คุณคือความรัก บทที่ 33
บรรยากาศในงานเลี้ยงขอบคุณของชาวบ้านป่างามต่างกับงานเลี้ยงที่ณธิปเคยเจอมากเอาการ เพราะนอกจากสถานที่และอาหารจะดูธรรมดา ผู้คนยังแต่งตัวด้วยชุดพื้นเมือง ไม่ใช่ชุดหรูหราราคาแพงเหมือนไฮโซในวงสังคมชั้นสูง
เมื่อเจ้าภาพเห็นว่าณธิป กมลและคณะฯ จากกรุงเทพฯ เดินทางมาถึง ก็รีบเข้ามาต้อนรับขับสู้ และพาไปนั่งยังตำแหน่งที่จัดเตรียมไว้ โดยณธิปและกมลถูกจัดให้นั่งหน้าเวทียกพื้นเล็กๆ ไม่ห่างจากกองไฟกองใหญ่ที่สุมเอาไว้เพื่อย่างเนื้อสัตว์
นอกจากตำแหน่งที่พิเศษกว่าคนอื่นเล็กน้อย อุปกรณ์การจัดเลี้ยงอย่างอื่นก็ดูไม่ต่างกันเท่าไรนัก คือมีโต๊ะเล็กสูงไม่ถึงฟุตตั้งกลางวง มีเบาะผ้าตัดเย็บเองเท่าจำนวนแขก ที่กลางโต๊ะมีข้าวเกรียบทอดสีขาวโรยงาดำวางไว้จานหนึ่ง ให้กินเป็นของเรียกน้ำย่อยก่อนอาหารมื้อหลักจะมาเสิร์ฟ
ณธิปเลือกนั่งข้างกันกับกมล ที่ตรงข้ามจึงตกเป็นของครูใหญ่ ผู้ใหญ่บ้านและภรรยาของพวกเขาทั้งสองคนเรียงกันตามลำดับ
ครั้นแขกมาครบแล้ว การแสดงชุดแรกก็เริ่มต้นขึ้น ซึ่งการแสดงชุดนี้เป็นการแสดงของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ พวกเธอสวมชุดชาวเขาตามแบบชนเผ่าดั่งเดิมของตนเอง พร้อมกับออกมาเต้นในบทเพลงของวงดนตรีพื้นบ้าน ทำนองเพลงเป็นเพลงแปลกหู แต่อยู่ในจังหวะสนุก เครื่องดนตรีที่ไม่เคยเห็นชวนให้รู้สึกตื่นตา อีกทั้งยังทึ่งในความสามารถที่เด็กเล็กๆ แสดงได้น่าเอ็นดูขนาดนี้
ระหว่างที่การแสดงชุดแรกดำเนินไป อาหารที่ชาวบ้านจัดเตรียมไว้ก็ถูกยกมาเสิร์ฟแบบขันโตก ในนั้นมีอาหารพื้นเมืองหลายอย่าง บางอย่างพวกเขาก็รู้จัก แต่บางอย่างก็ไม่เคยเห็นมาก่อน กมลลองชิมทุกอย่างตามที่ได้รับคำแนะนำจากภรรยาของครูใหญ่ เพราะเขาไม่ใช่คนกินยาก
ทว่าคนที่มีปัญหากลับเป็นผู้บริหารหน้าหล่อที่นั่งปั้นหน้าแบ่งรับแบ่งสู้ เมื่อถูกคะยั้นคะยอให้ลองชิมน้ำพริกหนุ่มสูตรชาวดอย
“คุณเล็กลองชิมดูครับ น้ำพริกสูตรนี้หาทานไม่ได้ในเมืองนะ พริกที่ปลูกก็เป็นพันธุ์ของป่างามเอง อร่อยอย่าบอกใครเลยครับ” ครูใหญ่โฆษณาให้ชาวบ้าน เพราะตนเองก็ติดใจน้ำพริกหนุ่มของที่นี่เหมือนกัน
