ตอนที่ 14
รู้สึกผิดหากจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
วันนี้ฝนตกหนักหน่อยจึงไปรับผมที่โรงเรียน กลับมาที่บ้านหลังเลิกเรียนทันทีวันนี้ก็เลยไม่มีอะไรทำ นั่งกอดมันแกวที่นอนนิ่งอยู่บนตักที่โซฟาห้องนั่งเล่น มองดูพายุฝนที่ยังกระหน่ำตกผ่านผนังกระจกบานใหญ่ฝั่งหนึ่งของบ้าน นอกจากเสียงฝน ก็มีแต่ความเงียบซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของบ้านหลังนี้ ผมเคยสงสัยว่าทำไมบ้านเราต้องมีโซฟาขนาดใหญ่ที่นั่งได้เป็นสิบคน ทำไมต้องมีทีวีจอยักษ์แต่ไม่เคยเปิดดู ทำไมต้องมีโต๊ะกินข้าวหรูๆ ทั้งๆ ที่เราไม่เคยกินข้าวพร้อมกัน พ่อเป็นคนออกแบบและตกแต่งบ้านหลังนี้ด้วยอาชีพสถาปนิกของพ่อ แต่ไม่เคยเห็นพ่อใช้งานส่วนอื่นของบ้านนอกจากห้องทำงานของตัวเอง ส่วนแม่ก็ใช้เวลาอยู่ที่บริษัทมากกว่าที่บ้านด้วยซ้ำ หลายครั้งผมคิด บ้านเราหลังใหญ่เกินไป ใหญ่เกินกว่าที่คนตัวเล็กๆ อย่างผมจะอาศัยอยู่ มันก็เลยไม่อบอุ่น
"โฮ่ง!"
ผมเผลอตกใจนิดหนึ่งตอนที่มันแกวกระโดดออกจากตักแล้วเห่าเสียงดังหลังจากได้ยินเสียงรถเข้ามาจอด ผมเดินตามมันแกวไปหน้าบ้านจึงเห็นว่าแม่กลับมาแล้ว เหลือบตาดูนาฬิกาที่ผนังแล้วแปลกใจนิดหน่อยที่แม่กลับบ้านเร็วได้ด้วย
"พลีส ช่วยแม่หน่อยลูก"
ผมถูกเรียกให้ไปช่วยหยิบของที่หลังรถ แม่ซื้ออาหารสำหรับมื้อเย็นเข้ามาด้วย เยอะแยะจนผมคิดว่าจะมีใครมาที่บ้าน
"คุณตาจะมาเหรอครับ"
"เปล่าจ้ะ"
"แล้วทำไมถึงซื้อมาเยอะ"
"ของชอบพลีสทั้งนั้นเลย หยิบมาเร็วลูก เดี๋ยวเปียกฝน"
ผมรวบถุงทั้งหมดนั่นแล้วเดินเข้าบ้านตามแม่ไป วางอาหารลงบนโต๊ะกินข้าวตัวยาว หน่อยออกมาพอดีจึงจัดการอาหารพวกนั้นใส่จานพร้อมสำหรับมื้อเย็น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นของที่ผมชอบก็จริง แต่ปริมาณอาหารจำนวนนั้นมันมากเกินกว่าที่เราจะกินกันหมดอยู่แล้ว ตอนที่แม่ซื้อ ไม่ได้รู้สึกว่ามันมากไปหน่อยเหรอ
"พลีส ไปตามพ่อมากินข้าวสิ"
ผมพยักหน้ารับแล้วเดินไปยังห้องทำงานของพ่อ ไม่คาดหวังว่าพ่อจะออกมากินข้าวด้วย เพราะทุกครั้งพ่อก็เอาแต่บอกว่าขอทำงานให้เสร็จก่อน แต่คราวนี้กลับไม่เหมือนกัน ทันทีที่ผมไปเรียก พ่อก็รีบลุกจากโต๊ะทำงาน ละทุกอย่างแล้วเดินออกมานั่งที่โต๊ะกินข้าวพร้อมกัน
ไม่ชินเลยแฮะ"หน่อย ยืนทำอะไรอยู่ มากินด้วยกัน"
"ไม่เป็นไรค่ะ ทานเถอะค่ะ อยากได้อะไรเรียกหน่อยค่ะ"
"ไม่อยากได้อะไรแล้ว มานั่งกินด้วยกัน" คำชักชวนเชิงสั่งของแม่ทำให้หน่อยต้องพยักหน้ารับแล้วตรงเข้ามานั่งข้างๆ ผม ก่อนที่มื้ออาหารในวันธรรมดาที่ดูพิเศษจะเริ่มต้น
"น้องพลีส ทานไก่ไหมคะ"
ผมพยักหน้ารับเมื่อถูกนำเสนอด้วยของโปรด หน่อยจึงตักน่องไก่ชิ้นใหญ่หนึ่งชิ้นวางลงบนจานของผม ผมมองหน้าหน่อย ขณะที่หน่อยก็มองหน้าผมงงๆ
"มีอะไรหรือเปล่าคะน้องพลีส"
"ไม่ฉีกให้แล้วเหรอ"
"ก็คราวก่อนน้องพลีสบอกว่าไม่ให้หน่อยทำให้อีก"
"พลีสเหรอ?"
