ตอนพิเศษ 3
Side Story : New Year Party
ผมกำลังเซ็งสุดชีวิต แต่จำต้องก้าวเท้าตามหลังเพื่อนๆ เดินเข้างานในตึกนี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนปีหน้าจะได้ย้ายไปร่วมงานอีกตึกในฐานะนักเรียนม.ปลาย
“ทำไมต้องเป็นกูทุกที” ผมยังไม่เลิกบ่น
“ไม่ใช่มึงคนเดียวสักหน่อย ดูกูนี่ แต่งหญิงจ๋าไม่แพ้มึงเลย เพราะงั้นเลิกบ่นเถอะ”
“กูก็อยากแต่งชายตามปกติสักปีนะ”
“ช่วยไม่ได้วะเพื่อน มึงอยากเกิดมาหน้าคล้ายผู้หญิงเอง”
“ไม่เกี่ยวๆ ดูหนังหน้าพวกกูก่อน แย่กว่าไอ้ทีตั้งเยอะยังโดน”
“มันเป็นเรื่องของความสูง ไม่เชื่อดู ไซส์เดียวกันทั้งนั้น”
“เออจริง พวกมึงรีบโตไวๆ สิ ไม่งั้นอีกสามปีต่อจากนี้ก็ไม่น่ารอด”
ผมทำหน้าบูด ก็พอเข้าใจ โรงเรียนชายล้วนแบบนี้จะไปหาหญิงจากไหนมาร่วมงาน ถ้ามองไปทางไหนเจอแต่ชายล้วน เป็นผม ผมก็ไม่มาร่วมงานหรอก (แสลงตา) แต่ทำไม๊ทำไม ไอ้พวกโดนจับแต่งหญิงถึงได้มีแต่หน้าเดิมๆ ล่ะโว้ย
“เป็นไปได้ยาก งานพี่ม.ปลาย ชวนคนนอกได้...”
“เฮ้ย จะเข้าห้องจัดงานแล้ว ใส่หน้ากากกันด้วย”
ผมพ่มลมหายใจ มองหน้ากากปิดครึ่งบนใบหน้า สงสัยเพราะเจ้านี่ด้วย คนเลยยังไม่เบื่อขี้หน้ากัน
“ไอ้ที อย่ายืนเฉย”
“เออ”
จัดการใส่หน้ากากเรียบร้อย มองเพื่อนร่วมห้อง ส่วนใหญ่ก็กลุ่มที่ไปแต่งตัวด้วยกันมา มีไอ้พวกที่ได้แต่งตัวตามเพศปกติติดสอยห้อยตามมาด้วยสี่คน ตอนนี้ยังพอแยกออกว่าใครเป็นใคร แต่พอเข้างาน อาจจะจำไม่ได้ในทันที ต้องเพ่งสังเกตสักหน่อย
งานนี้เขาเรียกว่างานหลอกตัวเองครับ ‘รู้ทั้งรู้ แต่ก็แสร้งไม่รู้’ ประมาณนี้เลย แถมฝ่ายแต่งหญิงยังได้เล่นสนุกสวมบทบาทหลอกชาวบ้านด้วย ปีแรกผมสนุกกับการได้หลอกคนอื่นอยู่หรอก แต่ต้องแต่งหญิงถึงสามปีซ้อน
มันก็เซ็งนะ!
“กูก็อยากเป็นฝ่ายถูกหลอกบ้าง!”
“พอๆ ลากไอ้ทีเข้างานดิ มันจะได้หุบปาก”
“เดี๋ยวกูจะสูงให้ดู! ถ้ากูสูงแล้ว พวกมึงห้ามจับกูแต่งหญิงอีกนะ”
“เออๆ ทำให้ได้ก่อนเถอะ ไปๆ เข้างานๆ”
ผมโดนเพื่อนลากตัวเข้างาน ก่อนโดนทิ้งในเวลาต่อมา แต่ละคนกระจายไปทำหน้าที่ ผมมองซ้ายมองขวา ตรงไปซุ้มอาหารใกล้สุดเป็นอันดับแรก เวลาแบบนี้ต้องใช้อาหารดับอารมณ์ด้านลบ
พออาหารตกถึงท้อง อารมณ์ผมก็ดีขึ้น…เอ๊ะ หรือผมโมโหหิว?
