Beyond The Sky And The Earth: ยิ่งกว่าผืนฟ้าและแผ่นดินbysake Spe1 P19 29/11/13
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Beyond The Sky And The Earth: ยิ่งกว่าผืนฟ้าและแผ่นดินbysake Spe1 P19 29/11/13  (อ่าน 427828 ครั้ง)

ออฟไลน์ carmel

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ขอร้องไห้แป๊บ
คือจะเริ่มยังไงดี
จะบอกว่านิยายเรื่องนี้มีเสน่ห์มาก
รักเลยตอนนี้
อินมากด้วย
รู้เลยว่า กษัตริย์ ทำทุกวิถีทางเพื่อประชาชน
แต่พวกคนเลวทำทุกวิถีทางเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
อ่านรวดเดียวจบ
ขอให้ทุกอย่างคลีคลายไปด้วยดี
ติดตามตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ uri uri

  • เป็ดกูรู
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 251
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-2
ชอบเรื่องนี้มากกกกกก
ติดงอมแงม 55555

ออฟไลน์ IRIS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
จำได้ว่าตั้งแต่อ่านมายังไม่ได้เม้น  รวบยอดแล้วกันเนอะ :katai4:

ชอบนิยายแนวนี้มากๆอ่ะ ไม่ว่าจะเป็นชายชาย ชายหญิงถ้าเป็นแนวนี้บรรยายแบบนี้ เป็นได้ติดทุกเรื่อง เคยอ่าน และซื้อเก็บไว้เป็นชายหญิงของ เรซิน ชอบมากเคยคิดว่าอยากให้มีชายชายบ้าง พอมาเจอเรื่องนี้กรี้ดเลย ชอบเจ้าเสือน้อย ชอบกระต่าย เป็นพระนายที่เป็นผู้ใหญ่มีความคิดมีเหตุมีผลรองร้บการกระทำทุกๆ อย่าง  ส่วนฉากเลิฟซีนนักเขียนเขียนได้หวานมากค่ะ

เจ้าเสือน้อยทนคิดถึงกระต่ายของพระองค์ไหวไหมนี่ เพิ่งได้รักกันแท้ๆกลับต้องห่าง แต่ก็นะคนทุกคนย่อมมีหน้าที่ ยิ่งคนเป็นเจ้าเป็นนายหน้าที่นั้นยิ่งใหญ่นัก แต่อย่างน้อยคงเบาใจที่มีเคอแสนคอยดูแลหัวใจ :กอด1:

ออฟไลน์ จ๊ะจ๋า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
 :hao7:  เข้ามาดัน

ออฟไลน์ Maxshu

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
บอกเลยว่าสมัครสมาชิกมาเพื่อนิยายเรื่องนี้เลยนะ แบบ ชอบมาก คนเขียนใช้ภาษาได้สวยมาก อ่านรวดเดียวมาถึงตอนนี้แล้วมันค้างมากอ่ะ

พี่เสือน้อยกับน้องกระต่าย แบบรักเรื่องนี้เลยอ่ะ

ติดงอมแงมถึงขนาดวนอ่านไป2รอบเลย นั่งดูเรื่องนี้ทุกวันว่าเมื่อไหร่ตอนต่อไปจะมา ><

ออฟไลน์ GintoniC

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
อ่านทันแล้ว เย้ๆ  :katai2-1:
สนุกมากเลย ชอบการบรรยายเกี่ยวกับปัจคีรีทำให้รู้สึกเหมือนได้ท่องเที่ยวด้วยกลายๆ
อ่านนิยายเรื่องนี้แล้วทำให้นึกถึงนิยายของคุณวรรนวรรธน์ เรื่องบัลลงก์สายหมอกเลยค่ะ
เรื่องนี้จะมีตัวเอกเป็นพระประมุขของประเทศนึง(จำไม่ได้แหละชื่อประเทศอะไร) และคุณหมอจากเมืองไทยที่เข้าเป็นตัวแทนในการเข้าร่วมพิธีศพขององค์ราชินีของประเทศนั้น ซึ่งอ่านมานานแล้วหลายปีแต่ก็ยังประทับใจในหลายๆบทในนิยายเล่มนั้น
โดยเฉพาะเรื่องราวในเล่มที่เกี่ยวกับการปกป้องประชาชนจากชาติที่มีอำนาจ การพยายามรักษารากเหง้า วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศชาติเอาไว้
พอมาอ่านเรื่องนี้ก็ทำให้รู้สึกนึกถึง แต่ว่านายเอกไม่ได้เหมือนกันเลยสักนิดเดียว เพราะเรื่องนี้แสบสันต์ไปถึงทรวง อ้อๆ ลืมบอกว่าบัลลังก์สายหมอกไม่ใช้นิยายวายนะค่ะ เพราะว่าเราอ่านนิยายทุกแนว ไม่ได้ชอบหรือไม่ชอบแนวไหนเป็นพิเศษ อ่านจะมีช่วงนี้ที่ติดนิยายวาย (โดยเฉพาะเรื่องนี้เป็นพิเศษจนต้องมีรีเฟรชดูบ่อยๆ 5555) เลยละนิยายประเภทอื่นไปเลย
จะติดตามค่ะ ถ้าให้อยากได้เล่มไว้นอนอ่านหลายๆ รอบ จะคอยฟังข่าวดีคร่าาาาาาา  :katai2-1:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
แอบมาอ่านหลายตอนหล่ะ

ชอบมากๆเลยขอบอก

เป็นกำลังใจให้คนเขียนครับบบ

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4
 :-[ :-[ :-[  มารอกระต่ายกับเจ้าเสือน้อย

ออฟไลน์ takuya

  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ตอนจบเเล้วจ้าา

17



ห้าปีผ่านไป ณ ประเทศไทย บ้านวทนะเจริญ

“พี่กวาง ต่ายกลับมาแล้ว”

นพรัตน์ลงจากรถได้ก็ยิ้มร่าไปหาพี่สาวซึ่งยืนคอยอยู่หน้าประตูบ้านพร้อมเข้ามาโอบกอดน้องชายตัวโตไว้ด้วยความรักใคร่เอ็นดูสุดกำลัง

“ไอ้ตัวแสบ จบจนได้นะเราน่ะ ลุ้นแทบแย่”

“โธ่พี่กวาง นี่ยินดีหรือแช่งกันแน่ฮึ” น้องชายผละมองหน้าพี่สาวผู้สดใสเต็มตาก่อนจะลงมือระดมหอมแก้มพี่สาวเป็นพัลวัน “โทษที่ไม่ยอมไปดูตอนต่ายรับปริญญา”

“พอๆ โตแล้วนะต่ายนี่ พี่ติดงาน” พี่สาวยิ้มใส่ตาคนเป็นน้องที่ยังเม้มปากดื้อดึง “แต่ก็มีของขวัญมารับดอกเตอร์คนใหม่ล่ะน่า”

“อะไรอะพี่ ไม่เอาตั๋วเที่ยวฟรีของบริษัทพี่นะ”

“ยะ! ไม่ค่อยจะงกเลยแกเนี่ย...พ่อดูเจ้าต่ายสิ ทวงของขวัญเป็นเด็กๆเลย”

นลินรัตน์หันกลับไปหาบิดามารดาซึ่งเดินตามหลังมาไม่ห่าง และพี่ช้าง พี่ใหญ่สุดที่เดินทางไปงานวันรับปริญญาของน้องชายคนสุดท้อง ขาดก็แต่ตัวเองที่ไม่ได้ไปร่วมงานด้วยติดธุระที่บริษัท ก่อนกลับไปมองน้องชายที่ร่ำเรียนจนจบปริญญาเอกแต่ยังทำตัวเป็นเด็กเล็กๆที่ดีใจกับของขวัญชิ้นโตบนโต๊ะรับแขก และแกะอย่างกระดาษห่ออย่างเมามัน

“โฮ้พ่อ!  พี่กวางให้กล้องสุดไฮโซเลยอะ ลงทุนแฮะงานนี่...โอ๊ย!” นพรัตน์ลูบศีรษะตัวเองป้อยๆเพราะเจอมะเหงกของพี่สาว

“ทำเป็นเด็กไปได้” พี่กวางถลึงตาใส่น้องชายที่อายุจะสามสิบรอมร่อ พลางนั่งลงบนเก้าอี้รับแขกมองน้องชายอย่างพินิจพิจารณาอีกครั้ง

ภาพน้องชายคนเล็กที่เคยเซ็ตผมทรงเกาหลีค่อยจางหายไป เหลือไว้เพียงชายหนุ่มผิวขาวสูงโปร่ง หน้าตาผ่องใส บุคลิกแลดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทั้งแววตา  แววตาที่ทอประกายเข้มแข็ง มุ่งมั่นจนคนเป็นพี่สาวอดใจหายนิดๆไม่ได้

ไม่มีน้องชายคนน้อยของเธออีกแล้ว มีแต่ชายหนุ่มที่โตพอจนสามารถเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้...


หลังจากพักผ่อนจนหายอ่อนเพลียจากการเดินทางไกลในเช้าวันรุ่งขึ้น ครอบครัววทนะเจริญก็ได้อยู่ทานอาหารเช้าอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โต๊ะไม้หนาใหญ่ยาวขนาดสิบสองที่นั่งตั้งในบริเวณห้องโปร่งเพดานสูงมองเห็นสวนเขียวภายนอกสบายตา  ประมุขของบ้านนั่งหัวโต๊ะ ใบหน้าผ่องใสยามมองบุตรหญิงชายของตนพูดคุยหยอกล้อตามประสาพี่น้อง  เป็นภาพที่นานๆจะได้เห็นสักครั้ง

เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ทุกคนมีหน้าที่ มีเส้นทางของตัวเอง คนเป็นพ่อเป็นแม่เลี้ยงได้แต่ตัว หัวใจต้องปล่อยให้พวกเขาไขว้คว้าดูแลกันเอง

“ไอ้ต่าย พี่เห็นข่าวแกในเว็บไซด์บันเทิงด้วย  หนุ่มเนื้อหอมดีกรีดอกเตอร์หมาดๆ ลูกชายอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะกลับคืนสู่วงการบันเทิง ด้วยรูปหล่อพ่อรวย เพอร์เฟคไปทั้งชาติตระกูลและความรู้ งานนี้ดังแน่” พี่ช้างเหล่มองน้องชายยิ้มๆขณะตักอาหารใส่จานข้าว

“โฮ้พี่ช้าง พูดไปโน้น”

“ข่าวเค้าลงแบบนั้น นี่คนในครอบครัวยังไม่รู้อะไรเลยนะเนี่ย แกจะกลับไปทำงานในวงการบันเทิงอีกเรอะไอ้ต่าย?”