หน่อยพยักหน้ารับ ขณะที่ผมก็ย้อนคิด จำไม่ได้อีกแล้วสินะ...เรื่องคราวก่อน
"โตแล้วก็ทำเองสิลูก"
"ก็ไม่ใช่ว่าจะทำเองไม่ได้ แต่หน่อยทำให้จนเคยตัว อยู่ดีๆ ไม่ทำให้ก็เลยสงสัย"
"..."
"หน่อยไม่รักพลีสแล้วเหรอ"
"ไม่ใช่นะคะ! มาค่ะ เดี๋ยวหน่อยทำให้!"
ผมหลุดหัวเราะตอนที่หน่อยโวยเสียงดังหลังจากที่ผมเพิ่งจะล้อเล่น ซ้ำยังรีบหยิบไก่ชิ้นนั้นไปเพื่อจะฉีกให้ แต่ผมรีบชิงคืนมาก่อน
"พลีสล้อเล่น พลีสทำเอง"
"หน่อยทำให้ค่ะ!"
"ไม่เป็นไร พลีสทำเอง"
ผมจัดการไก่น่องนั้นด้วยตัวเอง ขณะที่ทั้งพ่อกับแม่และหน่อยก็นั่งกินข้าวพร้อมกับพูดคุยไปด้วย แน่นอนว่าพ่อกับแม่ยังคงมีเรื่องให้ถกเถียงกันตลอดเวลาที่มีบทสนทนา
"กินเยอะๆ เลยพลีส ตัวจะได้โตๆ อายุยี่สิบแล้วทำไมถึงได้ตัวเล็กนักนะเรา"
ผมแอบชำเลืองมองพ่อด้วยความเคืองเล็กๆ ผมก็โกรธร่างกายของตัวเองเหมือนกันแหละ อย่างกับมันหยุดการเจริญเติบโตตั้งแต่ม.ต้น ตัวเล็กแถมผอมบาง เลยโดนแกล้งเอาง่ายๆ เป็นไปได้ก็อยากจะตัวใหญ่ๆ มีแรงเยอะๆ เอาไว้เตะบอลกับเพื่อนอยู่เหมือนกันแหละ
"ลูกคงเหมือนคุณมากไปหน่อย ถ้าเหมือนผมน่าจะดีกว่านี้"
"นี่! เรื่องส่วนสูงของลูกก็มาโทษว่าเป็นความผิดฉันงั้นเหรอ"
"ก็ดูคุณสิ ตัวเล็กนิดเดียว"
"แล้วตัวเล็กมันผิดตรงไหน ลูกเป็นแบบนี้ก็น่ารักดีจะตาย"
"ก็น่ารักอยู่หรอก แต่ถ้าสูงกว่านี้สักหน่อยก็น่าจะดี"
"ก็ถ้าคุณสูงมากนักทำไมไม่ลองแบ่งความสูงให้ลูกสักครึ่งหนึ่งล่ะ"
"นี่คุณ..."
"พอเถอะครับ เถียงกันไปก็ใช่ว่าผมจะสูงขึ้นสักหน่อย"
ทั้งพ่อและแม่เงียบไปหลังจากผมห้าม ไม่รู้ว่าจะทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องทำไม ผมทำได้แค่ถอนหายใจเบาๆ แล้วคิดที่จะปล่อยผ่านเพราะความเคยชิน แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อพ่อกับแม่เอ่ยบางคำออกมาพร้อมกัน
"ขอโทษนะลูก"
"ขอโทษ?"
"พลีสเคยขอร้องไม่ให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันอีก"
"..."
"เพราะคราวก่อนที่พลีสพูดแบบนั้นเราก็เลยมาคิดได้ว่าที่ผ่านมาพ่อกับแม่คงทำหน้าที่ของตัวเองได้แย่มากๆ"
"..."