จะว่าไปผมยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยครับ หลังเลิกงานช่วงเช้า อ้อ ผมยังไม่ได้เล่าว่างานอะไรใช่ไหมครับ ก็งานโรงเรียนนี่แหละ ช่วงเช้าเป็นงานคริสต์มาส ช่วงบ่ายเป็นงานปีใหม่ แต่ตอนบ่ายจะแยกเป็นสองตึก ม.ต้นที่หนึ่ง ม.ปลายที่หนึ่ง ผมได้ยินมาว่าฝั่งทางนู้นพาคนนอกมาได้ด้วย แต่ฝั่งพวกผมเป็นระบบปิด ไร้คนนอก แย่ตรงที่พาสาวมางานไม่ได้ แต่รั่วได้เต็มที่ ไม่ต้องรักษาภาพพจน์
สรุปคือหลังงานช่วงเช้า ผมก็โดนเพื่อนลากมาแต่งตัวที่ห้องเรียนเลย แล้วค่อยมาฝากท้องในงาน เพราะมัวแต่เซ็งกับชีวิต เลยเผลอลืมซะสนิทว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยง
“ไงน้องสาว”
ผมชะงักมารขัดจังหวะ แต่น้ำเสียงคุ้นๆ เหมือนน้องชมรมคนหนึ่ง เพ่งมองจนแน่ใจ
“น้องสาวบ้านมึงสิ กูรุ่นพี่มึง”
“อ้าว เอ่อ งั้นพี่สาว?...พี่ทีเหรอ?”
“เออ!”
“หวา…ขอโทษครับพี่ ผมไม่รู้”
“งั้นก็ไสหัวไปไวๆ”
“ครับๆ ไปแล้วครับ” ถอยฉากอย่างเร็ว แว่วเสียงงึมงับลอยเข้าหู “ดุฉิบหาย”
รอเปิดเรียนหลังปีใหม่ก่อนเถอะ!
ที่จริงเขาให้พวกแต่งหญิงสงบปากสงบคำ ไม่พูดได้ยิ่งดี แต่ผมไม่ได้อยู่ในช่วงอยากโดนเกี้ยว คือว่าไงดี งานนี้ก็เหมือนได้ฝึกเกี้ยวสาว จีบผู้หญิง เวลาเจอของจริงจะได้ไม่เคอะเขิน (เพื่อนผมบอกมาอย่างนั้น) ผมก็อยากลองเป็นฝ่ายทำบ้าง แต่ความจริงดันต้องเป็นฝ่ายโดนซะเอง
เฮ้อ…
ผมชะงักมองคนแต่งตัวตามเพศคนหนึ่งกำลังเลือกตักอาหารใส่จานตามลำพัง บรรยากาศต่างจากพวกที่กระสันอยากลองหรือทดสอบวิชาอย่างยิ่ง ผมเลยจิ้มอาหารในจานเข้าปาก พลางสังเกตอีกฝ่ายไปด้วย
...ไม่สนใจอะไรเลย นอกจากไล่ชิมของหวาน แล้วทำหน้าครุ่นคิด แปลกดี
จู่ๆ ความคิดพิเรนอยากทดลองฝึกจีบดูก็ผุดขึ้นมาในหัว ในเมื่อไม่มีโอกาสแต่งชุดผู้ชาย ผมเอาสารรูปตอนนี้ลุยก็ได้ ที่สำคัญ ผมมั่นใจว่าไม่รู้จักอีกฝ่ายแน่นอน
ก่อนอื่นเนียนเดินไปตักอาหารเพิ่มแถวนั้น เขยิบตามแบบไม่ให้รู้ตัว แล้วแสร้งไปยืนกินใกล้ๆ รออีกฝ่ายหันมาเจอก็มองกลับ ผงกหัวเป็นเชิงทักทายแสดงถึงความเป็นมิตร แล้วก้มหน้าจิ้มอาหารเข้าปากต่อ มีใครสักคนเคยบอกผมว่าจะจีบใครต้องใจเย็นๆ ผมขอเชื่อไอ้บ้านั่น เพราะมันไม่เคยปล่อยผู้หญิงหลุดมาถึงเพื่อนฝูงสักราย
