มนต์ลวงนาคราช By. Tea Café Team
ตอนที่ ๗ ตัวช่วย??!!
...ปากกระบอกปืน เลื่อนมาตรงหน้า ก่อนที่นิ้วบนไกจะง้างและเตรียมยิง!!! .
.
.
ทุกอย่าง...มัน...เหมือนจริงจนเกินไป!!!
เหมือนจริงจนภานุพงศ์ หมุนตัวหลบควงสว่านตีลังกาลั้นลันลาดังตุ๊บ! ลงมาจากเตียงนอนที่สูงอยู่พอประมาณ ก็ไม่ได้เจ็บอะไรนะแต่จะว่าไปก็ทำให้เคล็ดขัดยอกอยู่พอกุ๊บกิ๊พเชี่ยวล่ะ กุ๊พกิ๊บจนกระดูกสะโพกลั่นดังกร๊อบ----
ในตอนที่ตุสจะขยับพยุงตัวหนาๆ ขึ้นมาจากข้างเตียง
“ท่านภคินทร์ กะจะฆ่าทิ้งจริงๆ สินะ ไออาฆาตมาดร้ายถึงได้ตามมาถึงกระทั่งที่นี้ ...”
เสียงใสเย็นๆ กับออร่าวิ้งๆ วิ่งลิ่วมาตามมือน้อยๆ นิ่มๆ ที่ยื่นเข้าหาเหมือนจะมาช่วยพยุง ตุสตกใจในตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรนอกจากเอื้อมมือตัวเองให้เด็กน้อย ก่อนจะรู้สึกได้ถึงแรงดึงที่กระชากกระตุกวาบจนตุสละเมอถึงกับเผลอกรีดร้องกับแรงควายที่ผิดมนุษย์มนาของยัยเด็กหน้าตาย อราลี!!??
“ไม่ต้องคิดสรรค์หาคำด่า ยิ่งด่าบาปยิ่งเยอะ ยิ่งคิดไม่ดี ยิ่งมีบาปติดตัว ยิ่งบาป ยิ่งห่างไกลจากความ ศิวิไลซ์ในอนากาล..”
ปลายนิ้วเย็นๆ ของยัยเด็กมาร จุ๊ปากห้ามตุสมโนด่าในสมองก่อนจะหันมาจ้องหน้าแล้วสวมกอดตุสกระดูกเคลื่อนเสียเต็มรัก รัก..ดังกร๊อบ-----
“อราลีคิดถึงภานุพงศ์จัง ..คิดถึง ..คิดถึง..คิดถึง..”
คำว่าคิดถึงมันเหมือนส่งผ่านมาในอ้อมกอด คิดถึงแรงไปมั้ง ตุสอย่างภานุพงศ์ถึงได้สำลักแรงคิดถึงเสียจนหน้าแดงหน้าดำ กว่าจะทำสติบอกยัยเด็กมารได้ว่าความคิดถึงของหล่อนนะกำลังจะฆ่าตุสอย่างช้านนนนนน---
แต่เพียงแค่คิดนะยังไม่ทันได้เอ่ยปากยายเด็กมารนั้นก็ปล่อยร่างอ่อนปวกเปียก ของตุสหมดพลังลงบนเตียงนอนแล้ว
**
..
“หนูเป็นใครจ๊ะ?”
ภานุพงศ์นอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงตัวเองสักพักล่ะ พักใหญ่ๆ ด้วยมั้งกว่าจะสวมบทนางงามขยับจัดเรียงกระดูกตัวเองขึ้นมาถามเด็กสาวตัวเล็กแขนขายาวที่มีออร่าใสวิ้งๆ เหมือนที่สิงสถิตของกลูต้าคอลโลเจน ปกติตุสสมองดีนะ แต่ความจำอะตุสเอาไว้ใช้กับสถิติการจำใบหน้าเพศผู้หล่อล่ำ ไม่ได้เอาไว้จำยัยเด็กหน้าใส เสียจนหน้าหมั้นไส้ขนาดนี้ แม้จะจำได้ลางๆ ว่าเคยฝันเห็นว่ายัยเด็กนั่นชื่อ อราลี ก็เถอะ แต่ทั้งหมดนั่นมันก็เป้นเพียงแค่ฝัน หรือไม่จริง?!