"มีหลายอย่างที่เราต้องแก้ไข มันคงต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่พ่อกับแม่สัญญา ว่าจะไม่ทำร้ายลูกอีกเลย"
"อยู่ดีๆ มาพูดอะไรแบบนี้"
"นั่นสิ เขินจัง"
ใต้รอยยิ้มแก้เขินของแม่ ผมกลับมองเห็นน้ำตาที่คลออยู่ในแววตาคู่นั้น ไม่มีสักครั้งที่ผมจะเห็นแม่ร้องไห้ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่คราวนี้แม่ทำผมตกใจจริงๆ จนผมเองก็ทำตัวไม่ถูก ผมไม่รู้หรอกว่าคราวก่อนผมบอกอะไรกับพ่อแม่ไปอย่างนั้น จริงอยู่ที่ผมไม่ต้องการให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันต่อหน้าผม แต่กลับไม่เคยพูดอะไรจนมันกลายเป็นความในใจที่เก็บเงียบเอาไว้คนเดียวมาหลายปี แต่อยู่ดีๆ มันก็ออกจากปากผมไปโดยที่ผมไม่รู้และจำอะไรไม่ได้เลย
ในตอนนี้ความเงียบทำให้เราต่างคนต่างอึดอัดได้แต่มองหน้ากันไปมา แล้วพากันเบือนหน้าหนีการสบตา กระทั่งเสียงของพ่อทำลายความอึดอัดเหล่านั้น
"แต่ผมรักคุณนะ"
แม่หันขวับมองหน้าพ่ออย่างตกใจ ทั้งผมและหน่อยก็เผลอส่งเสียงร้องอย่างประหลาดใจออกมาพร้อมกัน คนที่ไม่เอาไหนเรื่องการแสดงออกอย่างพ่อก็ได้แต่ยักไหล่หน่อยๆ แล้วตักอาหารใส่ปากไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนแม่และเราจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วกินข้าวต่อ ผมหันมองหน่อยที่เอาแต่ยิ้มกว้าง นี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่านะที่ผมได้นั่งกินข้าวกับหน่อย เลื่อนสายตาไปมองพ่อกับแม่ที่เปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องงาน ถึงอย่างนั้นวันนี้อาจจะเป็นวันแรกที่โต๊ะกินข้าวได้ทำหน้าที่ของมันอย่างดีที่สุด ขณะที่พ่อกับแม่อาจกำลังพยายามที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดีกว่าเดิม และผมเองก็อาจจะต้องพยายามเป็นผม...
ที่ดีกว่านี้เช่นกัน ผมขึ้นมาที่ห้องนอนหลังจากจบมื้อเย็น อาบน้ำเสร็จก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีการบ้านนิดหน่อยที่ต้องทำจึงจัดการให้เรียบร้อย ผมไม่ชอบดูทีวี ไม่เล่นเกม ไม่เล่นโซเชียล ไม่มีเพื่อนให้พูดคุยด้วย ชีวิตของผมจึงเรียบง่ายเกินไปจนเหลือเวลาว่างมากมายโดยที่ไม่มีอะไรทำ
ผมดึงลิ้นชักตั้งใจจะหยิบหนังสือมาอ่านบทเรียนล่วงหน้า แต่สายตามองไปเห็นไดอารี่ที่อยู่ในนั้นด้วยจึงหยิบออกมาดู ขณะเดียวกันกระดาษแผ่นหนึ่งที่คล้ายว่าจะถูกซุกซ่อนอยู่ในนั้นก็ติดออกมาด้วย เป็นกระดาษคำตอบวิชาคณิตที่ถูกขีดด้วยปากกาสีแดงแจ้งคะแนนเป็นศูนย์
ได้ศูนย์จริงๆ ด้วยแฮะ ถ้าแม่เห็นคงบ้านแตก ผมจึงเข้าใจว่าทำไมมันถูกซ่อนอยู่ในนั้น จัดการเก็บมันเอาไว้ที่เดิมแล้วหันมาสนใจไดอารี่เล่มสีดำ ด้วยไม่มีที่พึ่งใดให้ผมได้ระบายความรู้สึกของตัวเอง ผมจึงมักจะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้กับสมุดเล่มนี้ได้ฟัง ขีดเขียนบางอย่างลงไปคล้ายเป็นการระบายเรื่องที่อึดอัดอยู่ในใจ มันช่วยผมได้ดี
ผมเปิดผ่านๆ ไปยังหน้าสุดท้ายที่เขียนค้างเอาไว้ ก่อนต้องแปลกใจเมื่อมองไปเห็นข้อความอีกหน้าหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเขียนเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหน
จงใช้ชีวิตให้ดี
ไม่ต้องหนี ไม่มีอะไรต้องกลัว
ต้องมีความสุขมากๆ นะ
พลีสคนเก่ง ก็เหมือนว่าจะเป็นลายมือของตัวเอง แต่กลับไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนเขียนเลย ไม่มีภาพความทรงจำในส่วนนั้น แต่เพราะหลายๆ สิ่งที่เจอมาในช่วงนี้มันสร้างความแปลกใจให้ผมอยู่ตลอดเวลา หนึ่งเดือนที่ผ่านมาผมอาจกลายเป็นคนละคน และข้อความเหล่านี้ก็คงจะเป็นสิ่งที่ผมพยายามที่จะให้กำลังใจตัวเองอยู่ก็เป็นได้
ผมพับเก็บสมุดเล่มนั้นเอาไว้ที่เดิม แล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนที่นอน พลันคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ในหัว แม้อยากหาคำตอบมากมายให้ตัวเองขนาดไหนแต่สุดท้ายแล้วก็ไร้ซึ่งคำอธิบาย พระเจ้าคงต้องการให้เป็นเช่นนั้น ในทุกๆ อย่างที่มันกำลังเปลี่ยนไป ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี จึงได้แต่หวังว่าความคลาแคลงใจที่มีจะค่อยๆ เลือนหายไปในสักวัน
...