“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าพี่ช้างติดตามความเคลื่อนไหวของผมกับเขาด้วย” กระต่ายอมยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่พี่ชาย

“ไม่ใช่แต่ในข่าวนะ แต่พี่ชายเราน่ะเขาแอบติดตามเราในเฟสบุ๊กด้วย” พี่กวางกระเซ้าพี่ชายตัวเองด้วยอีกคน

“ไม่ต้องเป็นพูดดี เราก็ด้วยล่ะยัยกวาง” คนขี้ห่วงถลึงตาใส่น้องสาว

“แหม ก็มันง่ายดีนี่พี่ช้าง”

“เดี๋ยวๆ นี่พี่ๆ ผมเป็นน้องพี่นะครับ มีอะไรก็ยกหูโทรหาสิครับ” กระต่ายทำหน้าย่นใส่พี่ชายพี่สาว

“หึๆ เรื่องอะไร เพื่อแกซุกกิ๊กไว้จะได้รู้” พี่ชายยักคิ้วให้ “แต่ไม่ยักเห็นโผล่มาเลย นี่พ่อกับแม่ก็รอเห็นหลานแกอยู่นะไอ้ต่าย”

“ลุ้นพี่กวางก่อนผมดีไหมพี่ช้าง?” กระต่ายโยนเผือกร้อนให้พี่สาว

“ไม่ต้องลุ้นแล้ว แฟนเจ้ากวางเขาส่งผู้ใหญ่มาทาบทามสู่ขอแล้ว ตอนนี้เหลือแต่แกล่ะ”

กระต่ายรีบหันไปหาพี่สาวเมื่อได้ยิน “จริงสิพี่กวาง ต่ายยินดีด้วย ไม่เห็นกระซิบบอกบ้างเลย”

“ช่วงก่อนต่ายจบพอดีน่ะ พี่เห็นต่ายยุ่ง เลยยังไม่ได้บอก อีกอย่างก็ไม่มีอะไรด้วย แค่คุยกันเฉยๆ ไว้ได้ฤกษ์แล้วพี่ว่าจะบอกล่ะ”

“ก็ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้นหรอก”

“น่า...แค่ตอบคำถามในเฟสบุ๊คก็ยุ่งพอแล้วล่ะ เราน่ะ” พี่กวางยิ้มใส่ตาน้องชาย

“ไม่ต้องมาแซวเลย ผมแค่ให้คำปรึกษา สอนการใช้ภาษาอังกฤษบ้างเท่านั้นเอง”

“ถึงจะแค่นั้น แต่ก็ยังมีบทความที่ต่ายเขียน รูปถ่ายที่ต่ายลง มันมีประโยชน์กับคนอื่นมากๆเลย คนไม่รู้ก็ได้รู้ ถึงจะเป็นเรื่องเล็กๆสำหรับเราก็เถอะ”

“พี่พูดซะผมเขินเลย...ผมก็แค่อยากใช้สื่อให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นๆด้วย ไม่ใช่ใช้มันอย่างสิ้นเปลืองและเปล่าประโยชน์ เสียดายแทนคนที่เขาไม่มีโอกาสได้ใช้น่ะพี่กวาง”

นลินรัตน์อดรู้สึกภูมิใจในตัวน้องชายไม่ได้  ความรู้ความสามารถที่เจ้าตัวบ่มเพาะมาหลายปีคงถึงเวลาทำประโยชน์ให้คนอื่นๆบ้างแล้ว ทว่าถ้าเจ้าตัวกลับเข้าวงการบันเทิงก็น่าเสียดาย

“แล้วต่ายจะทำงานในวงการบันเทิงต่อหรือ?” พี่สาววกกลับเข้าเรื่องเดิม

“ไม่หรอกครับ ที่ผ่านมาก็ทำตอนบินกลับมาเยี่ยมบ้านเป็นครั้งคราว แต่คราวนี้คงลาขาดแล้วล่ะครับ” กระต่ายยิ้มให้พี่สาวที่ออกฉงนอยู่ไม่น้อย

“มาเลยไอ้ต่าย กระทรวงกำลังเปิดรับเจ้าหน้าที่อยู่ แต่เงินเดือนน้อยแกต้องไต่เต้าเอาเองนะ หึๆ” พี่ช้างแกล้งขู่น้องชาย

“ต่ายไม่เคยพูดสักคำว่าจะไปทำงานกับพี่ช้าง” คนพูดยังยิ้มเย็นให้คนรอบโต๊ะ

“หือ?...ก็แกเคยบอกว่าอยากเป็นทูต ก่อนไปเรียนต่อ” คนเป็นพี่ชายขมวดคิ้วยุ่ง

“เปล่าซะหน่อย แค่บอกว่า ต้องใช้” นพรัตน์ตอบพี่ชายที่คิ้วกระตุกเรียบๆ

“แล้วจะไปใช้ที่ไหนหรือเจ้าต่าย?” อยู่ๆคุณอดิศัยก็เอ่ยขึ้น ดวงตาของผู้สูงวัยมองบุตรชายคนเล็กอย่างพินิจพิจารณา

“ไว้เรียบร้อยแล้วต่ายจะบอกนะพ่อ”

บุตรชายคนเล็กยังเลือกที่จะเก็บง่ำบางสิ่งไว้ในใจ ทว่าผู้เป็นพ่อนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ เหตุการณ์บางอย่างทำให้ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวทั้งวงการราชการและการเมืองเห็นถึงเค้าลางล่วงหน้าบางอย่าง ก่อนหันไปทางภรรยาที่ยังขมวดคิ้วมองบุตรชายแบบอยากจะคาดคั้นเอาความ หากคุณอดิศัยยื่นมือไปกุมมือขาวของภรรยาเชิงปลอบใจ  ลูกพร้อมเมื่อไรแล้วจะบอกเอง

“อืม  แล้วรูมเมทที่อยู่ด้วยกันที่อเมริกา ตอนนี้เขาทำอะไรอยู่รึ?” คุณอดิศัยเปลี่ยนประเด็นเอ่ยถามบุตรชาย เนื่องจากเวลาที่บินไปเยี่ยมเยียนบุตรชายก็จะพบคนเพื่อนร่วมห้องที่ดูจะมีอายุคนนี้ทุกครั้งไป

“ลุง...เอ๊ยคุณเคอแสนหรือพ่อ เขาก็กลับประเทศไปแล้ว”

คุณอดิศัยเลิกคิ้วแปลกใจ “ไหนว่าทำงานเป็นผู้ประสานงานให้กับรัฐบาลปัญจคีรีอยู่”

“ก็...ก็งานเสร็จแล้วมั้งพ่อ เขาก็เลยกลับ” กระต่ายหัวเราะแห้งๆ เขาเรียนจบแล้วหน้าที่การคุ้มครองก็จบลงเช่นกัน

“พ่อว่าพ่อคุ้นหน้าเขายังไงไม่รู้นะเจ้าต่าย”

นพรัตน์รู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็นๆซึมแผ่นหลัง ด้วยบิดาทำงานกระทรวงการต่างประเทศ เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็น่าจะเคยพบปะกับรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศและผู้ติดตามประเทศต่างๆ รวมถึงราชอาณาจักรปัญคีรีด้วย  เขารู้ว่าไม่ควรปิดบังผู้บังเกิดเกล้า เพราะวันหนึ่งเขาก็ต้องบอกกล่าวให้รู้อยู่ดี เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจ

ก็เขาคิดเองเออเองคนเดียวนี่! ยังไม่ได้ถามคนทางโน้นเลยสักคำ ว่าเห็นด้วยรึเปล่า

“ก็คนทางปัญจคีรีหน้าคล้ายๆคนไทยเรามั้งพ่อ”

คนอดิศัยพยักหน้ารับฟังหากแต่ปราโมทย์พี่ชายกลับตั้งประเด็นใหม่ให้กระต่ายเหงื่อแตกอีกรอบ

“พี่ว่าเขาเหมือนทหารยังไงไม่รู้ แกไปรู้จักกับเขาได้ยังไงวะไอ้ต่าย ถึงจะดูสุภาพก็เถอะนะ แต่สุภาพแบบโหดๆว่ะ”

นพรัตน์หันมองพี่ชายพลางยิ้มสู้ “ก็บอกว่ารู้จักกันตอนไปเที่ยวที่ปัญจคีรีไง แล้วเขาก็มาทำงานที่อเมริกา คุยกันถูกคอเลยชวนมาอยู่ด้วยกัน แล้วก็ไม่ได้ดูสุภาพ แต่เขาสุภาพมากเลยพี่ช้าง” ถ้าไม่ไปทำให้เขาโกรธล่ะนะ

“เออ สงสัยแกจะชอบเขามากนะ ถึงได้ตามเขาไปเที่ยวปัญจคีรีทุกปี เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองทางโน้นเขาไม่เหม็นขี้หน้าแกแย่แล้วเหรอ แล้วปีนี้แกจะไปอีกไหม?”

“ก็ว่าจะไปอีก”

คำตอบนั้นทำเอาคนเป็นพี่หันมองบิดา รับรู้สัญญาณผิดปกติจากน้องชาย  แม้ดูคล้ายเป็นพี่ที่ไม่เอาใจใส่ในตัวน้องชายมากนัก แต่ลึกๆแล้วคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงอยู่เงียบๆ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากการท่องเที่ยวที่ปัญจคีรี  ทั้งเขาและบิดาได้แต่นึกประติดประต่อเรื่องอยู่ในใจกันเงียบๆ แต่ก็ยังหาจุดเชื่อมโยงนี้ไม่ได้

การรีบกลับไปตั้งอกตั้งใจร่ำเรียนหนังสือจนจบ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นยังเอ้อระเหยลอยชาย หายใจให้หมดไปวันๆ

บทความด้านสังคม สิทธิมนุษยชน หรือแม้แต่บทวิเคราะห์การรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์ด ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติความคิดอ่านที่โตขึ้นจนสามารถสรุปเรื่องราวยากๆให้ดูง่ายดาย และมุมมองการมองโลกที่เปลี่ยนไป

รูมเมทหน้าแปลกที่ไม่น่าจะมาบรรจบกันได้ แถมยังตามไปเยี่ยมเยียนถึงบ้านเพื่อนใหม่ทุกปี 

การลงเรียนศิลปะป้องกันตัวอย่างมวยไทย และหลักสูตรการยิงปืนแบบต่อสู้ป้องกันตัวระดับสูง แล้วน้องชายเขาจะเรียนเอาไปรบกับใครที่ไหนกัน

ทั้งหมดนี้รวมกันอยู่ที่คนๆเดียวคล้ายกำลังเตรียมการเพื่อเป้าหมายอะไรสักอย่าง

เป้าหมายที่น้องชายไม่ยอมปริปากบอกแม้ครึ่งคำ

“ไม่เบื่อประเทศนี้บ้างรึไง ไปที่อื่นบ้างก็ได้นะ”

กระต่ายยิ้มให้กับคำข่อนคอด หากก็รู้สึกได้ถึงการจับสังเกตจากพี่ชายและบิดา “เบื่อวันไหนแล้วจะบอกนะคุณพี่ชาย” ชายหนุ่มตักข้าวทานคำสุดท้ายก่อนจะรวบช้อน “แต่วันนี้ต่ายขอตัวไปสังสรรค์กับเพื่อนๆก่อนนะ คงกลับดึกๆเลย แม่ไม่ต้องคอยนะครับ” ท้ายประโยคกระต่ายหันไปบอกมารดา ก่อนลุกออกมาจากโต๊ะอาหารพร้อมถอนหายใจโล่งอก

ออฟไลน์ takuya

  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
แผนการที่ชายหนุ่มคิดไว้ในใจคือ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะกลับไปทำงานที่ราชอาณาจักรปัญจคีรี เขาอยากเป็นส่วนหนึ่ง ถึงจะเป็นส่วนเล็กๆที่จะช่วยแบ่งเบาภาระขององค์สูงใหญ่หน้าดุนั่นบ้างก็ตามที  แต่ความคิดนี้เขาไม่เคยบอกออกไปตรงๆกับเจ้านรพยัคฆาภูบดินทร์ แต่คาดว่าอีกฝ่ายก็น่าจะรับรู้ถึงความต้องการของเขา ทว่ากลับไม่เคยเอ่ยโอษฐ์สนับสนุนเลยสักคำ คำสัญญาก่อนจากในตอนนั้นยังคงนอนนิ่งอยู่ใต้ผิวพักตร์เรียบดุ ลึกๆแล้วเขาคิดว่าพระองค์คงไม่ต้องการให้เขาไปอยู่ที่นั่นถาวร ด้วยทรงตรัสอยู่เสมอว่าที่ๆพระองค์อยู่ไม่ได้สุขสบาย บางครั้งต้องลำบากนอนกลางดินกินกลางทรายเพื่อจะไปให้ถึงประชาชนของพระองค์ที่อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขาสูงชัน ทั้งยังอันตรายถึงแก่ชีวิต