เงียบไปนาน ก็ยังไม่ได้คำตอบ ...
นอกจากเสียงถอนหายใจ และไอกูลต้าฯ สว่างเด้งใส่ตาแล้ว ตุสก็มิมีต่อมหรือสติจะรับรู้อะไรจริงๆ นั่งมองจ้องหน้ากันจนตุสช่างฝันสะดุ้งตอนที่น้องเขาดีดนิ้วดัง ป๊อก!
อ้า...
ยังกะงานสร้างละลานตา เพียงแค่กลอนประตูห้องนอนล็อกกึกเดียว!
ห้องมืดๆ ของภานุพงศ์ก็กลับกลายเป็นดั่งโรงภาพพยนต์ขนาดใหญ่ ที่ฉายภาพเปลวไฟสีส้มสีแดงสว่างตาแสบพร้อมทั้งภาพที่งามสง่าและน่าหวั่นเกรง..
“นิรยะ แดน เขตนั้นลึกลงไปกว่านรกภูมิ และโลกันต์ภูมิ ...แดนที่ ๘ นั้นชื่อ อสินขะแดน แยกย่อยในจุลระแดน แดนแห่งนิรันดร์กักขัง...แดนเฉพาะเอาไว้ขังพวกกาฬนาคราช นาคไฟพิษ แดน...เขี้ยว ดาบและนาคไฟ...พวกผิวกายเป็นเพลิงอัคนี มีทั้งหมดยี่สิบแปดตน แต่ละตนต่างชื่อต่างนิสัย แต่เลวร้ายและร้ายกาจไม่ต่างกัน “
“เรื่องนี้พี่เคยฝันถึง!!”
“ตนในฝันของเจ้า ชื่อ ภคินทร์ เป็น อสินขะนาคราชตนที่ ยี่สิบสาม ...จากยี่สิบแปดตน "
"เอ๋? เอ่ออ....ชื่อสารวัตรล่ำ?!"
"ไม่ใช่แล้วล่ะภานุพงศ์ บัดนี้เจ้าของร่างนั้นคือ..ท่านภคินทร์!!!"
ยังมิทันสิ้นเสียงเอ่ยนาม หนึ่งในนาคไฟที่ผิวกายสุกสว่างดั่งเพลิงนรกก็พุ่งพรวดออกมาจากภาพที่ฉายนั้นเหมือนจงใจ ภานุพงศ์กรี๊ดลั่น ส่วนเด็กน้อยนางนั้นหน้าซีดก่อนจะตั้งสติได้แล้วปัดมือกวาดภาพทั้งหมดให้ สลายหายไปทั้งๆ ที่กองไฟกองใหญ่ยังคงลุกโชน แล้วดับลงในชั่วพริบตา!!
กองไฟจากเวทย์แห่งนาคไฟ !!
อราลีกัดฟันกรอดแล้วซ่อนร่องรอยการเผาไหม้ของมือนางไว้ แต่ถึงกระนั้นความเจ็บปวดความแสบและไอร้อนก็ยังมิมีทีท่าว่าจะคลาย จนนางต้องเอ่ยปากกระตุ้นถามตัวต้นเหตุให้จำเรื่องราวต่างๆ ได้เสียที
“เอาล่ะ ..ถึงขั้นนี้แล้ว ภานุพงศ์..จำอะไรได้บ้างหรือยัง ?”
ร่างเล็กของเด็กสาวยังคงสั่น ความหวาดหวั่นอันเป็นสิ่งแปลกแห่งอราลีนั้น ใครจะรู้ว่ามันแลกมากับการคงอยู่ในฐานะมนุษย์ปุถุชน ถ้าเพียงเพื่อภานุพงศ์ อราลียอมแลกได้ทุกอย่าง ถ้าเพียงเพื่อภานุพงศ์ อราลีจักยอมทำทุกสิ่งให้ภานุพงศ์นั้นสมหวังใครจะรู้ว่า รัก ที่มนุษย์รู้สึกกัน รัก คำนั้น อราลี เหมือนได้รับมันมาใส่ความรู้สึกตนทีละน้อย อราลี รัก ภานุพงศ์ หากแต่รักของอราลี คือการยอมและหวังเพียงเห็นตนที่อราลี รักนั้นมีความสุข ..