พอเห็นใครทำท่าเดินมาหาแบบแน่ๆ ก็รีบเขยิบตัวหาเหยื่อ เอ้ย เป้าหมาย แล้วกระซิบขอความช่วยเหลือให้อีกฝ่ายรับรู้
“โทษนะ ขอยืมตัวเป็นไม้กันหมาแปบ”
คนข้างๆ ผมเหมือนจะอึ้ง “หมาเลยเหรอ เปรียบเทียบซะแรง”
“ตรงไหน?” ผมขมวดคิ้ว น้องหมาออกจะน่ารัก แต่ช่างเถอะ “เราก็อยากเป็นหมาเหมือนกัน แต่เพื่อนในห้องไม่ยอม เซ็งชะมัดเลย รู้ปะ เราอยู่ฝ่ายแมวมาสามปีรวดแล้ว”
“แมว?...อะ อ้อ” คนข้างๆ ผมเริ่มหัวเราะ “สองปีแรกเราก็โดนจับอยู่ฝ่ายแมว”
ผมมองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ “ทำไมปีนึ้ถึงหลุดพ้นได้ล่ะ?”
“เพราะปีหน้าเราจะไม่ได้ร่วมงานแบบนี้อีกแล้ว เพื่อนๆ เห็นใจ เราเลยรอดมาได้”
“…จะย้ายโรงเรียน?”
“เปล่า แค่ไม่ได้ต่อม.ปลายที่นี่”
ผมได้ข้อมูลเพิ่มแล้ว อีกฝ่ายอยู่ปีเดียวกัน
“ที่จริงพอได้มาอยู่ฝ่ายหมา…ก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน”
ผมอยากกู่ร้อง มาแลกเสื้อผ้ากันเถอะ! แต่ทำได้แค่ในใจ
ก็ไอ้ชุดกระโปรงบานๆ พลิ้วๆ ที่ใส่อยู่ตอนเนี่ย ชุดของห้องครับ เลิกงานต้องกลับห้องเรียน เอาไปแขวนผึ่งให้เรียบร้อย เปิดเทอมค่อยรวมเอาไปส่งร้านซักรีด เก็บไว้ให้พวกรุ่นน้องใช้ต่อ
ผมต่อบทสนทนาไปเรื่อย จากเรื่องทั่วไปกว้างๆ ก็แคบลงๆ จนเหลือแค่เฉพาะเรื่องที่สนใจเหมือนกัน ยิ่งนานยิ่งคุยกันถูกคอ อีกฝ่ายทำผมหายเซ็งไปเยอะทีเดียว นอกจากพูดเรื่องที่ชอบแล้ว ยังได้ตระเวนไล่ชิมอาหารที่ซุ้มด้วย อีกฝ่ายเข้าครัวเหมือนกันครับ แต่ทำพวกขนม ไอ้ที่ผมเห็นไล่ชิมของหวานก่อนหน้านี้ เขากำลังศึกษารสชาติอยู่ ผมเลยเอาบ้าง ไล่ชิมแต่พวกของคาวเป็นหลัก
ซุ้มอาหารกระจายไปทั่วห้อง หนึ่งซุ้มก็จะมีทั้งอาหารคาวและของหวาน ถึงอาหารแต่ละซุ้มจะไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่อยู่จุดไหนคนก็แวะไปซุ้มอาหารตรงนั้น อีกกรณีคืออยากกินก็แวะไปเยือนถึงที่ แบบพวกผมนี่ไง
