ไข่ฟองที่ 21
แก้มเพื่อนมันหอม
สัปดาห์แห่งการสอบผ่านพ้นไปอย่างไม่ยากเย็นนัก หลังสอบวิชาสุดท้ายเสร็จเพื่อนๆ ห้องชวนกันไปกินหมูกระทะเพื่อเป็นการฉลอง ผมกับไข่ต้มก็ไปกับเขาด้วย รวมแล้วได้สมาชิกสิบเจ็ดคนครึ่งห้องเรียนพอดี
หลังจากตกลงกันเรียบร้อยพวกเราก็แยกย้ายกันกลับไปเปลี่ยนชุดที่บ้าน และนัดรวมพลอีกครั้งตอนหกโมงเย็น ร้านหมูกระทะสถานที่นัดหมายอยู่ห่างจากโรงเรียนสองป้ายรถเมล์ อยู่คนละทางกับทางกลับบ้านผมกับไข่ต้ม ผมกับมันเลยนัดเจอกันบนรถเมล์อย่างที่เคยทำบ่อยๆ
มาถึงร้านหมูกระทะตามเวลานัดเพื่อนๆ ก็มารวมตัวกันใกล้ครบแล้ว โต๊ะพวกเรากินพื้นริมฝั่งริมซ้ายของร้าน เป็นโต๊ะที่ยาวที่สุดในบรรดาลูกค้าทั้งหมด ด้วยความคึกคะนองของเด็กวัยรุ่นเกือบยี่สิบคนจึงทำให้เสียงดังกว่าโต๊ะอื่น แต่ไม่ได้โหวกเหวกโวยวายจนน่ารำคาญนัก
จุดเด่นอย่างหนึ่งของร้านนี้คือมีวงดนตรีสด แต่จะขึ้นเล่นช่วงสองทุ่มถึงสี่ทุ่มเท่านั้น พอเขาเปิดโอกาสให้ขอเพลงพวกเพื่อนผมมันก็ยกไม้ยกมือตะโกนกันเสียงดังลั่น พี่สาวนักร้องแสนใจดีก็ยอมร้องเพลงที่พวกมันขอเสียด้วย
"เพลงนี้ของน้องๆ โต๊ะซ้ายมือนะจ๊ะ เพื่อเป็นการฉลองสอบเสร็จ มา!"
อินโทรเพลงเต่างอยดังขึ้น ไอ้คนที่ขอเพลงก็ลุกขึ้นโชว์สเต็ป ก่อนมันจะค่อยๆ เพิ่มเลเวล เต้นเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต สร้างความคึกครื้นและเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่นั่งข้างๆ ผม แต่โต๊ะอื่นอาจจะรำคาญเราก็ได้
"อยากเต้นอะดิ" ผมแซวไข่ต้ม มันกำลังเคี้ยวหมูไปหัวเราะไปจนตาปิด ก่อนจะหันมาแก้ตัว
"กูเต้นเป็นที่ไหน ไอ้โจ้เต้นฮาดี"
"เหรอ"
"หรือมึงอยากแข่งเต้นกับมัน"
"ถ้ามึงบอกว่าชอบคนตลก กูจะเต้นให้ฮากว่ามันอีก"
"เอาจริงดิ"
"เออ แต่ต้องกูชอบด้วย"
ตอนเสนอออกไปทีแรกผมเห็นไข่ต้มมันยิ้มร้าย แต่พอยื่นข้อเสนอมันก็ดูลังเลขึ้นมาทันที พอแกล้งหยอดว่าให้ชอบกลับมันมักจะเงียบใส่แบบนี้ เป็นสถานการณ์ที่ช่วงนี้เจอบ่อยจนเริ่มชิน ความจริงผมควรเลิกคิดมากกับท่าทางแบบนี้ของมันได้แล้ว แค่เดินหน้าจีบตามความตั้งใจของตัวเองก็พอ แต่ก็ยังทำเป็นไม่สนใจไม่ได้สักที
"เงียบเลย"
"กูไม่ได้ชอบคนตลกอะไรไง"
"จริงเหรอ"
"ช่วงนี้มึงกวนตีนขึ้นเยอะเลยนะ"
มันน่าจะเป็นคารมที่ออกมาตามธรรมชาติมากกว่า ปกติผมไม่ใช่คนกวนประสาทอะไร อาจจะมีบ้างตอนอยากแกล้งมัน ซึ่งก็คือตอนนี้ เวลาไข่ต้มมันแสดงสีหน้าอื่นๆ นอกจากทำหน้านิ่งแล้วน่ามองจะตาย
"กูก็เหมือนเดิม"
"เหมือนเดิมจริงเหรอ"