แต่..ถึงจะยืนอยู่ข้างภานุพงศ์ หากแต่ อราลีก็ไม่ได้เชียร์ท่านภคินทร์หรอกนะเจ้าคะ!!
“น่ากลัว..น่ากลัวนะคะ..”
ตุสอย่างภานุพงศ์เพิ่งได้สติเปลวไฟที่พุ่งออกมาเมื่อสักครู่ มันร้อนจนรู้สึกได้ แล้วความน่ากลัวของนาคไฟที่ลุกโชน มันก็ขัดกับความรู้ที่เคยเรียนมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ไม่เคยมีใครบอกนะว่า นาค มันกลายเป็นไฟ แทนที่จะพ่นน้ำทิพย์เย็นสบายในแบบที่เคยเรียนรู้มา แล้วความสงสัยของตุสสัญชาติไทยก็หมดลงเมื่ออราลีล้วงเอากระจกแบบที่โบราณ นั้นเรียกว่าคันฉ่องขึ้นมาให้ภานุพงศ์มองเพื่อเห็น ‘ภาพ’
“นาค มีหลายชาติ หลากหลายเผ่า และต่างกระทั่งศักดิ์ ...ชาติที่ต่ำต้อยที่สุดเรียก พวกงูดิน..”
“งูดิน?..”
.
.
.
ถึงจะไม่เข้าใจอะไรๆ แต่ชื่อเรียกสายพันธุ์ ‘งูดิน’ มันกลับทำให้ ตุสน้อยน้ำตาตก...
.
.
.
ภาพของพวงมาลัย ที่โดนเหยียบย่ำจนแหลกกระจาย ...
.
.
.
ภาพของกองไฟ ...และสายน้ำ...
.
.
.
...ภาพของเหล่านางรำที่ กรีดฟ้อน..
.
.
.
.
....ภาพหญิงสาวน้ำตานองหน้าที่ สะท้อนออกมาจากม่านกระจกน้ำ...
.
.
.
“...หากแม้น..เกิดชาติหน้าภพใด ...ข้าเจ้าจักขอเป็น...แสงสว่าง...แสงสว่างที่จักนำท่าน ...ขึ้นมาจากนิรยะแดนอันมืดมน...”
.
.
.
แววตาช้ำๆ ที่แดงก่ำเสียจนเหมือนว่าน้ำตานั้นจักกลายเป็นสายเลือด ..
จ้องสะท้อนกลับมาจากม่านน้ำ จ้องสะท้อนเหมือนภานุพงศ์มองภาพสาวน้อยนั้นผ่านมาจากตนเอง!!
.
.
.
“ภานุพงศ์..ไปไกลเกินกว่าที่อราลีจักต้องการให้เห็นนะเจ้าคะ..”
เสียงเรียบของเด็กสาวกล่าวออกมาพร้อมๆ กับมือเล็กที่สั่นจากความเจ็บปวดแห่งเปลวไฟ นั้นกดกระจกพลิกกลับ
“นี่..นี่กระจกวิเศษหรือตัวอย่างละครคะ? แหม..ทำพี่น้ำตาตกเลย ..”
ตุสน้อยพูดแก้เก้อแล้วเผลอยกมือปาดน้ำตาตัวเองที่อยู่ๆ ก็ดันร่วงผล็อย ยิ่งปาดน้ำตายิ่งทยอยไหลหลากเหมือนเขื่อนแตก ..แม้ไม่รู้เหตุผลที่ตนเองร้องไห้ แต่แค่คิดไปถึงคำว่า งูดิน ภานุพงศ์ก็แทบจะปล่อยโฮ ออกมาอีกครั้ง จนคราวนี้อราลีจำใจต้องล้วงเอากำไรสีเงินออกมา
“กระจกของท่านวิษณุ เอาไว้ส่องขยายความกับดึงความทรงจำอันเป็นปราณดั่งเดิมของร่างวิญญาณส่วนนี้กำไลปล่อยวาง..ใส่แล้วสมองจะโล่งๆ ว่างๆ ทำให้จิตใจสงบ ของเล่นใหม่ล่าสุดแห่งองค์วิษณุกรม..”
