวเอง?”
“มีบัตรกระชาชนกับใบขับขี่ด้วย” แน่ะ มีหน้ามาเถียง
“ใครจะสน สองใบนั้นมันเอาเงินออกมาไม่ได้ซะหน่อย”
“แล้วจะให้มีอะไรล่ะ? แค่นี้ก็หนักแล้ว”
“พวกบัตรเครดิตรูดได้ไม่จำกัดวงเงินไรงี้”
“กูว่ามันเป็นค่านิยมผิดๆ นะ บัตรเครดิต รูดไปก็เสียดอกเบี้ย เท่ากับว่าซื้อของมาก็ยังไม่ใช่ของเราอยู่ดี สู้ซื้อสดก็ไม่ได้ หรือถ้ามีเงินสดไม่พอ เอทีเอ็มกูก็รูดได้นะ ไม่ใช่เครดิต เป็นเดบิต ถึงจะจำกัดวงเงินแค่ที่มีอยู่ในธนาคารแต่ก็มีอยู่เจ็ดหลักอยู่ดี คงไม่ซื้ออะไรแพงๆ มากกว่านั้นหรอกมั้ง”
เจ็ด??
หน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน ........... เชี่ย!!
ช่างแม่งเหอะ รู้ละว่ารวยแต่สมถะ ชอบอะไรบ้านๆ ไม่งั้นคนอย่างมันคงไม่มีวันลดตัวมาสุงสิงกะผมหรอก จริงไหม?
อย่าว่าแต่จะมานั่งกินอะไรกันแบบนี้เลย ผมเคยคิดว่าอาจจะไม่ได้พูดอะไรกับคนหยิ่งๆ อย่างมันเลยสักคำก็ได้
พนักงานยกของมาเสิร์พ ผมค่อยๆ ทยอยใส่ผักและสิ่งต่างๆ ลงหม้อไป แต่ไอ้ตุลย์เอนตัวพิงพยักสบายใจเฉิบรอเขมือบอย่างเดียว สบายเหลือเกินนะท่านเจ้าคุณ กินแรงกูตลอด!!
ช่างเถอะ เห็นกับที่มันเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวมื้อนี้ (และมื้อต่อๆไป) จะยอมบริการให้สักครั้งก็ได้วะ
RRRRRRR
เสียงโทรศัพท์ บ้านๆ ดังขึ้นขัด ผมเงยหน้าขึ้นมองมันกดรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจนอดไม่ได้ที่จะเลิกสนใจของกินมาสนใจบทสนทนาแทน
“ว่าไงเรา โทรมาคิดถึงเหรอ?....... ก็ยุ่งๆ เลยไม่ได้กลับ ................ฮ่าๆ เลยกลายเป็นหมาหัวเน่าสินะ? ..............พี่เหรอ? กินเอ็มเคอยู่” เอ... หรือว่าจะคุยกับน้อง?
“ ...........กับใครเหรอ?” มันเงยหน้ามามองหน้าผม ผมก็ไม่อยากให้มันรู้ว่าผมสอดรู้สอดเห็นแอบฟังมันคุยโทรศัพท์กับน้อง เลยหันไปตักอะไรสักอย่างในหม้อจิ้มน้ำจิ้ม ทำเหมือนไม่ได้สนใจ กินต่อๆ
“กับแฟน”
พรวด!!! แค่ก!! สำลักข้าวโพดอ่อน
“...........อะไรนะ อยากคุย? ได้ๆ ......อ่ะ น้องอยากคุยด้วย”
เชี่ย!! ผมดื่มน้ำคลายอาการผะอืดผะอมเมื่อครู่ พลางโบกมือทันทีทันใด
บ้ารึเปล่าเนี่ย ถ้าผมบ้าจี้รับโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วน้องมันเกิดหัวใจวายตายที่พี่ชายมันเกิดผิดเพศจะทำยังไง
“โทษนะมีน... พอดีแฟนพี่มันขี้อายอ่ะ เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน.........งั้นแค่นี้ก่อนนะ พี่กินข้าวก่อน” มันบอกมันก่อนจะวางสาย รอยยิ้มยังติดอยู่ที่ใบหน้าอย่างเดิม
“อ่ะน้ำ... เผื่อไม่พอ” แสนรู้ดีนักนะ...
ผมรับน้ำชาของมันมาดื่ม เนื่องด้วยน้ำในแก้วตัวเองหายวับไปกับตาแล้ว
“ไอ้ขี้ตู่เอ๊ย กูไปเป็นแฟนมึงตั้งแต่เมื่อไร”
“อ้าว... ยังไม่ใช่เหรอ?”
“ยัง....”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวโทรไปบอกน้องว่าไม่ใช่แฟนแต่เป็นเมียแทนก็ได้” มันทำท่าจะยกโทรศัพท์ขึ้นมากดอีก
“เชี่ย... กวนประสาท....”
“เค้าว่ามีลูกกวนตัว มีผัวกวนใจนะ มึงทำใจไว้เหอะ คงโดนกวนไปอีกนาน”
“เหอะ..... ฝันไปเถอะ เอาไว้กูจีบเคลียร์ติดก่อนนะ มึงต้องกระเด็นจากชีวิตกูตลอดกาลแน่.....”