แต่เขาไม่ได้กลัวลำบาก ไม่ได้รักสบาย  เพราะฉะนั้นถึงจะบอกว่าไม่ให้อยู่เขาก็จะอยู่ ให้มันรู้ไปสิว่าจะใจร้ายโยนเขาออกนอกประเทศได้ทุกครั้งไป 

นี่คือความตั้งใจ ทว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หัวใจของเขาแกว่งไหวในบางคราคือ สายตาของคนในครอบครัวอันเป็นที่รักตลอดมาและตลอดไป  เขาใจหายทุกครั้งเมื่อนึกถึงวันที่ต้องจาก  แต่ก็ปลอบใจตัวเอง ปัญจคีรีห่างกับประเทศไทยแค่นั่งเครื่องบินสามชั่วโมงเศษเท่านั้น วันไหนคิดถึงก็มาหาได้ตลอด

นพรัตน์ถอนหายใจอีกคำรบหนึ่ง ก่อนควงกุญแจรถยนต์คันโปรดขับออกไปหาเพื่อนฝูงดังที่ได้บอกมารดาไว้ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกดื่นค่อนคืน แต่เจ้าตัวไม่คิดจะหลับตานอนในทันที สายตาคู่ดำกวาดมองไปที่หน้าจอโน้ตบุ๊คและพิมพ์ตอบคำถามในแฟนเพจ การแนะนำการศึกษาต่อในต่างประเทศ บ้างก็คุยเรื่องสถานที่น่าไปเยือนตามประเทศต่างๆ หรือแม้กระทั่งปัญหาหัวใจ  แต่ข้อหลังนี้คนตอบเองก็ยังไม่ค่อยจะมั่นใจนัก เพราะเรื่องของตัวเองยังเอาไม่ค่อยจะรอด


หลังจากเรียนจบกลับมาอยู่บ้านเกิดจนชีวิตเริ่มเข้าที่เข้าทาง ตามกำหนดเดิมที่นพรัตน์วางไว้ในใจคือสองเดือนให้หลังเขาจะต้องเดินทางไปยังราชอาณาจักรปัญจคีรี แต่ในความเป็นจริงต้องเลื่อนออกไปด้วยพี่สาวได้ฤกษ์แต่งงานมาเรียบร้อย นั่นคืออีกสี่เดือนข้างหน้า นพรัตน์จึงตั้งใจจะอยู่จนพิธีสมรสของพี่สาวเสร็จสิ้นแล้วจึงค่อยเดินทาง ระหว่างที่รอก็ช่วยพี่สาวเตรียมงานแต่งงานและรับงานเป็นพิธีกรตามงานอีเว้นท์ต่างๆ บ้างก็ไปเป็นนายแบบกิตติมศักดิ์ตามงานการกุศลทั่วไป

เขายังคงติดต่อสื่อสารกับเจ้านรพยัคฆาภูบดินทร์ตามแต่โอกาสจะอำนวย โทรศัพท์บ้าง อีเมลบ้าง หรือวันไหนท่านเจ้าอารมณ์ดีก็ไลน์คุยกัน  แต่ยากมาก ด้วยพระองค์ไม่ทรงนิยมใช้อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีไฮเทคเหล่านี้อย่างพร่ำเพรื่อ
 
สงสัยจะกลัวเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับลูกน้อง

ร่างโปร่งยิ้มบางกับตัวเองพลางระบายลมหายใจหวาน  เสียงกระซิบพร่ายังคงดังก้องในโสตประสาท  ‘ได้กอดตัวเป็นๆดีกว่าเป็นไหนๆ’

แล้วทำไมถึงไม่รีบมารับตัวเขากลับไปกันเล่า!  แต่ไว้ก่อนเถอะ เสร็จงานทางนี้เมื่อไรได้มีคุยกันยาว

นพรัตน์วางแผนชีวิตให้ตัวเองคนเดียวเงียบๆโดยไม่ได้รับรู้ถึงความกระวนกระวายจากคนทางฝั่งปัญจคีรีแม้สักน้อย



งานพิธีมงคลสมรสของพี่กวางถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของบ่าวสาว ทว่าในความเป็นจริง ทั้งแขกเหรื่อผู้ทรงเกียรติและนักข่าวสายสังคมไฮโซแน่นขนัดจนเต็มพื้นที่ ทำให้มารดาแอบกระซิบเสียงเครียดกับลูกสาวคนเดียว

“นี่ขนาดแม่เผื่อไว้แล้วนะยัยกวาง ไม่งั้นแม่ถูกแขกตำหนิว่าต้อนรับไม่ดีแน่ๆ เสียชื่อพ่อเขานะ”

“โธ่คุณแม่ กวางก็บอกให้เชิญแต่คนสนิทๆแล้วนี่ค่ะ” ผู้เป็นเจ้าสาวยิ้มแห้งให้มารดา ก่อนจะกวาดมองแขกของทั้งสองฝ่ายที่งานนี้ขนเครื่องเพชรเครื่องทองมาประชันกันแบบไม่ยั้ง

ถึงอย่างไรเธอก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวผู้ดีตระกูลเก่า มีพ่อเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ส่วนฝ่ายเจ้าบ่าวก็เป็นถึงลูกชายเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  แล้วงานนี้มันจะเงียบได้อย่างไร  ความฝันแบบสาวน้อยที่หวังจะวิวาห์บนผืนหญ้าเขียวขจีใต้แสงเดือนแสงจันทร์อย่างเรียบง่ายเป็นอันต้องพับไปโดยปริยาย

“นี่ก็กรองแล้วกรองอีกนะยัยกวาง”

นพรัตน์ซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆหลุดขำพรืด ก่อนเอ่ย “ครั้งหนึ่งในชีวิตน่าพี่กวาง ตามใจแม่เขาเถอะ เดี๋ยวพี่ก็จะไม่ได้อยู่ให้แม่บ่นแล้ว ต้องไปเป็นแม่บ้าน เลี้ยงลูกหัวฟูอยู่บ้านพี่เอโน้น”

“ใครบอกว่าพี่จะไปเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกหัวฟู ไม่มีทางหรอก พี่ก็ยังจะทำงานบริษัททัวร์ของพี่เหมือนเดิม”

“จริงเหรอพี่เอ? ให้พี่กวางไปทำทัวร์ ระวังพี่กวางเขาไม่กลับบ้านกลับช่องเป็นเดือนๆเลยนะ” กระต่ายหันไปถามพี่เขยอย่างสนิทสนม

“อืม พี่แล้วแต่เขาน่ะ ถ้าเขาชอบก็เต็มที่เลย จะไปไหนมาไหนก็ไม่ว่ากัน ขออย่างเดียว เสร็จงานแล้วกลับมาบ้านของเราก็พอ”

คนที่ยืนอยู่รอบข้างพลางหน้าร้อนไปตามๆกัน ในขณะที่นพรัตน์รู้สึกถึงความอุ่นซ่านข้างในหัวใจตัวเอง  จะมีสักกี่คนที่รักอย่างที่เราเป็นเราขณะนี้ 

ร่างโปร่งพรางพรูลมหายใจยาว “ต่อไปนี้ต้องฝากพี่เขยแล้วนะครับ พี่กวางเขาไม่ชอบคนจู้จี้ ไม่ชอบทำกับข้าว แต่ชอบทานของอร่อย ชอบเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ แต่ไม่ชอบให้ใครไล่ตาม เพราะฉะนั้นพี่เอไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ แค่อยู่เฉยๆ พี่กวางเขาแพ้ใจคนไม่ค่อยพูดครับ”

เจ้าบ่าวตบไหล่น้องเขยเบาๆ ด้วยรู้ว่าคำพูดที่เหมือนเล่นๆ แต่มันคือสิ่งที่กลั่นออกมาจากใจ

“วางใจได้เลย”

นลินรัตน์เข้าไปกุมมือคนรักก่อนหันไปแหวใส่น้องชาย “นี่พี่แต่งงานนะ ไม่ใช่ลาไปโลกพระจันทร์ซะหน่อย ไม่ต้องทำเหมือนฝากฝังอะไรกันขนาดนั้น อยู่กันแค่นี้เอง”

“ก็ใครจะรู้ล่ะ ฝากไว้ก่อน” นพรัตน์ยิ้มใส่ตาพี่สาวที่ทอประกายสดใสรับชีวิตใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า  ร่วมถึงตัวเขาเองด้วย




ผ่านพ้นงานของพี่สาวไปเรียบร้อยหากชายหนุ่มก็ยังไม่สามารถบินลัดฟ้าไปถึงปัญจคีรีได้ดังที่ใจปรารถนา เพราะรับปากกับมารดาซึ่งเป็นคณะกรรมการงานการกุศลหาทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ โดยเขารับทำหน้าที่เป็นพิธีกรให้กับงานดังกล่าว แต่ก็ไม่ลืมที่จะเริ่มเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋าใบใหญ่ เมื่อผู้เป็นแม่บ้านผ่านมาเห็นจึงเอ่ยทัก

“คุณต่ายจัดกระเป๋าจะไปไหนหรือค่ะ ให้ป้าหยดช่วยจัดเอาไหมค่ะ? ดูสิ กระเป๋าใบใหญ๋ใหญ่”

กระต่ายยิ้มพลางส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนที่ร่างโปร่งระหงของมารดาจะเข้ามาเห็นด้วยอีกคนพอดี

“ไปไหนหรือลูก?”

“แม่...ยังไม่ได้ไปครับ แต่ว่าจะไปเที่ยวที่ปัญจคีรีสักพักน่ะแม่ เลยเตรียมๆไว้” กระต่ายหรุบตาหลบเล็กน้อย ถ้าไปถึงที่โน่นแล้วเขาตั้งใจจะค่อยๆบอกกับทางครอบครัวว่าเขาสนใจจะทำงานที่นั่น และจะค่อยๆบอกไปทีละเล็กละน้อย ด้วยไม่อยากให้ทางบ้านเป็นห่วงเขามากนัก

“ทำไมถึงชอบนักนะประเทศนี้น่ะ?” มารดาเข้ามาทรุดตัวนั่งริมขอบเตียงมองลูกชายคนเล็กพับเสื้อผ้าลงกระเป๋า “ถึงตอนนี้จะไม่ค่อยมีข่าวเรื่องผู้ก่อการร้าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศนี้ปลอดภัยนะลูก”

“แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ สถานการณ์ของที่นั่นตอนนี้ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ เพียงแต่บ้านเขาเมืองเขายังไม่เจริญเท่าบ้านเราก็เท่านั้นเอง”

“แต่ว่า...” คุณหญิงประไพนึกเป็นห่วงลูกชายคนเล็กคนนี้จับใจ และก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเพราะอะไรถึงได้รู้สึกเป็นห่วงนัก “อยู่กับแม่ให้หายชื่นใจก่อนไม่ได้หรือลูก เพิ่งจะกลับมาแท้ๆ”

คำท้วงของมารดาทำเอานพรัตน์พูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ “ก็...ก็ยังไม่ได้ไปเลยแม่ แค่เตรียมไว้ก่อน แล้วงานหาทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ของแม่ก็ยังไม่ถึงเลยด้วย ต่ายจะไปได้ยังไง”

