1
Boy's love story / Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.11 Obsessed (27/05/24)
« กระทู้ล่าสุด โดย Shonennihon เมื่อ 27-05-2024 16:21:54 »ผมวางมือทั้งสองข้างกุมศรีษะไว้ทั้งสองข้างระหว่างอ่านทบทวนร่างโปรเจ็คที่เสร็จสิ้นเป็นครั้งสุดท้ายอย่างตั้งใจ
ในที่สุดก็สมบูรณ์แบบ ผมคิดในใจแบบนั้น พลางผ่อนลมหายใจและเหยียดยืดร่างกายที่แสนอ่อนล้าอย่างสุดกำลัง ผมยืดค้างไว้แบบนั้นอยู่พักใหญ่เพราะรู้สึกปวดตึงไปทั้งร่างกายด้านบน คอ บ่า ไหล่ นิ้ว รู้สึกได้ยินเสียงกล้ามเนื้อเบียดกันดังลั่น ผมหลับปี๋ ร้องครางด้วยความเจ็บปวดหน่วงๆ ไปทั้งร่าง
จุ๊บ!!
สัมผัสอันแผ่วเบาบรรจงบรรจบลงที่ริมฝีปากผม ความอบอุ่นแบบนี้ผมจำได้ดีเพราะเป็นความอบอุ่นที่สัมผัสได้ทุกเช้าช่วงนี้
“ทำอะไรเนี่ย ยังไม่เลิกงานเลย” ผมผลักอีกฝ่ายเบาๆ
“แปลว่า เลิกงานแล้วทำได้!!” คอปเตอร์ยิ้มอย่างยียวน
“ไม่ได้โว้ย!! ที่นี่มันที่ทำงานนะ!!”
“ก็ตัวเองบอกเองนี่นา!!”
“อย่ามากวนบาทา ดีนะที่อารมณ์ดี ไม่งั้นนายโดนดีแน่!!”
“อยากโดนจังเลย ขอเลยได้ไหม!!” ทำหน้าตาท้าทายใส่ผมอย่างไม่เกรงกลัวว่าผมจะโกรธ
ความผิดผมเองล่ะครับ ที่ช่วงนี้ ผมหลงมันไปหน่อย เวลาอยู่ด้วยกันสองคน คอปเตอร์เวลาใส่เสื้อผ้าหลวมๆ กางเกงขาสั้นของผมที่มันรัดตึงไปหมด ทำให้ผมอดที่จะหมั่นเขี้ยวเขาไม่ได้ สุดท้ายผมต้องเผลอไปกอดไปฟัดเขาทุกครั้ง
แต่แทนที่เขาจะรำคาญ เขากลับยิ้มตอนรับผมที่ทำแบบนั้น และสุดท้ายก็เป็นผมที่โดนกดลงไปเบื้องล่างด้วยร่างกายอันเปลื่อยเปล่าด้านบน แล้วที่เหลือคงไม่ต้องบอกนะครับว่าผมโดนอะไรบ้าง
ผ่านมาหลายวันแล้วนับจากวันที่เราเปิดตัวกับหลายคนโดยเฉพาะกับพี่ร็อคเก็ต (ที่ตอนนี้ไม่ค่อยได้เจอหน้าเลย เหมือนพยายามหลบหน้าผม) ผมกับคอปเตอร์ก็ทำแบบนี้กันทุกคืนเลย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าผมไปหลงอะไรเขานักหนา
หลายครั้งช่วงนี้ผมก็เลยจะเห็นมันชอบท้าทายผมแบบนี้ แต่แปลก ลึกๆ ผมกลับชอบใจ และเผลออมยิ้มกับพฤติกรรมตรงหน้า
“พอเถอะนะ เสียงดังไปกว่านี้เดี๋ยวโดนต่อว่า เรายังอยากจบจากที่นี่อย่างประทับใจอยู่นะ” คิ้วของผมแม้จะขมวดเป็นปม แต่ปากกับอมยิ้มอ่อน ๆ จนอีกฝ่ายสังเกตได้และยิ้มตาม
สุดท้ายเขาก็มาหอมศรีษะผมหนี่งฟอดก่อนที่จะย้ายร่างตัวเองไปกระแทกนั่งข้าง ๆ ผม แล้วทำตัวว่างต่อไป พลางบ่นงุบงิบว่า
“ก็ลองเดินมาว่าดูสิ หากพวกนั้นกล้านะ!!”