สำหรับที่โรงเรียน สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมคือการที่ผมยังคงไม่มีเพื่อน สิ่งนี้คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้เพราะเหตุผลหลายๆ อย่าง แต่ถึงแม้จะไม่มีคนคุยด้วย แม้ว่าปั้นจะยังเป็นตัวการในการคอยแกล้งผมเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกโกรธเคืองหรือเกลียดชังนั้นไม่มีอยู่แล้ว
หลังจบคาบสุดท้ายในวิชาคอมพิวเตอร์ ผมกับปั้นเป็นสองคนสุดท้ายที่ออกมาจากห้องเพราะครูเพิ่งตรวจงานของเราสองคนเสร็จ ในตอนที่กำลังจะเดินออกจากประตู ปั้นก็เดินเข้ามาแทรกจนผมเซไปชนกับขอบประตู
"เจ็บนะ"
"เอาคืนดิ"
ผมได้แค่ทำหน้าบูดบึ้งใส่ตอนที่ปั้นพูดอย่างกวนๆ ก็คงรู้อยู่แล้วว่าผมไม่มีทางเอาคืนจึงกล้าพูดออกมาเช่นนั้น ผมละความสนใจจากปั้น มองหารองเท้าที่ถอดเอาไว้หน้าห้องแต่กลับเหลืออยู่เพียงคู่เดียวและมันไม่ใช่ของผม กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนหันไปมองหน้าปั้น ปั้นเคยแกล้งผมด้วยการเอารองเท้าไปซ่อนอยู่ครั้งหนึ่ง เดาไม่ผิด คราวนี้ก็คงจะเป็นฝีมือเด็กบ้านี่แน่ๆ
"มองอะไร"
"รองเท้าหาย"
"กูไม่ได้ทำนะ"
"เด็กอนุบาลยังเลิกแกล้งกันด้วยวิธีนี้เลย อยู่ไหน เอาคืนมา"
"ไม่รู้! ไม่เกี่ยวกับกูนะเว้ย กูก็เดินออกมาพร้อมมึงเนี่ย ใครใส่ผิดไปหรือเปล่า หรือมึงไปถอดไว้ที่ไหนแล้วจำผิด"
"จำไม่ผิด ถอดไว้ตรงนี้"
ด้วยท่าทางของปั้นที่ช่วยผมเดินหา ทำให้ผมเชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นคนเอาไปจริงๆ หากมีคนใส่สลับไปก็น่าจะเหลืออีกคู่เอาไว้ให้ผมใส่กลับบ้านแต่ตอนนี้ไม่มีเลย ผมจึงต้องเดินออกมาจากห้องเรียนด้วยถุงเท้าเปล่าๆ อย่างนั้น
"มึงจะกลับบ้านอย่างนี้เหรอ"
"แล้วจะให้ทำยังไง"
ปั้นถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเรียกให้ผมเดินตาม
"มานี่ดิ"
"ไปไหน"
"มาเถอะน่า"
"จะพาไปหารองเท้าเหรอ"
อีกคนไม่ตอบอะไร ได้แต่เรียกให้ผมเดินตามไปยังลานจอดรถ ในระหว่างทางเราเดินสวนกับกลุ่มผู้หญิงสองสามคน ผมหันมองปั้นที่แสดงท่าทางพิรุธ พลางยกกระเป๋าขึ้นปิดบังใบหน้าแล้วรีบก้าวเท้าเร็วๆ คล้ายว่ากำลังหลบหน้าผู้หญิงกลุ่มนั้น
"ใครเหรอ"
"มะนาวไง"
ไม่รู้หรอกว่ามะนาวไหน แต่ที่สงสัยคือทำไมต้องหลบหน้าราวกับว่าไปทำอะไรผิดเอาไว้
"แล้วทำไมต้องหลบด้วย"
"กูไม่กล้าสู้หน้ามะนาว เพราะมึงไง!"