คุณหญิงประไพได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ลูกชายของเธอกำลังเลี่ยงที่จะตอบคำถามเหมือนที่ผ่านๆมา หากก็คร้านจะเค้นถามว่าเพราะอะไรถึงได้ติดอกติดใจประเทศนี้นัก



งานกาลาดินเนอร์การกุศลเพื่อระดมทุนจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ มีราคาค่าบัตรต่อโต๊ะหลักแสนหลักล้าน ภายในงานยังมีการจัดประมูลพระพุทธรูปจำลองนำเงินร่วมสมทบอีกส่วนหนึ่ง  บรรยากาศภายในงานมีแต่แขกในแวดวงสังคมชั้นสูง ดารานักข่าวมากมาย ยอดเงินบริจาคจึงสูงลิวทำเอาเหล่าบรรดาคณะกรรมการจัดงานหน้าบานยิ้มกันไม่หุบ  นพรัตน์เองที่เป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ก็รู้สึกยินดีและร่วมสมทบทุนบริจาคไปด้วยไม่น้อย

ร่างโปร่งระบายลมหายใจยาวเมื่อเข้ามานั่งอยู่ในรถยนต์หรูคันงามพร้อมบิดามารดา  ภารกิจนี้คืองานชิ้นสุดท้ายแล้ว ความรู้สึกเหมือนหลุดจากบ่วงบาศทำให้นพรัตน์ทิ้งตัวลงพิงพนักอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนทอดสายตามองใบหน้ามารดาอย่างรักใคร่และเป็นห่วงในคราเดียวกัน

คุณหญิงประไพรู้สึกได้ถึงสายตาบุตรชายจึงหันไปมอง หากเจ้าตัวรีบเสหลบตาลงฉับพลัน ทว่าคุณหญิงประไพยังทันได้เห็นแววตาที่สะท้อนความรักและเป็นห่วงของบุตรชายได้ชัดเจน  และแววตาแบบนี้ล่ะที่จะเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่เจ้าตัวจะต้องลาไปอยู่ไกลบ้านไกลเมือง เหมือนตอนไปเรียนเมืองนอกเมืองนาไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ครานี้แววตาของบุตรชายดูลึกล้ำจนคุณหญิงประไพอดใจคอหายไม่ได้

“เป็นอะไรรึเปล่าลูก เหนื่อยหรือ?” มืออุ่นเอื้อมไปกุมมือบุตรชายเบา และเพียงเท่านั้นเองที่ทำให้นพรัตน์แสบร้อนโพรงจมูก หากฝืนกลั้นสายหน้าแทนคำตอบพลางยิ้มอ่อน

“ไม่หรอกครับแม่ แค่เป็นพิธีกรเท่านั้นเอง”

“แต่ก็ต้องยืนพูดตลอด กลับไปก็รีบอาบน้ำอาบท่าแล้วนอนเสียนะลูก ตื่นเช้าแม่จะพาไปทำบุญนะ”

คุณหญิงประไพเห็นลูกชายพยักรับอย่างว่าง่ายก็ให้หายกังวลใจ  โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าแผนการไปทำบุญในวันพรุ่งนี้จะต้องถูกยกเลิกไปโดยปริยายเพราะเครื่องบินจากราชอาณาจักรปัญจคีรีกำลังแลนดิ้งที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแล้ว

นพรัตน์ลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นพร้อมกับความรู้สึกเหมือนมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่างกวนใจอยู่ตลอดเวลา ร่างโปร่งสลัดผ้าห่มให้พ้นตัวก่อนจะลุกเข้าไปจัดการอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมายังห้องอาหารชั้นล่าง

“เรียบร้อยแล้วหรือลูก ยังเช้าอยู่เลย ทานข้าวต้มก่อนนะ เดี๋ยวพ่อเขาก็ลงมาแล้ว แม่ขึ้นไปแต่งตัวก่อน”

มารดาบอกขณะมองบุตรชายเลือกสวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อนสบายตาดูเหมือนคุณชายในหนังพีเรียดไม่มีผิด  สมแล้วที่งานเมื่อคืนมีเหล่าบรรดาคุณหญิงคุณนายที่มีลูกสาวเอ่ยปากชมพร้อมทอดสะพานให้ไม่ขาดปาก  เนื้อหอมขนาดนี้คนเป็นแม่ก็กลุ้มใจใช่น้อย ถึงปากจะบอกว่าลูกรักใครแม่ก็รักด้วย แต่ก็อยากให้ลูกชายได้คนที่สมน้ำสมเนื้อกันด้วยเช่นกัน

นพรัตน์มองแผ่นหลังมารดาหายขึ้นไปยังชั้นสองแล้วจึงกลับมาสนใจหนังสือพิมพ์หัวนอกบนโต๊ะ ร่างโปร่งกวาดตาอ่านทุกหัวข้อข่าวอย่างช้าๆ ระหว่างรอป้าหยดยกข้าวต้มปลามาให้ทาน ชั่วครู่ข้าวต้มร้อนๆควันลอยฉุยก็วางอยู่ตรงหน้า นพรัตน์พับหนังสือพิมพ์เก็บแล้วจึงหยิบช้อนขึ้นมาคนข้าวต้มช้าๆ

“น่ากินจังป้า”

“ทานเยอะๆสิคะ ผอมจะแย่แล้วนะคะ”

คนถูกมองกวาดตาสำรวจตัวเองก่อนจะยิ้มแหย่ให้แม่บ้าน “ที่เกาหลีกำลังฮิตนะป้าหยด หุ่นแบบนี้น่ะ”

“จะไปตามพวกดารงดาราเกาหลีเขาทำไมล่ะค่ะ วันๆกินข้าวอิ่มรึเปล่าก็ไม่รู้” น้ำเสียงค่อนแคะทำเอาร่างโปร่งขำพรืด ก่อนจะเลิกคิ้วมองเด็กในบ้านอีกคนเดินเข้ามาใกล้

“คุณต่ายคะ มีแขกมาขอพบค่ะ ชื่อ เคอแสน คุณต่ายจะให้พบรึเปล่าคะ”

“เคอแสน! อืม ให้เขาเข้ามา แล้วพาไปห้องรับรองแขกริมสวนนะ” กระต่ายเอ่ยบอกพลางขมวดคิ้วฉงน

เคอแสน? ไม่เห็นบอกล่วงหน้าเลยว่าจะมาหา มีอะไรหรือเปล่า?

ร่างโปร่งเดินไปยังห้องรับรองแขกริมสวน แล้วจึงเลือกนั่งลงบนโซฟานุ่มใกล้ประตูกระจกเลื่อนซึ่งมองออกไปเห็นสนามหญ้าเขียวขจีขนาดย่อมๆพร้อมไม้ดอกไม้ประดับตามมุมต่างๆ

เสียงฝีเท้าน้ำหนักมั่นคงค่อยเข้ามาใกล้ นพรัตน์เพ่งมองไปยังทางเข้าพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ร่างของสาวใช้เดินนำเคอแสนเข้ามาภายในห้องปรากฏอยู่ในกรอบสายตาก่อนจะชะงักค้างเพราะโครงร่างสูงใหญ่ที่เดินตามมาด้านหลังเคอแสน

เจ้านรพยัคฆาภูบดินทร์!

“พระองค์...” น้ำเสียงอ่อนติดอยู่แค่ลำคอ ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว

ดวงตาคู่ดำสดใสมองวรองค์สูงใหญ่ตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง คนที่เขานึกถึงทุกลมหายใจเข้าออก ตอนนี้มายืนอยู่ตรงหน้า พระองค์ทรงฉลองพระองค์แบบสูทสากลสีเข้ม ขับเน้นความสง่างามและองอาจแบบนายทหาร พักตร์คมคายติดแข็งกระด้างหากภายในดวงเนตรสีฟ้ากลับสว่างไสวเจิดจ้ายามทอดมองร่างโปร่งตรงหน้ากำลังทำหน้าตาเหลอหลา

“ไม่เชิญให้เรานั่งก่อนหรือ?” สุรเสียงเรียบติดสรวลเล็กๆทำให้กระต่ายได้สำรวมกริยาและมารยาทเจ้าของบ้านมากขึ้น

“เชิญประทับพ่ะย่ะค่ะ” ร่างโปร่งเบี่ยงตัวให้องค์สูงเข้าไปนั่ง ส่วนตัวเองทรุดตัวลงกับพื้นอย่างเคยชิน หากถูกหัตถ์ใหญ่ฉุดรั้งไว้เบาๆ

“ตามสบายเถอะ เราไม่ได้มาด้วยข้อราชการ” เจ้านรพยัคฆ์รั้งให้ร่างโปร่งนั่งลงบนโซฟาตัวยาวตัวเดียวกัน ข้างกัน ใกล้กัน เท่าที่ความเหมาะสมตอนนี้จะอำนวย

รอยสรวลจากมุมโอษฐ์อ่อนหวานยามจับจ้องใบหน้าขาวนวล ในอุระร้อนผ่าวก่อนยื่นหัตถ์ออกไปกอบกุมฝ่ามือขาว

“เรามารับกลับบ้าน”

เสียงตรัสเนิบๆแต่กระชับสั้นเข้าประเด็น บ่งบอกถึงความมั่นคงและแนวแน่ทำให้ในอกคนฟังเต้นรัว รู้สึกถึงกระแสความอาทรห่วงหาเข้าโอบล้อมรอบตัว ดวงเนตรสีฟ้าฉายฉานส่งความนัยกระจ่างชัด นพรัตน์เม้มริมฝีปากตัวเองแน่น กระบอกตาร้อนผ่าว  ไม่คิดไม่ฝันว่าคนตรงหน้าจะมาเพื่อรับเขากลับบ้าน  ทั้งๆที่เขารอแล้วรอเล่า ทั้งๆที่เกือบตัดใจไปแล้วหลายรอบ ทว่าเขารู้เหตุผลว่าทำไมอีกฝ่ายจึงไม่ยอมเอ่ยปากขอ

แต่ตอนนี้ คำตรัสของพระองค์ทำให้เขาเหมือนยกภูเขาออกจากอก ความรู้สึกยินดีไหลบ่าเข้าท้วมท้นหัวใจพร้อมกับความรู้สึกโหวงเหวงเล็กๆ

นพรัตน์วางมือทับหัตถ์ใหญ่พลางตัดพ้อเสียงพร่า “ทำไมมาช้านักล่ะพ่ะย่ะค่ะ ถ้ามาช้ากว่านี้หม่อมฉันจะเปลี่ยนใจแล้วนะ”

เจ้าตัวพูดไปโดยไม่ได้นึกถึงกระเป๋าเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวที่แอบเตรียมไว้ล่วงหน้าหลายอาทิตย์ในห้องนอน

“เธอยังมีโอกาสนั้น ตราบเท่าที่เท้าของเธอยังไม่ได้เหยียบลงแผ่นดินปัญจคีรี” ดวงเนตรสีฟ้ากระจ่างดังท้องฟ้ากว้างยามเที่ยงวันสะท้อนความอารี หากในความลุ่มลึกนั้นกลับเต้นไหวบางเบาให้เห็น

ไม่มีอ่อนข้อให้บ้างเลยนะพระองค์!