แล้วก็ดูเหมือนว่าผมจะโดนเอาคืน โอเค มันไม่เหมือนเดิมหรอก เพราะความรู้สึกผมมันเปลี่ยนไปมานานแล้ว
"เป็นแบบที่มึงเป็นนั่นแหละดีแล้ว" ไข่ต้มยกยิ้มหลังพูดจบก่อนมันจะหันไปสนใจหมูบนเตาที่ย่างไว้จนสุกพอดี ขณะที่เพลงเต่างอยของเพื่อนผมก็จบลงแล้วเช่นกัน
กินอิ่มจนพุงกาง เลยสามทุ่มมาได้นิดหน่อยพวกเราทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ ผมกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งขึ้นรถเมล์คันเดียวกัน ชวนกันคุยเรื่องสัพเพเหระจนเพื่อนลงกันหมดเหลือแค่ผมกับไข่ต้มที่บ้านอยู่ไกลว่าคนอื่น
"กูไปส่งนะ" ใกล้ถึงบ้านผมก็รีบเสนอตัว แน่นอนว่าต้องโดนปฏิเสธ
"ไม่ต้องหรอกมึง เสียเวลา"
"กูไปส่งนะ"
ไข่ต้มมองผมอย่างหมดคำจะเถียง ที่จริงประโยคที่ผมพูดไปคือประโยคบอกเล่าไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะงั้นมันจึงไม่มีสิทธิ์ตอบกลับไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น รู้ไว้แค่ว่าผมจะไปส่งมันที่บ้านก็พอ
ผมนั่งเลยบ้านจนมันไปจอดที่ป้ายหน้าหมู่บ้านทาวน์เฮ้าส์สามั้นซึ่งไม่ได้ไกลจากบ้านผมนัก ผมเดินตามไข่ต้มลงจากรถ มันเดินนำไปยังซอยหมู่บ้าน ก่อนจะหันมามองเมื่อไม่เห็นผมเดินตามไป
"จะส่งแค่นี้เหรอ" มันทำหน้าสงสัย
เปล่าหรอก ใครจะนั่งรถเลยบ้านเพื่อมาส่งมันแค่ตรงนี้ ผมแค่คิดกำลังอะไรอยู่นิดหน่อย
"เปล่า"
"ก็มาดิ"
ไข่ต้มพยักหน้าเรียก ผมก้าวไปยืนตรงหน้ามันก่อนยื่นมือไปข้างหน้า เห็นมันมองหน้าผมสลับกับมือผมก็ได้แต่คิดว่าจะเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อไหม แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่อยากขอ
"ไม่ได้เหรอ" ถามออกไปเพราะความนิ่งเฉยที่คนตรงหน้าแสดงออก ไข่ต้มมันยิ้มก่อนหันหลังกลับแล้วเดินต่อ แต่ก้าวได้แค่ไม่กี่ก้าวมันก็หันกลับมาอีกครั้ง ก่อนเอ่ยถามเมื่อผมไม่ยอมเดินตามไป
"ไม่ไปส่งแล้วเหรอ"
"เปล่า"
ก็นะ โดนปฏิเสธต่อหน้าแบบนี้จะให้ผมทำตัวร่าเริงยังไงไหว ขอเวลายืนเรียกกำลังใจสักหนึ่งนาที
"แค่นี้หงอย" มันว่า มุมปากยังยกยิ้มน้อยๆ เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่าเพื่อนคนนี้ใจร้ายชะมัด
"แล้วกูควรรู้สึกยังไงดี"
คำถามนี้คงไปสะกิดใจคนฟังรอยยิ้มนั้นถึงได้หายไป ไข่ต้มมองผมนิ่ง มันทำหน้าครุ่นคิดแบบหลายๆ ครั้งที่ผมเคยเห็นเวลามันปฏิเสธใครสักคน คิด...ว่าคนคนนั้นจะรู้สึกยังไง
"ครั้งแรกที่มึงแอบเนียนเกี่ยวก้อยกูอะ มึงทำยังไง"