ชิมเสร็จก็ต้องหิวน้ำ เรื่องน้ำกลายเป็นเรื่องที่เราถกเถียงกันมากสุด เพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทั้งคู่ เลยหาข้อสรุปไม่ได้ แถมยังมีนิสัยเหมือนกัน ชอบลองน้ำสีแปลกๆ ไม่อร่อยก็เบ้ปากใส่กัน แล้วหัวเราะทีหลัง ส่วนเจอที่อร่อยกระดกหมดแก้วไม่เหลือ เลยไม่แปลกถ้าพวกผมอยากเข้าห้องน้ำ แต่พอผลักเข้าไปได้นิดเดียว ก็ได้ยินเสียงอึกอักลอดออกมา
“เอ่อ พี่ ผมไม่เคย…”
“ไม่เคยก็ลองสิ”
“ตะ แต่ว่า”
ผมขมวดคิ้ว ผลักเปิดเข้าไปแบบไม่แคร์ว่าข้างในจะทำอะไรกัน
เรื่องแบบนี้ต้องไปเห็นกับตา แล้วค่อยตัดสินใจ เจ้าของเสียงทั้งสองอยู่ตรงมุมห้องน้ำ คนหนึ่งโดนต้อน ตัวเล็กขนาดนี้น่าจะพึ่งเข้าม.1 อีกคนตัวโตกว่าผม กำลังยกแขนทาบกับกำแพงกั้นน้องหนี ท่าทางจะตกใจทั้งคู่ที่เห็นพวกผมเข้ามา
“ทำอะไรกัน?”
ผมยืนกอดอกถามเรียบๆ ไม่สนใจแรงดึงของคนที่ตามหลังเข้ามา
“ไม่ใช่เรื่องของมึง”
“เออรู้ แต่ถ้ามึงบังคับน้องทำเรื่องเลว กูขอมีเอี่ยวด้วยวะ”
“เฮ้ย” คนข้างหลังผมอุทาน
แต่ฝ่ายที่กักตัวน้องยิ้มกระย่อง “อ้อ งั้นก็มาสิ กูว่าจะให้น้องช่วยอม…”
ผมถลกกระโปรงตั้งแต่มันพูดอนุญาต วิ่งเข้าหา เตะกล่องดวงใจไอ้เลวนั่นไปเต็มแรง จนมันหน้าเขียว กุมเป้าทรุดไปกับพื้น ผมใช้เท้าแตะมันให้พ้นทาง ดึงรุ่นน้องในชุดผู้หญิงผละจากกำแพง หน้าตาน้องน่ารักใช้ได้เลย
“ขะ ขอบคุณครับ”
“ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก รุ่นพี่ก็รุ่นพี่ ตัวใหญ่กว่าแค่ไหน เตะหรืออัดเข้ากระแทกเข้าไอ้จุดเนี่ย” ชี้บอกขุดยุทธศาสตร์พึ่งทำร้ายไปหยกๆ “เสร็จทุกราย ส่วนมึง...”
ผมเลื่อนนิ้วชี้หน้าไอ้เวรที่นอนหน้าเขียวหน้าซีดกับพื้น
“คงรู้แล้วใช่ไหมว่ากูเป็นใคร ถ้าไม่อยากให้เรื่องวันนี้กระจายไปทั้งโรงเรียนล่ะก็ เลิกนิสัยนี้ซะ แล้วถ้ากูเห็นว่ามึงไปตามรังควานน้องล่ะก็ ได้เจอกูอีกแน่”
ผมดึงตัวน้องออกจากห้องน้ำ แต่นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังปวดฉี่ เลยดึงน้องกลับเข้าห้องน้ำอีกรอบ ไล่ตะเพิดไอ้เวรนั่นออกจากห้องน้ำแทน จัดการทำธุระเรียบร้อยก็เห็นว่าน้องยืนเงียบกริบอยู่กับใคร
ตายล่ะหว่า เผลอแสดงบทโหดให้เห็นไปแล้ว ผมจะเสียเพื่อนใหม่ไหมเนี่ย
“เอ่อ…”
“ไม่เข้าห้องน้ำล่ะ?” ผมชิงถามก่อน
“ไม่ปวดแล้ว”
“ฮะ?”