ผมได้แต่สั่นหน้ากับความเป็นเด็กยักษ์ของอีกฝ่าย
“สุดสัปดาห์นี้ไปเที่ยวกันไหม?” คอปเตอร์โพล่งถามขึ้นหลังจากคลิกๆ เม้าส์ไปมา
“ก็ต้องดูว่าผลประเมินพรุ่งนี้เป็นไง ต้องเอาร่างโปรเจ็คให้อาจารย์ดูวันนี้ด้วย หากผลออกมาไม่ดีก็ไม่มีอารมณ์ไปเที่ยวไหนหรอกนะ!!” ผมพูดจบก็ผ่อนลมหายใจออกยาว
“มันจะไม่ออกมาไม่ดีได้อย่างไรล่ะ เรากับวินตรวจแก้กันตั้งหลายรอบ ยังไงก็ผ่าน!!”
“จ้า ขอบใจสำหรับกำลังใจนะ” ผมยิ้มตอบกลับไปให้อีกฝ่าย ที่ทำหน้าแดงตอบกลับมา
“มีที่ๆ อยากไปไหม?” คอปเตอร์เค้นกระแอมในลำคอก่อนจะพูดถาม
“อยากไปทะเล แต่ก็กลัวแม่เป็นห่วง คือเราว่ายน้ำไม่ค่อยเก่งน่ะ ตอนเป็นเด็กเคยเจอประสบการณ์ที่มันไม่ดีเท่าไหร่?” พูดจบคอปเตอร์ก็คว้ามือผมไปกุมไว้เสียแน่น
“ขอโทษนะ” เสียงอันอ่อนโยนของคอปเตอร์เอ่ยขึ้นพลางนวดคลึงมือของผมอย่างปลอบประโลม
ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าสาเหตุของประสบการณ์ที่ไม่ดีของผมส่วนหนึ่งก็เกิดจากคนตรงนี้
แปลกนะที่ผมกลับรู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างๆ ผม ตรงนี้กับเด็กคนนั้นในอดีตดูเป็นคนละคนกัน
“ไม่เป็นไร” ผมพูดด้วยเสียงอันสั่นเทา เพราะไปดึงภาพในตอนนั้นแทรกเข้ามาให้สมองอย่างไม่ทันตั้งตัว
ภาพในชั่วโมงว่ายนำ้ของโรงเรียน ผมถูกผลักลงไปในน้ำทั้งที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนักเรียนที่ว่ายน้ำไม่เป็น กลุ่มนักเรียนเกเรที่ชอบทำให้กลุ่มที่กำลังด้อยกว่ากลายเป็นตัวตลก
มันเกิดขึ้นช่วงที่อาจารย์สอนว่ายน้ำกำลังไปเตรียมอุปกรณ์เพิ่มเติมเพราะนักเรียนที่ว่ายน้ำไม่เป็นมากกว่าที่คิด และมีพวกที่เตรียมชุดว่ายน้ำมาไม่ถูกระเบียบ จึงต้องไปเบิกมาเพิ่ม
กลุ่มเด็กนักเรียนที่ว่ายน้ำไม่เป็นเกาะกลุ่มกันบริเวณใกล้ขอบสระด้วยความตื่นเต้นจากการได้ลงเรียนชั่วโมงแรก กลุ่มเด็กเกเรแทรกตัวเข้ามาหาผมและพวกพ้องในกลุ่มเดียวกันอีกสองสามคน ผมถูกลากคอไปติดขอบสระอย่างไม่ทันตั้งตัวและถูกผลักลงไปในสระอย่างจงใจแบบไม่ให้ตั้งตัว