“แหม..อราลีนี้ ของวิเศษเยอะนะคะ ..”
ในทันทีที่สวมกำไร ภานุพงศ์พูดไป หัวเราะไป ใช่...ในตอนนี้สมองมันสบายๆ โล่งๆ ว่างๆ แต่ความทรงจำที่เลือนรางกลับค่อยๆ คืนกลับมา ยิ่งความทรงจำที่ตุสอย่างภานุพงศ์คิดว่ามันมาจากความฝันฟุ้งซ่านกลับยิ่งเด่นชัด
“พี่คิดว่าพี่ฝันไป..ไม่คิดว่าจะเจอกับอราลี พร้อมพวกไอเทมของวิเศษนะคะ เป็นพวกเทวดานางฟ้า หรือตนในนรกนี้ดีจัง ขยันหาของวิเศษ อย่างกับเก็บไอเทมเลยค่ะ”
"..พวกไอเทมพวกของวิเศษมันมีเยอะแยะไปทั้งในนรกและสวรรค์ มันก็เหมือนกับกิเลสของพวกมนุษย์นั้นล่ะ มากมายหลากหลายที่จะสรรคหา"
"แล้ว อราลี มีบ้างหรือเปล่าล่ะ ไอ้พวกไอเทมของวิเศษแบบที่พวกบนๆ ล่างๆ มี?"
ประโยคเกินความคิดเด็กสาวตัวน้อย พาให้ตุส สมองล้าถึงกับกล้าถามอย่างมีความหวัง หวังบ้างล่ะว่า เจ๋งๆ อย่างอราลี คงจะมี 'อะไร' บ้างที่พอช่วยย่นหนทางของด้ายแดงแห่งโชคชะตา แต่ก็นั่นล่ะ ภานุพงศ์ ก็คงไม่คิดหรอกว่า คำตอบจากปากอราลี มันจะมีประมาณว่า...
"อราลีไม่ต้องมีอะไรหรอก ...อราลีมีแค่ภานุพงศ์ก็พอ.."
.
.
.
อราลีเป็นฝ่ายพูดเองนะ แต่ภานุพงศ์กลับหวนไปคิดถึง.. คำของใครบางตน ..
‘...มิ ต้องมีเป็นชาติพันธุ์ใด ...แค่ข้าเจ้ามีท่านในหทัยก็เพียงพอรึเจ้าคะ? …โอษฐ์ท่านเอื้อนเอ่ยแต่เพียงนั้น ..หากแต่ในหทัย..ตนข้าคงเป็นได้เพียงแค่นางงูดิน อันโสมม.....’.
.
.
ประโยคโบราณ หากแต่ทุกคำ ภานุพงศ์กลับเข้าใจ ..
ประโยคที่ทำให้อีกครั้ง..อีกครั้งที่ต่อมน้ำตาของตุสแตกกระจาย ความต้อยต่ำที่สัมผัสเป็นตัวตนได้เหมือนน้ำในถังที่เทรดลงมาห่าใหญ่ เขื่อนพังหรือแผ่นดินถล่มหรืออะไรต่อมิอะไร ในตอนนี้มันยังแทนทั้งหมดในใจที่ตุส รู้สึกและสัมผัส ไม่ได้ด้วยซ้ำ
.
.
.
....ความเจ็บที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน
...ความเศร้าที่หาสาเหตุไม่ได้
...ความคิดถึงที่เหมือนจะหลบอยู่ในหลืบอะไรสักอย่าง ...
.
.
.
....ส่งเสียงครางเพรียกหา ...
.
.
.
‘ภคินทร์..ฤ ว่าดั่งคำเจ้าจันทร์เจ้า..ภคินทร์ท่านลืมนางงูไร้ค่านี้เสียสิ้นแล้ว..กระมั่ง?’TBC.
..... *****ภานุพงศ์, อ่านว่า พา-นุ-พง, แปลว่า เผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ ผู้นำแสงสว่าง