เงียบอยู่ชั่วอึดใจมันก็ย้อนถามกลับมา มันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงวันนั้นกับความกล้าที่ผมมี แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรไข่ต้มมันก็พูดต่อ
"เคยบอกแล้วไงว่าให้ทำสิ่งที่อยากทำ"
"แล้วมึงก็จะทำสิ่งที่มึงอยากทำเหมือนกัน เมื่อกี้ก็เท่ากับมึงไม่อยากให้กูจับมือไง" ผมเถียง เหมือนพลังด้านลบแผ่อยู่รอบตัว ขณะที่คนตรงหน้ากลับยิ้ม ไม่ใช่รอยยิ้มที่คิดว่าตัวเองชนะ แต่เป็นยิ้มที่...นึกเอ็นดูใครสักคนมากกว่า ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองน่ะนะ
"มึงทำตัวน่าแกล้งอะ"
"แกล้งแรงไปนะ"
"กล้าๆ หน่อยดิ กูไม่ยอมวางมือบนมือมึงก็แค่คว้ามือกูไป ถ้ากูสะบัดก็แค่คว้าไปจับอีก" ไข่ต้มมันพูดพลางทำท่าประกอบ จริงจังเหมือนครูกำลังสอนลูกศิษย์ หรือก็คือเฉลยให้ผมรู้นั่นแหละว่าควรทำยังไงกับมันถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก "แล้วถ้ามึงสะบัดออกอีกล่ะ"
"ต่อยท้องลากลงข้างทางแม่ง"
"ได้เหรอ กูทำจริงนะ"
"ล้อเล่นมั้ยเล่า" มันโพล่งออกมาเสียงดัง ทำเอาผมหลุดขำ แต่ถึงคิดจริงผมก็ไม่ทำแบบนั้นกับมันหรอก
ความเงียบกลับมาอีกครั้งเมื่อเราต่างยืนสบตากันนิ่งๆ เป็นการคุยกันที่เว้นระยะห่างมากที่สุดตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา หากอยู่ในที่ที่ผู้คนพลุกพล่านกว่านี้เราคงเหมือนคนบ้าที่ยืนตะโกนคุยกัน แต่เพราะเวลาสามทุ่มกว่าของที่นี่มีเพียงเสียงรถวิ่งผ่านไปมาบนท้องถนนเท่านั้น แม้พูดด้วยน้ำเสียงปกติก็ยังได้ยินชัดเจน
"มึงเคยกล้ากับกูกว่านี้นะ" ไข่ต้มกอดอกเอียงคอ เหมือนอยากจะเอาเรื่องที่อยู่ๆ ผมก็กลายเป็นคนขี้ขลาดขึ้นมา ทั้งที่จริงๆ ผมขี้ขลาดแบบนี้มาตั้งนานแล้ว
"กูแคร์ความรู้สึกมึงไง" มันคือความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างขี้ขลาดแบบหลบซ่อน กับขี้ขลาดแบบเปิดเผย เพราะผมรู้ว่ามันเป็นคนยังไง ผมถึงไม่อยากทำอะไรให้มันลำบากใจมาก
"งั้นก็แคร์ความรู้สึกตัวเองบ้าง ถ้ามหา’ลัยไม่ได้เรียนที่เดียวกันก็เหลือเวลาแค่เทอมเดียวเองนะ แคร์กูได้แต่อย่าให้ตัวมึงเองเจ็บ"
"มึงก็อย่าทำให้กูเจ็บนักสิ"
ความเงียบคือคำตอบ ผมเข้าใจว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มันห้ามกันไม่ได้ อยู่ๆ จะให้เพื่อนสนิทที่คบกันมาเกือบหกปีเลื่อนสถานะมาเป็นคนรักก็เช่นเดียวกัน เรื่องของความรู้สึกมันบังคับไม่ได้
"งั้นกูถามได้มั้ย" ผมโยนให้มันอีกหนึ่งคำถาม เผื่อว่าอนาคตจะสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น
"..."