ร่างโปร่งนึกเข่นเขี้ยวองค์สูงใหญ่ที่ยังกอบกุมมือเขาแน่นราวกลับกลัวว่าเขาจะหายตัวไปได้ต่อหน้าต่อตา ทว่าโอษฐ์สวยกลับยอกย้อน

แต่เขาจะยอมข้ามๆไปก็ได้ เพราะพระองค์มาอยู่ตรงหน้าแล้ว  มันยากเสียยิ่งกว่ายากที่จะทำให้พระองค์มาอยู่ตรงนี้ ออกโอษฐ์ขอเขาแบบนี้  และนี่คือสิ่งที่เขาเฝ้าคอย

นพรัตน์ยิ้มทั้งน้ำตาคลอหน่วย “พากระหม่อมไปด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

แผ่นอุระหนาถอนปัสสาสะยาวก่อนจะแย้มสรวลกว้างพร้อมกระชับมือเล็กกว่าไว้แน่น “พรุ่งนี้นะ เราจะมารับ”

คนฟังอดจะตกใจกับกำหนดการด่วนนี้ไม่ได้ แต่ก็เข้าใจ นี่คงเป็นเวลาที่สามารถยืดให้เขาได้มากที่สุดแล้ว ร่างโปร่งพยักหน้าตอบรับก่อนจะหันมองบิดามารดาที่ลงมาเมียงมองอย่างประหลาดใจ เมื่อมีแขกมาเยี่ยมแต่เช้าตรู่แบบนี้

“พ่อ...แม่” นพรัตน์อดจะอิหลักอิเหลื่อกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ไม่ได้ จะแนะนำยังไงดี นั่นก็เชื้อพระวงศ์ แต่ก็เป็น...คนรัก ทำยังไงดีล่ะ

ขณะที่ทำท่าคิดอย่างวุ่นวายใจ เจ้านรพยัคฆาภูบดินทร์ก็ลุกขึ้นกล่าวสวัสดีเป็นภาษาอังกฤษกับคุณอดิศัยและคุณหญิงประไพอย่างสุภาพ

“สวัสดีครับ ผมไทเกอร์ มาเยี่ยมนพรัตน์ ขอโทษด้วยที่มารบกวนแต่เช้าแบบนี้”

คุณอดิศัยมองแขกอย่างประหลาดใจ แม้จะพบเจอเพื่อนของบุตรสาวบุตรชายเป็นคนต่างชาติต่างภาษามาเสียจนเคยชิน แต่ทว่ารายนี้กลับแปลกออกไป

คำพูดช้าชัดสำเนียงเจ้าของภาษา แต่ลักษณะบุคลิกกลับเหมือนคนแถบเอเชียเว้นเสียแต่ดวงตาที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นลูกผสมระหว่างตะวันตกและตะวันออก วาจาที่กล่าวแม้จะสุภาพหากกริยาท่าทางล้วนองอาจสง่างาม อายุอานามก็คงจะมากกว่าบุตรชายโข ดูไม่ใช่เป็นเพื่อนนักเรียนทั่วไป หน้าที่การงานคงกินตำแหน่งสูง อีกทั้งใบหน้าคมคายติดแข็งกร้าวแบบนี้ มันติดอยู่ในหัว เพียงแต่นึกไม่ออก หากลางสังหรณ์ของคนเป็นพ่อก็ทำให้คุณอดิศัยใจเย็นลอบดูท่าที

“ไม่หรอกครับ แต่พวกเราจะไปทำบุญที่วัด เชิญคุณไปด้วยกันสิครับ ถ้าไม่ติดอะไร ทำบุญไปคุยกันไปก็สนุกดี ท่านเจ้าอาวาสวัดนี้ท่านเป็นพระกรรมฐานมีญาณ ไหนๆก็มาแล้ว ให้ท่านรดน้ำมนต์เป็นสิริมงคลก็ดีนะครับ”

“ขอบคุณครับ ผมไม่ติดธุระอะไร เพราะตั้งใจมาที่นี่”

ดวงตาสีฟ้าเพียงมองตอบก็ทำให้คุณอดิศัยนิ่งไปชั่วครู่คล้ายมีอะไรมาถ่วงในช่องอก กระแสแห่งอำนาจราชศักดิ์ที่กระจายออกมาจากอีกฝ่ายทำให้ผู้สูงวัยนึกกริ่งเกรงโดยไม่รู้สาเหตุ ก่อนตวัดตามองบุตรชายที่ยืนหน้าตาเหยเก

เพื่อนคนนี้เป็นใคร!

คุณอดิศัยเก็บความสงสัยไว้อย่างมีมารยาท ด้วยเจ้าลูกชายตัวดีก็ไม่ยอมบอกกล่าวอะไรไปมากกว่าที่เห็น ก่อนจะนำพากันไปยังวัดที่ตนเองให้ความเลื่อมใสศรัทธา โดยให้นพรัตน์ไปกับเพื่อนมาใหม่เพื่อคอยบอกทาง

ภายในห้องโดยสารของรถยนต์คันงาม คุณหญิงประไพนั่งเงียบตลอดการเดินทางไปยังจุดหมาย อาการครุ่นคิดอะไรบางอย่างของสามีจนหัวคิ้วขมวดยุ่งไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาของเธอ เพียงแต่เธอรู้ว่าเวลาใดควรถาม และเวลาใดควรรอ

เสียงลมหายใจสะดุด หลังจากบุรุษผู้ผ่านสังเวียนชีวิตมาไม่น้อยใช้เวลานึกทบทวนความทรงจำ  ถ้าเขาไม่แก่จนหูตาฝ่าฟาง คนที่นั่งรถยนต์ตามหลังมาไม่ห่างคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนปัจจุบันของราชอาณาจักรปัญจคีรี ซึ่งแต่เดิมเคยควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วย ถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเพราะอยู่ในแวดวงเดียวกัน และต้องเคยพบพานกันสักครั้งสองครั้งตามงานสำคัญๆ ทั้งนี้ปัญจคีรีไม่ใช่ประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก  แต่ทว่าอีกฝ่ายไม่ใช่เพียงผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเพียงเท่านั้น คนผู้นั้นยังเป็นเชื้อพระวงศ์ใกล้ชิด เป็นพระเจ้าน้องยาเธอของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน  แล้วไอ้ต่ายลูกชายเขาไปรู้จักมักจี่ได้อย่างไร!

“คุณ...” ดอกเตอร์อดิศัยเอื้อมมือไปกุมมือขาวนิ่มของภรรยาไว้เบาๆ ทว่าสิ่งที่อยากจะพูดกลับติดอยู่ที่ลำคอ แล้วทำไมลูกชายของเขาถึงไม่เคยเอ่ยปากบอกเล่าอะไรให้ฟังบ้างเลย  เขาควรจะรอคำอธิบายจากปากลูกชายก่อนใช่รึเปล่า

“มีอะไรหนักใจหรือค่ะคุณ?” คุณหญิงประไพขมวดคิ้วยุ่งตามสามีที่ถอนหายใจยาวยืด

“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน ไปให้พระท่านรดน้ำมนต์เสียหน่อยก็ดีเหมือนกันนะ” คุณอดิศัยตบมือขาวเบาๆคล้ายปลอบใจ ทำให้ผู้เป็นภรรยาจำต้องสงบใจรอต่อไปอีก

ในขณะที่รถคันหน้าแล่นนำทางไปเรื่อยๆ นพรัตน์ซึ่งนั่งในรถอีกคันยังคงนั่งขมวดคิ้วในใจเต้นตึกตักไม่จาง

“ไม่รู้ว่าพ่อจะนึกออกรึเปล่า?” นพรัตน์เปรยขึ้นเบาๆหากหนักใจไม่น้อย

“ให้เราบอกกับคุณพ่อของเธอเองไหม?”

นพรัตน์รีบส่ายหน้าพรืดปฏิเสธ แม้ดวงเนตรที่มองมาแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย แต่ทว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องในครอบครัวของเขา เขาต้องเป็นคนจัดการเองถึงจะถูก

“กระหม่อมตั้งใจว่าจะค่อยๆบอก แต่เรื่องเป็นแบบนี้คงต้องรีบบอก” นพรัตน์ยิ้มแหย “ไม่งั้นเห็นทีจะไปปัญจคีรีลำบาก”

“ไม่เป็นไร ไว้เธอไปอยู่ที่โน้นแล้วเราค่อยเขียนจดหมายมาขออนุญาตให้ก็แล้วกัน” เจ้าเสือน้อยแย้มแต่โอษฐ์หากนัยน์ตาหรี่ขวาง   ต่อให้ต้องจับเธอมัดลงกระสอบไปปัญจคีรีตอนนี้ฉันก็จะทำ!

ร่างโปร่งแสร้งย่นจมูกนึกฉุนนิดๆ หากเจ้าตัวกลับทิ้งศีรษะลงบนอังสากว้างพลางกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างให้องค์นรพยัคฆ์แย้มสรวลเบาๆ ก่อนจะประทานจุมพิตบนหน้าผากมนเนิ่นนาน

รถยนต์แล่นเข้าไปจอดข้างๆศาลาการเปรียญ ภายในวัดร่มรื่นด้วยมีต้นไม้ใหญ่ขนาดสี่ห้าคนโอบขึ้นเป็นระยะๆ คุณอดิศัยลงจากรถด้วยความรู้สึกหนักอึ้งก่อนจะรีบเดินเข้าไปใกล้รถยนต์อีกคันที่ตามหลังมาจอดไม่ห่าง

เพียงวรองค์สูงก้าวออกมาจากรถ คุณอดิศัยก็รีบถวายคำนับหากถูกหัตถ์ใหญ่ยกขึ้นห้ามไว้เสียก่อน

“ผมไม่ได้มาด้วยราชการแผ่นดิน ตามสบายเถอะครับ”

แม้จะบอกให้ตามสบายแต่คุณอดิศัยยิ่งรู้สึกหนักอึ้งพิกล ก่อนจะเหลียวมองบุตรชายเดินเข้ามายืนใกล้ร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่กริ่งเกรงอาญา คนเป็นพ่อจึงรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของความสัมพันธ์ระหว่างคนตัวใหญ่กับลูกชายของตน

 “เดี๋ยวกลับไปแล้วต่ายจะเล่าให้ฟังนะพ่อ ตอนนี้ต่ายอยากทำบุญกับพ่อกับแม่ก่อนไป...นะครับ”

“...!”