“ตกใจจนหายปวดแล้ว”
“แต่อีกเดี๋ยวก็ต้องปวด ไปปล่อยให้เรียบร้อยเถอะน่า”
ระหว่างล้างมือ ผมเหลือบเห็นหน้ากากไอ้เลวนั่นกับของน้องวางอยู่ใกล้ๆ เลยเรียกเจ้าของให้มาหยิบของตัวเองไป พร้อมสั่งสอน
“ทีหลังอย่าถอดหน้ากากง่ายๆ อย่างน้อยหน้ากากก็ช่วยปิดบังใบหน้าเราได้ ต่อให้โดนขู่ เราต่อต้าน เขาก็ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร พยายามช่วยเหลือตัวเอง อย่ายอมตกเป็นเหยื่ออีก เข้าใจไหม?”
“คะ ครับ!”
“…เด็กปีหนึ่งใช่ไหม?”
“ชะ ใช่ครับ”
“จำไว้นะน้อง ถ้าตัวเองยังไม่หัดป้องกันตัว แล้วต่อไปจะดูแลปกป้องคนสำคัญของเราได้ไง”
“ครับ จะจำไว้ครับ”
“จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วกลับเข้างานได้แล้ว อีกอย่างคนแต่งหญิงเป็นฝ่ายได้เปรียบชัดๆ แล้วทำไมถึงไปทำให้ตัวเองเสียเปรียบฮะ”
“ได้เปรียบเหรอครับ?” น้องถามตาปริบๆ
“เออ สุดๆ ด้วย ไม่งั้นพวกมันจะระริกระรี้แวะมาหยอดขนมจีบทั้งที่รู้ว่าไส้ในเป็นผู้ชายทำไม อ้อ พี่ขอเตือนอีกอย่าง งานนี้มันก็แค่สนามทดลองจีบ เห็นเพื่อนพี่น้องเป็นตัวแทนผู้หญิง ไม่มีใครคิดจริงจังหรอก อย่าไปหลงคารมหวานหยดพวกนั้นเข้าล่ะ”
ผมเหลือบมองเห็นคนที่มาด้วยกันจัดการธุระตัวเองเรียบร้อย กำลังล้างมืออยู่ รอจนพร้อมจึงเปิดประตูออกจากห้องน้ำ
กึก…กึกๆ
ผมทำหน้าเซ็ง ผละจากประตูที่เปิดไม่ได้ ถอยหลังเท่าที่พื้นที่อำนวย สูดหายใจเข้าออกทำสมาธิ รวบชายกระโปรงขึ้นสูง ออกแรงวิ่งกระโดดถีบประตู
โครม!
ทันเห็นไอ้ตัวการล็อกประตูยืนตาโตอยู่ห่างออกไปหน่อย พอมันได้สติทำท่าจะหนี แต่ผมไวกว่า จัดการขัดขาให้มันล้มหน้าคว่ำกับพื้น หักนิ้วกร็อบๆ
“สงสัยที่โดนไปเมื่อกี้ไม่พอ ได้เลย จะช่วยสงเคราะห์ให้”
ผมคว้าหลังคอเสื้อ ลากเหยื่อที่ร่ำร้องขอความช่วยเหลือ ผ่านเหล่าคนทำหน้าอึ้งเข้าห้องน้ำอีกรอบ ก่อนเข้าไปเต็มตัวก็ชะโงกหน้าบอก
“ปิดหูรอตรงนี้แหละ”
“เดี๋ยว อย่าทำร้ายร่างกาย…”
“ไม่ต้องห่วง” ผมส่งยิ้มให้เพื่อนใหม่ “เราไม่ทิ้งหลักฐานไว้มัดตัวเองหรอก”
ผมนั่งทับหลังเหยื่อ จัดการยืดกล้ามเนื้อขาให้เฉยๆ ร้องซะอย่างกับหมูโดนเชือด พอได้เสียงแปลกปลอม ก็เอี้ยวคอมอง อีกฝ่ายตบพื้นรัวๆ ประกาศขอยอมแพ้
“ต่อไปจะทำอีกไหม?”