"ชอบกูบ้างหรือยัง"
ความเงียบชั่วอึดใจกลับมาอีกครั้ง ไข่ต้มเม้มปาก มันก้มหน้าลงสักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมคำตอบ
"กูไม่เคยเกลียดมึงเลยนะ ตอนนี้ก็เหมือนกัน"
"ตอบไม่ตรงคำถามเลยว่ะ"
"อย่างน้อยก็ไม่เท่าเดิม"
"อะไรไม่เท่าเดิม"
"ความรู้สึกที่มีให้มึง"
หัวใจที่ห่อเหี่ยวเริ่มกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้งเมื่อได้ฟังประโยคนี้ ผมยิ้ม แต่ไข่ต้มมันไม่ยิ้ม ถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเองเกินไปผมว่ามันกำลังกดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้อยู่ ไม่ปิดประตูใส่แต่ก็ใช่ว่าจะยอมออกมาพบง่ายๆ ต้องก้าวผ่านประตูเข้าไปแล้วตามหาให้เจอ
"เข้าบ้านเถอะ" ผมเดินเข้าไปหา จับมือมันไว้แล้วพาเดินไปด้วยกัน
ไร้การดิ้นรนขัดขืน รับรู้ได้ถึงแรงบีบเบาๆ จากอีกฝ่ายที่กระชับกลับมา ระหว่างเรามีเพียงความเงียบเมื่อไม่มีใครคิดจะพูดอะไร ก้าวเดินช้าๆ ไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย มีแสงไฟ และท้องฟ้าที่มืดสนิทมองไม่เห็นดาวสักดวงเป็นเพื่อน แต่ถึงแม้ไม่มีดาว ผมก็ชอบบรรยากาศที่เป็นอยู่ตอนนี้มากอยู่ดี
ความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ผมอยากให้บ้านไข่ต้มอยู่ไกลกว่านี้อีกสักนิด เราจะได้ใช้เวลาร่วมกันมากกว่านี้อีกสักหน่อย
"กูไปแล้วนะ"
"ไม่เข้าบ้านก่อนเหรอ"
"ไม่ดีกว่า" ไฟในบ้านเปิดสว่าง พ่อแม่มันคงกลับมาแล้ว ถ้าผมเข้าไปน่าจะไม่ได้กลับออกมาง่ายๆ
"งั้นกลับดีๆ"
ผมพยักหน้ารับ ยังไม่ยอมถอยออกมา หันมองซ้ายแลขวาดูว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ ก่อนหันกลับไปสบตาเพื่อนสนิทที่จ้องมองด้วยความสงสัย
ต่อไปให้สะกดจิตตัวเองไว้เสมอว่าจงทำในสิ่งที่อยากทำ อย่ากลัว และอย่าลังเล
ความกล้าจงสถิตแก่ตัวผมด้วย
ผมก้าวเข้าไปประชิดตัวคนที่ยืนติดรั้วบ้าน เอียงหน้าโน้มตัวเข้าไปหาเล็กน้อยแล้วกดจมูกลงบนแก้มนุ่มๆ ที่เคยจับเมื่อครั้งก่อนแล้วรีบผละออกมา บอกลา และหันหลังก้าวเดินออกไปตามทางที่เดินมาอย่างรวดเร็ว
รอบข้างเงียบสนิทอยู่สักพักกว่าจะได้เสียงเปิดประตูรั้ว ผมยิ้มอย่างอดไม่ได้ หน้าตอนไข่ต้มตกใจมันก็น่ารักดีอยู่หรอก ตาเบิกกว้าง ปากเผยอนิดๆ แต่ก็กลัวจะโดนประทุษร้ายกลับมาเหมือนกัน ยังดีที่ไหวตัวหลบออกมาก่อนมันจะหายตกใจตามแบบฉบับคนใจกล้าที่ขี้ขลาด
แล้วก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าแก้มเพื่อนมันหอมแบบนี้นี่เอง