คนเป็นพ่อดูจะอึ้งไปหลายวินาที จนนพรัตน์ต้องควงแขนบิดาก้าวขึ้นบันไดไปยังศาลาที่มีผู้คนมาทำบุญคับคั่ง ส่วนมารดาดูจะอดทนกับสภาพแปลกๆนี้ได้ดีสมกับเป็นภรรยาท่านทูตใหญ่มาก่อน

หลังจากตักข้าวใส่บาตรพระพร้อมกับคุณหญิงประไพเรียบร้อยแล้ว คุณอดิศัยจึงส่งปิ่นโตข้าวสุกให้ลูกชาย นพรัตน์ลุกขึ้นโดยมีร่างสูงลุกตามเป็นเงาตามตัวยิ่งทำให้คุณอดิศัยรู้สึกเหมือนมีภูเขาสองลูกหล่นมาทับอก

ชายหนุ่มทั้งสองเดินต่อคิวตักข้าวใส่บาตรพระด้วยทัพพีเดียวกัน แววตามุ่งมั่นหากมีรอยยิ้มประดับบนริมฝีปากน้อยๆของบุตรชาย คุณอดิศัยและคุณหญิงประไพที่เห็นถึงกับน้ำตาคลออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  เค้าลางบางอย่างค่อยกระจ่างขึ้นในฉับพลัน ความรู้สึกอุ่นร้อนปรี่ขึ้นกลางอก


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ takuya

  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
หลังจากกรวดน้ำเรียบร้อย แต่ไม่ได้เข้าพบท่านเจ้าอาวาสที่เคารพนับถือด้วยท่านติดกิจของสงฆ์ ทั้งห้าคนจึงตั้งใจกลับ ทว่าอยู่ๆก็มีเด็กวัดวัยสิบกว่าขวบวิ่งหน้าตั้งมาหาก่อนเอ่ยปนเสียงหอบ

“คุณๆ หลวงตาบอกให้คุณไปหาที่กุฏิตรงโน้น” เด็กวัดชี้นิ้วไปยังฝั่งขวาของโบสถ์ ใกล้ต้นโพธิ์ใหญ่ “เร็วๆด้วยนะ หลวงตาจะรีบไป” ท้ายประโยคไม่ได้มีอยู่ในคำสั่ง หากเจ้าเด็กวัดรู้ว่าหลวงตารีบไปธุระ จึงอาสาเพิ่มให้เสียเอง

ทั้งหมดตรงไปยังกุฏิดังกล่าว เมื่อไปถึงก็พบพระมากพรรษารูปหนึ่งยืนคอยอยู่ใกล้ๆรถที่ติดเครื่องยนต์เตรียมพร้อมจะออกเดินทางได้ทุกเวลา

“นมัสการครับหลวงพ่อ” คุณอดิศรที่คุ้นเคยยกมือไหว้พร้อมภรรยา

“อาตมาติดกิจธุระจึงอยู่สนทนาได้ไม่นานนัก ยื่นมือออกมาสิ” หลวงตาล้วงของในยามออกมากำมือหนึ่ง “นี่ของโยม เอาไว้บูชา” พระพุทธรูปองค์เล็กถูกวางบนฝ่ามือ “ส่วนตะกรุดสามอันนี่ของพวกเขา ต้องใช้” หลวงพ่อมองดวงตาเบิกกว้างของคุณอดิศรด้วยความปราณี “โยม ความรักของคนเป็นพ่อเป็นแม่คือพรอันประเสริฐ คือเกราะป้องกันภัยทั้งปวง แต่ไม่ว่าจะรักจะทะนุถนอมสักเพียงใดก็ต้องสุดแล้วแต่เวรแต่กรรมของเขานะ ทุกข์อยู่ที่ใจ สุขก็อยู่ที่ใจ อย่าให้อคติมาบดบังปัญญาของเรา เอาไว้วันหน้าว่างๆโยมมาหาอาตมาสิ จะได้สนทนากันได้มากกว่านี้” ก่อนขึ้นรถ หลวงพ่อหันไปมองร่างสูงใหญ่ที่ค้อมศีรษะลงแสดงความเคารพ “ถวายพระพรบพิตร”

หลวงพ่อจากไปพร้อมดวงตาฉายฉงนของบุคคลที่ยืนส่ง

คุณอดิศัยลอบกลืนก้อนแข็งลงคออย่างยากลำบาก ด้วยญาณบารมีหลวงพ่อรู้ว่าคนๆนั้นเป็นใคร  จากนั้นจึงพยายามหันคอแข็งๆของตัวเองไปหาบุตรชาย “นี่ลูก”

นพรัตน์หยิบตะกรุดจากมือบิดาและส่งต่อ เคอแสนผู้เป็นมหาดเล็กส่วนพระองค์จึงเป็นคนรับส่วนของเจ้าเสือน้อยและตนเองไปเก็บไว้ตามหน้าที่ ก่อนจะเอ่ยลาแล้วแยกย้ายกันกลับที่พัก พร้อมความรู้สึกหนักหน่วงในใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่

“ต่าย...” พ่อมองลูกชายเดินตามหลังมาด้วยท่าทีสงบ พลางหลับตาลงชั่วครู่แล้วจึงลืมตาขึ้นหลังปรับอารมณ์ให้นิ่งเย็นดุจสายธาร “ไปอาบน้ำอาบท่าซะก่อนลูก แล้วค่อยมาคุยกัน”

ดอกเตอร์อดิศัยทรุดกายลงบนเก้าอี้รับแขก ยกมือกุมขมับแล้วถอนใจยาว ภายในศีรษะมีแต่ภาพดวงตาสีน้ำทะเลลึกล้ำคู่นั้นจดจ้อง

“เป็นอะไรรึเปล่าคุณ?” ภรรยาแตะเบาๆที่ท่อนแขนพาดอยู่บนที่เท้าแขน “แล้วเรื่องของลูก?”

ผู้เป็นสามีสบดวงตาเต้นไหวระริกของภรรยาคู่ชีวิตแล้วจึงตบเบาๆบนหลังมือขาวอย่างปลอบโยน “ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกคุณประไพ แค่รู้สึกใจหายน่ะ”

ทว่าหลังจากฟังเรื่องราวจากปากบุตรชาย คุณอดิศรไม่ใช่แค่รู้สึกใจหาย แต่รู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ แม้จะมีขอนไม้ให้เกาะแต่กระแสน้ำนั้นยังเชี่ยวกราก บั่นทอนแรงกายแรงใจจนแทบพยุงตัวไม่อยู่ ส่วนคุณหญิงประไพได้แต่หลับตาลงพร้อมน้ำใสๆเอ่อล้นเป็นทาง

เธอรู้ รู้ว่าลูกเลี้ยงได้แต่ตัว หัวใจต้องแล้วแต่เขา แต่ต้องมารู้หลายๆเรื่องพร้อมกันแบบนี้ เธอก็ยากที่จะควบคุมความรู้สึกเสียใจไม่ได้

ลูกรักผู้ชาย

ผู้ชายคนนั้นยังเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ใกล้ชิด

และลูกกำลังจะขอไปอยู่ที่นั่น ไปใช้ชีวิตที่นั่น

ดูจากสิ่งที่คิดได้ในตอนนี้ทุกอย่างมีแต่คำว่าอุปสรรค ยากลำบาก แค่คิดก็มองไม่เห็นอนาคตแล้ว เพราะแม้โลกนี้จะหมุนเร็วเปิดกว้างเพียงใด แต่ความรักแบบนี้ยังอยู่ในวงจำกัด แล้วไหนจะต้องเข้าไปอยู่ในรั้วในวัง ขนมธรรมเนียมต่างบ้านต่างเมือง ลูกของเธอจะทนแรงเสียดทานจากสิ่งรอบข้างไหวหรือ แล้วท่านองค์นั้นจะโปรดลูกของเธอไปได้นานสักเท่าไร  เธอเป็นห่วงเหลือเกิน

นพรัตน์เม้มปากมองปฏิกิริยาของบิดาและมารดาอย่างเป็นห่วง นี่เขาเลือกที่จะปิดบังเรื่องการผจญภัยบู๊ล้างผลาญแล้วนะ

ร่างโปร่งทรุดตัวลงคุกเข่าแล้วเข้าไปกราบลงบนตักของบิดาและมารดา จากนั้นจึงโอบกอดเอวมารดาไว้แน่น พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า

“ต่ายขอโทษที่ปิดบังมาตลอด แต่ไม่ว่าต่ายจะเป็นอะไร อยู่ที่ไหน ต่ายก็รักพ่อกับแม่นะ รักมากด้วย”

แค่คำพูดเท่านี้ก็ทำให้คุณหญิงประไพปล่อยโฮอย่างกั้นไม่อยู่ “น่าตีไหมลูก น่าตีไหม ทำอะไรไม่คิดถึงใจพ่อแม่บ้างเลย แล้วจะไปอยู่กับเขาได้ยังไง แม่ไม่ให้ไปนะ ไม่ให้ไป!” คนเป็นแม่กอดลูกไว้แน่น ไม่ว่าลูกเธอจะเป็นอะไร จะดีจะร้าย ในสายตาของแม่ก็คือลูกอยู่ดี

“เอาเถอะ” เสียงคุณอดิศัยเอ่ยออกมาหลังจากที่สงบใจมองผ่านเรื่องราวที่บุตรชายเล่าให้ฟังอย่างมีสติ มือเหี่ยวย่นลากขึ้นไปแตะกระเป๋าเสื้อที่อก สิ่งขรุขระสะดุดนิ้วภายในนั้นคือพระพุทธรูปองค์เล็กที่หลวงพ่อให้มา  คำกล่าวของหลวงพ่อยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท จากนั้นจึงถอนใจเป็นคำรบที่เท่าไรแล้วก็จำไม่ได้ “ถ้าเตรียมพร้อมมาขนาดนี้แล้วก็ไปเถอะ ไปทำประโยชน์ให้บ้านเขาเมืองเขาก็เท่ากับสร้างชื่อให้ประเทศเราเหมือนกัน วางตัวให้เหมาะสมกับฐานะของเรา แล้วก็...ดูแลตัวเองดีๆ บ้านเขาไม่ใช่บ้านเรานะ อย่าไปเดินสุ่มสี่สุ่มห้า เกิดอะไรขึ้นจะลำบาก พ่อแม่อยู่ทางนี้จะช่วยอะไรได้ทันเจ้าต่าย”

“คุณ!” คุณหญิงประไพหันขวับมองสามี ดวงตาแดงก่ำนองน้ำตากล่าวอย่างตัดพ้อ ทว่าคุณอดิศัยเพียงพยักหน้า

ลูกของเขาไม่ใช่เพิ่งคิดจะไปตอนนี้ แต่ลูกเตรียมตัวและเตรียมใจที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่โน้นมาหลายปี หลายปีที่ลูกชายคนนี้ขัดเกลาตัวเองให้มีประสบการณ์ทางด้านวิชาการและทางสังคมเพื่อส่งตัวเองไปสู่เป้าหมาย  เป้าหมายเพื่อให้ได้เคียงข้างบุรุษผู้นั้น  ผู้กำหัวใจของลูกชายของเขาไปจนไม่เหลือสิ้นซึ่งความลังเลไว้ให้พ่อแม่ได้เหนี่ยวรั้งสักนิด

“พ่อถามอีกนิดเถอะ เห็นเพื่อนคนนั้น เคอแสนใช่ไหมที่เป็นรูมเมทตอนลูกเรียนหนังสือ เขาเป็นเพื่อน?” คุณอดิศัยหรี่ตามองบุตรชายที่ยังกอดเอวมารดาไว้หลวมๆ

“คุณเคอแสน...เขาก็เป็นเพื่อน...แต่เขาก็เป็นนายทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ด้วยเหมือนกัน”

“หือ...เป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์?”