“มะ ไม่แล้วครับ ขอโทษครับ ผมปล่อยไปเถอะครับ”
“ตอนแรกก็ปล่อยไปแล้ว อยากหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บตัวเพิ่มทำไม อ้อ สงสัยขาแข็งเกินไป มาๆ เดี๋ยวช่วยยืดให้อีกข้าง”
“มะ ไม่…อ๊ากกก!”
-------------
ตอนผมเดินสะบัดมือไล่น้ำออกจากผิว ก็เจอคนที่รอผมอยู่ยืนหน้าซีดเผือกกันทั้งคู่
“เอ่อ คนข้างใน…”
“สลบไปแล้ว” ผมพูดเสียงเบื่อๆ “ตัวโตซะเปล่า ใจเสาะชะมัด ปะ กลับเข้างานกันเถอะ”
หลังเข้ามาในงาน ผมปล่อยน้องปีหนึ่งไว้แถวประตู กำลังจะเดินผละไปอีกทาง แต่กลับโดนน้องดึงแขนไว้ก่อน
“ขอบคุณมากนะครับ…พี่ที”
กะแล้ว ชื่อเสียงผมดังกระฉ่อนจริงๆ ลงมือปุ๊บรุ่นน้องเดาชื่อผมถูกทันที
“ไม่เป็นไร”
แค่ช่วย เพราะไม่อยากให้มาเจอเรื่องแบบเดียวกัน
“…ชื่อทีเหรอ?” คนข้างๆ เอ่ยถาม ระหว่างเดินกลับไปจุดสุดท้ายที่เคยอยู่
“ก็มีอักษรตัวแรกในชื่อเล่นเป็นตัวที”
“อ้อ…ของเราตัวพี”
ผมพยักหน้ารับรู้ ตามธรรมเนียมในงาน เขาไม่ถามชื่อกันครับ นอกจากเดาถูกว่าคนนั้นเป็นใคร ส่วนใหญ่เลยบอกใบ้แค่อักษรตัวแรกของชื่อเล่น หรือใช้เรียกแทนชื่อชั่วคราวก็ได้
พวกผมไปตระเวนชิมอีกรอบ แต่บรรยากาศระหว่างผมกับเพื่อนใหม่เปลี่ยนไปนิดหน่อย ดูอีกฝ่ายจะเกรงๆ ผม แต่ผ่านไปพักใหญ่ๆ หลังหัวเราะเรื่องน้ำรสชาติสุดยอดแย่ อีกฝ่ายก็ดูผ่อนคลายขึ้น กล้าคุยกับผมมากกว่าเดิม ถึงขั้นถามเรื่องผู้หญิงน่าจะชอบผู้ชายแบบไหน
มาถามคนไม่เคยมีแฟนจะตอบถูกได้ไง!
ผมทำหน้าเครียด นึกถึงน้องสาวแทน เพศหญิงเหมือนกัน
“เอ่อ คนที่พึ่งพาได้ ปกป้องได้ล่ะมั้ง” เห็นพยักหน้ารับเงียบๆ ผมเลยถามต่อ “ถามแบบนี้แสดงว่ามีผู้หญิงที่ชอบแล้ว?”
อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้ม “งั้นมั้ง”
ผมยิ้มล้อเลียนกลับไปทันที ก่อนชะงัก “หรือว่าจะย้ายไปเรียนโรงเรียนของเธอ?”
หุบยิ้มไม่พอ ถอนหายใจด้วย “เปล่า เราจะไปเรียนต่างประเทศ”
“อ้าว งั้นก็จะไม่ได้เจอเธออีกน่ะสิ”
“อื้อ แต่เราคิดว่าเป็นโอกาสดี จะได้รู้ชัดๆ ไปเลยว่าชอบ หรือแค่ผูกพัน”
“เธออายุเท่านาย?”