ผมหวีดร้องเสียงหลง ภาพผู้คนที่รายล้อมอยู่บริเวณขอบสระไกลห่างและสูงขึ้น และถูกแทนที่ด้วยภาพเบลอทับซ้อนด้วยคลื่นฟองน้ำ เสียงแผ่นน้ำปะทะแผ่นหลังดังไปในโสตประสาท ร่างกายถูกพันธนาการด้วยแรงบีบอัดของน้ำแทนที่อากาศโดยรอบ แข้งขาหนักอึ้งและเหมือนถูกน้ำหนักของน้ำกดทับให้จมลงเรื่อย ๆ
ผมพยายามตะเกียดตะกายเพื่อที่จะถีบตัวเองขึ้นสู่ผิวน้ำ หลังจากพอที่จะตั้งสติได้ ลมหายใจหนึ่งเฮือกที่สูดเมื่อจมูกพ้นผิวน้ำแล้วผมก็ถูกใครคนหนึ่งผลักให้ออกห่างจากขอบสระมากขึ้น แต่โชคยังดีที่ขาของไอ้คนที่ผลักผมนั่นกางออกทำให้ผมพอที่จะยันให้ตัวเองผุดขึ้นมาหายใจได้เป็นพักๆ แต่นานเข้าผมก็เริ่มหมดแรง
ผมพยายามพาตัวเองเข้าฝั่งในช่วงที่ตอนนี้ทุกอย่างดูชุนมุนไปหมด แต่ด้วยความไม่รู้วิธี แทนที่จะดึงตัวเองขึ้นแต่กับดิ่งถ่วงลงอย่างช้าๆ ลึกมากขึ้นกว่าเดิม ภาพผิวน้ำที่พริ้วไหวเป็นระรอกคลื่นเริ่มเบลอมากขึ้น ไม่ช้าแรงของผมก็เริ่มหมดลง เสียงฮือฮาต่างๆ รอบสระเริ่มค่อยๆ ถอยห่างอออกไปและเริ่มที่จะเบาลง ผมมองเห็นผิวน้ำที่ห่างออกไปจากมือที่พยายามเหยียดจนสุดความยาว ผมจำไม่ได้ว่าสระนั้นลึกเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกในการดิ่งลงช้าๆ และค่อยๆ หมดแรง มันช่างยาวนานมาก
ภาพความทรงจำในหัวไหลย้อนกลับอย่างรวดเร็วเป็นฉาก ภาพล่าสุดคือการที่ผมหลุดหัวเราะกับการใส่ชุดที่ไม่ถูกระเบียบของพวกนักเลง อาจารย์ก็สั่งให้ใส่กางเกงว่ายน้ำแค่พวกนั้นกลับใส่เหมือนกับกางเกงชายหาดมากกว่า สุดท้ายอาจารย์จึงต้องไปหยิบชุดที่รุ่นพี่บริจาคไว้ให้เป็นกางเกงสำรอง นั่นเป็นเหตุที่ผมต้องดิ่งลงมาจุดนี้ ไม่ช้าภาพของแม่ก็วูบเข้ามาในสมอง รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ตอบแทนพระคุณท่านเลย
ในขณะที่สติเริ่มเลือนลาง ผมถูกมือหยาบมือหนึ่งดึงขึ้นสู่ผิวน้ำ ผมรีบสำรอกน้ำออกมาเพื่อให้อากาศเข้าไปแทนที่ ผมถูกลากให้ลอยคอไปจนถึงขอบสระ หลังจากนั้นภาพก็ตัดไปเลย
รู้ตัวอีกทีตัวเองก็ตื่นมาให้ห้องพยาบาลกับอีกสองสามคนที่ถูกผลักลงไป ซึ่งมีเพื่อนสนิทอย่างไตเติ้ลรวมอยู่ด้วยผมยังจำแววตาที่เครียดแค้นของไอ้ไตเติ้ลได้อย่างดี มันดูน่ากลัวแม้กระทั้งผมที่สนิทกับมันที่สุดยังไม่กล้าไปทัก