“ครับ” ณธิปพยักหน้ารับ ก่อนจะเอาผัดสดจิ้มน้ำพริกขึ้นมาชิมเล็กน้อย จังหวะนั้นกมลก็เผลอละความสนใจจากการแสดงของเด็กๆ มามองคนข้างๆ เช่นเดียวกัน ด้วยอยากรู้ว่าคนไม่กินเผ็ดจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
“เป็นไงครับ” ครูใหญ่ถาม เมื่อเห็นว่าณธิปเคี้ยวข้าวเหนียวที่ใส่ตามเข้าปากจนหมดแล้ว
“อร่อยครับ” คนตาเรียวตอบ สมาชิกที่นั่งร่วมโต๊ะทุกคนจึงยิ้มออก
หลังจากนั้นณธิปก็ถูกเชื้อเชิญให้ลองกินอีกหลายอย่าง ทั้งแกงกระด้าง ไข่ป่าม ส่าจิ้น รวมถึงอาหารพื้นเมืองสารพัด จนคนเมืองอย่างชายหนุ่มจำชื่อไม่หมด
“คุณเล็ก...ไหวไหมครับ” กมลลอบกระซิบถาม ตอนที่ทุกคนกำลังสนใจการแสดงชุดใหม่ เนื่องจากเห็นว่าหน้าผากของอีกฝ่ายมีเม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มไปหมด
“ก็พอไหวอยู่” ณธิปตอบ
“ถ้าไม่ไหวก็พอนะคุณ ทานไปเยอะแล้ว จะบอกว่าอิ่มคงไม่มีคนสงสัยหรอก” กมลบอกย้ำคำ และนั่นทำให้คนที่หน้าเขียวหน้าเหลืองกับอาหารพื้นเมืองยิ้มออกมาได้
“ครับ” ชายหนุ่มยิ้มรับ “ขอบคุณนะที่เป็นห่วงผม”
หลังจากนั้นกมลก็ไม่ตอบอะไรอีก ทว่าเจ้าตัวก็ไม่ปฏิเสธว่าเป็นห่วงด้วย ณธิปจึงได้แต่แอบยิ้มเงียบๆ แล้วก็นึกขอบคุณเมนูของชาวบ้านป่างามที่ทำให้คนหน้าหวานนึกเป็นห่วงเขา
ชายหนุ่มดื่มน้ำลงไปแก้วใหญ่ และลอบวางช้อนอย่างแนบเนียน โดยหันไปสนใจการแสดงที่เด็กๆ ช่วยกันร้องเล่นเต้นรำให้ดูอีกชุด นี่ถ้าเป็นเวลาปรกติณธิปคงไม่กินอาหารแปลกๆ พวกนี้ แต่ครั้งนี้มันจำเป็น ด้วยเขาไม่อยากหักหาญน้ำใจชาวบ้านที่อุตส่าห์ทำเลี้ยงชาวคณะ ทั้งๆ ที่สภาพความเป็นอยู่ก็ไม่ได้สบายกว่าพวกเขาเท่าไร อีกอย่างคือโชคดีมากที่อาหารของที่นี่รสชาติไม่จัด ไม่อย่างนั้นในท้องของณธิปคงแน่นเพราะดื่มน้ำมากเกินไปเสียก่อน
ผ่านไปพักใหญ่จนดูเหมือนว่าทุกคนอิ่มหนำสำราญกับอาหารที่ชาวบ้านนำมาเลี้ยงแล้ว ไฮไลต์เด็ดที่ผู้ใหญ่บ้านเตรียมไว้ก็ถูกนำมาเสิร์ฟให้กับทุกคนได้ลิ้มลองกัน
“นี่อะไรครับ” กมลถามเมื่อเห็นเครื่องดื่มสีขุ่นที่ถูกรินลงในแก้วกระบอกไผ่
“ของดีครับคุณไอ” ผู้ใหญ่บ้านว่า
