เมื่อมีครั้งแรกก็ย่อมต้องมีครั้งที่สองเป็นสัจจะธรรม...........ผมเดาเอาว่านัทเองก็คงรู้สึกสบายใจที่พบกับทางออกสำหรับความสัมพันธ์อันน่าอึดอัดของเรา.......หลังจากเปลี่ยนกิจกรรมการออกเดทกลางแจ้งมาเป็นในร่มแทน.......อะไรต่ออะไรก็ดูจะก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ..........
“เราซื้อลูกชิ้นไปทอดกินที่ห้องกันดีกว่า” นัทเสนอความเห็นหลังจากที่เราสองคนขับรถตะลอนๆเพื่อหาร้านทานข้าวไปจนทั่วเมือง.........แต่ยังไม่พบที่ถูกใจ.......แสดงว่าเค้าอาจจะติดใจรสมือผมก็ได้นะ.......
“เอาสิ ว่าแต่จะไปซื้อที่ไหนล่ะ” ผมไม่ทราบแหล่งที่จะหาซื้อลูกชิ้นในแบบที่นัทต้องการ
“แถวกาดเจดีย์ขาว เดี๋ยวนัทจะบอกทางเอง พี่กั้งขับรถไปเถอะ” เค้าพาผมขับรถลัดเลาะไปตามซอกซอย.........ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องเดินตลาดสดมากนัก........ส่วนมากจะเดินจับจ่ายตามห้างหรือไม่ก็คอนวีเนียนสโตร์มากกว่า........นัทรู้เรื่องเสาะหาของกินพวกนี้มากจริงๆ.......ผมจึงไม่ต้องทำอะไร นอกจากเดินตามหลังเค้ามาห่างๆ...........รู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อยที่นัทยังไม่ยอมเดินคู่กับผมในที่สาธารณะแบบนี้.........เมื่อไหร่เค้าจะยอมรับตัวเองได้ซักทีนะ.........แต่มองๆดูแล้วคงจะอีกนาน........จนกว่าเค้าจะรักผมมากพอ..........หรือไม่ผมก็อาจจะยอมแพ้ไปเอง......
“นัทอยากกินลูกชิ้นแบบไหน” ผมถามเนื่องด้วยว่าที่ร้านมีลูกชิ้นให้เลือกหลายแบบละลานตาไปหมด.........ซึ่งก็แน่นอนว่าถูกต้องตามหลักศาสนา.............
“พี่กั้งอยู่เฉยๆ เดี๋ยวนัทเลือกเอง” เวลาอยู่ข้างนอกนัทมักทำท่าเย็นชา ห่างเหินกับผมเสมอ เค้าดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลย..........ผมทั้งรู้สึกทั้งน้อยใจผสมกับรู้สึกสงสารที่เค้าต้องกดดันตัวเองมากขนาดนี้........เค้าจะทำแบบนี้ไปทำไมกันนะ.....
“เอานี่.....นี่ และก็นี่ด้วย” นัทยื่นถุงลูกชิ้นใส่ตระกร้าที่ผมเป็นผู้ถือเดินตามมาอย่างเสงี่ยมเจียมตัว....บางครั้งก็นึกโกรธตัวเองว่าทำไมจะต้องทำท่าเสงี่ยมขนาดนี้นะ.........หรือผมอาจจะกำลังสนุกกับการที่ต้องทำท่าเหมือนกับโดนใครบางคนคอยกดขี่อยู่ก็ได้.........แต่มันก็รู้สึกดีนะ ผมบอกไม่ถูกหรอก เพราะผมรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างตัวเองดูน่าสงสารหรือจริงๆแล้วเราแกล้งทำให้ดูน่าสงสารเกินความจริงมากไป........เฮ้อ.....สับสนตัวเองจริงๆ
“อยากกินผลไม้มั้ย” ผมออกความคิดเพราะอย่างให้การเดทของเราออกมาสมบูรณ์แบบ....เราจึงเดินลัดเลาะหาซื้อผลไม้อีกอย่างสองอย่าง.........และลงเอยด้วยการแวะเช่าหนังตามระเบียบ........