งงกว่าเดิมเมื่อถูกโยนความผิดมาให้ แต่ก็ไม่อาจจะเถียงเพราะไม่รู้ว่าไปทำวีรกรรมอะไรเอาไว้หรือเปล่า ไม่ต้องถาม ปั้นก็พูดมันออกมาคล้ายว่าจะด่ากันอยู่กลายๆ
"มึงอะเสือกไปบอกว่าเป็นแฟนกับกู มองหน้ามะนาวไม่ติดเลยเนี่ย อายไปยันชาติหน้า"
"เราเนี่ยนะ"
"มึงเนี่ยแหละ!" โต้ตอบอย่างรวดเร็วก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากผมจนเกือบหน้าหงาย ผมได้แต่ทำหน้ายุ่ง ยกกำปั้นทำท่าจะโต้ตอบ แต่ถูกคนที่ตัวสูงกว่าชี้หน้าเป็นเชิงคาดโทษซ้ำยังทำหน้าตาโหดๆ ใส่ผมจึงต้องลดมือตัวเองลงช้าๆ ไม่กล้าสู้แล้ว
"หรือจริงๆ มึงชอบกูวะ"
"จะบ้าเหรอ"
"ชอบกูล่ะสิ ฮะ หวั่นไหวเหรอ"
"ไม่" ผมได้แต่ปฏิเสธ ก้าวเท้าเร็วๆ เดินนำปั้นออกไปก่อน แต่ในขณะที่กำลังเดินหนีคนที่เอาแต่แกล้งอยู่นั้น บอลลูกหนึ่งที่พุ่งมาด้วยความเร็วจากทิศทางไหนก็ไม่รู้ อัดเข้าที่หน้าพอดิบพอดีจนผมล้มตึงไปกับพื้น
"เปรี้ยง!" "ไอ้พลีส!"
เสียงของปั้นลอยทะลุประสาทการรับรู้ที่ดูจะดับวูบไปชั่วขณะ ร่างที่ล้มลงกับพื้นแน่นิ่งขยับไม่ได้ แต่ในสมองของผมกำลังเคลื่อนไหวด้วยภาพความทรงจำสลับทับซ้อนไม่เป็นเรื่องราว
"ไม่เคยเห็นพลีสลงมากินข้าวเลย วันนี้คิดยังไงถึงลงมากินข้าว"
"ไอ้พลีส! มึงตบกูทำไมเนี่ย!"
"ทำไมเดี๋ยวนี้มึงขี้เถียงจังวะ ผีเข้าแล้วไม่ยอมออกเหรอ"
"มึงหยุดเลยนะไอ้พลีส!"
"รีบกลับบ้านนะข้าวปั้น คุณแม่รออยู่"
"เลิกกวนตีนกูได้แล้ว"
"ได้ครับข้าวปั้น" "พลีส! ไอ้พลีส!"
สติผมกลับมาตอนที่ถูกปั้นตบหน้าเบาๆ กระพริบตาถี่มองคนตรงหน้าที่กำลังแสดงท่าทางร้อนรน แต่พลันคิดไปถึงภาพความทรงจำเมื่อครู่แล้วผมกลับหลุดหัวเราะออกมาซะอย่างนั้น
"หึ!"
"มึงหัวเราะอะไรเนี่ย"
"ข้าวปั้น"
"อะไร!"
"ปั้น ชื่อจริงๆ คือข้าวปั้นเหรอ"
"มึงก็รู้อยู่แล้วนี่ จะขำห่าอะไรล่ะ!"
เม้มริมฝีปากกลั้นหัวเราะแต่เอาไม่อยู่ ใครจะรู้ว่าเด็กอันธพาลขี้โกงนั่นมีชื่อเล่นน่ารักขนาดนั้น เจ้าของชื่อขมวดคิ้วแน่นไม่เล่นด้วย
"มึงเป็นอะไรไหมเนี่ย นิ่งไปเลยคิดว่าตาย หัวกบาลแตกไปแล้วมั้ง"
"ไม่เป็นไร"
"กูแตะตัวมึงได้ไหมเนี่ย จะได้ช่วย"
"ไม่เป็นไร" ผมบอกซ้ำอีกทีแล้วยันตัวขึ้นมาเอง ขณะที่ปั้นก็ลดมือที่หวังจะยื่นเข้ามาช่วยลงไปช้าๆ ก้มเก็บบอลลูกนั้นโยนคืนให้เจ้าของแล้วตะโกนด่าตามนิสัย
"เล่นระวังหน่อยดิวะ ทำคนอื่นเขาเจ็บตัวเห็นไหมเนี่ย"
"ขอโทษครับพี่"
ผมโบกมือปัดๆ เป็นเชิงว่าไม่เป็นอะไร ก่อนที่เราจะเดินมาถึงลานจอดรถ ผมมองปั้นจากด้านหลังแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาอีกทีเมื่อนึกไปถึงชื่อเล่นจริงๆ ของเขา ไม่รู้ว่าตลกอะไร แต่ขำไม่หยุดจนถูกอีกฝ่ายหันมายกมือตีหน้าผากเบาๆ
"ขำห่าอะไรนักหนา ขึ้นมา!" ประโยคหลังหันมาสั่งในตอนที่ตัวเองก้าวขึ้นไปบนมอเตอร์ไซค์ ผมยืนเก้ๆ กังๆ อย่างงงๆ
"ไหนบอกว่าจะพาไปหารองเท้าไง"
"ก็ขึ้นมาดิ!"