“ของดีหรือครับ” กมลรับแก้วไม้ไผ่มา ก่อนจะยกขึ้นดมกลิ่นดูจึงได้รู้ว่าเป็นแอลกอฮอล์
“ชาวบ้านทำเองหรือครับ” ณธิปถามบ้าง หลังจากลองจิบไปแล้วอึกหนึ่ง
“ครับ ทำดื่มกันในครัวเรือนเฉพาะช่วงเทศกาลน่ะครับ” ผู้ใหญ่บ้านตอบ
“อึก…ค่อนข้างแรงนะครับ” หนุ่มหน้าหวานพูดติดขัดเล็กน้อยหลังจากลองชิมเข้าไปอึกหนึ่ง
“เป็นธรรมดาของของทำเองน่ะครับ แต่ที่นี่เขาไม่ดื่มกันบ่อยนะครับ เห็นจะงัดออกมาทีก็ปีใหม่หรือวันสำคัญจริงๆ” ครูใหญ่อธิบายให้ฟัง “ถ้าคุณๆ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์อยู่แล้ว จิบๆ พอเป็นพิธีก็ได้ครับ ชาวบ้านเขาไม่ถือหรอก ไม่ต้องฝืนนะ”
“ครับ” กมลพยักหน้ารับ
อันที่จริงใช่ว่ากมลไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เวลามีงานเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนเขาก็มีดื่มบ้างเป็นธรรมดาของผู้ชาย แต่เหล้าแรงแบบนี้เขาไม่ค่อยสันทัด ดังนั้นจึงแค่จิบๆ พอให้ไม่เสียน้ำใจเท่านั้น
ส่วนณธิปเองก็ไม่ดื่มเยอะอย่างที่กมลเข้าใจเหมือนกัน เพราะเมื่อครู่ทานมื้อค่ำเข้าไปมาก รวมทั้งไม่ถนัดเหล้าประเภทนี้เท่าไร กลัวว่าถ้าเกิดเมาขึ้นมา ภาพลักษณ์ดีๆ ที่อุตส่าห์สร้างจะเสียหายจนกู่ไม่กลับ
พักจากเรื่องดื่มมาที่การแสดงหน้าเวที เด็กๆ ร้องเล่นเต้นรำสนุกสนานไม่น่าเบื่อ แขกต่างบ้านพากันปรบมือประกอบจังหวะ ในขณะที่งานเลี้ยงทวีความครื้นเครงขึ้น จู่ๆ เด็กหญิงตัวน้อยคนเดียวกับที่ชวนกมลไปเล่นน้ำตก ก็กึ่งเต้นกึ่งเดินออกมาจากกลุ่ม ก่อนจะมาจูงกมลลุกขึ้นจากที่นั่งให้เต้นด้วยกันกับเธอ
ณธิปเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นกมลร่วมวงเต้นไปกระโดดไปพร้อมกับเด็กๆ อย่างไม่อิดออด เขาคิดว่ากมลน่าจะเขินอายกับสถานการณ์นี้ แต่เขาคิดผิด เพราะนอกจากหนุ่มหน้าหวานจะให้ความร่วมมือแล้ว ดูท่าอีกฝ่ายยังสนุกมากเสียด้วย
ดวงตาเรียวจ้องกมลไม่ละสายตา เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นกมลทำอะไรแบบนี้ เสียงหัวเราะแบบฉบับของเจ้าตัวฟังรื่นหู และทำให้เขาอดยิ้มตามไม่ได้
คุณไอของเขาน่ารักที่สุด!