หลังสอบเสร็จมีเวลาหยุดพักหนึ่งสัปดาห์ก่อนประกาศผลสอบ แทนที่เป็นวันหยุดจะได้นอนตื่นสายกลับกลายเป็นว่าเมื่อคืนผมดันนอนไม่หลับ ส่วนเหตุผลนั้นแน่นอนว่ามาจากการกระทำอันหาญกล้าของตัวเองหน้าบ้านเพื่อนสนิท แล้วที่เลวร้ายกว่านั้นคือหลังจากเกิดเรื่องเรายังไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเลย
ไม่ใช่โดนมันโกรธจนตัดเพื่อนตัดฝูงไปแล้วหรอกนะ
หลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืนจนหกโมงเช้า หยิบมือถือที่ไร้แจ้งเตือนใดๆ ขึ้นมาดูแล้ววางไว้ที่เดิม แม้ปกติเราไม่ได้คุยแชตกันบ่อยเท่าไรก็เถอะ ยกเว้นช่วงหลังที่ผมเปิดเผยความรู้สึกออกไปถึงได้บอกฝันดีกันก่อนนอนทุกคืน แต่เมื่อคืนกลับเงียบสนิทไร้การตอบรับใดๆ
จิตใจผมเริ่มกลับมาห่อเหี่ยวอีกครั้งเมื่อความคิดด้านลบเริ่มทำงาน อยากส่งไปบอกอรุณสวัสดิ์ แต่การไม่อ่านไม่ตอบตั้งแต่เมื่อคืนมันทำให้ความกล้าของผมเหือดหายไปหมด
หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จผมก็ลงมากินข้าวเช้าก่อนช่วยแม่เปิดร้าน ยกถาดขนมไปวาง หยิบจับนู่นนี่แล้วแต่จะใช้ ป้าสมพรแกเลยดูแปลกใจเป็นอย่างมากที่วันนี้ลูกชายสุดที่รักตื่นมาช่วยงานแต่เช้า ทั้งที่ปกติวันหยุดกว่าจะเห็นหัวก็เลยสิบโมงไปแล้วนู่น
ช่วยจัดร้านจนเสร็จก็ทำหน้าที่เป็นพ่อค้าต่อเลย วันหยุดลูกค้าค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่เปิดร้านมีลูกค้าพลัดกันเข้าร้านเรื่อยๆ จนผมแทบไม่มีเวลาว่างทำอย่างอื่น พอได้นั่งพักยาวๆ ตั้งใจจะหยิบโทรศัพท์ถือมือขึ้นมาเล่นถึงเพิ่งรู้ตัวว่าลืมมันเอาไว้บนห้อง
กำลังหันไปเรียกหาคนมาขายแทนลูกค้าคนใหม่ก็มาพาพอดี ผมเห็นงาลางๆ ที่หางตา แต่เมื่อหันกลับไปมองกลับทำเอาเกือบพูดไม่ออก
"อ้าว"
เห็นเพื่อนสนิทยืนอยู่หน้าร้านผมก็ได้แต่อุทานออกไปแบบนั้นเพราะยังนึกคำทักทายไม่ทัน ไข่ต้มมันยืนมองผมนิ่งๆ อยู่หน้าร้าน สีหน้าเรียบเฉยแต่ผมมองออกว่ามันกำลังอารมณ์ไม่ดี แล้วก็ไม่ต้องเดาด้วยว่าต้นเหตุมาจากผมแน่ๆ
"โทรหาตั้งหลายสายทำไมไม่รับวะ" ถามผมแล้วคิ้วขมวดแน่น แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรลูกค้าก็เข้ามาพอดีผมเลยกวักมือเรียกมันให้เข้ามานั่งด้วยกันข้างใน
ผมขายของ ไข่ต้มมันก็เดินหน้าตึงมายืนข้างๆ แต่ไม่ได้ยืนเฉยๆ เพราะมันช่วยหยิบถุงมาใส่ขนมให้ แถมคิดเงินทอนให้เสร็จสรรพ รู้หน้าที่ตามประสาคนที่จะได้เข้ามาดองเป็นครอบครัวเดียวกันกับป้าสมพรร้านขนมไทย
"กูลืมเอามือถือลงมา ช่วยงานร้านแต่เช้า ลูกค้าก็เยอะเลยไม่มีเวลาขึ้นไปดู ขอโทษ" หลังจากเคลียร์ลูกค้าหมดผมก็รีบอธิบาย
"อืม" มันครางรับเบาๆ ยังไม่ทันได้ถามที่มาที่ไปว่าทำไมถึงมาโผล่หน้าร้านผมในเวลาเกือบเที่ยงแบบนี้แม่ผมก็เดินออกมา ไข่ต้มรีบยกมือไหว้ ป้าสมพรแกเลยทำหน้าแปลกใจเป็นหนที่สองของวัน