“ครับ...รับใช้ใกล้ชิดมาก อีกคนชื่อนัมทัค พ่อยังไม่เคยพบ”

“อืม...” คุณอดิศัยรับคำในลำคอ สรุปแล้วคือส่งนายทหารคนสนิทมาอารักขาลูกชายเขาตั้งแต่เมื่อสี่ห้าปีก่อนโน้น 

เขาล่ะอยากจะลืมๆเรื่องคนรักของบุตรชายไปเสียจริงๆ



เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากได้บอกเล่าเรื่องราวและได้รับคำอนุญาตจากบิดา นพรัตน์รู้สึกโล่งอกไปมากโข เว้นเสียแต่มารดาที่เดินตาแดงๆมาช่วยเก็บของใช้ส่วนตัวเล็กๆน้อยๆลงกระเป๋า

“เอาไปแค่นี้จะพอหรือลูก ที่โน้นหนาวไม่ใช่หรือ ให้แม่จัดกระเป๋าส่งตามไปอีกไหม?” คุณหญิงประไพมองกระเป๋าเดินทางพียงใบเดียวแล้วใจหาย กังวลกลัวลูกจะไปอยู่ลำบาก ก็ที่นั้นยังไม่ค่อยเจริญ จะหาซื้อเสื้อผ้าของใช้ที่เคยใช้ประจำก็คงไม่ง่ายนัก  น่าจะเตรียมไปให้เยอะกว่านี้อีก

“ถ้าไม่ใช่หน้าหนาวก็ไม่หนาวมากหรอกแม่ แค่เย็นๆ ส่วนทางใต้ของประเทศอากาศเหมือนบ้านเรานี่ล่ะ ร้อน”

แม้บุตรชายจะบอกเป็นนัยว่าไม่เป็นไร แต่คุณหญิงประไพก็ตั้งใจแล้ว ไม่ว่ายังไงก็จะส่งข้าวของพวกนี้ตามไปทีหลังแน่นอน ยังไงเกินก็ดีกว่าขาด

“แม่” นพรัตน์รูดซิบกระเป๋าเรียบร้อยแล้วจึงเข้ามาโอบกอดมารดาไว้หลวมๆ “ไว้ต่ายไปอยู่ทางโน้นจนเข้าที่เข้าทางเมื่อไร ต่ายจะมารับแม่ไปอยู่กับต่ายที่โน้นสักระยะดีไหม ที่โน้นอากาศดี  มีวิวสวยๆให้ถ่ายรูปเยอะมาก  คนเฒ่าคนแก่ที่โน้นชอบไปวัด ไปสวดมนต์กัน แม่เห็นแม่คงชอบ”

คนเป็นแม่ไม่หือไม่อือทำให้บุตรชายเจ็บจี๊ดๆที่อก “หรือให้ต่ายกลับมาเยี่ยมแม่ก็ได้นะ ใกล้ๆแค่นี้เอง นั่งเครื่องสามชั่วโมงก็ถึงแล้ว แม่...”

เมื่อบุตรชายครางเสียงแห้ง คุณหญิงประไพถึงได้พยักหน้าหงึกๆ “อะไรก็ได้ลูก แต่ไปถึงแล้วต้องโทรหาแม่นะ อย่าหายเงียบไปแบบคราวโน้น แม่ใจไม่ดี”

คำตอบของมารดาทำให้นพรัตน์ค่อยยิ้มออก ก่อนจะหอมแก้มมารดาแรงๆ “สัญญาครับ”

เมื่อหิ้วกระเป๋าลงมาชั้นล่างก็พบพี่ชายพี่สาวยืนคอยอยู่ในห้องรับแขก โดยมีบิดานั่งจิบชาอยู่ไม่ห่าง

“พ่อโทรบอกว่าให้มาหาแก แกจะไปทำงานที่ราชอาณาจักรปัญจคีรี ทำไมมันปัจจุบันทันด่วนแบบนี้วะ บอกปุ๊บไปปั๊บ”  พี่ช้างเอ่ยทักยาวเหยียด

นพรัตน์ยิ้มแห้ง “พอดีทางโน้นระบุวันมาแล้ว เลยต้องไปวันนี้น่ะพี่ช้าง”

“แล้วจะไปยังไง พี่ไปส่งที่สนามบินนะ” พี่กวางเดินเข้ามาใกล้ พลางตบไหล่น้องชายเบาๆ

“ไม่เป็นไรหรอกพี่กวาง เดี๋ยวมีรถมารับไปสนามบิน พี่ๆส่งต่ายที่นี่ล่ะ แค่ได้เห็นหน้าก่อนไปก็ดีใจแล้ว”

พี่สาวมาดสุขุมพยักหน้าในขณะที่พี่ชายชักสีหน้าพิกล “แกจะไปทำงานอะไรที่โน้นฮะ ถึงกับมีรถมารับมาส่งขนาดนี้วะไอ้ต่าย”

กระต่ายทำหน้าปั้นยากยกนิ้วเกาขมับสองสามทีก่อนเหลือบมองบิดาซึ่งนั่งอมยิ้มอยู่เฉยๆ “งานเลขานุการน่ะ อาจมีพวกประสานงานทั่วๆไปด้วย แล้วแต่น่ะพี่ช้าง ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนในเนื้องานเท่าไรหรอก”

“ไม่ชัดเจน! แล้วแกจะไปอยู่ที่นั้นได้ยังฮะ”

ในขณะที่กำลังจะถูกพี่ชายไล่ต้อนให้กระอักกระอ่วนใจ แม่บ้านก็เดินเข้ามารายงานถึงการมาของแขกที่ทุกคนกำลังรอคอย  เพียงไม่นานก็เห็นชายหนุ่มรูปร่างสันทัดเช่นคนตะวันออกเดินนำร่างสูงใหญ่สะดุดตาผู้คนเข้ามาภายในห้องรับแขก คุณอดิศัยและภรรยาลุกขึ้นถวายคำนับในทันทีทำให้บุตรชายคนโตและบุตรสาวทำหน้าฉงนระคนประหลาดใจ ออกอาการเก้ๆกังๆ เนื่องจากไม่มีใครบอกอะไรไว้ล่วงหน้าเลย

นลินรัตน์ยืนอึ้งไปชั่วขณะ หากสมองยังทำงานปกติ รีบเค้นค้นหาใบหน้าคุ้นตาตรงหน้าในสมองทันที และเพราะเธอทำงานให้บริการนักท่องเที่ยว ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนหลากหลายประเทศ ต้องมีข้อมูลของประเทศต่างๆไว้มากพอสมควร ดังนั้นจึงไม่ยาก ในเมื่อคนตรงหน้าเป็นบุคคลสำคัญระดับบิ๊กของราชอาณาจักรปัญคีรี  พร้อมกับที่ปราโมทย์เองก็ระลึกได้ว่าบุรุษตรงหน้านั้นคือใคร ด้วยยังไงเขาก็อยู่ในกระทรวงการต่างประเทศ ย่อมต้องคุ้นหน้าคุ้นตามาก่อน

หญิงสาวรีบถอนสายบัวพร้อมพี่ชายโค้งกายถวายคำนับอย่างรวดเร็วดูพรึบพรับพิกล จนผู้มีฐานันดรศักดิ์พระยศเจ้านายเอ่ยท้วงไม่ทัน หากก็แย้มสรวลรับแล้วมองไปยังร่างสูงโปร่ง

“คือ...เดี๋ยวให้พ่ออธิบายให้พี่ฟังที่หลัง พอดีมันฉุกละหุกน่ะ” นพรัตน์ยิ้มแหยให้องค์สูงก่อนก้าวเข้าไปยืนเคียงข้าง เตรียมพร้อมออกเดินทาง “พี่ช้างพี่กวาง ต่ายไปนะ แล้วจะโทรมาหาบ่อยๆ”

“ไอ้ต่าย...เดี๋ยว มาคุยก่อน...” คนเป็นพี่ลืมตัวตั้งท่าจะเข้าไปหาน้องชาย แต่ถูกบิดาเข้ามารั้งไว้

“น้องต้องไปแล้วเจ้าช้าง เดี๋ยวค่อยมาคุยกัน” เสียงคุณอดิศัยบอก

กระต่ายมองพี่ชายอย่างลุแก่โทษที่ไม่ได้บอกเล่าอะไรให้ฟังด้วยตัวเอง แล้วจึงหันไปยกมือไหว้ลาผู้ให้กำเนิด

เจ้านรพยัคฆ์ก้มมองใบหน้าขาวเผือดไปเล็กน้อย ความสงสารแล่นริ้วขึ้นกลางอุระ การขอให้คนรักละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอน ไม่ต่างกับการขอชีวิตเล็กๆนั้นมาไว้ในอุ้งหัตถ์

ดวงเนตรสีน้ำทะเลนิ่งสงบเคลื่อนไปยังผู้สูงวัยทั้งสอง “เราให้คำมั่นกับท่านได้ว่า เราจะปกป้องและดูแลเขาจนกว่าลมหายใจของเราจะสูญสิ้น และเขาไปเพื่อทำประโยชน์ให้แก่ผู้คนมากมาย ขอท่านภูมิใจในตัวบุตรชายคนนี้ของท่านเถอะนะ”

นพรัตน์เห็นพี่กวางถึงกับยกมือปิดปากเมื่อรับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับเจ้านรพยัคฆ์ ส่วนพี่ช้างยืนนิ่งเป็นเป่าสาก คุณอดิศัยและคุณหญิงประไพได้แต่ยืนส่งบุตรชายคนเล็กไปยังโลกอีกใบที่เจ้าตัวต้องลุยเพียงลำพังด้วยหัวใจเบาโหวง


เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มองลงไปด้านล่างไม่เหลือผืนดินให้เห็น มีเพียงปุยเมฆขาวลอยปะทะหน้าต่าง ร่างโปร่งถูกองค์สูงใหญ่รั้งไปโอบกอดแนบอุระ และนพรัตน์เองก็เต็มใจซุกหน้าตัวเองลงกับความอบอุ่นแต่แฝงไว้ซึ่งความเข้มแข็งนั้นอย่างเต็มใจ

“กระหม่อมถามหน่อยได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

ขนงสีเข้มเลิกขึ้น “ได้ แต่หน่อยหนึ่งนะ”

เดี๋ยวนี้ย้อนเก่ง! นพรัตน์นึกเหน็บอีกฝ่าย “ทำไมถึงทรงมารับหม่อมฉันล่ะพ่ะย่ะค่ะ เพราะกระหม่อมคิดกว่าอีกสักพักก็จะบินไปอยู่แล้ว”

ชายหนุ่มมองดวงเนตรสีฟ้าเลื่อนกลับมาจ้องใบหน้าตัวเอง ท่าทีเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอย่างหนัก ริมโอษฐ์เม้มเข้าและคลายออกหลายครั้ง และถ้าตาไม่ฝาดเขาเห็นพระปรางมีสีเข้มขึ้น

“เพราะเราไม่รู้ว่าอีกสักพักของเธอน่ะเมื่อไร เลยต้องมารับอย่างไรล่ะ” สุรเสียงเข้มขึ้นพร้อมๆกับที่ร่างโปร่งเห็นแววไหวระริกในดวงเนตร

“ก็ไม่เห็นจะทรงอยากรู้นี่ ไม่เคยถามสักคำ” นพรัตน์หรี่ตามองเจ้าเสือน้อยปั้นพักตร์กลบความรู้สึกภายใน คอยดูเถอะ จะง้างโอษฐ์ให้พูดให้ได้เลย

ทว่าเป็นแค่กระต่ายแต่ริอาจทำเจ้าเล่ห์กับเสือร้าย แค่เจ้านรพยัคฆ์ชำเลืองมาปราดเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะแกล้งพระองค์  หากองค์สูงใหญ่กลับถอนปัสสาสะยาว ปลายหัตถ์ยกขึ้นบีบแก้มขาวๆเล่น  ถ้าเป็นเรื่องหัวใจ พระองค์ยอมให้คนๆนี้หมดแล้ว

“อยากรู้สิ เราอยากรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของเธอเสมอ แต่เราก็จำต้องคอย และเราอยากให้เธอใช้เวลาที่ได้ร่ำเรียนทบทวนความตั้งใจนี้อีกครั้ง เมื่อเวลาอันสมควรมาถึง เราจะเคารพการตัดสินใจของเธอ”

“แต่พระองค์ก็เสด็จมา” นพรัตน์มองหัตถ์ใหญ่กอบกุมมือเขาเข้าไปจุมพิตหนัก

“ใช่ เราคิดว่าเราคอยได้ เราคิดว่าเราใจกว้าง  เพราะเรารู้ เรามั่นใจว่าเธอจะเลือกเรา  แต่...มันไม่เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ เราคิดว่าเธอเรียนจบแล้วคงจะอยู่สะสางงานทางนี้ไม่กี่เดือน แต่เกือบครึ่งปีเธอก็ยังไม่เดินทางเสียที มันทำให้เรารู้สึก เราไม่เคยกลัวอะไรเท่านี้มาก่อน”  ดวงเนตรสีน้ำทะเลนิ่งมองปลายจมูกเชิดรั้นเงยขึ้นราวกับรอคอย “เธอช้านัก ช้าจนเรากลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจ”