กระทั่งก่อนจบเพลง เด็กๆ คนอื่นก็ออกจากแถวมาจูงผู้ชมคนอื่นให้ร่วมร้องร่วมเต้นไปกับตัวเองด้วย ไม่เว้นแม้กระทั่งณธิป ชายหนุ่มออกไปยืนโยกตัวเก้ๆ กังๆ ครู่เดียวเพราะอายสายตาพนักงาน จนในที่สุดเพลงก็จบลง
ครั้นกลับมานั่งที่เรียบร้อย กมลก็คว้าแก้วน้ำดื่มดับกระหาย แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะลืมไปว่าแก้วนั้นมีของดีของผู้ใหญ่บ้านอยู่ พอได้ลิ้มรสแล้ว คนหน้าหวานก็เบ้หน้า และเกือบสำลักออกมา โชคดีที่ณธิปมองอยู่ เขาจึงช่วยลูบหลัง ก่อนยื่นน้ำเปล่าที่อีกฝ่ายต้องการให้
“ระวังหน่อยคุณ”
“ขอบคุณครับ” กมลหันมาขอบคุณหลังจากดื่มน้ำเรียบร้อยพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ครั้นเห็นแก้มแดงระเรื่อเพราะอีกฝ่ายเพิ่งออกแรงเต้น ณธิปก็แทบอดใจไม่ไหว อยากหอมแก้มซ้ายแก้มขวาให้สมรัก หากไม่ติดว่ารอบกายมีคนอยู่มากมายล่ะก็
หากชายหนุ่มก็ต้องอดทนไว้ อดทนให้ถึงเวลาที่เหมาะสม…
เวลานี้ดึกมากแล้ว ลูกเด็กเล็กแดงที่ออกมาทำการแสดงก็กลับเข้าบ้านพร้อมกับของรางวัลซึ่งได้รับจากณธิป ส่วนพวกผู้เฒ่าผู้แก่ก็เริ่มทยอยกลับเช่นเดียวกัน จะเหลือก็แต่คนหนุ่มคนสาวที่นั่งดื่มพร้อมกับฟังนักดนตรีประจำหมู่บ้านเล่นเตหน่า เครื่องดนตรีหน้าตาประหลาดที่ดูจะเป็นกีตาร์ก็ไม่ใช่ จะเป็นพิณก็ไม่เชิง
อากาศเย็นๆ ยามค่ำคืนที่ดวงดาวเต็มท้องฟ้า มีเสียงเตหน่าบรรเลงเพลงหวานผสานไปกับเสียงพงไพรที่ล้อมด้วยขุนเขากว้างใหญ่ บรรยากาศที่เกิดขึ้นชวนให้คนฟังรู้สึกผ่อนคลาย และดื่มด่ำกับความเรียบง่ายของวิถีชนเผ่าพื้นเมือง
ที่โต๊ะของด้านหน้าสุดเหลือเพียงผู้ใหญ่บ้าน ครูใหญ่ กมลและณธิป เรื่องที่ควรคุยก็ได้คุยกันไปหมดแล้วตั้งแต่หัวค่ำ ทั้งเรื่องซีเรียสและเรื่องสรรพเพเหระทั่วไป ยามนี้ทุกคนจึงได้แต่นั่งฟังดนตรีเงียบๆ และจิบสุราพื้นบ้านให้ตัวอุ่นเท่านั้น
กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบค่อนคืน งานเลี้ยง ณ ป่างามก็มีอันต้องเลิกรา กมลกับณธิปเอ่ยขอบคุณสำหรับอาหารมื้อค่ำและการดูแลแสนอบอุ่นที่ชาวบ้านมอบให้ จากนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายกลับเต็นท์ของตน
ทั้งสองหนุ่มเดินกลับเต็นท์ด้วยกันเงียบๆ แม้ระหว่างทางค่อนข้างมืด แต่ไม่เงียบเหงานัก เพราะคนอื่นๆ ก็ทยอยเดินกลับเหมือนกัน ที่ด้านหลังไม่ห่างจากพวกเขาบอดี้การ์ดของณธิปก็เดินตามมารักษาความปลอดภัยด้วย จนเมื่อส่งเจ้านายถึงเต็นท์ บอดี้การ์ดของณธิปจึงแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน
“คุณจะอาบน้ำอีกหรือ” เอ่ยถามเมื่อเห็นว่ากมลหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นพาดบ่า
“ไม่หรอกครับ แค่จะไปล้างหน้าล้างตาเท่านั้น ดึกแล้วด้วย เอาไว้ค่อยอาบตอนเช้าทีเดียว” หนุ่มหน้าหวานว่า
“ถ้าอย่างนั้นผมไปด้วยสิ อยากล้างหน้าเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นผมรอหน้าเต็นท์นะ”
“ครับ”
ตกลงกันเรียบร้อยกมลก็ออกไปยืนรอหน้าเต็นท์ เมื่อณธิปหยิบของเสร็จจึงตามออกมา แล้วพวกเขาสองคนก็เดินฝ่าความมืดไปยังบ่อน้ำไม่ไกลจากตัวอาคารเรียน
ความจริงที่นี่มีห้องอาบน้ำที่ถูกจัดเตรียมไว้อยู่ แต่มันค่อนข้างอยู่ห่างออกไปไกลสักหน่อย ต่างกับบ่อน้ำตรงนี้ ดังนั้นเวลาเช้าหรือตอนที่ทำธุระง่ายๆ อย่างล้างหน้าแปรงฟัน พวกเขาจึงใช้ที่นี่มากกว่า
ครั้นมาถึงกมลก็อาสาชักรอกตักน้ำขึ้นมา 1 ถังใหญ่ และแบ่งกันใช้ล้างหน้าล้างตากับณธิป จากนั้นทั้งสองคนก็แปรงฟันไล่กลิ่นสุราดีประจำหมู่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน แต่พอแปรงเสร็จกมลกลับบ่นงึมงำเพราะรู้สึกได้ว่ากลิ่นเหล้าดีกรีแรงยังไม่หายไป
“เหล้าของผู้ใหญ่นี่เอาเรื่องเหมือนกันนะครับ ขนาดแปรงฟันแล้วกลิ่นก็ยังอยู่เลย”
“งั้นหรือ” ณธิปทำหน้าฉงน “ของผมไม่เห็นมีแล้วนะ สงสัยดื่มน้อย”
“ของผมยังมีอยู่เลย” กมลบ่น ก่อนจะป้องปากแล้วพิสูจน์กลิ่นลมหายของตนเอง
“คุณเผลอดื่มเยอะน่ะสิ”
“ก็นิดหน่อยครับ” คนหน้าหวานว่า “ดีนะที่ผมเคยดื่มอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคงเมาหลับ เหล้าแรงสุดๆ นี่ขนาดแค่จิบๆ ผมยังมึนๆ อยู่เลย”
“เอ…เพราะเมาหรือเปล่าครับ ถึงได้ออกไปเต้นกับเด็กๆ ได้” ว่าแล้วชายหนุ่มก็นั่งกอดอกพิงขอบบ่อ
“ไม่เมาสักหน่อย แค่มึนๆ แต่ก็มึนหลังจากเต้นเสร็จแล้วน่ะนะ ผมคิดว่าแก้วนั้นเป็นน้ำเปล่า ไม่ทันดูให้ดี กระดกรวดเดียวหมดแก้ว” เห็นณธิปยืนพิงปากบ่อไม่เดินกลับเต็นท์ กมลก็นึกครึ้มอกครึ้มใจเดินมายืนพิงคุยกับอีกฝ่ายด้วย
“ไม่เคยเห็นคุณเต้นแบบนั้นเลย ผมแปลกใจมาก”
“หึๆ แปลกใจหรือครับ แต่สมัยก่อนตอนอยู่มหาลัยฯ ผมเต้นออกบ่อยนะ”
“มหาลัยฯ ที่ไทยมีรับน้องอะไรแบบนั้นด้วยใช่ไหม”
“ใช่ครับ” กมลพยักหน้ารับ “คุณเรียนเมืองนอกใช่ไหม”
“อืม ผมเรียนที่ชิคาโก”
“อยู่ที่นั่นตั้งแต่ไฮสคูลหรือเปล่าครับ”
“ไม่ ผมเรียนมัธยมที่ไทย”