ภาพตัดมาที่ปัจจุบันที่ผมถูกคอปเตอร์โอบกอดอย่างทะนุถนอมและปากพร่ำคำขอโทษผมซ้ำ ๆ
ถึงแม้จะเลือนลางแค่ผมก็จำได้ว่าคนที่ลงไปผลักผมในสระน้ำไม่ให้เข้าใกล้ฝั่งขอบสระก็คือไอ้คนที่กอดผมอยู่นี้แหละ แต่ตอนนี้ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงลงไปในสระด้วยตนเอง เพราะเขาแอบใช้เท้าของตนเองช่วยพยุงผมไว้ไม่ให้จมนั่นเอง
ในระหว่างที่กอดผมไว้ คอปเตอร์บอกผมว่าเขาเป็นคนลงไปช่วยผมเองเพราะไอ้พวกนักเลงที่กลัวความผิดต่างหนีออกจากชั่วโมงเรียนไปหมดแล้วเพราะกลัวความผิด แต่ที่เขาลงมาช่วยช้าเพราะความฝืนที่จะใช้ขาเดียวพยุงร่างกายผมไว้นั่นทำให้เป็นตะคริว กว่าจะดีขึ้นเลยดำลงไปช่วยช้า เกือบจะช้าเกินไป ทำให้วันนั้นเขาจึงตั้งปณิธานว่าจะช่วยเหลือผมให้มากกว่านี้ มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็สายเกินไป ผมถูกแม่สั่งให้ย้ายโรงเรียนเสียก่อน
“ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมว่ายน้ำเป็นแล้ว พอที่จะดูแลตัวเองได้ เพียงแต่แม่ยังเป็นห่วงอยู่น่ะ” ผมอยากให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นมาบ้างเพราะผมวันนี้ก็เอาชนะความกลัวน้ำไปได้เยอะมากแล้ว เพราะก่อนเรียนจบมัธยมปลาย ผมเคยแอบแม่หนีไปเล่นสวนน้ำกับเพื่อนมาแล้ว เพื่อพิชิตความกลัวของตนเอง เพื่อเป็นคนใหม่ เหมือนที่ไอ้ไตเติ้ลมันบอกผมทุกวัน แม้จะอยู่กันคนละโรงเรียนก็ตาม
“เรายังรู้สึกผิดอยู่ดี งั้นเปลี่ยนเป็นภูเขาก็ได้!!”
“ไม่เอา!! ผมเบื่อแล้ว ตั้งแต่วันนั้น แม่ก็ไม่พาไปทะเล ห้วย หนอง คลองบึงเลย!!”
คอปเตอร์เงียบลงไปจากเดิม สีหน้าแสดงความสำนึกผิด ที่แม้แต่ผมยังรู้สึกได้ เขากำมือแน่นและพยายามเค้นยิ้มตอบกลับมา
“เฮ้อ ว่าแต่ เรายังงงๆ อยู่นะ เรายังจำสีหน้าของไอ้เติ้ล วันนั้นได้ มันน่ากลัวมากนะ ทำไมถึงไปลงเอยกับศรัณย์ได้” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เรื่องนี้ เราว่านายไปถามเติ้ลเองดีกว่า”
เป็นอีกครั้งที่ผมยังไม่ได้รับการแจ้งแถลงไขใดๆ กับเรื่องของสองคนนี้ที่มาลงเอยกันได้ยังไง ทั้งๆ ที่ ไอ้เติ้ลมันเกลียดไอ้เข้มนั่นขนาดนั้น!!