“ใช่”
ผมขมวดคิ้ว “ช้าไปไหม เดี๋ยวเธอหนีไปมีแฟนก่อนหรอก”
“มีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเรากลับมาแล้วเธอยังไม่มีใคร เราว่าจะลองจีบดู”
“ทำไมต้องรอกลับ? จีบข้ามประเทศก็ได้นี่”
ส่ายหน้าทันที “เราไม่กล้า…ขอเวลาไปเตรียมตัวเองให้มีความกล้าหาญเหมือนนายก่อนดีกว่า เอ่อ เรื่องเมื่อกี้ถึงน่ากลัวไปหน่อย แต่เท่มาก”
โดนชมตรงๆ แบบนี้ผมก็รู้สึกเขินนิดๆ นะ
“งั้นก็พยายาม…”
เสียงฮือฮาจากหน้าเวทีดึงความสนใจจากพวกผม พิธีกรชูถือกระดาษใบหนึ่งโบกไปมา
“ฉลากที่จับได้ปีนี้ คือจูบที่มือครับ ฮ่าๆๆ”
อ้าว ถึงไฮไลท์ของงานแล้วเหรอ
“เอาเลยครับ อยู่ใกล้ใครก็จับคู่กับคนนั้นเลย ส่วนใครจะจูบหลังมือใครตกลงกันเอาเองนะครับ”
พิธีกรประจำงานยังหัวเราะต่อเนื่อง แม้จะโดนเหล่าชาวประชาที่มาร่วมงานด่าฐานมือดีเกิน ก็ไม่สะถกสะท้าน
ผมมองคนข้างๆ อีกฝ่ายมองกลับมา แววตาสับสน
“เอ่อ เราต้องคุกเข่าแบบคู่นู้นหรือเปล่า…”
ผมมองตามนิ้วชี้ คู่ถัดจากเราไม่ไกลลงทุนมาก ฝ่ายชายคุกเข่าจับมืออีกฝ่ายจูบหลังมือแบบองครักษ์ทำกับเจ้าหญิง อีกคนทำหน้าเหวอเลยครับ ผมเห็นแล้วขำ แถมรู้สึกคึกอยากแกล้งใครสักคนให้ตกใจบ้าง เลยคว้าหลังมือคนข้างๆ ขึ้นมาแตะริมฝีปากตัวเอง เจ้าของมือสะดุ้งโหยง ผมหัวเราะ พูดทั้งที่ยิ้ม
“ถือเป็นคำอวยพรขอให้ไปได้สวยกับผู้หญิงที่ชอบแล้วกัน”
“อ…อื้อ”
ช่วงที่จะปล่อยมือ ผมสังเกตเห็นของที่อยู่บนข้อมือพวกผมเข้าซะก่อน
“หือ? สายสิญจน์เหมือนกันเลย…แม่ให้มารึเปล่า?”
“อื้อ”
สงสัยแม่พวกผมคงไปขอจากวัดเดียวกันมาแน่ๆ
ช่วงสุดท้ายก่อนงานเลิก คือการแลกของขวัญครับ จะกับใครก็ได้ ส่วนใหญ่ขอแลกกับคนที่อยู่ใกล้ๆ
ผมแกะปากกาที่มัดติดกับชุดกระโปรงออก เอาริบบิ้นเส้นเล็กที่หลุดออกมาพร้อมกัน มัดด้ามปากกาเป็นโบว์ แล้วยื่นส่งให้
“อ๊ะ นี่ของขวัญจากเรา โทษนะ นอกจากปากกาเราก็ไม่รู้จะพกของขวัญมายังไงดี ให้ถือตลอดงานคงไม่สะดวก”
“ไม่เป็นไร ส่วนของเราเป็นเจ้านี่”
ผมยื่นมือไปรับถุงคุกกี้เล็กๆ มัดปากถุงด้วยริบบิ้นสีฟ้าอ่อน
“น้อยไปหน่อย แต่เราเอาเข้ากระเป๋าโดยไม่เละไปซะก่อนได้แค่นี้”
“ของทำเอง?”