ตอนที่ณธิปจบมัธยมใหม่ๆ ชายหนุ่มอยากอยู่ไทยใจจะขาด เพราะที่นี่เขามีเพื่อน มีทุกอย่างพร้อมหมด แต่ด้วยครอบครัวต้องการให้เขาต้องรับการศึกษาที่ดีที่สุด เจริญรอยตามพี่ชายที่บินไปเรียนไกลถึงอเมริกา ณธิปจึงจำต้องบินไปเรียนต่อที่นั่นด้วย โชคดีที่เขาเกิดมาในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่มีปัญหาในการทำเรื่องเข้าเรียนเท่าไร
“โชคดีนะครับ ได้ประสบการณ์หลายๆ แบบ”
“คุณคิดอย่างนั้นหรือ”
“อืม ผมว่าดีออกนะ” กมลพยักหน้ายืนยัน
“ตอนนั้นผมกลับคิดว่าพ่อไม่รัก”
“ทำไมล่ะครับ” กมลเผลอถามออกไป แต่เพราะนึกขึ้นได้ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว จึงรีบบอก “ถ้าคุณไม่สะดวกเล่า ผมก็ไม่ว่านะครับ ขอโทษที่ถามมากไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเป็นคุณ ผมเล่าให้ฟังได้” เจ้าของดวงตารีเรียวว่า ก่อนทอดมองออกไปในความมืด และเริ่มเล่าเรื่องราวในวัยเด็กของตัวเองย่อๆ
ตอนที่ย้ายไปเรียนต่างประเทศใหม่ๆ ณธิปรู้สึกว่าทุกอย่างมันตื่นตาไปหมด ทว่าพอปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้ เขาก็เริ่มรู้สึกเหงา และเอาแต่โทษพ่อว่าอยากกันให้เขาอยู่คนเดียว ทั้งที่ตอนนั้นณธิปก็โตจนรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว แต่เพราะชายหนุ่มฝังใจกับวัยเยาว์ที่ถูกพ่อส่งไปอยู่กับย่าที่เชียงใหม่ ครั้นพอเขาติดย่า พ่อกลับให้ย้ายมากรุงเทพฯ อีกครั้ง ผิดกับพี่ชายที่ได้อยู่กับพ่อและแม่ตลอด
“แล้วตอนนี้เลิกน้อยใจคุณพ่อของคุณหรือยังครับ”
“ผมไม่ได้คิดเรื่องนั้นแล้วล่ะ ก็โตขนาดนี้แล้วน่ะนะ” ชายหนุ่มบอกเสียงอ้อมแอ้ม
“ดีแล้วครับ เพราะผมว่าท่านแค่หวังดี อยากให้คุณได้เรียนในที่ดีๆ เท่านั้นเอง ดูท่าแล้วท่านคงเป็นห่วงคุณมาก ถึงได้คอยเผด็จการกับคุณ ต่างจากคุณภัทร แล้วดูสิ พอคุณจบมาได้ตามที่ท่านวางไว้ ตอนนี้คุณถึงทำงานเก่งไงล่ะ”
“คุณคิดอย่างนั้นหรือ”
“อืม…ผมว่าคุณพ่อคุณก็รักและเป็นห่วงคุณมากๆ เหมือนกัน ลูกทั้งคน จะแกล้งรังเกียจรังงอนอย่างที่คุณเข้าใจทำไม”
“หึๆ คงเป็นแบบนั้น” ณธิปเป็นคนฉลาด พอมีคนมาชี้ให้เห็นในอีกมุมที่เขาไม่เคยมอง ชายหนุ่มก็คิดตามและพยายามเข้าใจ ไม่รู้ทำไม…พอได้ยินกมลพูดแบบนั้น แรงกดหน่วงๆ ยามเมื่อคิดถึงพ่อก็หายไปพลันราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “ว่าแต่ชีวิตช่วงมหาลัยฯ ของคุณเป็นยังไง”