แต่ช่างเถอะสักวันผมก็ต้องได้รู้จากปากมันเองให้ได้!
…………
ในที่สุดก็สมบูรณ์แบบ ผมคิดในใจแบบนั้น พลางผ่อนลมหายใจและเหยียดยืดร่างกายที่แสนอ่อนล้าอย่างสุดกำลัง ผมยืดค้างไว้แบบนั้นอยู่พักใหญ่เพราะรู้สึกปวดตึงไปทั้งร่างกายด้านบน คอ บ่า ไหล่ นิ้ว รู้สึกได้ยินเสียงกล้ามเนื้อเบียดกันดังลั่น ผมหลับปี๋ ร้องครางด้วยความเจ็บปวดหน่วงๆ ไปทั้งร่าง
จุ๊บ!!
สัมผัสอันแผ่วเบาบรรจงบรรจบลงที่ริมฝีปากผม ความอบอุ่นแบบนี้ผมจำได้ดีเพราะเป็นความอบอุ่นที่สัมผัสได้ทุกเช้าช่วงนี้
“ทำอะไรเนี่ย ยังไม่เลิกงานเลย” ผมผลักอีกฝ่ายเบาๆ
“แปลว่า เลิกงานแล้วทำได้!!” คอปเตอร์ยิ้มอย่างยียวน
“ไม่ได้โว้ย!! ที่นี่มันที่ทำงานนะ!!”
“ก็ตัวเองบอกเองนี่นา!!”
“อย่ามากวนบาทา ดีนะที่อารมณ์ดี ไม่งั้นนายโดนดีแน่!!”
“อยากโดนจังเลย ขอเลยได้ไหม!!” ทำหน้าตาท้าทายใส่ผมอย่างไม่เกรงกลัวว่าผมจะโกรธ
ความผิดผมเองล่ะครับ ที่ช่วงนี้ ผมหลงมันไปหน่อย เวลาอยู่ด้วยกันสองคน คอปเตอร์เวลาใส่เสื้อผ้าหลวมๆ กางเกงขาสั้นของผมที่มันรัดตึงไปหมด ทำให้ผมอดที่จะหมั่นเขี้ยวเขาไม่ได้ สุดท้ายผมต้องเผลอไปกอดไปฟัดเขาทุกครั้ง
แต่แทนที่เขาจะรำคาญ เขากลับยิ้มตอนรับผมที่ทำแบบนั้น และสุดท้ายก็เป็นผมที่โดนกดลงไปเบื้องล่างด้วยร่างกายอันเปลื่อยเปล่าด้านบน แล้วที่เหลือคงไม่ต้องบอกนะครับว่าผมโดนอะไรบ้าง
ผ่านมาหลายวันแล้วนับจากวันที่เราเปิดตัวกับหลายคนโดยเฉพาะกับพี่ร็อคเก็ต (ที่ตอนนี้ไม่ค่อยได้เจอหน้าเลย เหมือนพยายามหลบหน้าผม) ผมกับคอปเตอร์ก็ทำแบบนี้กันทุกคืนเลย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าผมไปหลงอะไรเขานักหนา
หลายครั้งช่วงนี้ผมก็เลยจะเห็นมันชอบท้าทายผมแบบนี้ แต่แปลก ลึกๆ ผมกลับชอบใจ และเผลออมยิ้มกับพฤติกรรมตรงหน้า
“พอเถอะนะ เสียงดังไปกว่านี้เดี๋ยวโดนต่อว่า เรายังอยากจบจากที่นี่อย่างประทับใจอยู่นะ” คิ้วของผมแม้จะขมวดเป็นปม แต่ปากกับอมยิ้มอ่อน ๆ จนอีกฝ่ายสังเกตได้และยิ้มตาม
สุดท้ายเขาก็มาหอมศรีษะผมหนี่งฟอดก่อนที่จะย้ายร่างตัวเองไปกระแทกนั่งข้าง ๆ ผม แล้วทำตัวว่างต่อไป พลางบ่นงุบงิบว่า
“ก็ลองเดินมาว่าดูสิ หากพวกนั้นกล้านะ!!”