ว่าง่ายโดยไม่ได้ถามต่อ ผมขึ้นไปซ้อนมอเตอร์ไซค์ของปั้นทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะถูกพาไปไหนด้วยซ้ำ ขับมาไม่เกินสิบนาที ปั้นก็จอดรถที่หน้าร้านขายรองเท้า จึงเข้าใจคำว่าพามาหาร้องเท้าที่พูดถึง
"เนี่ยนะ พามาหารองเท้า"
"เออ มึงเข้าไปเลือกเอาเลย"
ผมได้แต่พยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปซื้อรองเท้านักเรียนแบบเดิมในเวลาไม่นาน เดินออกมาหน้าร้านก็เห็นปั้นรออยู่ที่เดิม
"คิดว่าไปแล้วซะอีก"
"ไปก่อนเดี๋ยวก็หาว่าไม่รอ ขึ้นมาดิ กูไปส่งบ้าน"
"ยังไม่กลับบ้าน"
"อ้าว เถลไถลนะมึงเนี่ย จะไปไหน"
"เรามีนัดที่คลินิกทำฟัน"
ปั้นไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรต่อ แล้วอาสามาส่งผมที่คลินิกของพี่ต่อด้วยเข้าใจว่าผมจะมาทำฟัน ผมเองก็ไม่ได้อธิบายเพราะคิดว่าปั้นไม่ต้องรู้ก็ได้ว่าจริงๆ แล้วแค่มีนัดกับพี่ต่อมาติวเลข ติวแบบปลอมๆ ด้วยซ้ำไป
ผมเดินเข้าไปในคลินิก ในตอนนั้นก็เห็นพี่ต่อยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์ มือข้างหนึ่งถึงแก้วกาแฟ อีกข้างเท้ากับเคาน์เตอร์ ใบหน้าเรียบตึงดูบูดบึ้งแปลกๆ กำลังมองผมอยู่
"สวัสดีครับ"
ยักคิ้วตอบรับการทักทายของผม ทั้งๆ ที่ปกติต้องรับไหว้ผมดีๆ แต่วันนี้บรรยากาศประหลาดสุดๆ ผมเองก็ได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เขาวางแก้วกาแฟลงบนเคาน์เตอร์ ก้าวเท้าเข้ามาหาผมที่กำลังถอยหลังจนติดกำแพงแล้วก็หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ในคลินิก เงยหน้ามองพี่ต่อที่ถามเสียงแข็ง
"ใครมาส่งน้อง"
"เพื่อนที่โรงเรียนครับ"
"แล้วซ้อนมอเตอร์ไซค์ทำไมไม่ใส่หมวกกันน็อก"
"ครับ?"
"ไม่รู้เหรอว่ามันอันตราย แล้วใครใช้ให้ไปซ้อนมอเตอร์ไซค์คนอื่น ฮะ?"
"นี่พี่กำลัง..."
"หึงอะไร! ไม่ได้หึง! แต่ถามถึงความปลอดภัยเฉยๆ"
"ผมยังไม่ได้บอกว่าพี่หึงเลย"
"ฮะ? อ้าวเหรอ? พี่ร้อนตัวเหรอ?"