“แรกๆ ก็ดีครับ แต่พอพ่อกับแม่เสีย ผมก็ลำบากหน่อย เพราะต้องเรียนไปด้วย ดูแลกิจการไปด้วย แต่ไม่ได้ทำคนเดียวหรอกนะ มีคุณอาแล้วก็พนักงานเก่าแก่ของที่บริษัทคอยช่วยเหลือ”
“งั้นก็แปลว่าคุณไม่ค่อยได้ใช่ชีวิตวัยรุ่นเท่าไหร่น่ะสิ”
“อืม…ก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมก็ยังมีเพื่อน มีแฟน ร่วมกิจกรรมบ้าง แค่ต้องเรียนรู้งานที่พ่อกับแม่สร้างไปด้วย”
“คุณเคยมีแฟนด้วยหรือ” ณธิปตาโตกับข้อมูลใหม่ที่ได้ยิน
“มีครับ”
“ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้หญิงครับ” กมลตอบ
“งั้นหรือ”
“อืม ชีวิตผมเพิ่งเคยมีผู้ชายคนแรกที่เข้ามาจีบก็คือคุณนั่นแหละครับ”
“ดีจัง…” พูดได้แค่นั้น ณธิปก็ชะงักไปเพราะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“คุณเล็ก…เป็นอะไรครับ”
“คุณไอ”
“ครับ?” กมลหันมามองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เพราะเห็นว่าเจ้าตัวมีปฏิกิริยาแปลกไป
“ถ้าคุณเคยคบแต่กับผู้หญิง แล้วคุณรับได้หรือเปล่าถ้าผู้ชายอย่างผมเข้ามาจีบ” น้ำเสียงคนถามเต็มไปด้วยความจริงจังจนเหมือนบรรยากาศสบายๆ เมื่อครู่ไม่มีอยู่จริง
“ผม…” ครานี้กมลเป็นฝ่ายชะงักไปบ้าง คิ้วเรียวขมวดมุ่นราวกับใช้ความคิดนั่นทำให้ณธิปเผลอขมวดคิ้วไปด้วย
“คุณจะให้โอกาสผมจริงๆ ใช่ไหม แม้ว่าคุณจะไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อน”
“ผมคิดว่า…ความรักไม่ได้ระบุเพศ” กมลตอบ “ผมเห็นคนแต่งงานมาเยอะนะ มีทั้งหญิงชาย หญิงหญิง ชายชาย แต่คุณรู้ไหม ทุกคนมีจุดรวมที่เหมือนกัน คือพวกเขารักกันและกัน ดังนั้นผมคิดว่าถ้าผมจะรักใคร มันไม่เกี่ยวกับเพศสภาพหรอกครับ”
“แล้วรสนิยมคุณ…”
“เรื่องนั้นผมว่า ถ้ารักไปแล้วก็คงรับได้ล่ะมั้ง” กมลทำหน้ายุ่งยากใจ ก่อนจะแหว “คุณอย่าถามอะไรยากๆ ได้ไหมครับ ผมเริ่มมึนแล้วตอนนี้ เอาเป็นว่าผมยอมให้คุณจีบได้ แปลว่าผมก็คงรับได้นั่นแหละ ผมให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากกว่า อยู่กับใครแล้วสบายใจก็โอเค ประมาณนี้”
“แปลว่าที่ผ่านมาคุณไม่ได้รังเกียจที่ผู้ชายมาชอบถูกไหม”
“อืม แต่นอกจากรสนิยมคือเราต้องดูๆ กันไปก่อน ตามเงื่อนไขเดิม ผมว่าตรงนั้นสำคัญกว่า” กมลไม่ลืมย้ำเรื่องสำคัญ แต่ดูเหมือนคนลิงโลดจะไม่ใคร่สนใจเสียแล้ว
“เรื่องนั้นผมสู้อยู่แล้วล่ะ ว่าแต่…”
“แต่อะไร”
“ผมอยากรู้น่ะ”
“คุณอยากรู้อะไร”
“ถ้าเกิดผมจูบคุณตอนนี้ คุณจะไม่รังเกียจจริงๆ ใช่ไหม”
“เดี๋ยวนะคุณเล็ก…ผมว่าอันนี้ผิดประเด็นแล้วครับ” กมลดีดผึงขึ้นจะขอบบ่อน้ำ ก่อนถอยหลังหนีไปสองก้าว