ผมได้แต่สั่นหน้ากับความเป็นเด็กยักษ์ของอีกฝ่าย
“สุดสัปดาห์นี้ไปเที่ยวกันไหม?” คอปเตอร์โพล่งถามขึ้นหลังจากคลิกๆ เม้าส์ไปมา
“ก็ต้องดูว่าผลประเมินพรุ่งนี้เป็นไง ต้องเอาร่างโปรเจ็คให้อาจารย์ดูวันนี้ด้วย หากผลออกมาไม่ดีก็ไม่มีอารมณ์ไปเที่ยวไหนหรอกนะ!!” ผมพูดจบก็ผ่อนลมหายใจออกยาว
“มันจะไม่ออกมาไม่ดีได้อย่างไรล่ะ เรากับวินตรวจแก้กันตั้งหลายรอบ ยังไงก็ผ่าน!!”
“จ้า ขอบใจสำหรับกำลังใจนะ” ผมยิ้มตอบกลับไปให้อีกฝ่าย ที่ทำหน้าแดงตอบกลับมา
“มีที่ๆ อยากไปไหม?” คอปเตอร์เค้นกระแอมในลำคอก่อนจะพูดถาม
“อยากไปทะเล แต่ก็กลัวแม่เป็นห่วง คือเราว่ายน้ำไม่ค่อยเก่งน่ะ ตอนเป็นเด็กเคยเจอประสบการณ์ที่มันไม่ดีเท่าไหร่?” พูดจบคอปเตอร์ก็คว้ามือผมไปกุมไว้เสียแน่น
“ขอโทษนะ” เสียงอันอ่อนโยนของคอปเตอร์เอ่ยขึ้นพลางนวดคลึงมือของผมอย่างปลอบประโลม
ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าสาเหตุของประสบการณ์ที่ไม่ดีของผมส่วนหนึ่งก็เกิดจากคนตรงนี้
แปลกนะที่ผมกลับรู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างๆ ผม ตรงนี้กับเด็กคนนั้นในอดีตดูเป็นคนละคนกัน
“ไม่เป็นไร” ผมพูดด้วยเสียงอันสั่นเทา เพราะไปดึงภาพในตอนนั้นแทรกเข้ามาให้สมองอย่างไม่ทันตั้งตัว
ภาพในชั่วโมงว่ายนำ้ของโรงเรียน ผมถูกผลักลงไปในน้ำทั้งที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนักเรียนที่ว่ายน้ำไม่เป็น กลุ่มนักเรียนเกเรที่ชอบทำให้กลุ่มที่กำลังด้อยกว่ากลายเป็นตัวตลก
มันเกิดขึ้นช่วงที่อาจารย์สอนว่ายน้ำกำลังไปเตรียมอุปกรณ์เพิ่มเติมเพราะนักเรียนที่ว่ายน้ำไม่เป็นมากกว่าที่คิด และมีพวกที่เตรียมชุดว่ายน้ำมาไม่ถูกระเบียบ จึงต้องไปเบิกมาเพิ่ม
กลุ่มเด็กนักเรียนที่ว่ายน้ำไม่เป็นเกาะกลุ่มกันบริเวณใกล้ขอบสระด้วยความตื่นเต้นจากการได้ลงเรียนชั่วโมงแรก กลุ่มเด็กเกเรแทรกตัวเข้ามาหาผมและพวกพ้องในกลุ่มเดียวกันอีกสองสามคน ผมถูกลากคอไปติดขอบสระอย่างไม่ทันตั้งตัวและถูกผลักลงไปในสระอย่างจงใจแบบไม่ให้ตั้งตัว