เมื่อกลับมาถึงที่ห้อง...........ผมรีบกุลีกุจอ (ต้องใช้คำนี้แหล่ะถึงจะเหมาะสม) ปูเสื่อที่ระเบียงห้อง และลงมือทอดลูกชิ้น........ส่วนนัทก็นอนดูหนังตามเคย.........เค้าลุกขึ้นมาหยิบนั่นกินนี่บ้างเป็นบางครั้ง..........ผมเอารูทเบียร์ที่เค้าชอบไปเสิร์ฟให้.......แล้วค่อยมาทอดลูกชิ้นต่อ............หลังจากทอดลูกชิ้นจนเต็มจานขนาดใหญ่ซึ่งน่าจะพอเลี้ยงคนได้สักห้าหกคน........ผมจึงหันมาทำน้ำจิ้มลูกชิ้น..........ก็เรื่องอะไรจะปล่อยให้เค้ากินน้ำจิ้มสำเร็จรูปล่ะ........ทำอะไรง่ายๆอย่างนั้นก็ไม่ใช่ผมน่ะสิ..........ผมจึงลงมือปรุงน้ำจิ้มลูกชิ้นสูตรเด็ดเพื่อมัดใจนัทด้วยตัวเอง...........วิธีทำง่ายๆก็คือตั้งกระเทให้ร้อน แล้วเทน้ำจิ้มสำเร็จรูปลงไปก่อน จากนั้นก็ใส่น้ำมะขามเปียก และก็มะเขือเทศที่หั่นเป็นชิ้นขนาดเล็กๆประมาณถ้วยตวง ใส่พริกป่นลงไปตามแต่ว่าชอบเผ็ดมากหรือน้อย.........เคี่ยวจนกว่ามะเขือเทศจะเละเป็นเนื้อเดียวกับน้ำจิ้ม........แล้วจึงปรุงรสตามใจชอบ..........แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อย........ผมรีบยกไปวางที่โต๊ะพร้อมกับจานลูกชิ้น........
“มากินได้แล้ว เสร็จแล้ว” ผมร้องเรียก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกไปทำไม ก็ในเมื่อเค้าเห็นอยู่แล้วว่ายกมาตั้งที่โต๊ะ......แต่ถ้าไม่เรียกเค้าอาจจะไม่ลุกมากินก็ได้นะ......
นัทลุกไปขยับทีวีหันมาในทิศที่โต๊ะกินข้าวตั้งอยู่.......แล้วจึงเดินมานั่งประจำที่ ลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย.....
“น้ำจิ้มอร่อยมั้ย” ผมหวังว่าจะได้รับคำชมสักนิดก็ยังดี.....แต่คงยาก
“ไม่เห็นจะอร่อยเลย” นัททำปากเบะ.....เดินไปหยิบน้ำจิ้มสำเร็จรูปที่เหลือมาเทใส่ถ้วย ก่อนจะลงมือกินต่อ...........ตาบ้านี่.....คนอุตส่าห์ทำแทบตาย......
ผมไม่ได้ใส่ใจกับพฤติกรรมดังกล่าวเพราะชาชินแล้ว............หน้าที่ผมยังไม่หมดเท่านั้นหรอก..........ผมหันไปหยิบเอาถุงมังคุดออกมาจากตู้เย็น........ลงมือเจียนใส่จานเอาไว้........ในขณะที่นัทนั่งกินไปดูทีวีไป ไม่เห็นว่าจะมีท่าทีซาบซึ้งกับการกระทำของผมตรงไหน.........หรือเค้าจะคิดว่าเค้าสมควรไปรับการปรนนิบัติแบบนี้อยู่แล้วนะ.....ช่างเค้าเถอะ ถึงไงผมก็เต็มใจทำให้อยู่แล้ว....มันอยู่ในสายเลือดน่ะ.....
จนกระทั่งจนนัทกินเสร็จเรียบร้อย ผมจึงจัดเก็บถ้วยจาน........เป็นอันว่าหมดหน้าที่..........แล้วผมจะทำอะไรล่ะทีนี้.....ก็เค้าไม่ได้สนใจผมเลยเอาแต่ดูทีวีอยู่ได้............ไปอาบน้ำดีกว่า
อาบน้ำเสร็จแล้วค่อยสดชื่นขึ้นมาหน่อย..........ผมนำเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำด้วย เพราะไม่อยากทำไรประเจิดประเจ้อนัก เนื่องจากเรายังไม่ได้ไปถึงขั้นไหนกันเลย...........เดินออกมาจากห้องน้ำทาครีมและแป้งลวกๆ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าผมเป็นคนเจ้าสำอางจนเกินไป..........นัทเหลือบมามองผมทำกิจกรรมต่างๆบ้างเป็นบางครั้ง.........แต่โดยมากก็ยังเห็นว่าสนใจดูทีวีมากกว่าอยู่ดี........
อาบน้ำและแต่งตัวเสร็จแล้วจะทำอะไรต่อดีล่ะ............