“อ้าว คุณไม่อยากรู้หรือครับว่าตัวเองจะรังเกียจไหม สมมติถ้าเกิดวันหนึ่งผมกับคุณลงเอยกันแล้ว เกิดคุณอยากเปลี่ยนใจก็ยากแล้วนะ ลองพิสูจน์เสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า” หมาป่าเจ้าเล่ห์หว่านล้อม
“เอ่อ…” เพราะรู้สึกมึนๆ ในหัวตั้งแต่เมื่อครู่ กมลจึงเริ่มงงกับคำพูดหลอกล่อเข้าเสียแล้ว
“ลองดูไหม”
“ลองยังไง” หนุ่มหน้าหวานถาม
“จูบผมสิ” ณธิปบอกยิ้มๆ เขากอดอกพิงขอบสระอยู่ที่เดิม ในหัวตั้งใจหาคำพูดหว่านล้อมเตรียมไว้อีกหลายประโยค ทว่าก่อนที่ณธิปจะทันได้เอ่ยอะไร อยู่ๆ คนที่ถูกท้าให้พิสูจน์ก็เดินตรงเข้ามาใกล้ ใช้มือนิ่มประคองหน้าของเขาเอาไว้ ก่อนริมฝีปากแดงก่ำนั้นจะประทับตามลงมา
กมลจูบเขาก่อน!
ณธิปได้แต่ยืนนิ่ง ตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นรวดเร็วขนาดนี้ เรียวปากนิ่มๆ นั่นขบเม้นริมฝีปากของเขาเบาๆ คล้ายชวนเชิญ ลมหายใจอุ่นร้อนที่รดรินมีกลิ่นเหล้าอวบอวลจนรู้สึกได้
ครั้นณธิปเผยอริมฝีปากน้อยๆ ตอบโต้ คนใจกล้าก็แทรกลิ้นร้อนเข้ามากวาดต้อนภายในอย่างชำนิชำนาญ ต่างจากทุกครั้งที่ถูกเขารุกไล่ ต่างจากคุณไอที่ไม่ประสาคนนั้นลิบลับ และนั่นก็ทำให้ณธิปรู้สึกเหมือนถูกไม้แข็งๆ ตีหัวจนมึนงงไปกับสัมผัสหวาบหวาม
และก่อนที่เขาจะพลิกเกมโต้กลับ สัมผัสอ่อนนุ่มก็ทิ้งห่างออกไป กมลถอยห่างไปเกือบสองก้าว ดวงตาคู่งามมองมาที่ปากของเขาเหมือนไม่อยากเชื่อตัวเอง จากนั้นเจ้าตัวก็รีบหันหลังและเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ณธิปไม่ทันทำอะไรสักอย่างเดียว นอกจากส่งเสียงเรียกทั้งที่ขายังแข็งจนขยับไม่ได้ และหัวใจก็เต้นกระหน่ำยิ่งกว่ารัวกลองสะบัดชัย
“ไอ…”
กมลหยุดชะงัก และเอ่ยบางสิ่งโดยไม่หันหลังกลับมา “ผมเมา!”
“หา?!”
“ปะ…ไปนอนแล้วนะครับ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็รีบสาวเท้าหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ณธิปยืนยิ้มอยู่เพียงลำพัง
“ผมเองก็เมาเหมือนกัน แต่ถ้าไม่เมาก็คงกำลังฝันอยู่แน่ๆ…ไอ”
<><><><><><><><><><><><><><><><><><>
วันนี้มาเร็วกว่าปรกติวันนึงค่ะ เย้ๆ 555555
ตอนนี้คุณไอของบ่าวรุก คุณเล็กนี่แข็งเลย /หมายถึงขาแข็ง 55555
ตอนหน้าก็จะมาวันศุกร์เหมือนเดิมแล้วค่ะ เพราะเห็นเค้าลางของงานท่วมตัวอีกแล้ว
เจอกันศุกร์หน้าดึกๆ นะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
ละอองฝน.