ผมหวีดร้องเสียงหลง ภาพผู้คนที่รายล้อมอยู่บริเวณขอบสระไกลห่างและสูงขึ้น และถูกแทนที่ด้วยภาพเบลอทับซ้อนด้วยคลื่นฟองน้ำ เสียงแผ่นน้ำปะทะแผ่นหลังดังไปในโสตประสาท ร่างกายถูกพันธนาการด้วยแรงบีบอัดของน้ำแทนที่อากาศโดยรอบ แข้งขาหนักอึ้งและเหมือนถูกน้ำหนักของน้ำกดทับให้จมลงเรื่อย ๆ
ผมพยายามตะเกียดตะกายเพื่อที่จะถีบตัวเองขึ้นสู่ผิวน้ำ หลังจากพอที่จะตั้งสติได้ ลมหายใจหนึ่งเฮือกที่สูดเมื่อจมูกพ้นผิวน้ำแล้วผมก็ถูกใครคนหนึ่งผลักให้ออกห่างจากขอบสระมากขึ้น แต่โชคยังดีที่ขาของไอ้คนที่ผลักผมนั่นกางออกทำให้ผมพอที่จะยันให้ตัวเองผุดขึ้นมาหายใจได้เป็นพักๆ แต่นานเข้าผมก็เริ่มหมดแรง
ผมพยายามพาตัวเองเข้าฝั่งในช่วงที่ตอนนี้ทุกอย่างดูชุนมุนไปหมด แต่ด้วยความไม่รู้วิธี แทนที่จะดึงตัวเองขึ้นแต่กับดิ่งถ่วงลงอย่างช้าๆ ลึกมากขึ้นกว่าเดิม ภาพผิวน้ำที่พริ้วไหวเป็นระรอกคลื่นเริ่มเบลอมากขึ้น ไม่ช้าแรงของผมก็เริ่มหมดลง เสียงฮือฮาต่างๆ รอบสระเริ่มค่อยๆ ถอยห่างอออกไปและเริ่มที่จะเบาลง ผมมองเห็นผิวน้ำที่ห่างออกไปจากมือที่พยายามเหยียดจนสุดความยาว ผมจำไม่ได้ว่าสระนั้นลึกเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกในการดิ่งลงช้าๆ และค่อยๆ หมดแรง มันช่างยาวนานมาก
ภาพความทรงจำในหัวไหลย้อนกลับอย่างรวดเร็วเป็นฉาก ภาพล่าสุดคือการที่ผมหลุดหัวเราะกับการใส่ชุดที่ไม่ถูกระเบียบของพวกนักเลง อาจารย์ก็สั่งให้ใส่กางเกงว่ายน้ำแค่พวกนั้นกลับใส่เหมือนกับกางเกงชายหาดมากกว่า สุดท้ายอาจารย์จึงต้องไปหยิบชุดที่รุ่นพี่บริจาคไว้ให้เป็นกางเกงสำรอง นั่นเป็นเหตุที่ผมต้องดิ่งลงมาจุดนี้ ไม่ช้าภาพของแม่ก็วูบเข้ามาในสมอง รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ตอบแทนพระคุณท่านเลย
ในขณะที่สติเริ่มเลือนลาง ผมถูกมือหยาบมือหนึ่งดึงขึ้นสู่ผิวน้ำ ผมรีบสำรอกน้ำออกมาเพื่อให้อากาศเข้าไปแทนที่ ผมถูกลากให้ลอยคอไปจนถึงขอบสระ หลังจากนั้นภาพก็ตัดไปเลย
รู้ตัวอีกทีตัวเองก็ตื่นมาให้ห้องพยาบาลกับอีกสองสามคนที่ถูกผลักลงไป ซึ่งมีเพื่อนสนิทอย่างไตเติ้ลรวมอยู่ด้วยผมยังจำแววตาที่เครียดแค้นของไอ้ไตเติ้ลได้อย่างดี มันดูน่ากลัวแม้กระทั้งผมที่สนิทกับมันที่สุดยังไม่กล้าไปทัก