“เหรอ? นี่ ถามหน่อยเถอะ กูมีอะไรสู้มันไม่ได้เหรอ?”
“หา? ถามทำไม?”
“บางทีก็แค่อยากรู้จุดอ่อน จุดแข็งของคู่แข่งบ้างเท่านั้นเอง ฮึ กูมีอะไรไม่ดีเหรอ?”
อะไรอ่ะ? อะไรที่ไม่ดี จะว่าไป ก็แทบไม่มีอ่ะนะ ก็ดีไปหมดจนน่าอิจฉา แต่ว่า....ยกเว้น...
“นิสัย.... มึงนิสัยไม่ดี มึงเผด็จการ ชอบบังคับ ข่มขู่ แล้วก็ .....”
“เหรอ? กูนึกว่ามึงชอบถูกบังคับซะอีก เห็นเวลาพูดอะไรถ้าไม่ขู่ก็ชอบปฏิเสธอยู่เรื่อยๆ เพิ่งรู้ว่าชอบโดนตามใจ? ก็ได้ จะลองตามใจมึงสักพัก ดูดิ๊ว่าทีนี้จะโยกโย้ไปถึงไหนอีก?”
อะไร? ตามใจยังไงเหรอ? คราวนี้จะมาไม้ไหนอีก งงไปหมดแล้ว....
และแล้วก็ถึงเวลาเชคบิลล์ ผมเกือบลืมไปซะสนิทว่ากระเป๋ามันยังอยู่ในครอบครองของผม ซึ่งตอนนี้เลยกลายเป็นผู้จัดการมรดกชั่วคราว ต้องเป็นคนจ่ายตังค์ (ของมัน) ให้บริกรไป
ระหว่างที่ควักเงินออกจากกระเป๋า สายตาก็เหลือบไปเห็นของบางอย่างคุ้นตาแลบออกมาจากซอกกระเป๋า ก็เลยถือวิสาสะดึงออกมาดู ใช่จริงๆ มันเป็นบัตรส่วนลดของที่ร้านริมทาง....
“มันหมดอายุไปตั้งนานแล้วนี่ ทำไมยังไม่ใช้อีก น่าเสียดายออก”
“ใช้ไปหลายใบแล้วนะนี่เหลือใบสุดท้ายเลยเก็บไว้เป็นที่ระลึก พอดีมีคนให้มา แต่จนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าของใคร ไปถามที่ร้านก็ไม่มีคนรู้”
ผมพยักหน้ารับ แล้วเงยหน้าขึ้นมองตุลย์รับเงินทอนส่วนที่เหลือจากติ๊บเก็บใส่กระเป๋าเงินของมันแล้วยัดกระเป๋าลงกางเกงไป
“อ้ะ คืน...” ผมยื่นคูปองส่วนลดกลับไปอีก
“ช่างเถอะ ไม่เอาละ ขี้เกียจเก็บใส่กระเป๋า ฝากมึงทิ้งเลยละกัน”
“อ้าว... ถ้าไม่สำคัญบ้างเลย แล้วจะเก็บไว้ในกระเป๋าตั้งนานทำไม?”
“ก็แค่ยัดไว้เพราะข้องใจ เก็บไว้นานจนลืมเอาออกต่างหาก จนถึงตอนนี้กูก็ไม่อยากรู้แล้วล่ะว่าใครให้ เพราะถึงเค้าจะให้มาเพราะอะไรก็ไม่สำคัญอยู่ดี รู้แต่ว่าถ้าไม่มีไอ้นี่ กูคงไม่รู้จักร้านริมทาง เพราะเศษกระดาษใบนี้ทำให้กูได้เจอกับมึงเท่านั้นเอง.”
ผมพยักหน้าลุกขึ้นเดินตามมันไป พลางยัดเศษกระดาษใบนั้นใส่กระเป๋าเสื้อ
ไม่สำคัญงั้นเหรอ?
ไม่อยากรู้แล้ว?
นั่นสินะ มันอาจจะดีก็ได้ที่มันไม่รู้เลยว่าเศษกระดาษพวกนี้ผมเป็นคนให้มันเอง......
...................................
กรี๊ดดดดด
กราบขออภัยที่หายไปนานอีกแล้วทั้งที่สัญญาว่าจะมาต่อเร็วนี้ ตอนนี้ไม่สั้นนะคะ ไม่สั้น มีตุลย์ออกทั้งตอนด้วยล่ะ เป็นการไถ่โทษที่มาช้านะคะ ไม่สัญญานะว่าตอนหน้าจะมาเร็ว แต่ก็ จะพยายามมาต่อให้เรื่อยๆ ค่ะ
ขอบพระคุณ ทุกแรงใจ ทั้งช่วยขุด ช่วยกดดัน และเข้ามา แสดงความระอาใจ น้อมรับความผิดจ้า
“นิ” หายไปนาน จนคนอ่านพากันลืมชื่อเลยนะเนี่ย ฮ่าๆๆ
ลืมนิไม่เป็นไรแต่อย่าเพิ่งลืมกระต่ายหน้ามึนกับเจ้าซึนขนมปังละกัน อิอิ