“หนังสนุกไหม” ผมขยับตัวไปนั่งใกล้ๆ พยายามดึงดูดความสนใจจากนัท
“อยู่เฉยๆ คนกำลังดูหนังอยู่........ วู้ววว” นัทหันมาทำเสียงโวยวายใส่...........อะไรกันเนี่ย..........ใจคอจะสนใจดูแต่หนังหรือยังไง..........นี่เค้าไม่เคยแชร์ชีวิตร่วมกับใครเลยเหรอ..........เค้าน่าจะรู้วิธีปฏิบัติตัวในการอยู่ร่วมกับคนอื่นในเบื้องต้นบ้างนะ
ผมไม่อยากต่อล้อต่อเถียง จึงหันไปหยิบหนังสือมานอนอ่าน............ก็หนังพวกนั้นมันน่าเบื่อจะตาย.......ผมไม่มีความอดทนนั่งดูกับเค้าหรอก..........อีกอย่างหนึ่งผมก็ไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นอะไรระหว่างที่ดูหนังเลย เพราะจะโดนโวยวายตลอดเวลา.........แล้วมันจะมีอรรถรสอะไรล่ะ
....สู้นอนอ่านหนังสือเงียบๆดีกว่า
จนเวลาจวนจะห้าทุ่มแล้ว..........นัทยังไม่มีท่าทีว่าจะหันมาสนใจหนังสดที่นอนอยู่ข้างๆ มากไปกว่าหนังแห้งๆในจอทีวีเลย..........ผมจึงคลี่ผ้าห่มออกมาคลุมแล้วเอนตัวลงนอนก่อนจะม่อยหลับไป...........
สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีก็เห็นนัทหลับไปแล้ว............เหลือบตาดูเวลาก็ค่อนข้างจะดึก จึงไม่อยากจะปลุก..............ผมลุกขึ้นไปปิดไฟ ก่อนจะหยิบผ้าห่มมาคลุมให้นัท...........ช่วงนี้กำลังจะเข้าหน้าหนาว.......เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี...........ผมกลับไปนอนที่อีกฝากของเตียง............ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองจึงต้องลอบถอนหายใจเงียบๆ..........ผมผิดหวังเรื่องอะไรนั้นก็ไม่แจ้งแก่ใจนัก................หรือผมอาจจะอยากมีอะไรกับเค้านะ...........แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่ารู้สึกแบบนั้น.............ถึงอย่างไรผมก็หวังว่าอย่างน้อยๆเราน่าจะได้แสดงความรักต่อกันโดยการใช้ภาษาทางกายบ้าง.....เคยมีบางคนบอกว่า การมีความรักที่สมบูรณ์นั้น เราจะสื่อสารกันด้วยวาจาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ.............เนื่องการพูดเพียงอย่างเดียวไม่อาจจะทำลายช่องว่างระหว่างเราลงได้..........บางอย่างจะต้องสื่อสารกันด้วยภาษากาย..........เช่น การกอด หรือหอมแก้มอะไรเทือกนั้น.......ไม่ง่ายเลยกับการจะมีความรัก..........
สำหรับตัวผมเองมีแนวคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตด้านความรักว่า.....เซ็กส์สามารถเกิดขึ้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีแฟนก็ได้..........แต่การมีความรักจะทำให้เรามีทั้งแฟนและมีเซ็กส์.....ซึ่งผมปรารถนาจะใช้ชีวิตด้วยการมีความรักดีกว่า................แล้วกับนัทล่ะ เค้าจะเป็นแค่เซ็กส์ หรือว่าความรัก..............
ป่วยการคิดให้เวียนหัว............นอนดีกว่า.............
คืนนั้นผ่านไปอย่างว่างเปล่า...........ยอมรับตรงๆว่าผมค่อนข้างจะผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นเลย.........อีกใจหนึ่งก็แสนจะกระดากที่ตัวเองช่างหมกมุ่นคิดแต่เรื่องพวกนี้อยู่ได้........แต่มันก็น่าแปลกใจไม่ใช่หรือไง.............เราคบกันมาก็ได้ระยะหนึ่งแล้ว..........น่าจะถึงเวลาแสดงความรักทางกายกันได้แล้วแหล่ะ.............หรือว่าเค้าไม่ได้รู้สึกพิสวาสผมเลย...........บางทีผมอาจจะแก่แดดเกินไปก็ได้นะ.........แล้วคู่อื่นๆเค้าเป็นยังไงกันมั่งล่ะ.........ผมเองก็ใช่ว่าจะเคยคบกับใครจนข้ามขั้นไปถึงการมีความสัมพันธ์ทางกายมาก่อน........ไอ้เรื่องแบบนี้จะให้เราเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเหรอ..........น่าอายจะตาย............แต่ถึงอย่างไรผมคงต้องทำอะไรบางอย่างแล้ว..............ไม่เช่นนั้นพัฒนาการของความสัมพันธ์ระหว่างเราจะต้องหยุดชะงัก ไม่ก้าวหน้าเป็นแน่.......ผมมีความจำเป็นต้องทำจริงๆ......หุหุ