ภาพตัดมาที่ปัจจุบันที่ผมถูกคอปเตอร์โอบกอดอย่างทะนุถนอมและปากพร่ำคำขอโทษผมซ้ำ ๆ
ถึงแม้จะเลือนลางแค่ผมก็จำได้ว่าคนที่ลงไปผลักผมในสระน้ำไม่ให้เข้าใกล้ฝั่งขอบสระก็คือไอ้คนที่กอดผมอยู่นี้แหละ แต่ตอนนี้ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงลงไปในสระด้วยตนเอง เพราะเขาแอบใช้เท้าของตนเองช่วยพยุงผมไว้ไม่ให้จมนั่นเอง
ในระหว่างที่กอดผมไว้ คอปเตอร์บอกผมว่าเขาเป็นคนลงไปช่วยผมเองเพราะไอ้พวกนักเลงที่กลัวความผิดต่างหนีออกจากชั่วโมงเรียนไปหมดแล้วเพราะกลัวความผิด แต่ที่เขาลงมาช่วยช้าเพราะความฝืนที่จะใช้ขาเดียวพยุงร่างกายผมไว้นั่นทำให้เป็นตะคริว กว่าจะดีขึ้นเลยดำลงไปช่วยช้า เกือบจะช้าเกินไป ทำให้วันนั้นเขาจึงตั้งปณิธานว่าจะช่วยเหลือผมให้มากกว่านี้ มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็สายเกินไป ผมถูกแม่สั่งให้ย้ายโรงเรียนเสียก่อน
“ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมว่ายน้ำเป็นแล้ว พอที่จะดูแลตัวเองได้ เพียงแต่แม่ยังเป็นห่วงอยู่น่ะ” ผมอยากให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นมาบ้างเพราะผมวันนี้ก็เอาชนะความกลัวน้ำไปได้เยอะมากแล้ว เพราะก่อนเรียนจบมัธยมปลาย ผมเคยแอบแม่หนีไปเล่นสวนน้ำกับเพื่อนมาแล้ว เพื่อพิชิตความกลัวของตนเอง เพื่อเป็นคนใหม่ เหมือนที่ไอ้ไตเติ้ลมันบอกผมทุกวัน แม้จะอยู่กันคนละโรงเรียนก็ตาม
“เรายังรู้สึกผิดอยู่ดี งั้นเปลี่ยนเป็นภูเขาก็ได้!!”
“ไม่เอา!! ผมเบื่อแล้ว ตั้งแต่วันนั้น แม่ก็ไม่พาไปทะเล ห้วย หนอง คลองบึงเลย!!”
คอปเตอร์เงียบลงไปจากเดิม สีหน้าแสดงความสำนึกผิด ที่แม้แต่ผมยังรู้สึกได้ เขากำมือแน่นและพยายามเค้นยิ้มตอบกลับมา
“เฮ้อ ว่าแต่ เรายังงงๆ อยู่นะ เรายังจำสีหน้าของไอ้เติ้ล วันนั้นได้ มันน่ากลัวมากนะ ทำไมถึงไปลงเอยกับศรัณย์ได้” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เรื่องนี้ เราว่านายไปถามเติ้ลเองดีกว่า”
เป็นอีกครั้งที่ผมยังไม่ได้รับการแจ้งแถลงไขใดๆ กับเรื่องของสองคนนี้ที่มาลงเอยกันได้ยังไง ทั้งๆ ที่ ไอ้เติ้ลมันเกลียดไอ้เข้มนั่นขนาดนั้น!!
แต่ช่างเถอะสักวันผมก็ต้องได้รู้จากปากมันเองให้ได้!
…………