ผมพยักหน้าเบาๆ กับท่าทางประหลาดของพี่ต่อ เพิ่งเคยเห็นคุณหมอที่ดูเรียบร้อยและใจดีโมโหควันออกหูแบบนี้ด้วยความหึง ว่าแต่หึงเหรอ
บ้าไปแล้ว...บ้าไปแล้ว..."ไปติวเลขกันดีกว่า" อีกคนเปลี่ยนเรื่องไปทันควัน แล้วเดินนำผมเข้าไปในห้องพัก ผมกวาดตามองห้องขนาดเล็กแต่ไม่ได้อึดอัดจนเกินไป ในห้องมีเอกสารที่เดาว่าเป็นข้อมูลของคนไข้ของคลินิกถูกวางอย่างเป็นระเบียบ เสื้อกาวน์ถูกแขวนเอาไว้บนราวสีขาวสะอาด ข้างๆ กันมีโต๊ะเล็กๆ ที่มุมห้อง มีหนังสือเล่มหนาหน้าปกเป็นภาษาอังกฤษและก้านไม้น้ำหอมที่ส่งกลิ่นหอมจางๆ วางตกแต่งอยู่ กลางห้องมีโต๊ะตัวยาวและเก้าอี้ที่สองตัวตั้งอยู่บนพรมสีเทาอ่อนๆ
ผมถูกบอกให้นั่งลงที่เก้าอี้ตัวนั้น ขณะที่พี่ต่อดึงเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้างๆ แทนที่มันจะอยู่ตรงข้ามกันอย่างที่มันเคยอยู่ แต่ในเมื่อสถานการณ์พลิกผันมาเป็นเช่นนี้ ผมได้แต่คิด จะเอาตัวรอดจากความใกล้ชิดนี้ไปได้อย่างไร
ทันทีที่พี่ต่อนั่งลง ผมขยับเก้าอี้ตัวเองหนีออกมานิดหนึ่งแล้วแกล้งถามอย่างอื่นเพื่อเปลี่ยนแปลงความสนใจ
"ทำไมไม่มีคนอยู่เลยล่ะครับ"
"พี่ปิดคลินิกแล้ว"
"แต่ปกติแล้วยังไม่ถึงเวลา..."
"เคลียร์คนไข้ทั้งอำเภอ เพื่อรอเธอคนเดียวเลยรู้ไหม"
"ครับ?"
พี่ต่อหัวเราะกลบเกลื่อนมุกตลกของตัวเองจนผมไม่กล้าถามอะไรต่อ คนที่ดูดีจนคล้ายว่ามีคำว่าเพอร์เฟคติดอยู่บนหน้าผากก็มีมุมติ๊งต๊องอยู่บ้าง เช่นการหัวเราะให้กับมุกแป้กของตัวเองอย่างเมื่อครู่
น่ารักใช่ไหม...ใช่...น่ารักมากๆ พี่ต่อเริ่มติวเลขให้ผมด้วยการอธิบายโจทย์จากการบ้านที่ผมได้มา แน่นอนว่าผมทำได้อยู่แล้ว แต่ด้วยเสียงนุ่มๆ และความตั้งใจจะที่อธิบายสิ่งเหล่านั้นให้ผมฟัง มันทำให้ผมไม่กล้าที่จะโต้เถียงอะไร แม้รู้สึกผิดอยู่ในใจบ้างที่โกหกเขาว่าไม่เข้าใจ แต่ความเห็นแก่ตัวมันก็เอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้วเรียบร้อย
"น้องลองทำข้อนี้ดูสิ เหมือนข้อเมื่อกี้ที่พี่อธิบายเลย"
"ได้ครับ" ผมรับคำ แล้วลงมือทำโจทย์ข้อนั้น ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะทำโจทย์ข้อนั้นแต่สมาธิถูกตีกระเจิงเพราะรู้ตัวว่ากำลังถูกมอง เหลือบตาขึ้นไปสบตา พี่ต่อก็ไม่ยอมหลบตา เอาแต่มองผมอยู่อย่างนั้น
"พี่...มองอะไรเหรอครับ"
"เพื่อนคนนั้นเขาไม่ได้ชอบน้องใช่ไหม"
"คนไหนครับ"
"คนที่มาส่งไง"
"ไม่ใช่ซะหน่อย" ผมเถียง พลางได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ไม่เข้าใจสักนิดว่าพี่ต่อจะติดใจอะไรกับเรื่องเล็กๆ นั่น อยากให้พี่ต่อได้รับรู้เอาไว้ นอกจากปั้นจะไม่ชอบผมแล้ว ยังเกลียดผมด้วยซ้ำไป
"ใครจะไปรู้ เขาอาจจะชอบน้องก็ได้"
"ใครจะมาชอบผมล่ะครับ ขนาดผมยังไม่ชอบตัวเองเลย"
"มีอยู่คนหนึ่งนะ"
"ครับ?"
"คนที่หล่อๆ"
"..."
"เป็นหมอฟันด้วย"
"..."
"ว้า...เขินอะ" พี่ต่อพูดยิ้มๆ แล้วฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ ทิ้งผมให้นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น คนที่ควรจะเขิน...คือผมไม่ใช่เหรอครับ พี่ต่อเล่นเขินตัดหน้าไปแล้วผมก็ทำได้แค่กระพริบตาปริบๆ สภาวะหัวใจตอนนี้น่ะเหรอ อย่าให้พูดถึงเลย หากว่ามันระเบิดได้คงคล้ายว่าจะเป็นปรมาณู
พี่ต่อยังคงติวเลขให้ผมต่อ ถึงแม้ว่าจะเข้าใจอยู่แล้ว แต่บางข้อที่พี่ต่อทำให้ดูด้วยวิธีที่ต่างไป มันทำให้ผมได้ความรู้ใหม่ขึ้นมาจริงๆ มีเทคนิคง่ายและวิธีคิดที่รวดเร็วกว่าจึงน่าสนใจ กลายเป็นผมที่ร้องขอให้เขาทำให้ดูแทบจะทุกข้อจนโดนดุให้ทำเองบ้าง และหลังจากอธิบายไปหมด พี่ต่อจึงปล่อยให้ผมนั่งทำโจทย์พวกนั้นต่อด้วยตัวเอง มาถึงข้อที่ดูเหมือนว่าผมจะไม่เข้าใจจริงๆ จึงตั้งใจจะหันไปถาม
"พี่ต่อครับ ข้อนี้..."
คำพูดหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าพี่ต่อกำลังหลับตานอนอยู่ข้างๆ นิ่งสนิทดูเหมือนว่าจะหลับจริงๆ ผมค่อยๆ วางดินสอเบาๆ หันมองหน้าพี่ต่อชัดๆ จนรู้ตัวอีกทีผมก็ใช้เวลาเนิ่นนานที่ปล่อยให้สายตาตัวเองมองดูความงดงามของใบหน้านั้นโดยไม่ละสายตาไปไหนเลย ผมถือวิสาสะยกมือตัวเองขึ้นแตะใบหน้าของพี่ต่อเบาๆ ไล่ปลายนิ้วไปจากริมฝีปากไปยังข้างแก้ม ย้ำให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
พี่ต่ออยู่ตรงนี้...จริงๆ ด้วยไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าผมจะได้ใกล้ชิดกับเขาขนาดนี้ หัวใจผมถูกปิดสนิทราวกับไม่คิดจะรู้จักความรักอีกเลย แต่มันกลับเปิดเผยและยอมรับจนไม่อาจปฏิเสธว่าผมรู้สึกดีกับพี่ต่อมากมายขนาดไหน
"ฟึ่บ" ผมเผลอตกใจเบิกตากว้างเมื่อดวงตาคู่นั้นของพี่ต่อลืมขึ้นในขณะที่มือของผมก็ถูกจับเอาไว้ คล้ายเป็นโจรถูกจับได้ตอนที่แอบขโมยอะไรบางอย่าง พี่ต่อยกมุมปากขึ้นยิ้ม วางมือของผมลงบนโต๊ะแล้วกุมเอาไว้อย่างนั้น ก่อนเอ่ยปากถามเบาๆ
"พี่จับมือน้องได้ไหม"
"..."
"แค่จับมือได้ไหม"
ผมไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่ในขณะเดียวกันผมว่าพี่ต่อคงรู้แล้วว่าผมรู้สึกอย่างไร เมื่อจิตใจมุ่งไปโฟกัสกับการแตะเนื้อต้องตัว อาการเหล่านั้นก็เกิดขึ้นอีกแล้วซ้ำๆ แม้ร่างกายและมือข้างนั้นจะนิ่งไม่ขยับ แต่หัวใจกลับไม่เป็นเช่นนั้น มันกำลังเต้นโครมคราม คล้ายปะทุความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายแล้วพี่ต่อก็เป็นคนปล่อยมือผมออกเอง
"ขวับ!" แต่กลายเป็นผมที่คว้ามือพี่ต่อเอาไว้แล้วจับแน่น
"ขอโทษครับ แต่ผมไม่อยากปล่อยมือพี่เลย"
พี่ต่อยิ้มให้ผมอีกครั้ง ก่อนจะดึงมือของตัวเองออกไปจนเหลือแต่นิ้วก้อยที่ยังสัมผัสกันอยู่ พี่ต่อใช้นิ้วนั้นเกี่ยวกับนิ้วของผมเอาไว้
"แค่นี้ก็พอ"
"..."
"ไม่ต้องรีบก็ได้"
"..."
"ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปนะ"
ผมมองสองนิ้วของเราที่แตะต้องกันอยู่ เป็นเวลาเนิ่นนานที่สองมือของเรายังค้างอยู่ในสภาพนั้น ความใกล้ชิดทั้งหมดที่มีทำให้ความกลัวของผมค่อยๆ เลือนหายขณะที่หัวใจก็ค่อยๆ สงบลง ราวกับร่างกายอนุญาตให้เราสัมผัสกันได้แค่นั้น...
แต่ก็เพียงพอมันเกือบจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราได้ใกล้ชิดกันแล้ว แม้ผมจะไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกที่มีต่อเขาได้เลยก็ตาม แต่ขณะเดียวกันนั้นผมก็มีคำถามที่แน่นอนว่าไม่มีวันจะมองข้ามไปได้เลย ไม่อาจลืมว่าตัวผมนั้นเคยผ่านอะไรมา
คนอย่างผม...มีสิทธิ์ที่จะได้รับความรักจากใครด้วยเหรอ
มีต่อนะคะ