"ไม่บอกว่าเพื่อนจะมา" รับไหว้ไข่ต้มแล้วแม่ก็หันมาขมวดคิ้วใส่ผม อยากจะเถียงอยู่หรอกว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะมา
"ลืมอะแม่"
"แล้วกินข้าวหรือยังล่ะลูก"
"ว่าจะออกไปกินข้างนอกกันครับ"
ผมหันขวับไปมองคนพูดที่ไม่เตี๊ยมอะไรกันก่อนสักนิด สภาพพ่อค้าเสื้อยืดกางเกงบอลของผมไม่พร้อมออกไปไหนทั้งนั้น
"แล้วจะไปกันกี่โมง" แม่ผมถามต่อ
"ก็..." ไข่ต้มมันเลยเหลือบมามอง ผมเลยตอบให้เอง
"เดี๋ยวจะไปแล้วแม่"
"สภาพนี้?" แม่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ตอนนี้แหละที่ผมจะได้โอกาสชิ่ง
"งั้นไปเปลี่ยนชุดก่อนนะแม่" พูดจบผมก็คว้าแขนไข่ต้มให้เดินตามมา
ปิดประตูห้องนอนผมก็ปล่อยมือมันออก ไข่ต้มเดินไปนั่งบนเตียง ผมรีบหยิบโทรศัพท์มือถือมาดู ทั้งไลน์ทั้งมิสคอลค้างเต็มหน้าจอ หันไปมองเจ้าของแจ้งเตือนทั้งหมดที่มองกลับมานิ่งๆ แล้วก็ได้แต่ยิ้มแหยให้
"มึงอยากกินอะไร" ผมถามเข้าเรื่อง ไข่ต้มบอกป้าสมพรว่าจะออกไปกินข้าว ในไลน์มันก็ชวนผมก็ข้าวเหมือนกัน
"ตอนนี้ไม่อยากกิน"
"โกรธ"
"ก็นิดหน่อย มันหงุดหงิดนะเว้ยติดต่อไม่ได้เนี่ย" เริ่มขึ้นเสียงขนาดนี้ผมว่ามันอาจจะไม่ใช่แค่นิดหน่อยแล้วก็ได้
"ขอโทษ ก็มันลืมนี่หว่า เดี๋ยวเลี้ยงข้าวก็ได้"
"ก็บอกว่าไม่อยากกินแล้ว"
"ไม่อยากกินแต่มาหาถึงบ้านเลยเนี่ยนะ"
"จะมาต่อยปากมึง"
"อย่ารุนแรงกับกูนักเลย" ผมเดินไปนั่งข้างมัน ทำหน้าตาสำนึกผิดเต็มที่เผื่อคนใจร้ายจะสงสาร
ไข่ต้มมันเอาแต่จ้องหน้าผมไม่ตอบอะไร ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน มองอยู่สักพักแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนละสายตาไปมองที่อื่น
"กูมาเพราะห่วงมึงนี่แหละ เมื่อคืนกูแกล้งแรง มึงก็เล่นแรงกลับ มันเหมือนยังค้างๆ คาๆ ยังไงไม่รู้ เช้ามามึงเมินใส่กูอีก"
"กูไม่ได้เมิน"
"ก็นั่นแหละ" มันหันมาขมวดคิ้วใส่ผม แต่ผมกลับห้ามรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้ไม่ได้เมื่อนึกถึงเหตุผลที่เพื่อนคนนี้มาอยู่ที่นี่
"ที่จริงกูก็คิดมากนะ เมื่อคืนบอกฝันดีแล้วมึงไม่ตอบ กลัวมึงโกรธ"
"ส่งมาเกือบเที่ยงคืนกูก็นอนแล้วมั้ย"
"ก็นั่นแหละ" ผมเลียนแบบคำพูดมัน ไข่ต้มมันเลยแยกเขี้ยวใส่
บทสนทนาหยุดลงอีกครั้งแต่ไม่ได้ทำให้บรรยากาศรอบตัวเราแย่ลง ไข่ต้มมองมือตัวเองที่วางอยู่บนตัก ผมก็มองมันอีกที มีความคิดหลายอย่างเกิดขึ้นในหัว หลายคำถามที่อยากถาม และหลายคำตอบที่อยากได้ยิน เพราะเรายังอยู่ด้วยกันตรงนี้ผมจึงมั่นใจว่าเรื่องในอดีตไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายนัก และมันก็ช่วยเพิ่มความกล้าให้แก่ผม
"มึงไม่ได้โกรธใช่มั้ย"
"เรื่อง?"
"ที่หอมแก้ม"
"อ่า..."
ไข่ต้มลากเสียงยาว มันเขินไม่บ่อย แต่ตอนนี้ผมเห็นมันกำลังเขิน มันไม่ยอมสบตาผมตรงๆ แล้วก็ไม่ยอมตอบคำถามสักที
"ไม่ตอบ"
"ไม่ได้โกรธ"
"แสดงว่าทำอีกได้"
"ก็...ไม่ได้ห้าม"
ได้ฟังประโยคที่เป็นเหมือนคำอนุญาตผมก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนคนไม่ทันตั้งแต่เผลอเอนตัวหลบ ไข่ต้มไม่ได้หนี มันยังนั่งอยู่ที่เดิม สบตาผมแล้วเม้มปาก ก่อนจะพูดอีกประโยคที่ชวนให้ผมใจเต้นแรงขึ้นมา
"กับมึงมันก็ไม่ได้แย่"
"อะไรไม่ได้แย่"
"ตัวมึง สัมผัสของมะ...ไอ้เหี้ย! เดี๋ยว!"
พูดมาขนาดนี้แล้วใครมันจะไปอดใจไหว ผมไม่ได้ทำอะไรรุนแรง ก็แค่กระโจนเข้าไปกอดจนมันหงายหลังล้มลงนอน โดยที่ตัวผมทับมันอยู่ด้านบน
ตอนนี้ใจผมมันฟูจนคับอกไปหมดแล้ว
"มึงแม่งน่ารักว่ะ"
"ไอ้สัด! ลุกเดี๋ยวนี้เลย" ปากโวยวายมือดันตัวผมออกแบบไม่ได้จริงจังนัก เป็นการยืนยันว่าสัมผัสจากผมมันไม่ได้แย่จริงๆ ไม่งั้นโดนถีบตกเตียงไปแล้ว
"ไหนบอกไม่ได้แย่ไง"
"กูจะเปลี่ยนคำพูดเพราะมึงเล่นแบบนี้นี่แหละ"
ผมลุกขึ้นแล้วก้าวลงจากเตียงโดยไม่ต้องรอให้มันขู่ซ้ำ ไข่ต้มรีบยันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้ายุ่ง ผมหน้าม้าก็ยุ่งชี้โด่เด่เสียทรง ผมยื่นมือไปช่วยจัดทรงมันให้เข้าที่ เห็นหน้าแดงๆ ที่ปั้นบึ้งยอมให้ผมทำตามใจแล้วมันก็อดยิ้มไม่ได้ หน้าแดงๆ ที่ไม่รู้ว่าโกรธหรือเขินอยู่กันแน่
"เปลี่ยนชุดดิ จะได้รีบไป"
ผมไม่ได้ตอบอะไร เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดออกมาแล้วก็เปลี่ยนมันตรงนั้น ไข่ต้มมันก็นั่งเท้าคางมอง รอจนผมแต่งตัวจัดกระเป๋าเสร็จก็ก้าวลงจากเตียงเดินนำออกจากห้องไป
tbc.
สวัสดีปีใหม่อีกรอบ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า