“อื้อ…ขอบคุณสำหรับวันนี้นะ”
อีกฝ่ายยิ้มมาด้วยความจริงใจ ผมคลี่ยิ้มตามทันที
“ขอบคุณเหมือนกัน”
“ถ้าหลังเรากลับมา แล้วได้เจอกันอีก เราจะเป็นผู้ชายที่เท่กว่าให้ดู”
ผมหัวเราะ มองแผ่นหลังคนทิ้งท้ายเดินออกจากห้องจัดงาน
คิดว่าผมจะยอมแพ้หรือไง
-------------
ผมเข้าไปในห้องเรียน เจอบรรดาเพื่อนแต่งหญิงทั้งหลายกำลังเปลี่ยนชุด
“อ้าวที ไปอยู่ไหนมา ทำไมพวกกูไม่เห็นมึง”
“อ้อ พอดีกูเจอคนคุยถูกคอ เลยอยู่ด้วยกันยาว”
“ไอ้ทีไปเจอคู่เดตมาโว้ย!”
คำว่า คู่เดต เป็นคำเรียกแทนเวลาอยู่กับใครคนหนึ่งในงานนานๆ ครับ
ผมยักไหล่ “ดีออก ไม่เหนื่อย”
“มันกินแรงคนอื่นชัดๆ แล้วเขาให้อะไรมึงมา”
“คุกกี้ทำเอง” ผมชูให้ดู
“มา! เดี๋ยวกูเป็นหน่วยกล้าตาย ทดลองชิมให้ก่อน”
มันคว้าคุกกี้ไปทั้งถุง
“เฮ้ย เดี๋ยว…”
ผมกำลังจะบอกว่าไม่ต้อง เพราะเชื่อว่าอีกฝ่ายทำอร่อยแน่นอน แต่เพื่อนผมแกะริบบิ้นยัดคุกกี้เข้าปากอีกเพื่อนคนไปแล้ว สรุปมันดีแต่ปาก ไม่กล้าชิมเอง
คนโดนขนมยัดปากส่งเสียงอู้อี้ เคี้ยวสักพักก็กลืนลงคอ ยิ้มร่า
“อร่อยดีวะ”
เท่านั้นแหละ คุกกี้น้อยนิดก็โดนแย่ง ผู้ชนะก็ได้กินไป
“โคตรอร่อย มึงรู้มะว่าใครทำ?”
“ตัวพี”
“ฮะ?”
“อักษรตัวแรกของชื่อไง” ผมว่า
“รู้แค่นั้นแล้วใครจะไปเดาถูก!”
ผมถอดชุดกระโปรงออก มองถุงขนมว่างเปล่าด้วยความเสียดายสุดๆ
…รู้งี้แกะกินสักชิ้นก่อนก็ดี
“กูเอาขยะไปทิ้งแล้วนะ”
“เดี๋ยว!” ผมร้องห้าม รีบดึงริบบิ้นสีฟ้าอ่อนจากมือเพื่อน
“อะไรเนี่ย มึงจะเก็บริบบิ้นผูกถุงขนมไว้เหรอ”
“เก็บไว้เป็นที่ระลึกเหรอจ๊ะน้องที”
ผมจ้องเขม็งมองคนแซว “เพราะใครบางคนทำให้กูอดกินคุกกี้ กูเลยต้องเก็บอย่างอื่นไว้แทนไง”
มันหน้าเจื่อนทันที “เอ่อ มึงโกรธ?”
“นิดหน่อย พวกมึงเล่นไม่เหลือให้กูเลยสักชิ้น”
“เอ่อ ขอโทษ งั้นเดี๋ยวพวกเราพาไปเลี้ยงไถ่โทษแล้วกัน ใช่ไหมทุกคน”
“ใช่ๆ”
ผมกลั้นยิ้ม “งั้นกูขอเลือกร้านเอง”
เพื่อนๆ เงียบกริบไม่กี่วิ ก็ร้องโวยวายใส่เสียงดังสนั่น
“ไอ้ทีแกล้งโกรธนี่หว่า!”
“โว้ย เสียรู้มันอีกแล้ว”
“ช่วยไม่ได้วะ พวกมึงอยากมาแย่งของโปรดกูเอง”
“ขอล่ะ อย่าเลือกร้านแพงนะ”
“มีคนช่วยหารตั้งหลายคนจะกลัวอะไร”
“ที!!”
############