“ไหนว่าให้กระหม่อมเลือกได้” นพรัตน์ใจเต้นตึกตัก

“เราเปลี่ยนใจแล้ว เหลือแค่ตัวเลือกเดียวคือไปกับเรา” เจ้าเสือน้อยแย้มสรวลเจ้าเล่ห์ก่อนจะจุมพิตพวงแก้มแดงเรื่อหนักๆ

“พระองค์ใจดำ ทั้งๆที่รู้ว่ากระหม่อมตั้งใจจะทำอะไร แต่ก็ไม่เคยออกโอษฐ์ชวนสักคำ ตั้งสี่ห้าปีเชียวนะพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทรงคิดบ้างหรือว่ากระหม่อมคิดทางหนีทีไล่จนหัวแทบระเบิด ถ้าพระองค์ไม่เห็นด้วยที่กระหม่อมจะมาอยู่ที่นี่”

“ก็เธอไม่เคยขอตรงๆกับเรานี่”

นพรัตน์ดันตัวออกจากอ้อมพาหาพลางเม้มริมฝีปากเข่นเขี้ยว “หายกันนะ”

เจ้าเสือน้อยสรวลเบาๆก่อนจะรวบร่างโปร่งเข้ามาไว้ในอ้อมอุระอีกครั้ง เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นเป็นระยะจนกระทั่งเครื่องบินตีวงเตรียมเข้าสู่การร่อนลงบนพื้นดินในอีกไม่กี่อึดใจ

เทือกเขาสูงเบื้องหน้าถึงแม้จะเต็มไปด้วยอันตรายร้อยแปด แต่ลึกลงไปนั้นยังมีผู้คนมากมายที่ใช้ชีวิตอยู่บนความยากแค้นของธรรมชาติ ทว่าอัดแน่นไปด้วยวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีที่คล้ายหยุดนิ่งเช่นหลายร้อยปีก่อน ในขณะที่โลกภายนอกหมุนไปทุกวัน เป็นภาระของผู้ปกครองบ้านนี้เมืองนี้ว่าจะดำเนินนโยบายการปกครองไปในทิศทางใดเพื่อให้เกิดความสมดุล ไม่มากและไม่น้อยเกินไป ไม่ตึงและไม่หย่อนเกินไป  ไม่ง่าย...

“ถึงบ้านของเราแล้ว”


จบ




ข้อความจากพี่สาเกจ้า :  สวัสดีค่ะ จบแล้วค่ะ^___^  คิดว่าตอนจบนี้หวานพอรึเปล่าคะ 5555555 คนเขียนรู้สึกน้อยไป กำลังเขียนตอนพิเศษหลังจากเหตุการณ์ในเรื่องต่ออยู่ค่ะ  จะได้รู้ว่ากระต่ายน้อยของเราเมื่อไปอยู่ที่โน้นแล้วจะดำเนินชีวิตยังไง และเจ้าเสือน้อยจะหวานได้ขนาดไหน อยากจะขยายความเหตุการณ์ในเรื่องอีกซักหน่อย  มาดูว่ากระต่ายจะพลิ้วได้ขนาดไหน แอบกระซิบว่าน่ารักอะ
ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนนะคะ กำลังใจช่วยได้จริงๆค่ะ ไม่ว่าจะผ่านอะไรมา ไม่ว่าเราจะรู้จักหรือไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่น้ำใจจากเพื่อนๆก็สามารถช่วยคนที่กำลังเครียดได้มากโข หรือยามต้องการกำลังใจ  ขอบคุณจริงๆค่ะ

ข้อความจาก takuya : ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านงานของพี่สาเกนะคะ  เเล้วก็ขอบคุณที่มาบวกเป็ดให้จ้า >_<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-10-2013 10:02:39 โดย takuya »

ออฟไลน์ LimousinX9

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 229
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
กรี๊ดดดทำไมจบเร็วจัง  ....   นึกว่าจะอ่านได้ยาวๆ  แต่ยังไม่ได้อ่านจบเลย แว๊บไปอ่านก่อนนะ +.+

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
ตกใจจจจจแบบเห็นอัพแล้วเขียนว่าจบ
แต่คือหวานอะ เจ้าเสือน้อยนี่ยังหวานเสมอ
นิยายเรื่องนี้แบบดีมากจริงๆชอบมากๆ รอตอนพิเศษค่า

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เจ้าเสือน้อยก็ไม่ได้อะไรกับต่ายมาก แค่ก็บินมารับถึงที่
แล้วก็แค่ถ้าที่บ้านต่ายไม่ให้ไปก็จะจับใส่กะสอไป แล้วก็ใจกว๊าง กว้างให้ต่ายเลือกได้ด้วย
แต่บังเอิญช้อยส์มีแต่เจ้าเสือน้อยแค่นั้นเอง 55555

จบแล้ว คงจะคิดถึงแย่เลย
หลงรักเรื่องนี้เข้าจังๆ รออ่านตอนพิเศษนะคะ

ออฟไลน์ Maxshu

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
จบเร็วไปไหนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
ยังดีที่มีตอนพิเศษนะ

ว่าแต่พระองศ์คะอดใจรอต่ายน้อยไม่ได้เลยเหรอคะ ถึงมารับถึงที่เลย 55555

บอกตรงๆค่ะว่าหลงรักเรื่องนี้มาก คนเขียนใช้ภาษาได้สวยมากค่ะ > w <

ออฟไลน์ Little_Devil

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกเขินๆ ทั้งๆ ที่ในเรื่องเจ้าเสือน้อยก็ไม่ใช่คนหวาน(และทั้งเรื่องก็หาความหวานแทบไม่เจอ)
แต่อ่านแล้วนั่งยิ้มเขินอยู่คนเดียวจนจบตอน
รอตอนพิเศษค่ะ ขอรีเควสตอนพี่ช้างมาเยี่ยมน้องต่ายที่ปัญจคีรีได้มั้ย ท่าทางจะฮา
เพราะพี่ช้างแกออกแนวรักน้องหวงน้องแบบห่างๆ (ประมาณว่าแอบหวงแอบห่วงโดยไม่แสดงออก)

ออฟไลน์ withmeto_PJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด จบเร็วมากเลย เรายังอยากจะอ่านต่ออีกเรื่อยๆๆๆๆ
ใจหายมากๆเลยค่ะ เราชอบเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว รอติดตามตลอดเลย
ผลงานของคุณสาเกนี่สุดยอดมากๆเลย ชอบมากค่ะ
แล้วก็ปย.นี้ “เราให้คำมั่นกับท่านได้ว่า เราจะปกป้องและดูแลเขาจนกว่าลมหายใจของเราจะสูญสิ้น และเขาไปเพื่อทำประโยชน์ให้แก่ผู้คนมากมาย ขอท่านภูมิใจในตัวบุตรชายคนนี้ของท่านเถอะนะ”
อ่านแล้วขนลุก น้ำตาคลอเลย ฮือออออออออออออ
ยังไงก็แล้วแต่รอตอนพิเศษอย่างใจจดใจจ่อเลยนะคะ จะรออ รอออ รออค่าา

ขอบคุณมากๆๆสำหรับนิยายดีๆแบบนี้

 :กอด1: :กอด1: :pig4: :pig4: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ urmein

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 871
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
จบแบบไม่ทันตั้งตัวเลยค่ะ แต่ก็สมบูรณ์ในเรื่องราวทั้งหมดเนอะ
ตอนนี้ก็ขอรอตอนพิเศษ หวานๆ น่ารักๆนะคะ

ขอบคุณและเป็นกำลังใจให้คุณสาเก ตลอดไปค่ะ >_<

ขอบคุณ คุณ takuya ด้วยค่ะ

Sarnaka

  • บุคคลทั่วไป
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ  สมัครมาเพื่อจะเม้นเลย
จบซะแล้ว  ขอบคุณนะคะ :pig4:
เจ้าเสืออบอุ่นมากๆเลย มีแอบทนรอไม่ไหวด้วย :o8:
ต่ายน้อยน่ารัก มั่นคงกับท่านเสือมากๆ อบอุ่นจัง
รอตอนพิเศษนะคะ :กอด1:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
จยแล้ว แต่รอตอนพิเศษจ้า
หวานละมุน อุ่นใจไปพร้อมต่าย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bobby_bear

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-5
สนุกมาก ๆ เลยครับ

ตอนที่เสือน้อยพูดว่า เรามารับกลับบ้าน
น้ำตาซึมเลย มันตื้นตันอ่ะ แบบสิ่งที่ต่ายรอคอยมาถึงแล้ว

หวานน้อยไปจริง ๆ แหละครับ เข้าใจว่ามันจะยาวและทำให้เรื่องดูโหลงเหลงรึเปล่าถ้าหวานอย่างเดียว
แต่ชอบพระเอกของคุณสาเกทุกเรื่องเลย พระเอ๊ก พระเอก

รอตอนพิเศษนะครับ

ออฟไลน์ Noo_Patchy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1055
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +123/-4
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[  เกาะขอบจอรอตอนพิเศษค่ะ อยากติดตามว่าต่ายไปอยู่บ้านเสือน้อยแล้วเป็นไรบ้าง

ออฟไลน์ มะมะมะหมิว

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
ชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ
ขอบคุณนะคะที่มาแต่งให้เราอ่านนนน  :pig4: :L1:

ไม่อยากให้จบเลย แงงงงงงงงงงงงง *กรีดร้อง*  :z3: :z3:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ห้าปีผ่านไปไวเหมือนโกหก
ขำน้องต่ายจัดกระเป๋ารอ นี่ถ้าท่านเสือน้อยไม่มารับก็กะจะไปเองเลยใช่ไหม



ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
ฮือออ
จบแล้วเหรอ ชอบเรื่องนี้อะ
จะรออ่านตอนพิเศษนะคะ อิอิ
ขอบคุณพี่สาเกที่เขียนนิยายสนุกๆมาลงให้ได้อ่านน้าาา

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
ว้าาาา จบซะละ ขอบคุณมากๆจ้า

+1+เป็ดสำหรับเรื่องดีๆที่นำมาให้อ่านจ้ะ :กอด1:

ออฟไลน์ Also

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
จบซะแล้ว เรื่องนี้เขียนดีมากๆเลยค่ะ ภาษาที่ใช้ลื่นไหลดีมาก

รักกระต่าย รักเจ้าเสือน้อย  รักคนเขียนนะคะ

จะรอตอนพิเศษค่ะ ^_____^

ออฟไลน์ Aoya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 906
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-3
ทำไมจบไวจังเลย ยังไม่ทันหวานกันเลย  :ling1:
ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าเสือน้อยปราบกบฏยังไง

เป็นเรื่องที่สนุกมากๆ ยังไม่อยากให้จบเลย
แต่ไม่เป็นไรค่ะ รอตอนพิเศษ

เรื่องนี้จะมีรวมเล่มไหมคะ ชอบมากจริงๆ  :man1:

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
นึกถึงเรื่องทวิภพขึ้นมานิดนึงตอนที่นางเอกต้องลาแม่ไปอยู่กะพระเอกในอีกภพนึง ใจจะขาด   :mew2:

กระต่ายน้อยทำเราน้ำตาไหลเลย  :mew6:

ออฟไลน์ GintoniC

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
ขอตอนพิเศษแบบชุดมหญ่เลยน่ะคร่า :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด